สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
วันเสาร์ห้าที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๓

            เมื่อกี้นี้ตั้งใจบอกกับพวกเราว่า เอ้า เรื่องสำคัญล่ะนะ ไอ้เรื่องที่พวกเราอยากจะฟังก็คือว่าปีหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง (หัวเราะ) นั่งยืดคอรอไม่ยอมเข้าเรื่องซักทีจะ ๓ ชั่วโมงอยู่แล้ว ... ปีหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ปีหน้า ..มีการเลือกตั้งวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๔๔ ใช่มั๊ย? (หัวเราะ) พอวันที่ ๗ มกราคม เป็นต้นไปก็วุ่นวายบรรลัยโลกเลย มันยุ่ง .. ใคร ๆ ก็อยากจะมีอำนาจ

           พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเลยว่า การเสวยอำนาจอย่างหนึ่ง การรับประทานอาหารอย่างหนึ่ง การนอนอย่างหนึ่งการเสพกามอย่างหนึ่ง ทั้ง ๔ อย่างนี้ไม่มีใครเบื่อ ยกเว้นผู้ที่บารมีถึง ปัญญาถึง เท่านั้น ไม่อย่างนั้นคำว่า “เบื่อ” จะไม่มี

            ดังนั้น พอหลังวันที่ ๖ มกราคมเป็นต้นไปก็ยุ่งบรรลัยเลย ฝ่ายจะเป็นรัฐบาล กูฟ้องมึง มึงฟ้องกู ใครจะโดนแขวน ใครจะโดนใบแดง ยุ่งไปหมด อย่าไปวุ่นวายตามเขาทำมาหากินของเราไปตามปกติ นึกซะว่าเสียงตัวอะไรมันกัดกันอยู่ข้าง ๆ หูก็แล้วกัน ฟัง ไม่ได้ก็อุดหูซะ พอเดือนมีนาคม...เหตุการณ์ต่าง ๆ เริ่มดีขึ้นมาช่วงหนึ่ง เอ้า...มีดีเหมือนกันไม่ใช่ไม่ดี อีคราวนี้บ้านเรามันแปลก มันดีแป๊บเดียวน่ะ คือ...ทางล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ ท่านบอกว่า แม้นหวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ์ ศัตรูกล้ามาประจัญ อาจจะสู้ริปูขยั้น

           คนไทยเรานี่เตรียมพร้อมทุกวาระจริง ๆ ไม่มีศึกไม่มีศัตรูมันก็ซ้อมกัดกันเองอยู่เสมอ พอถึงเวลามีศัตรูเมื่อไหร่ค่อยร่วมมือกันเป็นอย่างงั้นมาตลอด เพราะฉะนั้นมันดีก็ดีแป๊บเดียว อ้าว...เหี่ยวไปอีกแล้ว จะไปดีอีกทีก็โน่นน่ะ มิถุนา ก็ไม่นานใช่มั๊ย ก็มีดีอยู่บ้าง พอหลังมิถุนาไปแล้วอีคราวนี้เกิดอะไรขึ้น มันมองไม่ชัด หลังมิถุนาไปแล้วเหตุการณ์บ้านเมืองของเรามันเหมือนมองอยู่ใต้น้ำ คนมองใต้น้ำเห็นชัดมั๊ย ? ไม่ค่อยชัดมันพร่า ๆ มัว ๆ บอกไม่ถูก เพราะฉะนั้นใครมีกิจการมีอะไร นี่ชิงจังหวะช่วงจังหวะให้ดีนะ ไอ้ช่วงไหนที่อาตมาบอกว่าดีน่ะให้รีบทำซะ แล้วก็อย่าย่ามใจ ถ้าหากว่าเราย่ามใจเราประมาทอย่างที่อาตมาเตือนไว้ตั้งแต่แรก ...มันจะพลาด ทุ่มเทมากจะลำบาก ต้องรู้จักหลีก รู้จักหลบ รู้จักถอยเมื่อถึงจังหวะเวลา ไม่ใช่สู้ตะบันไป

           หลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อ ท่านเมตตาสอนว่า จงหัดเป็นนักหลบ อย่าเป็นนักรบอยู่ร่ำไป สถานการณ์ไหนรู้ว่าสู้ไม่ได้ก็ถอย ถ้าไม่รู้จักถอยน่ะ เขาเรียกว่า “โง่” คราวนี้มาว่ากันต่อสถานการณ์ประเทศชาตินี่มันเหมือนมองใต้น้ำใช่มั๊ย มองอย่างไรมันก็เหมือนไม่ค่อยจะชัดเจน แต่ยังดีว่าเมืองไทยของเราอันดับแรก บารมีขององค์ในหลวงของเรา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระโพธิสัตว์ใหญ่พระองค์นี้บารมีท่านมากล้นเหลือเกิน สามารถประคับประคองแล้วก็พยุงสถานการณ์ของประเทศชาติของเราให้ทรงตัวอยู่ได้ อันดับที่สอง สมเด็จพระมหากษัตราธิราชเจ้าของเราทั้งปวงที่เป็นพรหม เป็นเทวดา เป็นพระอยู่ข้างบน ท่านมีหน้าที่อีกอย่างหนึ่งเรียกว่า พระสยามเทวาธิราช พระสยามเทวาธิราชไม่ได้จำเพาะเจาะจงใคร

           บรรดาพระมหากษัตราธิราชเจ้าทั้งปวงในอดีตของเรา ย่อมรัก ย่อมห่วงใยในผืนแผ่นดินไทยนี้ เมื่อท่านไปเสวยสุขอยู่ข้างบนแล้วก็ปฏิบัติหน้าที่ของพระสยามเทวาธิราชด้วย ท่านก็จะช่วยประคับประคองสถานการณ์ประเทศชาติของเราอย่างสุดความสามารถ อันดับที่สาม หลวงปู่หลวงพ่อที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เมื่อถึงวาระ ถึงเวลาที่ชะตามันคับขันมาก หลายองค์ที่รู้วาระของตน เลือกเวลาทิ้งขันธ์ในตอนนั้นเพื่อขจัดปัดเป่าเหตุการณ์ไม่ดีต่าง ๆ จากร้ายให้กลายเป็นดี จากหนักให้กลายเป็นเบา ดังนั้นพวกเราอย่าได้กังวล เดี๋ยว...พรุ่งนี้เวลาเที่ยงคืนตั้งใจรับพรจากในหลวง ในหลวงแนะนำอย่างไรทำอย่างนั้น

            ในปัจจุบันนี้อาตมาอยากจะพูดว่า ต่อให้พระปฏิบัติถึง ๆ ความคล่องตัวในทิพจักขุญาณยังสู้ในหลวงเราได้ยาก กินพระราชาองค์นี้ยาก ผู้ที่ได้ทิพจักขุญาณตั้งแต่ ๗ ขวบ และใช้มาตลอดโดยไม่เคยทอดทิ้ง อีตอนนี้ ๗๓ ขึ้น ๗๔ แล้วน่ะ ใช้มา ๖๐ กว่าเกือบ ๗๐ ปี แล้วคล่องตัวขนาดไหน ปฏิบัติตามที่พระองค์ท่านบอกนะ ไม่ใช่หน้าที่ของตนก็อย่าไปขวางคนอื่นเขา ไปนั่งบนโต๊ะรีดผ้าเขารีดไม่ได้ เขาจะเอาเตารีดโขกหัวเอา ใช่ไหม? พระปฏิบัติดีอยู่ที่ไหนในหลวงท่านรู้หมด คนทำดีทำชั่วที่ไหนในหลวงท่านรู้หมด แต่ว่า ...ท่านรู้แบบพระ ถ้าไม่จำเป็น ไม่ใช่หน้าที่ ท่านไม่พูด จะมีพระราชดำรัสออกมาแต่ละทีถ้าคนมีปัญญาฟังแล้วสะดุ้ง อย่ากัดกันให้มากนัก.. กัดกันนี่ยังไม่หยาบนะจ๊ะ ถ้าทะเลากันน่ะหยาบกว่า ภาษาไทยแท้กัดกันไม่หยาบ ทำอะไรมีใครรอดพระเนตรพระกรรณไปได้บ้างล่ะ?

