สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกันยายน ๒๕๔๖
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  ….......................?
      ตอบ :  กวนอูไม่เท่าไรหรอก อีกรายหนึ่งสิ จูล่ง ใช่ไหม งานเดียวฟาดไปเท่าไรล่ะ ขุนพลไป ๕๐ แม่ทัพใหญ่ไป ๒ และทหารเลวนับไม่ถ้วน ท่านบรรยายไว้ว่า “โลหิตติดเกราะและอานแดงดั่งครั่ง” ไหวไหม แต่จูล่งนอนสบายหลับอยู่บนเตียงตาย อายุเจ็ดสิบกว่า และตอนตายมีนิมิตให้เห็นด้วย กิ่งสนใหญ่หน้าค่ายหักลงมา ขงเบ้งเห็นปุ๊บทิ้งจอกสุราเลย บอวก่า “เสียมือขวาไปแล้ว” นั่นน่ะ ถ้าสมาธิไม่ดีจริง สังเกตดูอย่างโจโฉ ประสาทหลอนตาย นั่นสมาธิไม่ทรงตัว ถึงเวลากรรมที่ตัวเองทำเอาไว้หนัก ก็ทำให้เห็นภาพสิ่งที่ไม่ดี อะไรต่าง ๆ มาหลอกมาหลอน ถ้าดู ๆ ตามประวัติแล้ว สั่งให้เขาฆ่ามากที่สุดก็คือ ขงเบ้งนี่แหละ โจโฉยกพลมาเท่าไรนะ เจ็ดสิบห้าหมื่น เหลือกลับไปประมาณสามสิบนาย เจ็ดแสนห้าเหลือกลับไปสามสิบ เขาบอกว่า “เหลือกำลังพลกลับไปประมาณสามสิบม้าไ ไม่รู้ว่ามีม้ามีหลังเปล่าหรือเปล่า นั่นไม่ใช่แต่คนนะ ม้าตายด้วย แล้วรองลงมาที่ดูก็จูล่งนั่นแหละ ฆ่าไว้มากกว่าเพื่อน งานเดียวที่เข้าไปช่วยอาเต๊า ว่าไปซะเท่าไรก็ไม่รู้
      ถาม :  แล้วอย่างไปวัดครับ แล้วมีพระพุทธรูปบางองค์ที่เป็นพระประธานแล้วจะมีองค์ที่อยู่หลังประธาน คนจะไม่ค่อยปิดทองกัน องค์พระก็จะต่าง ๆ เห็นหลวงพ่อเคยบอกว่า “อานิสงส์ในการซ่อมแซมพระพุทธรูปของแม่วิสาขา” ผมก็ปิดทองลงไปตรงนั้น
      ตอบ :  ก็อยู่ที่เราตัั้งใจ ถ้าหากว่าเราทำโดยการซ่อมให้ดีไปเลย ตัวนี้ได้แน่นอน แต่ว่าถ้าเราทำแล้วเราตั้งใจจะเอาอานิสงส์ตัวนัั้นก็ได้เหมือนกัน เพราะว่าของเราทำ เราก็ไม่ได้ทำดีหมดทั้งองค์ใช่ไหม
      ถาม :  เรื่องการผิดศีลดูที่เจตนา แต่ว่าเรื่องการปรามาสพระรัตนตรัยนี่เจตนาหรือไม่เจตนา ?
      ตอบ :  เจตหนาหรือไม่เจตนาก็ผิดศีล เพียงแต่ว่าถ้าผิดโดยเจตนาโทษมากกว่า แล้วผิดโดยไม่เจตนาโทษน้อย ก็เหมือนกับว่าเจตนาฆ่าคนตาย กับพลั้งมือฆ่าคนตาย อย่างคุณดร.นิด้าตีเมียตายนั่นน่ะ อันนั้นเขาถือว่าเขาพลั้งมือ เขาพลั้งมือศาลก็ตัดสินลดหย่อยผ่อนโทษให้ แล้วก็มีการประท้วงอยู่นี่ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีการฎีกาหรือเปล่า ถ้าถึงฎีกา ถ้าเกิดว่าเขาไม่ถือว่าเป็นฆาตกรรมอีก ก็คงมีศาลปกครองให้ยื่นต่อ ต้องดูเจตนา เจนา อะหัง ภิกขเว กัมมัง วะทามิ เจตนาถึงจัดเป็นกรรม กรรมที่ไม่โดยเจตนา เขาเรียกว่า “กตัตตากรรม” กรรมที่ทำโดยไม่เจตนา ถ้ากรรมหมวดอื่นยังให้ผลอยู่ ตราบใดกรรมหมวดนี้โผล่ขึ้นมาไม่ได้ เพราะผลน้อย แต่ถ้าหากว่ากรรมหมวดอื่นให้ผลจนหมดแล้ว อันนี้ก็จะให้ไป เพราะฉะนั้น...กรรรมโดยไม่เจตนาอย่าคิดว่ามันไม่ให้นะ มันเอาเหมือนกัน
      ถาม :  อย่างพระลงอุโบสถ เพื่อลงปาฏิโมกข์ ลงพระปาฏิโมกข์เพื่อเจตนาอะไรครับ ?
