สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนสิงหาคม ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  ….....................?
      ตอบ :  แต่ว่าวันนั้นดวงทำไมเฮงจริง ๆ พอลงมาถึงวัดครูบาชัยยะวงศ์ พอกราบหลวงปู่เสร็จก็จะออกมาเช่าวัตถุมงคลกัน ก็ไม่มีคนอยู่สักคนอีก ตามหาเจ้าหน้าที่ก็ไม่เจอ ท่านโพธิเกษมที่เคยดูแลอยู่ก็ไม่เจอ เปิดเองก็ได้วะ เปิดเองขายเองเสร็จสรรพเลย ราคาเขามีติดอยู่ เสร็จแล้วเอาสตางค์ไว้ในตู้นั้นแหละ ปิดตู้เสร็จเราก็ไป เจ้าหน้าที่มาคงงง ๆ ว่าเงินทำไมมากองอยู่ในตู้ได้ ไปที่หลวงพ่อมหามุณี ผมไปตีสามครึ่ง ก็เข้าไปสวดมนต์ไหว้พระของผมก่อน ครูบาน้อยยืนเกาะลูกกรงรออยู่ (หัวเราะ) รอเขาเปิดประตู สองเที่ยว สามเที่ยว เราก็ทำอย่างนั้น แกมัวแต่ช้าอยู่ขี้เกียจรอ เราสรงน้ำเสร็จแล้วอย่างไร ๆ ก็ไม่นอนอยู่แล้ว ก็เดินดุ่ย ๆ ไปก่อน ไปถึงก็ไปนั่งสวดมนต์อยู่ข้างใน จนตอนนหลังแกรู้ใจแล้ว ถึงเวลามาถึง “อาจารย์เข้ามาวิธีเดิมหรือครับ ?” ก็บอก “เออ” คนอื่นเขาไม่สงสัยหรอก เขาเห็นเป็นพระ เขาคิดว่าพระพักอยู่ข้างใน พระบ้าที่ไหนจะพักอยู่ข้างใน ถึงเวลาเขาไล่ออกหมด ประตูทั้ง ๔ ชั้น เพียงแต่ว่าชั้นสุดท้ายเราไม่เข้าไปเพราะตรงองค์พระนี่ของมีค่าที่เขาถวายไว้มหาศาลเลย ถ้าเราเข้าไปเจ้าหน้าที่เขาจะตกใจกัน ไปขโมยของหรือเปล่า เราก็อยู่แค่ชั้นนอก นั่งกราบนั่งไหว้สวดมนต์ไหว้พระกว่าจะเปิดเราก็เสร็จนานแล้ว พอเสร็จงานเรียบร้อยขอขมาพระเสร็จ ถึงเวลาเจ้าหน้าที่เขาเปิดเข้าไปเพื่อทำการสรงน้ำพระพักตร์ เราก็ตั้งหน้าตั้งตาถ่ายรูปได้แล้ว ไม่ต้องไปเสียเวลากราบเวลาไหว้ องค์นั้นนี่ทางพม่าเขาก็เหมือนกับที่ของเรานับถือพระแก้วมรกต ตามประวัติเขาลือกันถึงขนาดว่าสร้างตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ โดยที่พระพุทธเจ้าประทานลมหายใจให้ เขาเลยทำพิธีปรนนิบัติเหมือนอย่างกับว่าปรนนิบัติพระพุทธเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่ ถึงเวลาจะมีดนตรีปลุกแล้วก็มีการล้างหน้าแปรงฟันทำความสะอาดดิบดี คราวนี้ก็เปลี่ยนผ้าปิดทอง แล้วก็ถวายข้าวพระ แล้วก็มีดนตรีกล่อมสาธุการไปเรื่อย พอถึงเวลากลางคืนปิดประตูแล้ว ก็มีดนตรีกล่อมจนถึงสามทุ่ม เขาทำกันอย่างนั้นทุกวัน ๆ คนไปเป็นพันเป็นหมื่นอยู่ทุกวัน
              แต่จริง ๆ แล้วตามประวัติก็คือว่าสร้างมาประมาณ ๑,๖๐๐ ปี พระเจ้าอลองพญา อลงพญานี่ก็เคยมาตีไทยสมัยปลาย ๆ อยุธยา แล้วโดนปืนใหญ่ระเบิดกลับไปสวรรคต พระเจ้าอลองพญาไปตีเมืองยะไข่ได้เลยเอามาจากยะไข่ คนพม่าเขาฝัน ความหวังของเขาก็คือว่า ถ้าได้ไปเมืองไทยสักครั้งในชีวิต ต้องไปไหวพระแก้วให้ได้ ส่วนในพม่าของเขานี่เขาตั้งความหวังกันเลย ทำงานเก็บเงินกันเลย ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปไหว้พระธาตุอินทร์แขวน ไปไหว้เจดีย์ชเวดากอง ไปไหว้หลวงพ่อมหามุนีให้ได้ เหมือนยังกับว่าถ้าไม่ได้ไปก็เสียชาติเกิดไปเลย