           พระดีมีที่ไหนพระองค์ท่านก็ดั้นด้นไปหา หลวงปู่ครับ หลวงพ่อครับ ช่วยรับภาระในพระศาสนา ช่วยสงเคราะห์ต่อประชาชนทั้งหมดด้วยนะครับกระผมขอฝากเอาไว้ ไอ้วัดไหนที่ดังอย่างเดียวแต่ไม่ดีจริงน่ะ ในหลวงไม่เคยเสด็จหรอก สังเกตดูเถอะ วัดดัง ๆ แถว ๆ ปทุมธานี ท่านก็ไม่เคยไป วัดดัง ๆ แถว ๆ สุราษฎร์ธานีท่านก็ไม่เคยไป ไอ้วัดดัง ๆ แถว ๆ นนทบุรีท่านก็ไม่เคยไป เคยเห็นมั๊ย? ทูลเชิญยังไม่เสด็จเลย ไอ้ที่ไหนที่ไม่ดีจริงท่านไม่ไปหรอก ในขณะเดียวกันหลวงปู่ หลวงพ่อแก่ ๆ อยู่กลางป่ากลางเขาในหลวงกราบถึงตักเลย

            ดังนั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือว่ากรรมฐานที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงสอนเรามา คือ ตัวมโนมยิทธิ นะ อันนี้สถานการณ์ประเทศชาติจบไปนะ เอาแค่นั้นพอ อาตมาเองก็ไม่สามารถที่จะฝืนกฏของกรรมบอกอะไรชัดเจนมากไปกว่านี้ได้ ได้แต่บอกโยมว่าให้ทำตามในหลวงแล้วกัน ยึดในหลวงเป็นหลัก ท่านบอกว่าให้ประหยัดนะ ให้รู้จักใช้ เศรษฐกิจพอเพียง ซื้อในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น ก่อนจะทำอะไรตรึกตรองให้ดี เราก็ทำตามที่พระองค์ท่านตรัสมา พ่อใหญ่ของคนทั้งประเทศ ๖๐ กว่าล้านบอกแล้ว.. ลูก ๆ ถ้าทำตามพ่อก็สบายใจ ไม่มีใครที่จะมีครอบครัวใหญ่กว่าพระองค์ท่านอีกแล้ว พ่อคนเดียวลูก ๖๐ กว่าล้านน่ะ เป็นเราเลี้ยงไหวมั๊ย? ๖ คนก็ตายแล้ว คราวนี้ลูก ๆ ถ้าไม่รัก ไม่สามัคคี ไม่เชื่อพ่อ พ่อก็คงหนักใจมาก มันมีวิธีเดียวที่จะให้พ่ออยู่กับเรานาน ๆ ก็คือ ปฏิบัติตาม เคารพรักและปฏิบัติตามที่พระองค์ท่านมีพระดำรัสตรัสสอนมา บอกอย่างไรทำอย่างนั้น พระองค์ท่านได้ทิพจักขุญาณตั้งแต่ ๗ ขวบ พระองค์ท่านไม่เคยทอดทิ้ง ซักซ้อมใช้งานมาตลอด

           พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเราสอนมโนมยิทธิมานานเหลือเกินถ้านับเวลาก็ตั้งแต่ปี ๒๕๐๘ เป็นต้นมา คนที่ได้มโนมยิทธินับเป็นแสน ๆ มีใครบ้างที่ซักซ้อมอยู่ทุกวันโดยไม่ทอดทิ้ง...หายาก..ใช่มั๊ย? อาวุธแม้เกียจคร้าน การขัด เกิดสนิมจับถนัด หนักตื้อ ถึงเวลาชักไม่ออกติดแหง็กอยู่แค่ฝักนั่นแหละ ต้องซ้อมบ่อย ๆ โดยเฉพาะหลวงพ่อท่านสอนเราให้รู้เพื่อละ ไม่ใช่รู้แล้วยึด