      ตอบ :  การลงปาฏิโมกข์ อันดับแรก พระสงฆ์มาประชุมพร้อมเพรียงกัน ถ้าครูบาอาจารย์จะให้โอวาท หรือคำสั่งสอนอะไร ก็ให้ได้ตอนนั้น ข้อที่สองถ้ามีอธิกรณ์ คือเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นในหมู่พระ ก็จะรับกันตอนนั้น เคลียร์กันตอนนั้น ข้อที่สาม คือถึงเวลาได้ทบทวนศีลของตนว่าบริสุทธิ์ครบถ้วนสมบูรณ์ไหม คนที่ยังมาใหม่จะได้ศึกษาว่าศีลของพระมีอะไไรบ้าง และตัวเองทำถูกหรือยัง
      ถาม :  แล้วเกี่ยวอะไรกับความสามัคคีครับ ?
      ตอบ :  มาอยู่พร้อมเพรียงกันทั้งหมด คนเห็นก็รู้อยู่แล้วว่ารักใคร่สามัคคี ไม่ใช่แตกแยกกันไป
      ถาม :  ….........................
      ตอบ :  อันนี้ต้องถามพระมหากปินะ ท่านเดินจงกรมอยู่ในป่า ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วนะ เดินจงกรมอยู่ในป่า อ้าว...เห็นพระจันทร์เต็มดวงขึ้น นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้วันอุโบสถ เพราะฉะนั้น...เราต้องไปลงฟังปาฏิโมกข์ สงสัยอะไรไหม ? สงสัยว่าพระจันทร์เต็มดวงขึ้นแล้ว จะไปฟังปาฏิโมกข์ทันหรือ ทัน เพราะว่าวันขึ้น ๑๕ ค่ำ พระจันทร์ขึ้น พระอาทิตย์ยังไม่ตก
      ถาม :  การที่หนังสือพิมพ์ออกข่าวพระดี พระไม่ดี มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ?
      ตอบ :  ถ้ากำลังใจของคนมั่นใจในพระรัตนตรัยอยู่แล้วก็จะมีข้อดีโดยส่วนเดียว คือส่วนที่ดีก็โมทนาด้วย ส่วนที่เสียก็เกิดธรรมสังเวชขึ้นมาในใจ รู้ว่าเกิดมาในโลกนี้เป็นทุกข์เป็นโทษอย่างนี้ ผู้ปฏิบัติต่อให้เป็นนักบวชแล้ว ก็ยังอาจจะต้องถูกมารชักนำจนกระทั่งทำในสิ่งที่ไม่ดี กลายเป็นข่าวคราวขึ้นมาได้ แต่ถ้าหากว่าทั่ว ๆ ไปสำหรับคนที่กำลังใจไม่มั่นคง อาจจะเสื่อมศรัทธา จนกระทั่งไม่มองหน้าพระ ไม่ใส่บาตรไปเลยก็มี อันนี้ต้องดูด้วยว่าคนรับเป็นอย่างไร เลือกรับให้เป็น ถ้าไปใส่อารมณ์ตามด้วยเจ๊งเลยจ๊ะ ใจปรุงแต่งมากเกินไป
      ถาม :  …...................
      ตอบ :  เราทำบุญ ได้ทำแล้วให้มีอุเบกขา คือรู้จักปล่อยวางอุเบกขาในจาคานุสติ ทำแล้ว ๆ กัน เราได้ทำแล้ว ส่วนท่านจะไปทำอย่างไรเป็นเรื่องของท่าน เป็นโทษของท่านเอง
      ถาม :  …............................