              ส่วนเจดีย์อื่น ๆ ของเขาก็จะมีเจดีย์สำคัญรอง ๆ ลงไปอย่างเช่น เจดีย์กะบาเอ เจดีย์ซุเล พระเจดีย์โบตะเทา เมืองย่างกุ้ง พระมหาธาตุมุเตาที่หงสาวดี เจดีย์เมียะตะลูนที่มะกุย เจดีย์สแวซานดอที่เมืองแปร แล้วก็เจดีย์ซุยซีคง ที่พุกาม พวกนี้เป็นที่สำคัญรอง ๆ กันไป เขาก็พยายามไปให้ได้ในแต่ละปี เขาจะมีงานวัดไม่ตรงกัน ถ้าเขาเรียกว่าไปสิบสองงานวัด คือใช่เลยปีหนึ่งเดือนนี้ของวัดนี้ เดือนนี้ของวัดนี้ บรรดาเจดีย์ที่มีความสำคัญ ๆ วัดเขาจะจัดงานคนละเดือนกัน ไมใช่ชนกัน เพื่อเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้ไปทำบุญให้ทั่วถึง สิบสองงานวัด พวกตลาดนัดก็วิ่งกันตับแลบเลย วนไปเถอะ บางอันก็ไกลสุดหล้าฟ้าเขียวเลย อย่างหลวงพ่อผ่องต่ออู ที่อินเล โอ้โฮ...ถ้าหากว่าเราอยู่มะละแหม่งจะขึ้นไปก็หน้ามืด (หัวเราะ)
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ :  ไม่มีที่สำคัญ แถวกะฉิ่นนี่ไม่มีเลย แถวกะฉิ่นส่วนใหญ่เป็นป่าดงดิบ มีสถานที่ก็เป็นลักษณะเมืองโบราณแบบอยุธยา ของเราต้องการวัดหรือเจดีย์ที่มีพระพุทธรูปสำคัญ หรือว่าเป็นเจดีย์สำคัญที่มีบรรจุพระบราสารีริกธาตุ จริง ๆ ที่ไม่ได้ไปมีอยู่ ๒ ที่เท่านั้น คือพระพุทธรูปลอยน้ำ ๔ องค์ ผมไปแค่ ๒ องค์ คือที่ไจ๊ะคะมีก็มีองค์นหึ่ง ไจ๊โกมีองค์หนึ่ง ยังมีที่ปะเตง ปะเตงนี่มณฑลอิระวดี แล้วก็ที่ทะวาย สองที่ที่ไม่ได้ไปเพราะออกนอกเส้นทางไกลมาก เช่ารถนี่ถ้าออกนอกเส้นทางไกลเสียเวลาเป็นวัน ๆ ค่าเช่าไม่เท่าไหร่หรอก ค่าน้ำมันแพง ปะเตงบ้านหลวงตาจันทร์ พม่าเรียก ปะเตง คนไทยอ่านว่า พะสิม พม่านี่เสียงตัวหนังสือเขาไม่เหมือนกับเสียงอ่าน ร-เรือ เขาออกเสียงเป็น ย-ยักษ์ เพราะฉะนั้น...ที่เขียน ร่างกุ้ง ย่างกุ้ง จริง ๆ คือยางโกง อย่างปะเตง คนไทยเรียก พะสิม ปะโกหรือพะโค อย่างพุกาม พม่าเรียก ปะกาน ตัวหนังสือไม่เหมือนเขา เสียง จ-จาน ออกเสียงเป็น ส-เสือ เสียง ส-เสือ ออกเป็น ต-เต่า อะไรให้ยุ่งไปหมด พะสิม ถึงได้กลายเป็นปะเตง เขียน ส-เสือ ออกเป็น ต-เต่า เขียน จ-จาน ออกเสียง ส-เสือ ไปใหม่ ๆ เราประสาทจะกิน ภาษาอังกฤษแบบพม่านี่เฮงซวยจริง ๆ เลย (หัวเราะ) เขียนให้คนอื่นอ่านหัวเราะกันแทบตาย ทุกที่แหละ เขาอ่านไม่ถูกกันสักราย ถ้าไม่ไปได้ยินเขาออกเสียงจริง ๆ อย่างชเวดากอง ชะเว คือ Shwe พม่าอ่านชุ่ย คนไทยอ่านตามภาษาอังกฤษที่เขียนว่า ชเว มันไม่รู้เรื่องหรอก ชเวดากอง พม่าอ่าน ชุยดากง คือเจดีย์ทองเมืองตาก้ง
      ถาม :  แล้วมีที่อยู่ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยนานาชาติครับ ที่มีเก็บพระเขี้ยวแก้วอยู่ เป็นอย่างไรบ้างครับ ?
      ตอบ :  เท่าที่ไปดูแล้ว เขี้ยวแก้วในพม่าเป็นของปลอมเสียเกือบหมด มีอยู่อันเดียวที่หลวงพ่อโกณฑัญญะ วัดโบติ๊ตะเทา ที่เมืองเมียนชานนั่นแหละ อันนั้นแบบเดียวกับของจีนที่ส่งมา เป็นฟันกราม อันนั้นใช่ของแท้แน่นอน แต่พระคุณท่านเล่นใส่ตู้เซฟไว้เลย พอถึงเวลาไปแล้วไขให้ดู แต่ว่าหลวงพ่อโกณฑัญญะนี่เจ้าประคุณเถอะ ถ้าใครไปขอพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระธาตุอรหันต์กับท่านนะ ท่านจะซื้อถังแก้ว ไม่ใช่โหลแก้ว ใบใหญ่ ๆ เป็นโอ่งเรียงซ้อน ๆ กันเต็มไปหมดเลย บอกว่า “ถ้าใครสร้างวัดสร้างเจดีย์ต้องการบรรจุบอกผมนะครับ ผมเต็มใจถวาย” ท่านว่าอย่างนั้น ถามท่านว่า “ทำไมมาเยอะแท้ ?” ท่านให้สวดคาถาบูชา เราไปขอคาถาท่านแล้ว ก็สวดบทสวดในเจ็ดตำนาน สิบสองตำนานนั่นแหละ เจ็ดแปดบทด้วยกัน ให้สวดตามกำลังวัน
              อย่างเช่นวันอาทิตย์สวด ๖ จบ วันจันทร์สวด ๑๕ จบ อะไรอย่างนั้น เสร็จแล้วในวันที่เป็นวันเกิดของตัวเองอย่างเช่นว่า เกิดวันอาทิตย์ ถ้าตรงกับวันอาทิตย์ ให้ถวายพวกผลไม้พวกน้ำสะอาดบูชาพระพุทธเจ้า ถวายเป็นพุทธบูชาเหมือนถวายข้าวพระบ้านเรา ท่านบอกทำอย่างนี้ แล้วขยันสวดทุกวันพระธาตุจะเสด็จมา ถ้าเสด็จมาขนาดท่าน เราไม่มีปัญญาเก็บแน่เลย เป็นห้อง ๆ อย่างนี้เลย ท่านจะใส่ถังอย่างที่ว่า แต่ทำด้วยแก้วนะ คือท่านก็รู้ว่าอะไรดีอะไรควร แต่ว่าเยอะเกินไป ผอบแก้วเล็ก ไปให้ท่านใส่ไม่ได้อยู่แล้ว ต้องเป็นถัง ๆ อย่างนั้น เสร็จแล้วท่านก็เอาผ้าขาวปิดมัดปากแล้วกซ้อน ๆ กันไว้ เยอะจนบอกไม่ถูก แต่ว่าที่บอกว่าพระธาตุเขี้ยวแก้วนั่นน่ะ ไปดูมาหลายเขี้ยวแล้วเป็นงาแกะ แต่ว่าถึงเป็นงาช้างแกะก็ตาม ก็เรียกว่า อนุสติ คือเราระลึกถึงพระพุทธเจ้าใช่ไหม ก็ใช้ได้อยู่ แแต่ถามว่าของแท้ไหม ไม่ใช่หรอก ทำจากงาช้าง
      ถาม :  ….............................
