ถาม :  อำนาจริษยา อาฆาต พยาบาท ถือตัว น้อยใจ จะแก้อย่างไร
      ตอบ :  น้อยใจมันเป็นสาขาหนึ่ง เป็นสายใยบาง ๆ ของโทสะมัน
      ถาม :  เราจะแก้ เราจะทำลายมันได้ไง ?
      ตอบ :  จริง ๆ มันตัวเดียวกัน คือประคองสติให้อยู่เฉพาะหน้า อย่าให้ไปข้างหน้า แล้วอย่าให้ไปหลังคืออดีต โดยเฉพาะตัวอดีตมันทำให้น้อยใจ มันคอยจะคิดปรุงว่าเขาไม่ดีกับเรายังงั้น ไม่ดีกับเราอย่างนี้ทั้ง ๆ ที่เราดีแสนดีแล้ว เพราะฉะนั้นมันต้องหยุดกำลังใจให้หยุดอยู่เฉพาะหน้า ถ้าหยุดอยู่เฉพาะหน้าได้มันจะไม่ไปน้อยใจให้เสียเวลา
      ถาม :  ตัวอิจฉานี่เป็นยังไงคะ ?
      ตอบ :  ตัวอิจฉาเกิดจากตัวโลภ จริง ๆ ตัวโลภ กับตัวรักนี่ตัวเดียวกัน มันอิจฉาริษยาเขาเพราะว่า กลัวว่าเราจะสู้เขาไม่ได้ในเมื่อกลัวจะดีสู้เขาไม่ได้ ก็กลัวว่าเราจะไม่ได้รับความรักจากคนอื่น กลายเป็นซะอย่างนั้น ตัวนี้ภาษาบาลีเรียก อิสสา มันเกือบจะเป็นอิจฉาอยู่แล้วล่ะ
      ถาม :  แล้วจะแก้ยังไง ?
      ตอบ :  เหมือนกันเลย เพราะอันนั้นนี่เป็นการฟุ้งซ่าน การฟุ้งซ่านไปในอารมณ์นี่ส่วนใหญ่ ถ้าไม่อดีตก็อนาคต เพราะงั้นถ้าหยุดอยู่กับปัจจุบันได้ ตัวอื่น ๆ ตายเกลี้ยง
      ถาม :  แล้วตัวพยาบาท ?
      ตอบ :  เหมือนกันหมด ตัวพยาบาทมันเป็นรากที่ฝังลึกของโทสะนะ แรก ๆ มันเป็นปฎิฆะ คือกระทบแล้วไม่พอใจ พอเราไปคิดปรุงแต่งเพิ่มเติม ก็เกิดเป็นโทสะ อาละวาดขึ้นมา พออาละวาดขึ้นมาไม่ได้อย่างใจคราวนี้เป็นไฟสุมขอน เป็นพยาบาท เก็บเอาไว้เรื่อย ๆ เดี๋ยวอกแตกตายไปเอง
              เพราะฉะนั้นทุกอย่างถ้าเราหยุดกำลังใจของเราได้ คือการหยุดความคิด ไอ้ตัวคิดนั่นก็คือ ตัวจิตสังขารการปรุงแต่งถ้าหยุดตัวนี้ลงได้ ตัวอื่นก็หยุดหมด ถ้ามันไม่มีน้ำมันมันใส่ลงไปซะอย่าง เครื่องยนต์มันก็ไปไม่รอดหรอก พอมันดับหมดระบบการทำงานอื่น ๆ มันก็ไม่ทำงาน
      ถาม :  หมายความว่า ถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว มันมีอยู่ก็หยุดมันได้ ก็จบ ?
      ตอบ :  มันก็จบแค่นั้น ก็แค่เลิกทำ พูดแล้วง่าย ๆ เลิกทำ มันก็หมด
      ถาม :  ตัวนี้มันมีกันทุกคนหรือเปล่าเจ้าคะ ?
