ถาม:  ทำไมของนี้จะต้องมีคนเฝ้าด้วยครับ ?
      ตอบ :  ก็ให้เป็นสมบัติของสงฆ์แล้ว พอกลายเป็นสมบัติของสงฆ์ เทวดาก็ต้องรักษา แหม...ตอบทีใจฝ่อเลย ดี...เขากำลังหาคนเฝ้าอยู่...!
      ถาม :  …..............................
      ตอบ :  หลวงพ่อวิชัย วันที่หลวงพ่อมรณภาพ ทั้ง ๆ ที่ท่านอยู่ยันเชียงรายนะ ท่านมาถึงก่อนใครเพื่อนเลย นี่หมายถึงบรรดาประเภทพระเล็ก พระน้อย เพราะว่าถ้าเปรียบกับบรรดาซุปเปอร์บิ๊กที่ไปแล้ว หลวงพ่อวิชัยก็คือพระครูเกษมวรกิจ ก็เท่ากับเป็นพระกระจิ๋วหนึ่ง แต่คราวนี้ท่านกระจิ๋วแค่ยศนะ แต่การปฏิบัติของท่านมันยิ่งใหญ่ ท่านบอกว่าอย่างไรรู้ไหม กำลังเดินจงกรมอยู่ข้างเจดีย์ หลวงพ่อไปยืนตรงหน้าเลย บอกว่า “เฮ้ย...ข้าตายแล้วโว้ย จะไปก็ไปนะ” ก็ยังแปลกใจ ทำไมท่านมาเร็วแท้ ขนาดอยู่ยันเชียงราย น่าจะเป็นอย่างนั้นเนอะ “ข้าตายแล้ว อยากไปก็ไป”
      ถาม :  “หมาเยี่ยมหน้าต่าง” เป็นอย่างไรคะ ?
      ตอบหมาเยี่ยมหน้าต่าง ก็ลักษณะที่หมาเข้าได้ ขโมยเข้าได้สบายจ้ะ หมาไม่ได้สูงอะไรนี่ อย่างเก่งมันก้าวขึ้นไปก็ไม่เกินเมตรหนึ่งกระมัง โบราณท่านบอกว่า “บ้านใกล้วัด ไม้ปัดหลังคา หมาเยี่ยมหน้าต่าง เป็นกาลกิณี” บ้านใกล้วัดนี่ เดี๋ยวพระอยู่ไม่เป็นสุขหรอก ลูกสาวชาวบ้านโป๊ให้เห็นหน่อยก็บรรลัยแล้ว และอีกอย่างหนึ่ง ญาติโยมที่ใกล้วัดนี่ มักจะใกล้ชิดสนิทสนมกับพระมากเกิน จนกระทั่งกลายเป็นว่าไม่เป็นไร พอไม่เป็นไรเดี๋ยวก็เผลอใช้พระบ้าง เอาของสงฆ์ไปโดยคิดว่าไม่เป็นไรบ้าง โทษมันหนัก
              ส่วนไม้ปัดหลังคานี่ มันจะไม่ปัดเฉย ๆ ต้นมันใกล้ขนาดนั้น ถ้ากิ่งมันหัก หรือไม้ล้มขึ้นมาบ้านจะพัง โบราณเขาถึงได้บอกว่า “บ้านใกล้วัด ไม้ปัดหลังคา หมาเยี่ยมหน้าต่าง เป็นกาลกิณี” ไอ้หน้าต่างหมาโผล่ได้นี่ ขโมยเข้าสบายอยู่แล้ว
      ถาม :  อย่างการที่พระมอบ พระให้ หรือมอบของให้นี่ จะเป็นโทษให้เราติดหนี้สงฆ์ไหมครับ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าท่านให้เป็นที่ระลึกในลักษณะการทำบุญ ของอะไรก็ตามไม่เป็นการติดหนี้สงฆ์เพราะว่าเป็นลหุภัณฑ์ ลหุภัณฑ์ ท่านอนุญาตให้ประเภทที่เรียกว่า พระแจกจ่ายให้กับผู้อื่นได้ แต่ถ้าเป็นครุภัณฑ์ ของใหญ่ของหนัก อย่างเช่น พระพุทธรูปก็ดี เสาสำหรับทำวัดก็ดี หรือเครื่องใช้ไม้สอยสำหรับซ่อมวัดก็ดี ห้ามแจก ถ้าอย่างนั้นเป็นหนี้สงฆ์แน่ ๆ เพราะว่าพระวินัยห้ามไว้เลย ไอ้อย่างนี้นี่เขาทำเจตนา เขาบอกแต่แรกแล้วว่าทำมาเพื่อแจก