      ตอบ :  ตอนมีชีวิตอยู่ก็เห็นว่าทรัพย์สินเงินทองบันดาลความสุขให้ใช่ไหม บันดาลความสุขให้ก็สะสมมันเข้าไป ตายแล้วเพิ่งจะรู้ว่าเอาไปไม่ได้สักบาทเดียว นอกจากบุญกุศล ปริศนาโบราณที่เขาว่า “สี่คนหาม สามคนแห่ คนหนึ่งนั่งแคร่ สองคนนำทาง” จริง ๆ ก็คือตัวเรานั่นแหละ คนหนึ่งนั่งแคร่นั่นแหละ สี่คนหาม คือธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประชุมกันขึ้นมาเป็นร่างกายของเรา สามคนแห่ คือลักษณะของไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ยึดถือมั่นหมายไม่ได้ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา คนหนึ่งนั่งแคร่ คือตัวเราที่เป็นจิต สภาพร่างกายแห่ ถ้าบ้าตามมันก็เสร็จ ต้องมีสติอยู่ สองคนนำทาง คือบุญบาป ดีชั่วที่เราทำมา เพราะฉะนั้น...ตอนนี้รู้แล้ว แต่รู้ตอนนี้แก้ตัวไม่ทัน กว่าจะขึ้นมาทันก็อีกนาน ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าหมดไปอีกห้าองค์จะขึ้นมาทันไหม อย่าไปกังวลกับเรื่องคนอื่นเขาเลยจ้ะ
      ถาม :  …....................
      ตอบ :  สมัยนี้แปลก ๆ บางทีก็ไม่เข้าใจพิธีกัน ลักษณะที่โบราณเขาเรียกว่า “ไปส่งศพ” ก็เดินตามศพ แต่มีจำนวนมากเลยที่ไปเดินนำศพ เห็นพระเดินอยู่ก็ตาม จับสายสิญจน์กันเป็นแถว ก็ผิดตามกันไปเรื่อย
      ถาม :  …..................
      ตอบ :  ปัจจุบันนี้ไปงานศพทีไร เรามักจะแต่งดำไป อันนั้นความจริงผิดนะ โบราณเราจริง ๆ งานศพจะแต่งขาวไป คือว่าส่วนใหญ่แล้วคนตายจะอาวุโสมากกว่า ยกเว้นว่าเราอาวุโสมากกว่าคนตาย เราถึงแต่งดำ ถ้าเราเด็กกว่าต้องแต่งขาวไป
      ถาม :  สมัยโบราณคนตายมีพระสวด หรือไม่มีพระสวดเจ้าคะ
      ตอบ :  ส่วนใหญ่ก็จะมี ยกเว้นว่าจำเป็นจริง ๆ อย่างตายในป่าอะไรอย่างนี้ แล้วไม่สามารถที่จะทำงานศพอะไรได้ เขาก็จะเผาเอากระดูกใส่หม้อดินกลับมา มาทำพิธีกันที่บ้าน อย่างไรซะคนไทยเราก็บพิธีกรรมทางสงฆ์ขาดกันไม่ได้อยู่แล้ว ตั้งแต่เกิดยันตาย
      ถาม :  แล้วอย่างมีพระองค์เดียวนี่ล่ะคะ ?
      ตอบ :  ได้ ไม่มีปัญหาอะไร จริง ๆ แล้วสิ่งที่พระท่านสวด ท่านไม่ได้สวดให้คนตายฟัง ท่านสวดให้คนเป็นฟัง อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง ท่านบอกว่า “ตถาคตจะอุบัติขึ้นหรือไม่อุบัติขึ้นก็ดี ฐิตา วะ ธัมมัฏฐิตะตา ธัมมะนิยามะตา ธรรมะทั้งหลายก็ตั้งอยู่ของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ สังขารทั้งหลายมีสภาพไม่เที่ยงเป็นปกติ สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ธรรมะทั้งหลายตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตนเราเขาไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราไม่ได้สวดให้คนตายฟังซะหน่อย คนเป็นนั่นแหละสำคัญที่สุด