      ตอบ :  มีทุกคน จะมากจะน้อย อยู่ที่แต่ละคน ธรรมชาตินิสัยคนไม่เหมือนกัน บางคนเกิดมาอิจฉาคนไม่เป็นเลยใช่มั้ย ? ดีทุกอย่างแต่ว่าดันไปเป็นคนประเภทราคะจริต คือรักสวยรักงาม อะไรที่เป็นของสวยของงาม สะสมไปซะทั่วบ้านเลย เป็นซะอย่างนั้น มันจะมีเด่นขึ้นมาตัวใดตัวหนึ่ง แต่มันเป็นสาขาของ รัก โลภ โกรธ หลง เท่านั้นแหละ
      ถาม :  สรุปแล้วคืออยู่กับปัจจุบัน ?
      ตอบก็อยู่กับปัจจุบันจนกระทั่งวางปัจจุบันได้ก็จบ ไม่ใช่อยู่กับปัจจุบันเฉย ๆ นะ ถ้าอยู่กับปัจจุบันเฉย ๆ ก็แปลว่ามันแค่อาศัยกินได้ตอนนี้เท่านั้น เผลอเมื่อไหร่ก็เสร็จมันอีก เพราะงั้นวางปัจจุบันไปซะ
      ถาม :  วิธีวางปัจจุบัน ทำยังไง ?
      ตอบ :  อันนี้มันละเอียดมาก เอาเป็นว่าค่อย ๆ หยุดอยู่กับปัจจุบันให้ได้ก่อน ถ้าหยุดได้เมื่อไหร่ก็จะบอกวิธีวาง ต่อหยุดมันก็ยังหยุดไม่อยู่เลย
      ถาม :  หยุดได้แล้วจะมาถามใหม่ ?
      ตอบ :  จ้า จะรอให้เวลาสิบปีถ้วน (หัวเราะ) สิบปีนี่อย่างนานที่สุดไง มันอาจประเภทเจ็ดวัน เจ็ดเดือน เจ็ดปี อะไรอย่างนี้
      ถาม :  แล้วอย่างกรณีเด็กนี่ ก็อยู่กับปัจจุบันได้ ไม่คิดถึงเรื่องเก่า ๆ
      ตอบ :  ไม่ใช่ อยู่กับปัจจุบัน ก็คือทะเลาะกับมันอย่างมีความสุข (หัวเราะ)
      ถาม :  ทีนี้เวลาอยู่คนเดียวนี่คะ ไอ้ตัวปรุงแต่งอดีต .................(ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  นั่นแสดงว่าการปฎิบัติของเรานะ เริ่มใช้ได้ในระดับหนึ่งแล้ว ถ้าเรารู้ว่าอันตรายอยู่เฉพาะหน้าเราจะหยุด มันเหมือนกับข้ามถนน รู้ว่ารถจะชนก็หยุด เดินต่อไปโดนชนแน่ แต่ว่าหลังจากที่รถผ่านไปล่ะ คราวนี้แหม ! มันท้าทาย เมื่อกี้มันจะชนเราข้ามมันซะสิบรอบคือทวนแล้วทวนอีก แสดงว่ากำลังของการปฎิบัติของเราเริ่มใช้ได้แล้ว มันเบรกได้บ้างแล้ว
              แต่หลังจากนั้นแล้ว ถ้าเก็บไปฟุ้งซ่าน มันก็จะเหลือมโนกรรมล่ะ กายกรรม วจีกรรม นี่มันเบรกแล้ว ก็เตรียมอกแตกตายได้ มโนกรรมนี่มันอยู่ ข้างใน อาละวาดยังกับเสือจะพังกรงนะ น่าพอใจแล้วให้มันเหลือแค่นั้นแหละ ต่อไปขังไว้นาน ๆ ให้มันอดข้าว แรงไม่ค่อยมี มันก็เฉาตายไปเอง
      ถาม :  กลัวจะอกแตกตายซะก่อน ?