      ตอบ :  ตราบใดที่ยังกลัวตาย ตราบนั้นก็ยังต้องตายอยู่ดี แล้วจะกลัวไปทำไม ทางบ้านตอนสมัยเด็ก ๆ มีหมอดูคนหนึ่งเขาเรียกหมอดูเทวดา คือแกทายอะไรนี่แม่นเป๊ะไม่มีพลาด เขาดูอาเจ็กคนหนึ่งว่าจะต้องตาย วันนั้น เดือนนั้น ปีนั้น อาเจ็กคนนั้นแกเลยคิดจะเอาชนะ “กูไม่ออกจากบ้านดูซิ จะตายไหม ?” แกก็นอนอยู่แต่ในมุ้ง กะว่าจะดื้อนอนให้หมดวันไปเลย ดูซิจะตายอย่างไร ปรากฏว่าแกตายจริง ๆ แกนอนอยู่ในมุ้งนั่นแหละ ไอ้ไก่ตัวเมียมันไข่ ไข่เสร็จแล้วกระโดดขึ้นไปบนขื่อไปกระต๊าก ไปเหยียบเอาปลายหอกที่เขาวาดพาดขื่อไว้ มันพุ่งปราดลงมาพอดี เสียบอกแกคามุ้งเลย ถ้าแกออกนอกมุ้งอาจจะไม่ตาย
              ตอนนั้นพวกแถวบ้านที่อยู่จะมีพวกอาวุธ อาวุธที่สมัยโน้นยังใช้ได้อยู่ แต่สมัยนี้ล้าสมัยแล้ว เอาไว้ล่าสัตว์บ้าง เอาไว้ป้องกันตัวบ้าง เป็นหอกปลายเป็นเหล็กด้ามเป็นไม้ปลายเลยหนัก พอแม่ไก่โดดเหยียบปลายหอกที่เขาวางพาดอยู่ มันเป็นขื่อก็มีไม้พาดอยู่สองอันสามอันอย่างนี้ พอไปเหยียบปลายมันหนักมันก็เลยถ่วงพุ่งปราดลงมาคาอกพอดี ตายจนได้แหละ หมอเขาแม่นจริง
              เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องกลัว อยู่ที่ไหนก็ตาย นั่งเครื่องบินตายดังดีได้ลงหนังสือพิมพ์ทุกคน รับประกันเลย ถ้ารถชนตายอาจจะไม่ได้ลงใช่ไหม เครื่องบินตายนี่ได้ลงแน่นอน อาตมาไปมาเยอะแล้วจ้ะ ชอบที่สุดเลยคือสนามบินสุราษฎร์ โอ้โฮ...บริการสุดยอดจริง ๆ คือที่อื่นบางครั้งดีเฉพาะภาคพื้นดินบนเครื่องไม่ดี หรือว่าดีเฉพาะบนเครื่องภาคพื้นดินไม่ดี แต่สนามบินสุราษฎร์ของเขาดีจริง ๆ ของเราเป็นพระหรือเปล่าก็ไม่รู้ พอเดินไปถึงคนหนึ่งเอากระเป๋าไป คนหนึ่งเอาตั๋วไปเช็ค อีกคนหนึ่งนิมนต์ไปนั่งรอที่ห้อง VIP เลย ที่แน่ที่สุดคือว่า เรามาเที่ยวสิบโมงกว่า ๆ ถ้ามาถึงกรุงเทพฯ จะต้องเลยเพลแน่ ๆ ปรากฎว่าเขาไปผัดก๋วยเตี๋ยว ผัดบนเครื่องให้ฝรั่งจามเล่นเพื่อเอามาถวายพระ แล้วหลังจากนั้นไม่นานกัปตันคนนั้นก็ไปเครื่องบินตก ที่ตายไปกันตั้งเยอะตั้งแยะที่สุราษฎร์ เสียดาย จำชื่อแกได้เพราะส่วนใหญ่เขาจะประกาศชื่อกัปตัน
      ถาม :  ทำอย่างไรจะสามารถรวบรวมกำลังใจกลับคืนมาได้ ?