      ถาม :  เวลาคนตายพระต้องสวด ๔ องค์ ต้องการให้เป็นสังฆทานใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  อันนั้นคือส่วนสำคัญที่สุดเลย อย่าลืมว่าโบราณเราเก่งนะ เขาหลอกให้เราทำสังฆทานโดยที่เราไม่รู้ตัว เสร็จแล้วมีการทำบุญ สวดทุกวัน ก่อนจะเผาก็ต้องทำบุญทุกวัน สวดเย็นฉันเช้า คือให้คนตายเขาไปทำบุญ ๗ วัน ทำบุญ ๕๐ วัน ทำบุญ ๑๐๐ วัน อย่าลืมว่าคนตายตอนนี้นะ กว่าจะได้รับการตัดสินตามเวลาข้างล่างเขาน่ะไม่นาน แต่ข้างบนผ่านไปประมาณ ๓ เดือน เพราะฉะนั้น...ช่วงทำบุญ ๑๐๐ วัน ก็คือ ๓ เดือนกับ ๑๐ วัน อย่างไร ๆ ตั้งแต่ช่วงแรกไปถึงช่วงนั้นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ถ้าเขาโมทนาทันก็ไม่ต้องไปเสียเวลาให้ตัดสิน ไปเลยดีกว่า โบราณจริง ๆ แล้วเก่ง เพียงแต่ว่าปัจจุบันการทำบุญส่วนใหญ่เป็นบุญผสมบาป ไม่ใช่บุญแท้
              อย่างเช่นว่า ล้มวัว ล้มควาย ล้มหมู อย่างนี้ ฆ่าไก่ ฆ่าปลากันเยอะแยะ เพื่อจะนำมาจัดงานศพ ๗ วัน ๗ คืนอย่างนี้ ที่ซื้อขายอยู่ในตลาดมีเยอะแยะไป ก็ไปซื้อเขาสิ หรือไม่ถึงเวลาก็เลี้ยงเหล้าเล่นการพนันในงานศพ โอ้โฮ...บางคนนี่ประเภทตระเวณหาศพเลย แถวเมืองกาญจน์ เขามีนะ ตั้งโลงเปล่า นิมนต์พระสวดเพื่อจะเล่นการพนันโดยเฉพาะ พระเองกว่าจะรู้มันก็หลอกเล่นไปซะเยอะแล้ว มาระยะหลังถึงรู้แล้วก็ตาม มึงนิมนต์กูได้สตางค์ ไปก็ไปวะ ตำรวจก็ออกงานศพ ไปถึงเห็นโลงตั้งอยู่ ไฟประดับอยู่ เห็นรูปมีอะไรติดอยู่ ไม่รู้หรอกไอ้นั่นตายมาแปดรอบแล้ว (หัวเราะ)
      ถาม :  เมื่อก่อนนี้หลวงพ่อฤๅษีท่านเคยสอนไว้ว่า “เออ..เขาสวดศพ เขาใช้ ๔ องค์นี่เป็นการทำสังฆทาน” ก็เลยจำมาตลอดเวลาใส่บาตรก็ใส่ ๔ องค์ แต่เพื่อน ๆ เขาก็จะบอกว่าใส่ทำไมเหมือนทำกับคนตาย
      ตอบ :  ต้องการเป็นสังฆทานก็ตรงจุดนี้ จริง ๆ เลขสี่หมายความว่าครบองค์สงฆ์ แต่คราวนี้คนที่ไม่เข้าใจจะตีว่า ๔ องค์เป็นประเภทที่เรียกว่า งานศพ งานอวมงคล เพราะฉะนั้น...บางทีพระเหลือแค่สี่องค์แล้วออกบิณฑบาต โยมก็มองแปลก ๆ เหมือนกัน แทบจะไม่อยากใส่ ถ้าหากว่าไม่ได้คุ้นเคยกันจริง ๆ อันนี้เขาเรียกว่า “ถือมงคล” ไม่ใช่มงคลที่แท้จริง
      ถาม :  เรื่องนี้บอกกันยากค่ะ
      ตอบ :  ต้องค่อย ๆ มานั่งฟังกันแบบนี้ จนกว่าเราจะเข้าใจ ก็จะเปลี่ยนทัศนคติไปเอง
      ถาม :  เราก็พอเข้าใจค่ะ
      ตอบ :  คนจำนวนมากเลย ประเภทถึงเวลาก็กรวดน้ำ เอาน้ำรดมือไปเรื่อย ๆ นั่นก็เหมือนกัน เขาไม่รู้แค่คิดก็ถึงแล้ว ก็ยังเอาน้ำรดมือไปเรื่อย ๆ เราไปที่ไหนแบบเขาเป็นอย่างไรก็อย่าไปขัดเขา แต่ว่าความจริงเป็นอย่างไร เรารู้เราทำแบบของเรา อยู่ต่อหน้าเขาตามเขา อยู่ลับหลังเขา เราก็ทำแบบของเรา
      ถาม :  ทำไมอารมณ์เราถึงยังไม่มั่นคงล่ะคะ ?
      ตอบ :  เพราะว่าเรายังไม่ใช่พระอริยเจ้าสิจ๊ะ รีบเป็นซะ ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายเลยจ้ะ จ้ำไปให้ถึง ดูว่าแต่ละวันของเรา ศีลข้อไหนมีข้อบกพร่องบ้าง เรารักษาได้ด้วยตัวเอง แล้วยุคนอื่นเขาทำหรือเปล่า เห็นคนอื่นเขาทำศีลขาดแล้วยินดีหรือเปล่า ความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของเรามั่นคงแน่นแฟ้นจริงหรือเปล่า กำลังใจของเราเกาะนิพพานเป็นปกติหรือเปล่า ตรวจดูอยู่แค่นี้แหละ ตรวจมันอยู่ทุกวัน
      ถาม :  ตรวจตัวเราเอง
      ตอบ :  ดูที่ตัวแก้ที่ตัว ดูที่คนอื่นแก้ที่ตัวเองได้ที่ไหนล่ะ ยิ่งดูก็ยิ่งกระทบ
      ถาม :  ถ้ามีเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่ไม่ดีมา ถ้าเขาคลี่คลายให้ดีได้ จะทำให้อารมณ์ทั้งสองฝ่ายดีขึั้นไหมคะ ?