      ตอบ :  พยายามตื้อไว้ โห ! ตอนที่มันหนัก ๆ นี่ มันเหมือนกับเสือจะพังกรงขึ้นมาให้ได้ หรือไม่ก็น้ำ มันรวมตัวกันจะทลายเขื่อนได้อยู่แล้ว เรารู้ว่าเรายันมันไม่ไหวแน่ ๆ ถ้ามาอีกนิดหนึ่ง บังเอิญบุญดี มันยังพอยันอยู่ ตอนนั้นถ้าใครเพิ่มนิดเดียวก็พังโครมเลย ไม่เป็นไร ยังใช้ได้อยู่ รู้ทันว่าเราไม่ดี ก็เก็บความไม่ดีให้อยู่กับเราอย่าให้ไหลไป ให้คนอื่นเขาเปื้อนกับเราด้วย
      ถาม :  มันยันไปยันมา แล้วย้อนไปนึกจนถึงเด็ก ๆ ที่ผ่านมา
      ตอบ :  ยังดีที่มันไม่ย้อนไปอีกชาติหนึ่ง ชาติที่ผ่านมา เรียกว่าฟุ้งซ่านก็ได้ แต่ต้องดูว่าเราย้อนไปแบบไหน ถ้าเราย้อนแบบตั้งใจระลึกชาติ หรือตั้งใจย้อนอดีต ถ้าอย่างนั้นมันไม่ใช่ฟุ้งซ่าน มันเป็นเจตนาของเราที่จะดูมันแต่ว่าดูแล้ว รู้สักแต่ว่ารู้ อย่ารับมันเข้ามาให้เป็นอันตรายกับใจ ถ้าหากว่าประเภทที่นึกย้อนไปเรื่อย ๆ อันนั้นเรียกว่าฟุ้งซ่าน
      ถาม :  เราสามารถรู้ สติตามไปเรื่อย ๆ แต่เบรกได้
      ตอบ :  ก็หยุดม้าที่หน้าผา อันตรายมี แต่ว่ายังดีที่ไม่ตายซะก่อน
      ถาม :  .........................
      ตอบ :  เดี๋ยวให้ท่องอะไรให้ขึ้นใจสักหน่อยมั้ย ?
      ถาม :  ท่องอะไรครับ ?
      ตอบ :  มันต้องท่องไว้ในใจว่า เราทำงานไม่ใช่ทำอวดใคร เราทำงานเพราะไม่ใช่ทำให้ใครยอมรับ เราทำงานเพราะว่ามันเป็นงานที่เราทำ แค่นั้นเอง จำแล้วทำให้ได้ด้วยนะ ไม่อย่างนั้นแล้วจะเหนื่อยมาก
      ถาม :  เรื่องศาลพระพรหม ?
      ตอบ :  ความหมายของศาลใช่มั้ย ? ก็จริง ๆ แล้ว ศาลพระพรหมน่ะ สำคัญอยู่ที่เดียวก็คือ เอราวัณ โรงแรมเอราวัณ ก่อสร้างขึ้นมาสารพันปัญหา จนกระทั่งหลวงสุวิชาญแพทย์ ท่านไปดูให้ ว่าไปใช้ชื่อสำคัญข้างบนเข้า ก็เลยทำให้มีปัญหาขึ้นมา คราวนี้ถามว่าจะแก้ยังไง ก็ตั้งศาล การตั้งศาลนี่ คุณหลวงท่านรู้จริง ท่านก็เชิญพรหมมาเพื่อที่เรียกว่ารักษาสถานที่นั้น กลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ไม่ใช่แต่บ้านเราต่างประเทศก็ศรัทธามาก พวกฮ่องกง ไต้หวัน มาเลย์ สิงค์โปร์
              จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เขากล้ารื้อเอราวัณ แต่ไม่กล้ารื้อศาล คนอื่นมันเห็นว่าทำแล้วดีมันก็เลยเลียนแบบ คนอื่นก็ได้แต่แบบไป เพราะว่าคนไม่มีคนรู้จริงอย่างหลวงสุวิชาญแพทย์ หรือครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้จริง ๆ มันก็ได้แค่ว่าเราเคารพท่าน แต่เรื่องที่ท่านจะช่วยเหลือสงเคราะห์เรามากมายแบบนั้งคงไม่ได้หรอก

      ถาม :  แล้วเขาทำบุญ ทำกรรมยังไง ถึงได้อธิษฐาน ขอส่วนบุญเทวดาให้ได้คะ ?