      ตอบ :  การที่กำลังใจจะทรงตัวตั้งมั่นได้ เราต้องไม่ลืมลมหายใจเข้า-ออก จำให้แม่นเลย ที่โลเลไม่ทรงตัวเพราะว่า พอสติเราหลุดออกจากลมหายใจเมื่อไร ตัวนิวรณ์ รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ ก็จะเข้ามาแทน แล้วเจ้าพวกนี้ไม่อยากให้เราได้ดีหรอก จะพยายามดึงให้เราเป๋ตามมันไปเรื่อย ถ้าอย่างนั้นถ้าอยากจะให้กำลังใจทรงตัวตั้งมั่น จิตใจมั่นคงได้ ห้ามทิ้งตัวภาวนาเด็ดขาด ไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น
      ถาม :  เรื่องศีลเป็นเรื่องปกติใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ศีลเป็นเรื่องปกติต้องมีอยู่แล้วนะ หากว่าทั่ว ๆ ไปถ้าศีลบกพร่อง เราจะรู้สึกว่าสมาธิไม่ทรงตัว เพราะสมาธิก็คือสติ ศีลก็คือสติ สติไม่สมบูรณ์พร้อมเมื่อไรศีลบกพร่อง แล้วสติไม่สมบูรณ์พร้อมสมาธิก็ไม่ทรงตัว เพราะฉะนั้น...ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสติเหมือนกัน แต่ถ้าหากว่าคนที่ได้ทิพจักขุญาณ ได้มโนมยิทธิอันนี้ชัดมากเลย ศีลบกพร่องเมื่อไร ภาพจะมัวไปเลย บางครั้งไม่ใช่มัวเฉย ๆ มืดไม่เห็นเลยนะ สังเกตได้ ๒ วิธีด้วยกันถ้าคนไม่ได้ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ ศีลพร่องเมื่อไร สมาธิจะไม่ทรงตัวแต่ถ้าคนที่เขาทำได้ ศีลพร่องเมื่อไร ภาพก็มัว หรือไม่ก็มืดไปเลย
      ถาม :  แล้วอย่างกรณีที่เคยได้อย่างปฐมฌานอยาบ ก็สามารถที่จะสลายตัวไปได้หรือครับ ?
      ตอบ :  เรื่องของฌานโลกีย์ไม่ใช่แต่ปฐมฌานอย่างเดียว ต่อให้เป็นฌานสี่หรือว่าสมาบัติแปดก็เหมือนกัน เผลอสติเมื่อไรมันพร้อมที่จะพังทันที เพราะว่ากำลังของกิเลสนี่มันแรง มันสูง เราเคยชินกับมันเป็นแสน ๆ ชาติแล้ว เพราะฉะนั้น...กำลังมันจะเข้มแข็งมาก ถ้าเราเผลอเมื่อไร มันงัดหงายท้องเมื่อนั้นห้ามเผลอเด็ดขาด
      ถาม :  อันนี้เท่ากับต้องไปเริ่มต้นใหม่ใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ต้องเริ่มต้นใหม่ แล้วต้องใช้ความพยายามมากกว่าเดิม เหตุที่มากกว่าเดิมเพราะว่า เหมือนกับกิเลสมันรู้ตัว มันรู้ว่าถ้าปล่อยเราให้เข้าไปได้ลักษณะเดิม มันตามเรายาก เพราะฉะนั้น...มันขวางสุดฤทธิ์ละคราวนี้ จึงต้องใช้ความพยายามมากกว่าเดิม
      ถาม :  ถ้าจะไม่ให้หาย ต้องไม่ลืมลมหายใจใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ต้องรักษาอารมณ์การปฏิบัติให้ทรงตัวอยู่ตลอดให้ได้ ถ้าหากว่าไม่ตลอด ขาดการต่อเนื่องเมื่อไร กิเลสมันตี ถ้ามันตีเราพังเมื่อไร ก็เป็นอันว่าเริ่มต้นนับหนึ่งอีก ทำไปเถอะ ใหม่ ๆ ก็อย่างนี้ทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องไปท้อหรอก หรือถึงท้อก็ห้ามถอย ถอยเมื่อไรขาดทุน...!