      ตอบ :  ก็ไม่แน่เหมือนกัน บางทีเราทำให้ดีถูกต้อง แต่มันไม่ถูกใจ พอไม่ถูกใจเดี๋ยวเขาก็จะกัดเอาอีก (หัวเราะ) จริง ๆ คือว่าส่วนใหญ่แล้วจะดี แต่ประเภทที่โบราณเขาว่า “พระโปรดไม่ขึ้น” มีเยอะ ในเมื่อโปรดไม่ขึ้นถึงเวลาเราไปโปรดเขา แถมไม่ใช่พระซะด้วย ก็มักจะได้รางวัลมา โบราณเขาพูดอะไรกินใจจัง เขาใช้คำว่า “พระโปรดไม่ขึ้น” (หัวเราะ) จริง ๆ นะ โบราณพูดนี่ไม่มีคำหยาบเลยนะ แต่ว่าเจ็บจริง ๆ เลย แล้วอีกคำหนึ่ง “ตายแล้วไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด” ถ้าสมัยนั้นหมายถึงที่ว่าลงไปอย่างชนิดที่พระพุทธเจ้าผ่านไปหลายองค์แล้วยังไม่ได้ขึ้นมาเลยอย่างนั้นน่ะ แต่สมัยนี้ของเราตายแล้วไม่อยากจะผุดจะเกิด เบื่อเหลือเกิน (หัวเราะ)
      ถาม :  …......................
      ตอบ :  สมัยก่อนตอนใหม่ ๆ หลวงตาวัชรชัย ท่านก็จะไปนั่งคัดพระทุ่งเศรษฐี รุ่น ๑๐๐ ปี หลวงปู่ปานใช่ไหม รุ่นนั้นนี่พุทธาภิเษกประมาณปี ๒๕๑๗ หลวงพ่อทำตลอดพรรษา ๓ เดือนเลย ท่านบอกว่า “พอเลิกกรรมฐานทีไร หมาหอนรับทุกทีเลย” หมามันตาดี ถึงเวลาพระหรือเทวดาเขากลับ มันก็ส่ง เสร็จแล้วถึงเวลาของเราพระใหม่นี่ ได้เงินมาทีละร้อยสองร้อย ก็ย่องไปคัดเอาองค์สวย ๆ องค์ละ ๑๐ บาท ก็ได้มา ๑๐ องค์ ๒๐ องค์ เก็บไปเรื่อย พอสมเด็จคำข้าว สมเด็จหางหมากออก เราเป็นเจ้าภาพพิมพ์พระเองด้วย เขาจะมีแม่พิมพ์อยู่ ๑๒ ตัว ของเราเป็นเจ้าภาพไปตัวหนึ่ง ตอนที่ทำตั้งใจอธิษฐานว่า “ตั้งแต่บัดนี้จนถึงตาย อย่าให้ภาพพระเลือนไปจากใจของเราเลย” เพราะว่าอานิสงส์ของการสร้างพระมหาศาลมาก แล้วนี่หลวงพ่อยังสร้างตั้ง ๕ ล้านองค์...! เราก็กะว่าขนบุญกันเลย
              เพราะฉะนั้น...ถึงเวลาพวกหลวงพี่วิรัช หลวงพี่บัญชา ถาม “เล็ก...แกเป็นเจ้าภาพอีกองค์ไหม ?” ตอนนั้นอยู่ที่วัดจะเป็นพระที่เศรษฐกิจดีที่สุด มีพอจะแข่งได้อยู่องค์เดียวคือ หลวงพี่โอ ไม่น่าเชื่อเหมือนกัน ญาติโยมเขาประเภทเห็นอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ แย่งกันทำบุญอยู่เรื่อย ในเมื่อเศรษฐกิจดี ถึงเวลาก็ทำบุญ ก็เห็นว่าเงินคล่อง งานบุญไหนที่ใช้เงินเยอะ ๆ เขาจะมาถามก่อนว่าจะทำไหม เรื่องแบบนี้มีหรือจะไม่ทำ ขอให้รู้เถอะ กระโดดใส่อยู่แล้ว เงินมีใช้ไปก็หมด แต่บุญอยู่กับตัวเรา ใครก็ปล้นไปไม่ได้หรอก (หัวเราะ)
      ถาม :  การลงฟังพระปาฏิโมกข์ ถ้าไม่ลงจะโดนอาบัติไหมครับ ?