      ตอบ :  ทำบุญให้เยอะ ๆ เข้าไว้ ขยันเกิดบ่อย ๆ แล้วก็ไปอยู่ข้างบนให้มากกว่าข้างล่าง พอถึงเวลาส่วนใหญ่เพื่อนเก่าหรือไม่ก็ผู้บังคับบัญชาเก่า ขอร้องอะไรมันก็ง่าย แตถ้าไม่มีบุญเป็นตัวเสริม ท่านก็ไม่ค่อยดูหน้าเราเหมือนกัน
      ถาม :  เจ้าแม่กวนอิม ท่านเป็นใครกันแน่ ?
      ตอบ :  เกิดไม่ทัน ท่านเกิดก่อนเป็นพันปี เลยเกิดไม่ทัน
      ถาม :  ก็มีตำนานเล่าว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ว่าคนในปัจจุบันก็เรียกท่านว่าเจ้าแม่
      ตอบ :  คือว่าชาติที่ท่านมีชื่อเสียงมาก คือชาติที่ท่านเกิดเป็นองค์หญิง เมี่ยวซ่าน คราวนี้เวลาท่านบวช ท่านมีฉายาว่า กวนอิม คือผู้คอยฟัง คอยฟังในความทุกข์คนอื่น เขาก็เลยติดว่าในชาตินั้นที่ท่านมีชื่อเสียงมากที่สุด ควรให้ความเคารพนับถือมากใช่มั้ย ? ทั้งประเทศนี่เห็นตามท่านหมด เขาก็เลยถือเอาชาตินั้นเป็นสัญญลักษณ์ท่านมา
              ชาติต่อไปท่านจะเป็นใคร เขาไม่ฟังแล้ว เอาชาตินั้นเป็นหลัก สละแขนตนเองเพื่อประกอบยาให้พ่อ อย่าลืมนะ พระโพธิสัตว์ การตัดแขน ตัดขา ควักดวงตา ควักหัวใจ ถวายเป็นบูชาอะไรนี่ท่านทำเป็นปกติ แล้วพอหนัก ๆ ขึ้นมา สละลูก สละเมีย เป็นทาน สละลูกเมียเป็นทานน่ะ ยากกว่าตัดหัวตัวเองอีก
              ถ้าเป็นเราสมัยนี้ก็เอาไปเถอะ ขอให้ตูรอดไว้ก่อน ไอ้พวกกำลังใจไม่ถึง ท่านเองท่านเกิดมาพร้อมกับความดี แต่ว่าพ่อเป็นจักรพรรดิน่ะ ตีบ้านตีเมืองเขาแหลกรานไปเลย คัดค้านพ่อไม่สำเร็จ โดนไล่ไปเลยอยากบวชนัก ก็บวชได้แต่บังคับที่สำนักบวชให้ทำงานให้หนักที่สุดเท่าที่หนักได้
              คราวนี้ท่านอยู่กับความรื่นเริงเบิกบาน อยู่กับบุญน่ะจิตใจเกาะบุญอยู่ตลอด ไม่ได้สนใจว่าภายนอกเขาจะเป็นยังไง ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไป ยิ่งทำยิ่งหนัก ก็ไม่ว่าทำแค่ไหนก็ทนได้ ขอให้ได้ประพฤติพรหมจรรย์ พ่อก็เลยยัวะ สั่งให้ทหารไปเจี๋ยนซะ ปรากฏว่าท่านเองคงจะสร้างบุญเอาไว้ดี
              ตามประวัติว่าท่านตายแล้วฟื้นใหม่แล้วไปอยู่ที่เกาะฝงไหล ปฎิบัติจนกระทั่งเป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ ตรงนั้นมีบุญมีบารมีมากที่สุด ถึงวาระสุดท้ายกรรมเก่ามันตามทัน พ่อก็เลยตาบอด แล้วก็เกิดโรคร้ายขึ้นมาอะไรรักษาก็ไม่ได้ หมอก็บอกว่าต้องได้ดวงตาเหรือแขนของผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์มา ถึงจะรักษาได้ ก็ไม่รู้ว่าเจ้าแม่กวนอิมที่คนเขาศรัทธากันนักหนา ในระยะนั้นน่ะก็คือลูกตัวเอง ก็ให้มหาอำมาตย์ไปขอก็ให้มาจริง ๆ พอรักษาหาย จะไปขอบคุณ ไปถึงเพิ่งจะรู้ว่าลูกตัวเอง
      ถาม :  ..........................