            ปัจจุบันนี้อาตมาเวทนาโยมเหลือเกิน หลายต่อหลายคน รู้แล้วนำไปใช้ผิด ๆ ไปดูการระลึกชาติ ไปดูย้อนอดีต แล้วก็ไปภาคภูมิใจคนนั้นเป็นพี่เรา คนนั้นเป็นน้องเรา นั่นผัวเรา เมียเรา ลูกเรา พ่อเรา แม่เรา แล้วก็กอดกันตายพร้อมกับเรา อือม์...ดูก็ดูอย่างมีปัญญาสิ ดูแบบที่เรียกว่าใช้ปัญญาประกอบ แต่ละชาติที่เราเกิดมาชาติไหนไม่ทุกข์บ้าง ลำบากยากเข็ญมาจนขนาดนี้ไม่เข็ดใช่มั๊ย? ยังไปฟื้นความสัมพันธ์ใหม่ ไปกอดคอตายรวมกันทั้งพรวนอีกใช่มั๊ย?

           ยังลงสู่อบายภูมิไม่เพียงพอใช่มั๊ย? อาตมาที่ไม่ยอมสอนเพราะสงสารโยม อยากจะบอกว่ามโนมยิทธิจริง ๆ ง่ายมาก คิดเป็นก็ใช้ได้แล้ว แต่ถ้าอาตมาสอนไปอาจจะพาโยมทั้งหลายติดเพิ่มขึ้นอีกเยอะ สงสารก็เลยไม่สอน นั่งอยู่ตรงนี้แค่ว่าใครติดขัดตรงไหนมาสอบถามอาตมาจะชี้แจงให้ หลวงพ่อท่านให้เรารู้เพื่อละ ตัวการเข้าสู่มรรคผลนิพพานจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องได้อภิญญา ไม่จำเป็นต้องได้วิชชาสอง ไม่จำเป็นต้องได้สมาบัติแปด หากแต่ท่านบอกว่าให้เคารพพระพุทธเจ้าจริง ๆ เคารพพระธรรมจริง ๆ เคารพพระสงฆ์จริง ๆ ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ คิดว่าตายเมื่อไหร่่จะไปนิพพาน มีข้อไหนล่ะที่บอกว่าต้องได้

            การปฏิบัตินะ อภิญญา แปลว่า รู้ยิ่ง อภิ-ยิ่งกว่า อัญญา คือ ความรู้ ไม่มีอะไรรู้ยิ่งกว่าการ ตัดกิเลส อดีต...มีชาติไหนที่เราไม่ทุกข์บ้าง ปัจจุบันนี้เราทุกข์อยู่ อนาคตถ้าเกิดอีกก็ทุกข์อีก เพราะฉะนั้น อดีตังสญาณ ปัจจุบันนังสญาณ อนาคตังสญาณ มันไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ปุพเพนิวาสนานุสสติญาณ ทุกชาติที่เกิดมารวยที่สุดก็รวยมาแล้ว จนที่สุดก็จนมาแล้ว มีอำนาจที่สุดก็มีมาแล้ว ด้อยวาสนาที่สุดก็เป็นมาแล้ว มีชาติไหนที่พาให้เราพ้นทุกข์ได้? จุตูปปาตญาณ คนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ถ้าเราทำดีเราได้ดีแน่นอนถ้าเราทำชั่วเราได้ชั่วแน่นอนไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ เจโตปริยญาณ รู้ใจคนอื่น ไอ้นั่นแหละตัวระยำเลย สำหรับคนใช้ผิด ดูมันต้องดูใจตัวเอง แก้ต้องแก้ที่ตัวเอง ไม่ใช่ไปเที่ยวดูคนอื่น ตำหนิ คนอื่น