      ตอบ :  พระอรหันต์ท่านยังไม่ให้อภัยเลย ต้องไป เพราะถ้าไม่ไป เดี๋ยวเอ๊ะ...อาจารย์ไม่มา กูไม่มาบ้าง เดี๋ยวก็ลูกศิษย์ รุ่นพี่ไม่มา กูก็ไม่มาบ้าง บรรลัยเลย ทำตามในสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ ท่านใช้คำว่า “เอื้อเฟื้อในพระวินัย” คำว่า “เอ้อเอื้อเฟื้อ” ในความหมายนี้คือ เคารพและทำตาม ถ้าใครไม่เอื้อเฟื้อในพระวินัย ท่านปรับอาบัติปาจิตตีย์ ศีลขาดเลย (หัวเราะ)
      ถาม :  จับพลังพระ ?
      ตอบ :  ช้าไปหน่อย รศ.ดร.สมพร แสงชัยกลับไปแล้ว นั่นน่ะตัวจับพลังเลยนะ แกมานี่แกอยากได้พระกริ่งพิชัยสงครามมากเลย เขาบอกว่า “จับแล้วแปล๊บขึ้นมาจะหงายหลังเอา บอกไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน” แกเลยอยากได้มาเอา เสร็จแล้วมาถึงคุณติ๊กยุให้จับพระองค์ที่ ๑๑ เอาไปซะอีกองค์
      ถาม :  …..................
      ตอบ :  ไม่ใช่รศ.ดร.สมพรจับ เขาไปให้เด็กหนุ่ม ๆ คนหนึ่งที่เชียงใหม่จับ แล้วรายนั้นสุดยอดเลย จับไม่จับเปล่า บอกได้ด้วยว่า ทำอย่างไร มีอะไรอยู่ ใครเป็นคนทำ พลังงานออกมาลักษณะไหน เขาบอกได้หมด คราวนี้พอเขาไปโดนอยู่บ่อย ๆ แล้วเขาก็มาสอบถามลักษณะเมกชัวร์ แล้วเรายันไปตรงกัน เขาเลยยิ่งเชื่อ คราวนี้พอรู้ว่าด๊อกเตอร์อาจารย์เขาจับได้ เขาก็เลยให้จับ ตกลงด๊อกเตอร์อยากได้ไปด้วย (หัวเราะ)
      ถาม :  ตอนที่ไหว้ครูนะคะ ที่บอกว่า “ถ้าเกิดพุทธาภิเษกลงไปในวัตถุมงคลอย่างไร ขอให้ร่างกายของลูกมีอานุภาพเหมือนกับวัตถุมงคลด้วย” เท่ากับร่างกายเราเป็นวัตถุมงคลไปแล้ว ?
      ตอบ :  เหมือนอย่างกับเราพกวัตถุมงคลติดตัวอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าใครทำอะไรเรานี่ ถ้าเกิดไม่ดีจริง ๆ นี่ซวยเลย เดี๋ยวถ้าเกิดเขาจับได้ เขาแตะตัวเราก็โดนช็อตเหมือนกัน คือถ้าหากว่ายิ่งศีล สมาธิ ปัญญา ของเราทรงตัวมาก อานุภาพก็ยิ่งมาก
      ถาม :  อาราธนายันต์เกราะเพชร ?
      ตอบ :  เอาเต็มที่เลย (หัวเราะ) ถึงได้ยืนยันว่าอันนี้ ๆ ที่เล่นเขาเกือบตายน่ะอันนี้ พูดง่าย ๆ ที่เราอาราธนาน่ะ สำคัญที่สุดคือยันต์เกราะเพชรคือมีอานุภาพต่อต้านไสยศาสตร์โดยตรงเลย แล้วยันต์เกราะเพชรเป็นบารมีของพระพุทธเจ้าโดยตรงเลย แล้วเราอธิษฐานขอบารมีพระพุทธเจ้าองค์ที่ท่านต่อต้านไสยศาสตร์โดยตรงเข้าไปอีก ก็ยิ่งสาหัสเข้าไปใหญ่ เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าทำไมหนักขนาดนั้น
      ถาม :  แต่มันก็แค่ถอยไป ไม่ได้หลุดไปจากตัวเขา ?