      ตอบ :  เรื่องของอายุขัย มันเกิดจากกรรมที่เราทำไว้ในอดีต ถ้าปาณาติบาตน้อยก็อายุยืน ปาณาติบาตมากก็อายุสั้น หลวงพ่อท่านเคยเทศน์ทีหนึ่ง
              มีคน ๆ หนึ่ง ทำบุญทีไรก็ขอให้ตัวเองอายุยืนสองหมื่นปีมันขอสองหมื่นปี มันเอาไม่เยอะหรอก ไม่ค่อยโลภเลยทำเมื่อไรก็ขออายุยืนสองหมื่นปี อธิษฐานดัง ๆ ด้วย คนได้ยินทั้งศาลาเหมือนกันหมด อธิษฐานไป อธิษฐานมา พอถึงวันพระเขาก็อธิษฐานแบบเดิม ขากลับจากทำบุญ มันจะต้องผ่านลำประโดง ที่เขาขุดให้น้ำ มันไหลเข้าไปในไร่ในนาเข้าน่ะ เป็นคลองเล็ก ๆ มีพวกไม้ไผ่ หรือต้นหมากอะไรพาดผ่านให้เดินข้ามได้เท่านั้น
              ก็มีชายแก่คนหนึ่ง แกเดินข้ามก็ประสาคนแก่นั่นแหละ เดินไม่ถนัด ก็ตกตูมลงไปในน้ำ อีตานี่ก็รีบกระโดดลงไปช่วยลากขึ้นมาบนบกได้ ถามว่าลุงเป็นใครไม่เคยเห็นหน้า แล้วมาทางนี้ทำไม ถึงขนาดตกน้ำตกท่าเลย ตาแก่เขาบอกว่าลุงคือพระกาลเห็นเอ็งอธิษฐานอยากได้อายุยืนสองหมื่นปีมานานแล้ว วันนี้ได้โอกาสแล้วก็เลยแสดงตัวมาพบ ถ้าเอ็งอยากได้อย่างนั้นจริง ๆ ลุงช่วยให้ได้ จะเอาจริงหรือเปล่า ? เขาก็บอกว่าเอา พอเอาก็ เอาล่ะถ้าเอ็งกลับไปถึงบ้านนะ ก็เริ่มนับได้เลยล่ะอีกสองหมื่นปีเอ็งถึงจะตาย
              ตอนนี้แกก็กระดี๊กระด๊า กลับบ้านไป ปรากฏว่ามันไม่ดีใจได้ไม่นานหรอก คนรุ่นเดียวก็ตายหมด คนรุ่นลูกตาย คนรุ่นหลานตาย จนกระทั่งคนรุ่นเหลนตาย เจ้านี่ก็ยังอยู่คนเดียว ชักคลุ้มคลั่งขึ้นมา อยู่เท่าไหร่ก็ไม่เห็นตายชะที เพื่อนรุ่นเดียวกันก็ไม่เหลือแล้ว รุ่นอื่น ๆ ก็พูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว กลายเป็นปูชนียบุคคลลายครามขึ้นหิ้งไปแล้ว ก็อยากตายขึ้นมา ทำยังไงก็ไม่ตาย ฆ่าตัวตายก็ไม่ตาย ฆ่าตัวตายกี่วิธี ก็มีอันเป็นไป ให้คนมาช่วยทันแกก็เลยคิดวิธีฆ่าตัวตายแบบพิศดารขึ้นมา แกไปขึ้นต้นไม้ใหญ่ ต้นที่มันอยู่ริมน้ำลึก ๆ น่ะ แล้วเอาเชือกผูกคอตัวเอง จัดแจงเอาน้ำมันราดตัว แล้วก็ถือปืนเตรียมไว้ จุดไฟพรึ๊บเอาปืนจ่อหัว ยิงตูม พร้อม ๆ กับทิ้งตัวลงไปข้างล่าง คือกะว่ามันจะต้องตายด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่ปรากฏว่าตอนที่แกทิ้งตัวพร้อมกับ เหนี่ยวไกน่ะปืนมันพลาด จากหัวไปโดนเชือกพอดี ตกลงไปในน้ำไฟดับอีก (หัวเราะ)