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  คือจังหวะนี้จริง ๆ ดาบท่านจะไม่หักหรอก ถ้าเป็นดาบคู่มือจริง ๆ แต่ว่าวันนั้นน่ะ พอตั้งค่ายเสร็จแล้ว ทหารเอกของพระเจ้าตากมีอยู่ ๑๐ ท่านด้วยกัน แม่ทัพทั้ง ๑๐ ท่านก็มีพระยาพิชัยท่านด้วย ก็ไปหากระแช่กินกัน ตอนไปนี่แต่ละท่านก็เป็นพระยา มีแคร่คานหามก็นั่งคานกันไป พอไปถึงที่แล้วไล่เขากลับหมด บอก “มึงกลับเถอะ เดี๋ยวขากลับกูกลับเอง” ความจริงไม่ใช่อะไรหอก ไม่อยากให้ลูกน้องเห็นตอนเมา (หัวเราะ) เดี๋ยวเสียการปกครอง เสียผู้ใหญ่
              คราวนี้พอได้ที่ก็กลับกัน คราวนี้กลางคืนตามกฎอัยการศึกแล้ว ห้ามเปิดค่ายรับใครเด็ดขาด ไม่ว่าจะพวกเดียวกันหรือพวกของตรงข้าม เพราะกลัวจะมีการหลอกให้เปิดค่าย แล้วเข้ามาตีก็นอนอยู่กับทิมดาบทหารยามทางด้านหน้า ปรากฏว่าฟ้ายังไม่ทันจะรุ่งดีเลย ทัพพม่าโผล่พ้นทุ่งมาแล้ว แล้วจะทำอย่างไร ? มีทางเดียวก็คือคว้าดาบของทหารยามได้ก็ไปประจัญบานกับเขา แต่ว่าจริง ๆ สมัยก่อนนี้ ดาบของพวกตัวนายเขานี่ จะประเภททั้งหนาทั้งหนัก คือประการแรก ส่วนใหญ่แล้วบรรดาขุนทัพนายกอง เขาจะแข็งแรงกว่ามาก อาวุธที่ใช้ก็จะหนักกว่า ประการที่สอง ที่จำเป็นจะต้องทั้งหนาทั้งหนัก เพราะว่าพวกหนังเหนียวมีเยอะ ถ้าหวก่าฟันมันไม่เข้าจริง ๆ สันดาบทุบก็ตาย โดยเฉพาะจะมีท่าที่กระโดดข้ามแล้วตีท้ายทอยข้าศีกนั่นแหละ ดาบของตัวเองกลายเป็นดาบพลทหารก็เบา ไปปะทะกับของข้าศึกที่ทั้งหนาทั้งหนักเข้า ก็เลยเหลือยู่ครึ่งเล่ม อันนี้นึกว่าฟังนิทานโกหกแล้วกันนะโยม แต่อาตมาชอบมากเลยมันดี คือชอบดูพวกนี้
              มีอยู่เที่ยวหนึ่งไปกับหลวงพ่อ แล้วคุณปรีชา พึ่งแสง เขาเปิดวีดีโอเรื่องสงครามเก้าทัพ ก็จะมีฉากรบกัน ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าคุณสมบัติ เมทะนี จะเล่นเป็นรัชกาลที่ ๑ อาตมาเองดูไม่รู้เรื่องเลย เพราะภาพมันซ้อนกันไปทับกันมาไปหมด ซ้อนกันไปทับกันมาจนเราไม่รู้เรื่องหรอก ว่านั่นเรื่องในวีดีโอ หรือเรื่องที่เราไปเห็นเข้าอะไรอย่างนั้น มันมั่วไปหมด ระยะหลัง ๆ นี่ ถ้าหากว่ามีพวกนี้อยู่ จะเลี่ยงไม่ไปดูมัน แล้วมีอยู่เที่ยวหนึ่ง พากเด็ก ๆ ไปที่ฟาร์มจระเข้สามพราน เขามีงานแสดงช้าง ก็มียุทธหัตถี พอเขายิงปืนใหญ่ปลอม ตึงแรกเท่านั้นแหละ ภาพอื่นซ้อนหมด ดูไม่รู้เรื่องเลย (หัวเราะ)