      ถาม :  จี้กง คือใครคะ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าจี้กงจริง ๆ ดูถูกท่านไม่ได้เลยนะ ประเทศไทยของเราอย่างหลวงพ่อขี้วัวนี่พระจี้กงชัด ๆ เลย หลวงพ่อขี้วัวนี่สมัยหลวงพ่อท่านนะ วิ่งคึก ๆ อยู่กลางทุ่งเล่นกับเด็กน่ะ นุ่งสบงตัวหนึ่ง อีกผืนหนึ่งเคียนหัวไว้ จีวรลากหลุดลุ่ยไปเลย วิ่งเล่นกับเด็กเลี้ยงควายอยู่ พอหลวงพ่อได้ยินปุ๊บ รู้เลยความประพฤติประเภทนี้ ต้องการปิดบังจริยาตัวเอง พอชาวบ้านเล่าให้ฟังว่ามีพระแปลก ๆ องค์หนึ่ง ขออภัย เขาใช้คำว่า บ้า ๆ บอ ๆ วิ่งเล่นกับเด็กเลี้ยงควาย พอได้ยินปั๊บ หลวงพ่อเข้าใจเลยว่า จะต้องเป็นพระดีที่ปิดจริยาตัวเอง ก็เลยจุดธูปปักกลางแจ้ง อธิษฐานว่า “ถ้าท่านเป็นพระดี พรุ่งนี้ให้มา จะได้เลี้ยงเช้า” ท่านบอก “ฟ้ายังไม่ทันจะสว่างดีเลย เสียงโว๊ย ๆ อยู่หน้าประตู” “เฮ้ย...นักเลงดี ใครท้ากูวะ...!” หลวงพ่อก็กราบ ๆ บอกว่า “หลวงพ่อเลิกบ้าเถอะครับ ไอ้คนบ้าจริง ๆ อาการมันไม่หนักเท่านี้” “อ้าว...คุณรู้หรือ ?” “รู้ครับ” “ถ้ารู้กูแกล้งบ้า หายบ้าก็ได้วะ” ลดจีวรขึ้นมาครอง ท่านบอกว่า “ไอ้ที่ประเภทกระดำกระด่าง เหมือนกับไม่ได้อาบน้ำมาเป็นปีนั่นน่ะ อยู่ ๆ กลายเป็นผ่องใสจนกระทั่งนึกไม่ถึงน่ะ” แล้วท่านก็ให้ญาติโยมเอาอาหารมาเลี้ยงเช้า ตามที่หลวงพ่อท่านบอกไว้ตั้งแต่ตอนเย็น ท่านก็โอภาปราศรัยอะไรดีทุกอย่าง จนกระทั่งฉันเช้าเสร็จ ญาติโยมขอของดีเป็นที่ระลึกบ้าง ท่านบอกว่า “เออ...ถ้วยจานที่พวกมึงเอาข้าวเอาแกงมานั่นแหละ ล้างสะอาดแล้วเอามา” สมัยก่อนใช้ชามฝา เป็นชามมีฝาปิด พอส่งให้ท่าน ท่านก็ตักในย่ามของท่าน ขี้วัวเหลว ๆ เลย ปิดฝาส่งให้ “อ้าว...เอาไป” ชาวบ้านเห็นตอนแรกก็ผะอืดผะอมใช่หม มีคนหนึ่งมันก็เปิดดู พอเปิดออกมากลายเป็นขี้ผึ้ง บอกว่า “หอมกรุ่นเลย อย่างกับเพิ่งหุงเสร็จใหม่ ๆ อย่างนั้น” เสร็จแล้วหลวงพ่อท่านก็กราบบอกว่า “ในเมื่อพระเดชพระคุณให้เขารู้อย่างนี้แล้ว ต่อไปจะทำอย่างไรครับ ?” ท่านบอกว่า “คงต้องไปที่อื่นต่อ อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว คนมันกวนตายเลย” ลักษณะนั้นท่านปิดจริยาตัวเอง เพราะว่างานอย่างอื่นท่านไม่มีแล้ว ในเมื่องานอย่างอื่นไม่มีแล้ว ถ้าไปอยู่ร่วมกับคนอื่นเขา พระทั้งหลายเหล่านี้เขาเรียกว่า พระเปิด พระเปิดนี่จะเหลือแต่กิริยา มายาไม่มี ในเมื่อเหลือแต่กิริยา การแสดงออกของท่านนี่บริสุทธิ์เกินไป คนจะรับไม่ได้ ไปตำหนิท่านเข้าแล้วจะเกิดโทษท่านก็เลยปิดจริยาตัวเองซะ ในเมื่อตรงนี้รู้ก็ไปหาที่อื่นต่อ