            บางคนมานั่งตรงหน้าเนี่ย อธิษฐานมาตั้งแต่บ้านแล้ว เออ...ถ้าหลวงพี่แน่จริงให้บอกสิว่าผมคิดอะไร ไม่ถีบให้ก็บุญแล้วนะน่ะ อยากจะบอกกับเขาให้ชัด ๆ ว่าใจของกูยังดูไม่ไหวเลย กูจะเสียเวลาไปดูใจมึงทำไม (หัวเราะ) คราวนี้ชัดมั๊ย? ปกติไม่ค่อยพูด นะ แต่บทจะพูดแล้วไม่ค่อยยั้ง สำคัญที่สุดก็คือดูใจตัวเอง ใจของเรามีความชั่วมั๊ย ถ้ามีไล่มันออกไประมัดระวังไว้อย่าให้มันเข้ามาอีก ใจของเรามีความดีอยู่มั๊ย? ถ้าไม่มีสร้างมันขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้วทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป นี่คือตัวเจโตปริยญาณที่สำคัญที่สุด แต่ละวันดูสีดูจิตของตัวเองมันผ่องใสมั๊ย ถ้าไม่ผ่องใสเร่งทำความดีขับจิตให้ผ่องใสที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้ แล้วก็รักษามันไว้อย่าให้มันขุ่นมัวอีก

           นี่คือ เจโตปริยญาณที่แท้จริง ไม่ใช่เที่ยวไปดูคนอื่นไปรู้คนอื่น บางคนมาถึงก็ แหม...หลวงพี่พูดเหมือนตาเห็นเลย อาจารย์พูดเหมือนตาเห็นเลย หลวงพ่อพูดเหมือนตาเห็นเลย ไม่อยากจะเห็นหรอก แต่บางทีถ้าไม่ทำอย่างนั้นมันก็ไม่เชื่อ พอเห็นเสร็จก็เลิกดู ไม่รู้จะดูต่อไปทำไมมันไม่มีประโยชน์เลย เพราะว่าทั้งหมดก็ทุกข์ เขาก็ทุกข์ เราก็ทุกข์ ดูความทุกข์ของตัวเองก็ดูไม่ไหวแล้ว ดูใจของตัวเองก็ระวังไม่ไหวยังไปดูเขาอีก ใช้ให้ถูกนะ ยถากัมมุตาญาณ รู้กรรมของคนและสัตว์ ถ้าเราเชื่อที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ ตกลงญาณ ๘ ต้องใช้มั๊ย? ...เออ ไม่ต้อง อภิญญา อภิ-ยิ่งกว่า , อัญญา-ความรู้ ไม่มีอะไรรู้เกินกว่าการตัดสินกิเลส อย่างต่ำ ๆ ให้รู้ว่าพระโสดาบันมีคุณสมบัติอย่างไรแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำในคุณสมบัตินั้นไป นั่นแหละถึงจะเป็นลูกที่ดี ถึงจะเป็นลูกที่แท้จริงของหลวงพ่อ ถึงจะพูดได้อย่างเต็มคำว่าเราเป็นศิษย์วัดท่าซุง เราเป็นศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

            แล้วบุคคลที่ได้ล่ะ บุคคลที่ปฏิบัติได้ แต่ระวังให้ใช้กำลังใจเกาะพระนิพพานไว้ ถ้าเราดูใจตัวเองเป็น สังเกตใจตัวเองเป็นจะรู้ว่า ราคะ-อารมรณ์ระหว่างเพศก็ดี โทสะ-อารมรณ์โกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท ก็ดี โลภะ-อารมณ์ความโลภอยากได้ใคร่มีก็ดี โมหะ-อารมณ์ความหลงก็ดี มันเป็นคุณสมบัติของร่างกายนี้ ถ้าหากว่าจิตใจของเราไม่ไปปรุงไปแต่งกับมันด้วย มันก็ไม่สามารถทำอันตรายเราได้