      ถาม :  อาจารย์สืบเชื้อสายจากหลวงพ่อ ครอบครูมาเลยเป็นอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  เรื่องของครู เรื่องของอาจารย์สำคัญที่สุด เพราะว่าถ้าหากมีการครอบครู มีการถ่ายทอดตรงตามสายตามอะไรมา อย่างศิลปะของไทยเรา น่าเสียดายว่า จำนวนมากเลยที่สาบสูญไป เพราะว่าจะมีส่วนที่เป็นประเภทลูกลับไม้ตาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นวิชาก้นหีบสำหรับป้องกันตัว ถ้าไม่ใช่ลูกศิษย์ที่ไว้ใจได้จริง ๆ หรือลูกหลานตัวเองจริง ๆ ก็จะไม่ถ่ายทอดให้ ขนาดลูกหลานตัวเอง ถ้าพิจารณาความประพฤตติแล้วไม่ผ่าน เขาก็ไม่ถ่ายทอดให้ ก็เลยสาบสูญไปเยอะต่อเยอะด้วยกัน ตรงจุดนี้ถึงได้ว่า ถ้ามีการครอบครูหรือว่าฝึกสอนกันตามแนวตามสายจริง ๆ อย่างน้อย ๆ ความรู้ที่ได้มาก็จะถูกต้อง ตรงตามแบบ แต่ว่าทางสายพระยาพิชัยมีอยู่ท่านหนึ่ง สมัยรัชกาลที่ ๖ ท่านเป็นคุณหลวงกล้าณรงค์ ถ้าจำไม่ผิดนะ ท่านจะได้ดาบมาคู่หนึ่ง ซึ่งท่านก็ยืนยันว่าเป็นดาบที่พระยาพิชัยเคยใช้งาน แล้วสืบทอดกันมา ถามท่านว่า “แล้วดาบพวกด้ามทองฝักทองที่เห็นล่ะ ?” ท่านบอก “อันนั้นเป็นเครื่องยศมากกว่า ไม่ใช่ดาบใช้งาน” เราก็เออ..ใช่ มันจริง เพราะว่าสมัยก่อนจะมีสองอย่างก็คือ อาวุธสำหรับออกศึก แล้วก็จะเป็นลักษณะที่แสดงยศถาบรรดาศักดิ์ของตัวเอง
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  สายเลี้ยงประเสริฐลงมา ต้องถึงสมัยของครูแพ เลี้ยงประเสริฐนี่จะรู้จักท่านแล้ว เพราะว่าสมัยรัชกาลที่ ๖ ท่านชกมวยจะได้ตำแหน่งเป็นหมื่นมั้ง
      ถาม :  ไม่ได้เป็นครับ เพราะว่าต่อยเขมรเจียตายคนหนึ่ง
      ตอบ :  เออ...ใช่ ต่อยเจียแขกเขมรตายคาที่เลย หมัดเดียว...! โดนกระเดือกพอดี กระเดือกยุบตายเลย ถ้าเป็นสมัยนี้ก็กล่องเสียงแตก
      ถาม :  พอโดนจับไปติดตะราง ๓ วัน พอออกมาได้ ก็เลยไม่ยอมมา (หัวเราะ)
      ตอบ :  คือจริง ๆ เขาเรียกอุบัติเหตุ สมัยก่อนที่ชกกันตายก็มีเยอะ แต่ว่าอันนี้บังเอิญต่อยกับมวยนอก มวยเขมรอย่าอย่าดูถูกนะ คำว่า ”เขมร” ในสายตาเรา จะคิดว่าเขาต่ำกว่าอะไรกว่า มีเยอะเลยนะ โอ้โฮ...วิชาการเขานี่สุดยอดเลย ไม่อย่างนั้นคงไม่ก้าวหน้าถึงขนาดมีนครวัต นครธมให้เราดูหรอก
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  ดีแล้ว เพราะว่าอย่างไร ๆ จะได้สืบสายกันมา ใครเป็นใครจะได้รู้ ครูทวี ใจมีบุญ ก็ยังอยู่ อ๋อ...สืบกันลงมาสายเดียวกันหมดเลย ตอนแรกนึกว่าบังสะเล็บ คณะศรไขว้นึกว่าจะไม่ใช่ซะอีก ยังอุตส่าห์ใช่เลย บังสะเล็บนี่ทีเด็ดของแกตรงไหนรู้ไหม ? ควักลูกตา...!