              คราวนี้พระจี้กงก็สไตล์เดียวกัน แต่อันนี้ไม่ยืนยันนะ ถ้าหลวงพ่อขี้วัวนี่ยืนยันว่าเป็นพระอรหันต์แน่ แต่พระจี้กงนี่ไม่ยืนยันว่าท่านเป็นอะไร เพราะว่าในความหมายของจีนเขา อย่างคำว่า “เซียน” เขียนของจีน เซียนทั้งแปดนี่ คำว่า เซียน เป็นได้ทั้งพระอริยเจ้า และเป็นได้ทั้งอภิญญาโลกีย์ วัดได้จากเซียนกระบี่ ลื่อทงปิน ปรมาจารย์ลัทธิเต๋าน่ะ อันนั้นเที่ยวซ่องเป็นปกติ แต่ว่าพระอริยเจ้าทุกท่านจัดว่าเป็นเซียน ฟังให้ดี ๆ นะ เซียนทุกท่านไม่แน่ว่าจะเป็นพระอริยเจ้า แต่ว่าพระอริยเจ้าทุกองค์จัดเป็นเซียนได้
              คราวนี้ถ้าหากว่าในสไตล์นั้นก็ไม่กล้ายืนยัน เพราะไม่ได้พยากรณ์มรรคผลใคร แต่ว่าถ้าเป็นพระระดับนั้นแล้ว จะต้องมีความดีอยู่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ปิดตัวเองขนาดนั้น คราวนี้สไตล์นี้เหมือนหลวงพ่อขี้วัว อันนี้สไตล์เหมือนนะ
      ถาม :  แล้วประเภทถูขี้ไคล แล้วปั้นเป็นควาย ?
      ตอบ :  ไอ้นั่นน่ะหนังมันสร้าง เรื่องจริงไม่รู้ว่าท่านทำอย่างไรบ้าง แต่ว่าไอ้ที่ปัจจุบันนี้ให้ระวังเอาไว้อย่างหนึ่ง พวกเรายังมีจุดบกพร่องอยู่ตรงถือมงคลตื่นข่าว ได้ยินว่าอะไรดีที่ไหน ก็แห่ไปตรงนั้น ลักษณะนี้แสดงว่า เรายังขาดความมั่นคงในพระรัตนตรัย ถ้าเรามีความมั่นคงในพระรัตนตรัย มีความเชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ มันไม่ต้องแห่ไปหาใครแล้ว
      ถาม :  เขาชวน เขาตื้อให้ไปรับธรรมะ (ฟังไม่ชัด) ?
      ตอบ :  เสร็จแล้วถามว่าเป็นพระจริงไหม ? อย่างเก่งก็มาลักษณะร่างทรง ถ้ามาลักษณะร่างทรงนี่ โอกาสพลาดมีเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าร่างทรงมักจะอ้างของสูง เพื่อให้เลื่อมใสเป็นเรื่องปกติ หลวงพ่อเคยบอวก่า ครั้งหนึ่งตอนท่านยังมีชีวิตอยู่ “เฮ้ยเล็ก...ข้ายังไม่ทันจะตาย สำนักทรงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ มีหกสิบกว่าสำนักแล้วว่ะ” ยังไม่ทันตายเลย มันทรงแล้วนะ
      ถาม :  เราก็ไม่ได้นึกถึงท่าน เพื่อนก็ชวนไปกราบอยู่นั่นแหละ ?