            ในเมื่อเราได้มโนมยิทธิ เราได้อภิญญา เกิดราคะขึ้นมา ใช้อารมณ์ของมโนมายิทธิใช้อารมรณ์ของอภิญญาพุ่งจิตขึ้นไปกราบพระบนนิพพาน หน้าด้านเข้าไว้ กำลังของสมาธิของเราเข้มแข็งพอ ถ้ารู้ระวังตัวอยู่มันมาเราเผ่นพรวดหนีไปเลย ไปอยู่ข้างบนโน่น โกรธขึ้นมาหนีไปอยู่ข้างบน โลภขึ้นมาหนีไปอยู่ข้างบน หลงขึ้นมาหนีไปอยู่ข้างบน ไปอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้า ร่างกายเมื่อไม่มีจิตใจคอยปรุงแต่งอยู่ มันก็เหมือนกินอาหารไม่ได้ใส่เกลือไม่ได้ใส่น้ำปลาไม่ได้ใส่น้ำส้มไม่ได้ใส่น้ำตาล มันไม่มีรสไม่มีชาติมันจืดชืดไม่เป็นท่า มันเซ็งมัน ไม่มีใครไปปรุงแต่งให้อารมณ์จิตมันตั้งอยู่เดี๋ยวเดียวความชั่วเหล่านั้นมันก็สลายไป เพราะว่าความชั่วเหล่านั้นเป็นสมบัติของร่างกายไม่ใช่สมบัติของใจ

            การที่เราไปเกาะพระนิพพานเกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่บนวิมานของเรา นั่นแหละ คือการใช้มโนมยิทธิที่ถูกต้องอย่างที่หลวงพ่อต้องการ เพราะว่ามันจะไม่พลาดไปไหน อย่างไร ๆ เราก็อยู่ตรงนั้นแล้ว มันเป็นการตัดกิเลสที่อัตโนมัติที่สุด เราอยู่ตรงนั้นให้ชินกับอารมณ์ละเอียด อารมณ์สงบ อารมณ์เยือกเย็นของพระนิพพานอันนั้น พอจิตใจมันชินรับอารมณ์นั้นมาเต็มที่แล้วประคับประคองให้ดี ส่วนใหญ่ลุกปั๊บเลิกเลย ต้องรู้จักรักษาประคับประคองระมัดระวังสภาพจิตใจของเราให้ทรงตัวอยู่ในอารมณ์นั้นให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้ได้ครึ่งชั่วโมง ให้ได้หนึ่งชั่วโมง สามชั่วโมง ครึ่งวัน วันหนึ่ง สามวัน อาทิตย์หนึ่ง สิบวัน ครึ่งเดือน เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง ...ว่าไปเลย ยิ่งนานเท่าไรกิเลสยิ่งกินใจเราได้น้อยลง ๆ

           ถ้ารู้ระมัดระวังรักษาอารมณ์ใจอย่างนี้เอาไว้ได้ กดกิเลสเอาไว้อย่างนี้ตลอดเวลา ก็เหมือนกับหินที่ทับหญ้า ทับไปนาน ๆ หญ้ามันตายหมด นี่คือตัวมโนมยิทธิที่หลวงพ่อต้องการให้พวกเราปฏิบัติที่หลวงพ่อเคี่ยวเข็ญ สั่งสอนเรามากี่ปีต่อกี่ปี การใช้ที่ถูกต้องใช้กันอย่างนี้ เท่าที่อาตมาดูมาส่วนใหญ่ใช้ผิดหมด ในเมื่อใช้ผิด มันก็จะมีแต่โทษมากกว่าประโยชน์ทั้งนั้น แทนที่จะรู้เพื่อละก็รู้เพื่อหลง เพื่อยึดเพื่อติด แล้วสิ่งต่าง ๆ ที่เรารู้เป็นการรู้ในปัจุบัน อนาคตสิ่งเหล่านั้นก็เปลี่ยนแปลงตามไปตามปัจจัยเฉพาะหน้า ดังนั้น คำทำนายหลาย ๆ อย่างเมื่อถึงวาระ ถึงเวลา เมื่อมีปัจจัยเฉพาะหน้ามาให้เปลี่ยนแปลง อย่างเช่น บอกว่าเมื่อเดือนมิถุนายนมันจะดี แต่ถ้าหากว่าทั้งหมดรามือเสียจากการทำดี ปล่อยให้ความชั่วเข้ามาครอบงำ จิตใจกำลังของความชั่วมีสูงกว่าถึงวาระถึงเวลามันก็ไม่ดีไปตามนั้นดังนั้น กระทั่งความเป็นทิพย์ ความรู้ เหล่านี้ มันก็ยังไม่เที่ยง