      ตอบ :  พูดง่าย ๆ ว่า อกุศลกรรมที่เขาเคยทำมีอยู่ เขาต้องโดนอย่างนั้นอยู่แล้ว ในเมื่อเขาต้องโดนอย่างนั้นอยู่แล้ว ถึงเราแก้ได้เลย ต่อไปเขาก็โดนอีก มีอยู่รายหนึ่งคือป้าเจือ ป้าเจือแกเป็นพี่สาวของป้าดีเจ้าของบ้านนี่ แกโดนไสยศาสตร์มาจนกระทั่งใกล้ตาย ถึงจะพ้น นั่นแหละภรรยาน้อยเขาฝาก โดนเข้าหนัก คราวนี้แกมาที่นี่แล้วได้เทียนที่เข้าพิธีไป เทียนที่จุดรอบ ๆ เวลาพุทธาภิเษกพระ เทียนสัตตบริภัณฑ์นั่นแหละ ในเมื่อได้ไปแล้ว แกก็เอาไปจุดแล้วก็นั่งสมาธิ พอนั่งสมาธิ อยู่ ๆ แกได้ยินเสียงเทียนเปรี๊ยะ เหมือนอย่างกับระเบิดแล้วก็ตกใจ เหงื่อโทรมตัวเลย แต่ปรากฏว่าพอสังเกตุดูดี ๆ ไม่ใช่เหงื่อ เป็นน้ำมัน โทรมตัวชนิดนองพื้นเลยนะ แกบอกผ้าชุดนั้นแกต้องทิ้งไปเลยนะ นั่นแหละหลังจากนั้นคนก็ทักว่าป้าเจือเป็นอย่างไร ผ่องผิดปกติ ขาวเชียวนะ ก่อนหน้านี้แกดำดูไม่ได้เลย เพราะแกโดน ไอ้นั่นน่ะโดนน้ำมันพราย นั่นแหละลองคิดดูสิ นั่นน่ะตัวกรรม แกทำเอาไว้ โอ้โฮ...ระยะเวลามันยาวนานเหลือเกิน หลังจากแกดีได้ไม่นาน แกก็ตาย รู้อย่างนี้ให้แกทรมานต่อไปดีกว่า (หัวเราะ) ดีได้ไม่กี่ปีก็ตาย ช่วงที่โดนอยู่แกดำดูไม่ได้จริง ๆ เลย
      ถาม :  คนที่นับถือพระ เขายังทำได้เลยค่ะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่คนที่นับถือพระเขายังทำได้ พระเขายังทำได้เลย (หัวเราะ) อาตมายังไม่รอดเลย ถ้าเขาจะทำ
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  เป็นได้ทุกขั้นตอนจ้ะ ทันทีที่จิตเป็นสมาธินี่จะว่างจากรัก โลภ โกรธ หลงชั่วคราว คราวนี้จิตที่เป็นสมาธิ ไม่ต้องอัปปนาสมาธิหรอก เลยอุปจารสมาธิมาหน่อยหนึ่ง จริง ๆ หลวงพ่อเคยเรียกว่า “อุปจารฌาน” โอเคแล้ว รัก โลภ โกรธ หลง ตอนนั้นกินเราไม่ได้แล้ว นิวรณ์ต้องถอยห่างออกไป แล้วยิ่งถ้าเราได้ปฐมฌาน ฌานสอง ฌานสาม ฌานสี่ สมาบัติแปดอะไรขึ้นไปอีก
              ฉะนั้น...ความว่างของแต่ละขั้นตอนเกิดจากสภาพจิตมีกำลังพอจะกดกิเลสลงได้ เพราะฉะนั้น...ถ้าเราจะไปบอกว่า สูญตาอนัตตา ในความหมายของเขามันว่างอย่างไร ต้องดูว่าคนทำเขาทำได้อย่างไร ถ้าทำได้อย่างพระอรหันต์ท่านละก็โอเค...ว่างจริง ๆ สูญจริง ๆ เลย แต่ถ้าหากว่าทำได้แค่ของท่าน ก็ต้องดูว่าท่านทำได้แค่ขั้นไหน
      ถาม :  …................
      ตอบ :  คนที่เกิดเป็นแม่เป็นลูกเป็นอะไรกัน เพราะกรรมในอดีตเนื่องกันมาทั้งดีทั้งชั่วต้องมีเนื่องถึงกัน ถึงต้องมาเกิดร่วมกัน เพราะฉะนั้น...ถ้าตราบใดที่เรายังอยู่ บอกแม่เลยว่า อย่าหวังเลยว่าจะหมดกรรมกัน ถ้าเราไม่ตายเสียก่อน หรือแม่ไม่ตายเสียก่อนก็ยังมีไปเรื่อย แล้วถ้าหากว่ายังไม่เข้าถึงที่สุด ก็ข้ามชาติไปอีก
      ถาม :  การทำหน้าที่สามีภรรยา เราไม่อยากทำแล้ว เราควรจะบอกกันตรง ๆ หรือว่าอย่างไรคะ ?