      ตอบ :  ก็บอกแล้วว่ามันดี แต่คราวนี้มันดีจริงหรือเปล่า มันดีของเขาหรือมันดีของเรา หรือว่ามันดีของพระพุทธเจ้า จำมงคลสูตรได้ไหมล่ะ มนุษย์กับเทวดาเถียงกันมาไม่รู้กี่ปีต่อปี ว่าอะไรเป็นมงคลที่แท้จริง จนกระทั่งไปขอพระพุทธเจ้า ท่านก็เริ่มไล่ให้ฟัง ๓๘ อย่าง “อเสวนา จ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวนา” อย่าคบคนพาลนะ ให้คบแต่บัณฑิต บูชาบุคคลที่ควรบูชา ไล่ตั้งแต่ระดับปกติสูงขึ้นไปจนกระทั่งถึงท้ายสุดน่ะ “ตะโป จะ พรัหมะจะริยัญจะ อะริยะสัจจานะ ทัสสะนัง นิพพานะสัจฉิกิริยายะ” โอ้โฮ...เรียบร้อยเลย “อริยะสัจจานะ ทัสสะนัง” เห็นอริยสัจ “นิพพานะ สัจฉิกิริยา” ทำพระนิพพานให้แจ้ง จะเหลืออะไร ก็เหลือพระอรหันต์เท่านั้นละสิ อะโสกัง เป็นผู้ไม่เศร้าโศกแล้ว วิระชัง หมดจดปราศจากธุลี เขมัง เป็นผู้เกษมตลอดกาล ไม่ใช่พระอรหันต์ก็ไม่ใช่แล้ว ท่านไล่จากต่ำสุดยันไปสูงสุดให้ฟัง ถึงได้ยืนยันกันว่า สิ่งนี้ถึงจะเป็นมงคลที่แท้จริง คราวนี้ถึงได้บอกว่า “ดีน่ะ มันดีของใคร มันดีของเขา หรือว่ามันดีของเรา หรือมันดีของพระพุทธเจ้า”
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  ถ้างานท่านไม่มีแล้ว อยู่ไปจะเป็นโทษกับคนอื่นเขามาก บอกแล้วว่า “ท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นพระเปิด” ในเมื่อเป็นพระเปิด ท่านเหลือแต่กิริยา แต่คนจะไปตำหนิท่านว่าไม่งาม อย่างหลวงพ่อจ้อยนี่ แบกไหน้ำตาลเมา เมาแอ่นอยู่ทั้งวัดเลย เสร็จแล้วสังฆาธิการไปสอบสวนท่าน โดนอธิกรณ์ว่า กินเหล้าทุกวันจะไปจับท่านสึก ท่านเองท่านก็จัดแจงเทจากไหมาให้ “เอ้า...พระเดชพระคุณ นิมนต์ครับ น้ำชา” ก็ยกดู อ้าว...น้ำชาจริง ๆ ก็ซดเลย แล้วก็ถามว่า “มีธุระอะไรครับ ?” “เขากล่าวหาว่าท่านฉันสุราเป็นอาจิณต้องอาบัติ เป็นโลกะวัชชะ โลกติเตียน” ถ้าหากว่าสอบสวนแล้วเป็นความจริง ท่านจะต้องโดนจับสึก หลวงพ่อจ้อยบอกว่า “ถ้าผมสึก พระคุณสองท่านก็ต้องสึกด้วย” ถามว่า “ทำไม ?” “ก็คุณซดเข้าไปเต็ม ๆ น่ะ” หยิบแก้วขึ้นมาดู เหล้าทั้งนั้นเลย แต่เมื่อกี้กินเข้าไปเป็นน้ำชา กราบก้นโด่งไปเลย รู้แล้วว่าหลวงพ่อจ้อยเป็นพระแบบไหน กลับเถอะ เอาอย่างนั้นไหม คือการปิดจริยาของท่าน ท่านปิดไม่เหมือนกัน อย่างหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ทางด้านนครปฐม บ้านอาตมาเอง วัน ๆ ก็ไล่ควายไถนา เฮ้ย ๆ อยู่กลางนาโน่น มันมีที่ ๆ เขาถวายวัด เขาเรียกที่กัลปนาผล เป็นที่พระหาประโยชน์โภชน์ผลจากที่นั้นเพื่อบำรุงวัดได้ หลวงพ่อแช่มไถนา ก็ไม่รู้ไปหนักหัวอะไรของมันนะ มันก็ไปฟ้องท่านซะ บอกว่า “ท่านเป็นพระ ทำตัวไม่สมกับเป็นพระ สวดมนต์ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐานอะไรไม่เอาทั้งนั้น” เขาก็ต้องส่งพระไปสอบ พอไปถึง ถามอะไรหลวงพ่อแช่มตอบได้หมด สวดปาฏิโมกข์ถอยหลังให้ฟังอีก สวดขึ้นหน้าก็จะแย่แล้ว นี่สวดถอยหลังให้ฟังด้วย เอาอย่างไรล่ะ พระที่ไม่สวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐานทำได้ไหม ไม่ได้หรอก แล้วพระสมัยก่อนนี้ท่านทรงศีลทรงธรรมกันจริง ๆ มีอะไรว่ากันตามตรง ไม่มีการกลั่นแกล้งกัน พอรู้ว่เาจอพระดีเข้า ท่านก็ขอขมาแล้วก็กลับ
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบอธิศีล ไม่ล่วงศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมคนอื่นให้ล่วงศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นล่วงศีล ไม่ว่าจะขยับตัวไปทางทิศไหนก็ตาม รู้อยู่เสมอว่าศีลจะขาดหรือไม่
      ถาม :  คือทรงศีลเป็นฌานใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  โอ้โฮ...ต้องเรียกง่าย ๆ แล้ว ต้องเป็นฌานชนิดทิ้งไม่ได้เสียด้วย ถ้าปล่อยเดี๋ยวได้เดี๋ยวหลุดนี่ไม่นับนะ กว่าจะทำถึงขนาดนี้ได้ คุณต้องปล้ำจริง ๆ ประมาณ ๓ พรรษา ต่ำกว่านั้นไปไม่รอด
      ถาม :  …..............................
      ตอบ :  เรื่องของการปฏิบัติเป็นการเข้าถึงทางใจ การเข้าถึงทางใจนี่ ภาษาพูดและภาษาเขียนอธิบายไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ใช้คำว่า ปัจจัตตัง ผู้ทำได้จะรู้เห็นด้วยตัวเอง ภาษาพูดกับภาษาเขียนหยาบเกินไปที่่่จะอธิบายภาษาใจได้ ความลึกซึ้งของธรรมะอธิบายเป็นคำพูดยากเหลือเกิน เพราะละเอียดเกินไป หลวงพ่อน่ะอธิบายได้ดีที่สุดแล้วเท่าที่เคยเจอมา แต่อาตมายืนยันว่าที่หลวงพ่ออธิบายน่ะ ประมาณหนึ่งในร้อยเท่านั้นเอง ดีที่สุดที่อาตมาเคยเจอมาแล้วนะ แต่ขอบอกว่า “มันประมาณหนึ่งในร้อยของจริงเท่านัั้น...!”
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  บอกแล้วว่า ถ้าเราทำบุญ แล้วท่านให้เป็นเครื่องระลึกถึงความดี ไม่เป็นไรจ้ะ แต่ว่าถ้าหากว่าเป็นพระพุทธรูปนะจ๊ะ พูดง่าย ๆ คือหน้าตัก ๔ นิ้วขึ้นไปก็ถือเป็นครุภัณฑ์ ไม่สามารถที่จะแยกแยะจัดแจง นอกจากการสงฆ์ทั้งวัดยินยอม หรือมีการชำระหนี้สงฆ์แล้ว
      ถาม :  คือว่าตอนแรกที่บ้านหนูสมัยก่อนไม่มีพระเลย พระที่มาบิณฑบาตหน้าบ้าน ท่านเอาพระพุทธรูปหน้าตักประมาณ ๕ นิ้วมาให้ อันนี้อย่างไรคะ ?
      ตอบ :  อันนั้นเจตนาของท่านก็คือ สงเคราะห์โยม สงเคราะห์โยมที่ให้อาหารบิณฑบาตตลอดเวลา เท่ากับเป็นการชำระหนี้สงฆ์ไปอยู่แล้ว เลี้ยงท่านมาตลอดนี่ แต่ว่าในลักษณะอย่างนั้นถ้าเราติดใจ เราก็หาพระขนาดเท่าเดิมไปถวายวัดคืนไป เราจะเอาองค์นั้นน่ะ
      ถาม :  …................