              สมัยก่อนมวยคาดเชือกนิ้วใช้งานได้ โอ้โฮ...อันตรายมากเลย แล้วสมัยที่ฝึกอยู่กับครูเขตร์ เคยถามท่านว่า “ทำไมลักษณะควักลูกตา หรือว่าเตะผ่าหมาก ถึงยังทำได้อยู่ ?” เขาบอกว่า “จริง ๆ แล้วมวยไทยเขาไม่ห้าม เขาถือว่าอวัยวะแค่ไม่กี่ตารางนิ้วแค่นั้น ถ้าคุณป้องกันไม่ได้ คุณก็ไม่สมควรจะขึ้นไปสู้กับเขา” สมัยหลัง ๆ นี่ ลักษณะที่เขาทำให้เป็นกีฬาขึ้นมา คิวด่าอันไหนที่เป็นอันตรายให้ตัดออก เลยทำให้ท่าไม้ตายหลายอย่างสาบสูญไปเลย ท่ามวยอย่างฤๅษีมุดสระ ใช้ศรีษะพุ่งชนได้ ปัจจุบันนี้เขาก็ไม่ใช้ เขาถือว่าฟาวล์ ทุ่มทับจับหัก เขาถือว่ายูโด จริง ๆ มวยไทยเก่าใช้ทั้งนั้น ขอบคุณมากเลยอาจารย์ ได้อันนี้มาถือว่าทางสายของเราไม่ต้องไปค้นคว้าอีกแล้ว (หัวเราะ) เพราะว่าที่เรียนมาเป็นมวยไชยาสายใต้
              สมัยก่อนเขาดูว่ามวยสายไหน เขาดูที่คาดเชือก ก็มีคาดแค่ข้อมือ คาดครึ่งแขน คาดถึงศอกอะไรอย่างนี้ แล้วแต่สายไหนเขาดูออกเลย โดยเฉพาะท่าไหว้ครู ท่าเดียวกันเขาไม่ชกกัน ลูกศิษย์สายเดียวกัน ไหว้ครูนี่หลายอย่าง อันดับแรกบริหารร่างกาย ต่อไปที่สำคัญที่สุด ระลึกถึงคคุณครูบาอาจารย์ ถ้าตอนนั้นมีคาถาอะไร ตั้งธาตุปลุกธาตุกัน ก็ตอนนั้นแหละ ว่ากันให้อยู่ตัว แล้วอันดับต่อไป คือดูลักษณะพื้นที่ พื้นที่ที่จะใช้เป็นสนามต่อสู้ มีหลุมมีบ่อตรงไหนบ้าง ที่ควรระมัดระวัง อันดับต่อไปคือท่าไหว้ครูของคู่ต่อสู้ รัดกุมไหม มีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไรถึงจะเข้าตีได้ อันสุดท้ายนี่สำคัญที่สุด ค่ายเดียวกัน ลูกศิษย์สายเดียวกันอย่างไรเขาก็ไม่ชกกันหรอก แต่มาสมัยนี้เราดูบนเวที แหม...ให้ตาย ออกมาเท่าไรเหมือนกันหมด
      ถาม :  กรมพละยังไปบังคับฝรั่งที่มา ให้ไหว้ครูมาตรฐานเดียวกัน ผมก็ค้านเขา บอก “ต้องเทพพนมพรหมสี่หน้า” แล้วเรื่องอะไรผมต้องเทพพนมพรหมสี่หน้า
      ตอบ :  มาตรฐานไม่ได้หรอกอาจารย์ ครูใครครูมัน สายใครสายมัน ถึงได้บอกครูบอกว่า “ที่ครอบครูมานี่ แสดงว่าชัดเลย” เพราะว่าสมัยนั้นอย่างที่อาตมาเรียนนี่รุ่นหลัง ๆ เลยนะ ครูเขตร์แกเกษียณแล้วนะ ไม่ยอมสอนใครแล้ว เราไปตื๊อจนกระทั่งท่านใจอ่อน นั่นยังต้องขึ้นครูครอบครูเลย
      ถาม :  ไม่ทราบว่าที่วัดหลวงพี่สอนพวกนี้หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ไม่ได้สอนพวกนี้จ้ะ เพราะว่าถ้าเกี่ยวกับการปฏิบัติแล้ว เรื่องทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นตัวถ่วง แต่ว่าจริง ๆ แล้วเป็นเรื่องสำคัญ สำคัญมาก เพราะว่าอย่างน้อย ๆ เรากู้ชาติกู้แผ่นดินมาเป็นคนไทยอยู่ได้ทุกวันนี้ เรื่องดาบ เรื่องมวย เรื่องกระบี่ เรื่องกระบอง ก็คือหัวใจหลักเลย
              แล้วสมัยก่อนทำไมถึงมีการสอนกันในวัด เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วพวกแม่ทัพขุนศึกต่าง ๆ ถ้าหากว่าไม่ตายในสนามรบเสียก่อน จะเกษียณ ไปวาระสุดท้าย มักจะไปบวช พอไปบวชกัน เท่ากับแบกความรู้เข้าไปด้วย ในเมื่อแบกความรู้เข้าไปด้วย ลูกศิษย์ลูกหาก็ตามไปเรียนในวัด