              หลวงพ่อบอกว่าเรื่องนี้มีหลักฐานมา บาลีมุตตะกะ มุสาวาทวรรค วรรค ไปเปิดดูได้ เพื่อนนักเทศน์ด่ากันตรึมเลย บาลีมุตตะกะ เขาว่าอยู่นอกบาลี มุสาวาทวรรค ก็โกหกชัด ๆ เล่นเอาโยมทั้งศาลาอยากจะอายุสองหมื่นปีไปตาม ๆ กันทั้งนั้น ท่านก็เล่าของท่านหน้าตาเฉย บาลีมุตตะกะ นอกบาลี ไม่มีมาในพระไตรปิฎก มุสาวาทวรรค วรรคโกหก ฉันพูดเองจ้ะ (หัวเราะ) เอามั้ย ? สองหมื่นปี อยู่กันเหนียงยานเลย แต่ถ้าอยู่ด้วยบุญ สองหมื่นปี มันไม่นานหรอกนะ
              อย่างเช่นว่าสมัยต้นกัปนี่อายุหนึ่งแสนปีนี่ใช่มั้ย ? แล้วก็ลดลงมาเรื่อย จนกระทั่งอย่าง ของเรานี่ท้าย ๆ ก็ยังเรียกว่าท้ายนะ เพราะช่วงนี้เรียกว่า อายุร้อยปีเป็นอายุขัย สมัยพระพุทธเจ้า คราวนี้ว่าร้อยปีลบหนึ่งปี ร้อยปีลบหนึ่งปีไปเรื่อย บัดนี้ ผ่านไปสองพันห้าร้อยปี ก็ลบไปยี่สิบห้าปี อายุมนุษย์ปัจจุบันก็เจ็ดสิบห้าปีเป็นอายุขัย ใครอยู่ขาดก็แสดงว่าปาณาติบาตมาก
      ถาม :  ......................
      ตอบ :  คนตายแล้วส่วนใหญ่จะสบายนะโยม คืออาตมากล้ายืนยันว่าพ้นจากทุกข์ทรมานในปัจจุบันนี้ มันสำคัญกับตัวเราว่า ปัจจุบันนี้เราทุกข์อยู่ ถ้าเราไม่ทำความดีในอนาคตเวลาตายเราจะทุกข์อีก เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องทำให้เยอะเข้าไว้ เราทำเท่าไรเราก็ได้ก่อน แล้วหลังจากนั้นเราตั้งใจอุทิศให้ใครเขาถึงจะได้
      ถาม :  แสดงว่า ไม่จำเป็นต้องลงข้างล่างก่อน แล้วแต่
      ตอบ :  แล้วแต่จ้ะ ถ้าเราทำความดีไว้มากก็ขึ้นตรงไปเลย ถ้าทำความชั่วมากก็ตรงไปเลย ยกเว้นว่าดีชั่วก้ำกึ่งกัน ก็ต้องไปรอการตัดสินที่ตำหนักพระยายม ประเภทดีซะร้อยหนึ่ง ชั่วซะร้อยยี่สิบ หรือดีร้อยยี่สิบชั่วซะอีกร้อยหนึ่งอย่างนี้ ไปตรงนั้นเหมือนกัน
      ถาม :  แล้วอย่างหนูเอาของเล่นเขาไปทำบุญอย่างนี้เขาจะได้บุญมั้ยคะ ?
      ตอบ :  ถ้าเป็นของของเขา เขามีส่วนอยู่แล้วจ้ะ
      ถาม :  ถ้าเขาไม่เต็มใจอย่างนี้คะ ?
      ตอบ :  เขาไม่เต็มใจนี่ อันนั้นเขาไม่ยินดีกับเรา บุญก็จะลดน้อยลงไป
      ถาม :  เขาลด แต่เราลดมั้ยคะ ?
      ตอบ :  ของเรานี่กำลังใจมันล้น มันไม่ใช่ลด มันล้นตรงที่ว่ากระทั่งของที่เขาไม่เต็มใจ อุตสาห์เอาไปทำบุญ