      ตอบ :  หลวงปู่สุภาท่านบอวก่า “ถ้าท่านถวายวัดให้พระราชินีเสร็จแล้ว ท่านจะกลับบ้านเกิด” ท่านคงจะต้องไปอยู่อีสานแทนภูเก็ตแล้วล่ะ นึกถึงหลวงปู่ครูบาอิน ครูบาอินท่านอายุ ๑๐๐ ปี กลับบ้านเกิดพออายุ ๑๐๑ ปีมรณภาพ กลับไปตายบ้านตัวเอง
      ถาม :  ตอนนี้ผมไม่ค่อยดีเลยครับ วันก่อนขาแพลง พอหายก็เป็นฝีอีกแล้วครับ จะทำอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  สมัยโบราณใช้คำว่า “กำลังมีเคราะห์” แต่จริง ๆ แล้วคำว่า “เคราะห์” ภาษาพระก็คือ อกุศลกรรม ความชั่วเดิมในอดีตที่พวกรเาทำไว้ อดีตส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่ปัจจุบันชาตินี้ แต่เป็นอดีตของชาติก่อน เราเคยทำไว้ พอถึงวาระถึงเวลาที่อกุศลกรรมส่วนนั้นมาสนอง สิ่งไม่ดีต่าง ๆ มันก็ระดมกันเข้ามา พอช่วงกุศลกรรมเข้ามาสนอง สิ่งดี ๆ มันก็แห่กันเข้ามา
              ฉะนั้น...ก็เลยสำคัญว่า ให้รู้จักสร้างความดีให้ต่อเนื่องกันอย่าให้ขาดช่วง หมั่นทำสม่ำเสมอ อย่างเช่นว่ามีโอกาสใส่บาตรไว้ทุกวัน หรือไม่ก็แต่ละเดือนถวายสังฆทานให้ได้อย่างน้อยเดือนละครั้งอะไรอย่างนี้ พอเราสร้างความดีสม่ำเสมอ กระแสบุญก็จะหนุนเสริมไปได้เรื่อย ๆ พอถึงวาระที่กระแสนั้นจะให้ผล ก็จะมีสิ่งดี ๆ เข้ามาตลอด แต่เนื่องจากว่าของเราเองไม่ได้ทำดีมาตลอด ถึงเวลามีสะดุดขาดช่วงลงบ้าง อกุศลกรรมแทรกได้ ก็ให้ผล สมัยโบราณใช้คำว่า “มีเคราะห์” เคราะห์จริง ๆ ก็คือ ความดีความชั่วที่เราทำมาให้ผลนั่นน่ะ เคราะห์ดีก็กรรมดี เคราะห์ร้ายก็กรรมชั่ว
      ถาม :  แล้วแก้ไขอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  อย่าไปถามหมอเชียวนะว่าแก้ไขอย่างไร ? วิธีสะเดาะเคราะห์ต่าง ๆ มีหลายวิธีนะ อย่างง่าย ๆ เลย ปล่อยชีวิตสัตว์ สัตว์ที่เขาขายเพื่อให้ฆ่า อย่างเช่นว่า พวกไก่ พวกปลา ถ้าหากว่าเคราะห์ใหญ่ให้ปล่อยสัตว์ ๔ เท้า อย่างพวกวัว พวกควายอะไรก็ได้นะ อันดับต่อไปก็คือ ถวายสังฆทาน อย่างที่เราทำเมื่อครู่นี้ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นบุญใหญ่ พอกำลังบุญสูง ก็หนีห่างกรรมไปได้นะ ถัดจากนั้นไปก็คือ ทำบังสุกุลตายบังสุกุลเป็น เวลานนี้เป็นการตัดเคราะห์ เป็นการตายลงไปชั่วครั้งชั่วคราว เคราะห์กรรมทั้งหลายจะได้ตายไปด้วย ถึงวาระที่พระท่านสวดให้ไปเกิดใหม่ เราก็ตั้งใจว่า เกิดมาแต่คุณความดี เคราะห์กรรมทั้งหลายตามมาไม่ได้นะ อันสุดท้าย ถ้าหากว่าหนักจริง ๆ ให้จัดงานศพตัวเอง แต่ไอ้ผู้ชายของเรามีเยอะ บวชพระบวชเณรก็ได้ ก็ได้อานิสงส์สูงมาก ก็จะหนีห่างกรรมชั่วไป พวกเคราะห์กรรมทั้งหลายที่ตามมา หลวงพ่อท่านเคยเปรียบว่า “เหมือนกับหมาไล่กัด” ส่วนไอ้การที่เราสร้างกำลังบุญให้สูง คือวิ่งให้ห่างจากมัน