           เราจะไปยึดถือมั่นหมายเชื่อปักมันลงไปว่าจะเป็นดั่งนั้นดั่งนี้นั้นไม่ได้ เพียงแต่เอาเป็นแนวทางไว้คอยระมัดระวังเท่านั้น รู้ ต้องรู้อย่างคนมีสติ ใช้ต้องใช้อย่างคนมีปัญญา สติกับปัญญาเป็นของคู่กัน ถ้าสติเกินปัญญา จะเป็นคนไม่กล้าทำอะไรจด ๆ จ้อง ๆ ขี้กลัว ขี้ระวังจนเกินไป ถ้าปัญญาเกินสติก็จะบุ่มบ่าม โฉ่งฉ่างจนกระทั่งพลาดได้ง่าย สติกับปัญญาจะต้องไปพร้อม ๆ กัน ไปเท่า ๆ กันธรรมะจึงจะเจริญ พูดมากมั๊ย? นาน ๆ ด่าทีว่าจนคุ้ม ปีหนึ่ง ๆ อาตมาก็มีเวลาพูดได้อย่างนี้แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ใครเก็บอะไรไปได้ก็เก็บไป รวมเวลา ๒๕-๒๖ ปีที่ผ่านมาที่อาตมามอบกายถวายชีวิตอยู่รองพระบาทของพระเดชพระคุณหลวงพ่อมา ทั้งหมดที่เก็บมาได้ไม่เคยปิดบังใคร มีอะไรให้แค่หมด เพราะว่าพ่อก็ไม่เคยหวงวิชา

            อาตมาเองเมื่อทำมาถึงระดับนี้ สิ่งที่ตัวเองมีความสุขกายสุขใจอยู่ก็อยากให้ญาติโยมมีความสุขเช่นนั้นบ้าง สิ่งที่เราทำได้ ทำอะไรทำง่าย ๆ สำเร็จลงง่าย ๆ ก็อยากให้ทุกท่านได้อย่างนั้นบ้าง ก็พยายามเคี่ยวเข็ญกัน แต่เพียงแต่ว่าอาตมามีเวลาเคี่ยวเข็ญพวกเราน้อยมาก เนื่องจากว่าภาระต่าง ๆ มันมากเหลือเกิน บวชมาแค่ ๑๐ กว่าพรรษามีแต่คนมาขอความเช่วยเหลือ มีแต่คนมาขอพึ่งพิง ทั้งพระ ทั้งฆราวาส ทั้งเอกชน ทั้งหน่วยราชการ ทั้งในและต่างประเทศ แต่อาตมาเองมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง มีพระเดชพระคุณหลวงปู่ หลวงพ่อ เป็นที่พึ่ง มีญาติโยมทั้งหลายเป็นผู้สนับสนุน

            ดังนั้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จึงสามารถสำเร็จลุล่วงลงไปได้ในทุกเรื่อง จนกระทั่งเขาถามว่าทำไมถึงทำอะไรง่าย ๆ ทำอะไรไม่เคยลำบากกับใคร อยากจะบอกว่าถ้าบารมีเต็ม บารมี คือ กำลังใจ ถ้าบารมีเต็มบุคคลจะทำอะไรได้ไม่มีคำว่ายาก อาตมาเองน่ะไม่เต็มหรอก แต่อาศัยพระท่านเป็นหลัก ขึ้นชื่อคำว่าพระแล้วคำว่าไม่เต็มนั้นไม่มี มีแต่ล้นจนเผื่อแผ่ถึงอาตมาและญาติโยมทั้งหลาย