      ตอบ :  บอกตรง ๆ ก็ได้นี่ บอกอย่างนี้ไป “ถ้าหากว่าฉันไม่อยากทำหน้าที่ แล้วเธอยังอยากอยู่ เธอไปหาคนอื่นก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะเป็นคนขอให้” (หัวเราะ)
      ถาม :  กลัวจะเป็นปัญหาครอบครัว ?
      ตอบ :  ก็คงจะเป็นนะ แต่คิดว่าระดับนี้แล้ว เขาน่าจะเข้าใจ
      ถาม :  …...........
      ตอบ :  อ่านแบบบาลี อ่านว่า พระมหากัสสะปะ อ่านแบบไทย พระมหากัสสป ถูกทั้งคู่ องค์เดียวกันจ้ะ บาลีท่านเรียก กัสสะปะ หรือ กัสสะโป อันเดียวกัน ถ้าไทยเขาเรียก พระมหากัสสป ง่ายดี ของเราออกตัวสะกดไปเลย แต่บาลีจะลงอะ
      ถาม :  หอยที่มีข่าวว่ามีรูปเจ้าแม่กวนอิม จริงหรือเท็จคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ เขาทำขึ้นจริง ๆ เขาทำขายมาตั้งนานเนกาเลแล้ว ต้องบอกพวกเห็นน้อยประหลาดมาก ไม่เคยเห็นแล้วก็คิดว่ามันแปลก เขาทำขึ้นขายมานานแล้วจ้ะ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย แค่เอาพลาสติกบางเฉียบที่เป็นรูปอย่างนั้นใส่เข้าไป แล้วหอยมันก็จะเคลือบมุกให้ ที่เขาทำมุกเทียม เ ขาก็ทำลักษณะนี้ ต้องการรูปร่างลักษณะไหน ก็สอดไส้ลักษณะนั้นเข้าไป เดี๋ยวหอยมันก็เคลือบให้ เขาจะเสียบเข้าไปในตัวหอย จะให้อยู่ตรงไหนก็ได้ เสร็จแล้วถึงเวลาหอยมันระคายเคืองขึ้นมา มันจะสร้างมุกขึ้นมาเคลือบให้ลื่น มันจะได้ไม่ระคาย เขาทำขายมานานแล้วจ้ะ
      ถาม :  นึกว่าเขาเอาเปลือกหอยมาเปิดแล้วเอารูปใส่
      ตอบ :  ลักษณะนั้นและจ้ะ คือเขาจะเปิดขึ้นมา แล้วก็เสียบเข้าไปตรงไหน แต่ถ้าหากว่าเราใส่เข้าไปในเนื้อเยื่อของมันโดยตรง บางทีมันคายทิ้งได้
      ถาม :  หอยเป็น ๆ ใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  หอยเป็น ๆ จ้ะ
      ถาม :  นึกว่าเอาหอยตายแล้วมีแต่เปลือก แล้วใส่ลงไป
      ตอบ :  คุณหญิงดูที่เขาเรียก มุกเลี้ยง นั่นแหละเขาทำอย่างนั้น คือหอยจริง ๆ เป็น ๆ นี่แหละ ไม่อย่างนั้นมันเคลือบไม่ได้
      ถาม :  แสดงว่าคนทำเขาก็อดทนเหมือนกันนะคะ ?
      ตอบ :  คือต้องรอกันเป็นปี ๆ
      ถาม :  สร้างอภินิหารเหมือนกันนะคะ ?
      ตอบ :  คือเขาเห็นว่ารูปที่คนเคารพ ทำมามันขายได้อยู่แล้ว เขาก็เลยทำ เขาทำมาขายนานแล้วจ้ะ ไม่ใช่เพิ่งเริ่มทำ คราวนี้ของเราพอไม่เห็นรอยต่อก็ไปเหมาว่าเป็นธรรมชาติ ก็จะไม่เป็นธรรมชาติได้อย่างไร ก็หอยมันเคลือบเอง
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ :  ก็อยู่ที่เรา อยากทำบุญอันไหนก็ทำไป อะไรที่เราทำเป็นบุญได้ทั้งนั้นแหละ ไม่มีเสียหรอก จำหลักการทำบุญไว้แล้วกันว่า “เจตนาบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์” มีผลเต็มร้อยส่วน และที่สำคัญก็คืออย่าให้ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อน