ไม่ได้หักล้างลบล้างกันไป ดีกับชั่วล้างกันไม่ได้ แต่ถ้ากรรมดีมีกำลังสูง ก็หนีห่างชั่วไปเรื่อย ถ้ามันถึงที่สุดหนีเข้านิพพานไป ความชั่วตามไม่ได้ก็จบ เป็นอโหสิกรรมโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าหากว่าเราขาดช่วงลง มันไล่ทันเมื่อไร เคราะห์ตามมา หมาก็ฟัดเราอีก ก็ถึงได้บอวก่าทำบุญต้องทำให้ต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ อย่าเผลอขาดช่วง ขาดช่วงเมื่อไรเดี๋ยวตามมาถึง เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ให้ไปถามสำนักที่เรามั่นใจว่าท่านตรงไปตรงมาตามศีล ตามธรรมจริง ๆ ท่านจะแนะนำให้ในลักษณะที่เราไม่เสียเงินเสียทองมาก แต่ถ้าไปเจอสำนักที่เขาทำมาหากิน ส่วนใหญ่จะพูดให้เราตกใจ ให้เรากลัว คุณกำลังเคราะห์ร้าย อาจจะต้องเลือดตกยางออก ถึงแก่ความตายไปเลยอะไรอย่างนี้ วิธีสะเดาะเคราะห์แต่ละอย่างของเขา มันเพิ่มเคราะห์ให้เราทั้งนั้น เสียสตางค์เยอะ ๆ มาก การถวายสังฆทานก็ไม่จำเป็นต้องถวายอย่างเมื่อครู่นี้นะ อาจจะเป็นประเภทข้าวสักถุง ถึงใส่แค่องค์เดียวก็เป็นสังฆทาน ความจริง สังฆะ แปลว่า หมู่สงฆ์ เอาตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไป แต่คราวนี้เราไม่ได้เจตนาว่าหลวงพี่องค์นั้นมา หลวงพี่องค์นี้มา เณรองค์นั้นมาฉันจะใส่ แต่ให้ตั้งใจองค์ไหนผ่านมาเราจะใส่ถึงไม่ครบสี่ก็เป็นสังฆทาน หรือไม่ก็เห็นพระท่านนั่งกันอยู่เป็นวง ถ้า ๔ องค์ขึ้นไป ส่งอะไรเข้าไปเป็นสังฆทานทั้งนั้น ถ้าทำเป็น ไม่เสียเงินเสียของมาก อานิสงส์ก็สูง ถ้าทำไม่เป็น ทำอย่างที่เขาแนะนำ บางคนโอ้โฮ...ถวายสังฆทาน เจ้าประคุณเอ้ย ขนมาเป็นคันรถเลย ถามมันว่า “ใครสอนคุณวะ ?” บอกว่า “ทายก” ไอ้ทายกระยำ คนไม่มีสตางค์ไม่ต้องทำกันพอดี ขนปิ่นโต เอาข้าวพร้อมกับมา ๙ เถา พระฉันก็จุกตายพอดี แล้วยังมีพวกประเภทข้าวสารอาหารแห้งอีก สารพัดสารเพ ขนกันป็นคันรถจริง ๆ เจอมาแล้ว ไอ้คนไม่รู้จริงมันแนะนำหมดเยอะ
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  ทำไมล่ะ ? พระอินทร์อยากรู้จริงว่าท่านเป็นจริงไหม เป็นก็คือเป็นทดสอบอย่างไร ทองแท้ไม่กลัวไฟเผาหรอก เผาอย่างไรก็ยังเป็นทอง ท่านรู้อยู่แล้ว แต่ดูความมั่นคงของสุปะพุทธะกุฏฐิ แล้วท่านเองท่านก็ไม่มั่นใจว่า อยู่ ๆ มีคนมาให้ข้อเสนอดีเลิศขนาดนั้น ถ้าเป็นท่าน ๆ จะรู้สึกอย่างไรก็เลยลองไปเสนอเสียหน่อย อย่าลืมว่าเรามั่นใจตัวเองดี ปรากฏว่าประมาทร้อยเปอร์เซ็นต์จริง พระอินทร์ท่านเป็นอริยเจ้าขนาดนั้น ท่านก็ไม่ประมาทอยู่แล้ว ในเมื่อไม่ประมาทอยู่แล้ว เออ...ถ้าหากมีข้อเสนอขนาดนี้เป็นเรา เราเอาไหมหว่า ก็ลองดูไม่สำเร็จ โดนด่าฟรี แต่กำไรตรงที่พระอริยเจ้าที่แท้จริงเป็นอย่างไร