สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกันยายน ๒๕๔๖ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
ถาม: (ฟังไม่ชัด)
ตอบ : เมืองเมี่ยนชานนี่เป็นเมืองคอกม้า
ถาม : ห่างจากชายแดนไกลไหมครับ ?
ตอบ : โอ้โฮ...เยอะมากเลย ถ้าจากย่างกุ้งจะวิ่งไปประมาณ ๑๗๕ ไมล์ กว่าจะถึงเมืองแปร แล้วถ้าถึงมัณฑะเลย์ประมาณ ๔๓๐ ไมล์ อยากให้เป็นกิโลเมตรก็เอา ๑.๖ คูณเข้าไป พูดง่าย ๆ ว่ากิโลหกขีด จะออกมาเป็นกิโลเมตร เพราะฉะนั้น...ไมล์ยาวกว่ากิโลเมตรเยอะ อาตมารู้อยู่อย่างเดียว นั่งรถจนกระทั่งระบมจนทุกมุมก้นกว่าจะถึง
ถาม : ไปเจอท่านได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ช่วงนั้นต้องการจะไปลักษณะจาริกแสวงบุญที่นั่นเลย ก็คิดว่าสถานที่ ๆ ไหนที่มีความสำคัญในเมืองพม่า เราต้องไปให้ครบ ก็ตระเวนไปจนกระทั่งมีอยู่สองที่ยังไม่ได้ไป จริง ๆ เป็นพระที่ลอยน้ำมาจากลังกา พระเจ้าเทวานัมปิจติสสะ ท่านแกะสลักพระด้วยไม้เสร็จแล้วก็อธิษฐานว่า “ที่ใดก็ตาม ที่มีความเจริญในพระพุทธศาสนา ขอให้พระลอยไปขึ้นที่นั่น” ลอยไปติดฝั่งพม่าหมด เพราะทะเลลังกาก็ขั้นด้วยอ่าวเบงกอลหน่อยเดียว ลอยมาก็ติดฝั่งพม่าก่อน มาไม่ถึงไทยหรอก คราวนี้มีอยู่สี่องค์ ก็ไหว้องค์ที่อยู่ไจ๊ะคะมี ไปองค์ที่ไจ๊โก ก็เหลือองค์ที่อยู่ปะเตง ปะเตงนี่คนไทยเรียกพะสิม แล้วก็อยู่ที่ทวาย ที่พะสิมกับทวาย ที่ไม่ได้ไปเพราะว่าออกนอกเส้นทางไปไกลมาก จากย่างกุ้งจะไปพะสิมนั่งรถอีกเป็นวัน และถ้าจากย่างกุ้งไปทวายนี่ก็ต้องค้างคืนกันนะ ก็เลยว่าขาดอยู่สองที่ คราวนี้ที่ ๆ สำคัญขนาดนั้นต้องแวะอยู่แล้ว เข้าไปดูเสร็จแล้ว นอกจากท่านจะมีพระบรมสารีริกธาตุแล้ว ท่านยังมีพระธาตุเขี้ยวแก้วด้วย แต่ไปดูแล้วพระธาตุเขี้ยวแก้วท่านเป็นงาช้างแกะสลักเก่าแก่มากเลย คงจะมีการทำขึ้นมาบูชาในอดีต แต่คราวนี้ว่าถึงจะเป็นงาช้างก็ตามอะไรก็ตาม อะไรก็ตาที่คนเราระลึกถึงก็เป็นพุทธานุสติอยู่แล้ว ส่วนอีกองค์หนึ่งก็เป็นลักษณะแบบเดียวกับวัดหลินกวง ที่วัดหลินกวงเป็นฟันกรามใช่ไหม เขาเรียกว่า พระธาตุเขี้ยวแก้วเหมือนกัน ของหลวงปู่โกณฑัญญะที่หน้าตาเหมือนวัดหลินกวงเปี๊ยบเลย ขนาดเดียวกัน สีสันเดียวกันหมดเลย แต่จะใส่อยู่ในเซฟอย่างดีเลย เราไปกราบขออนุญาต ถ้าหากว่าใครไม่รู้นี่ไม่เปิดให้ดูด้วยนะ ถ้ารู้ไปขอ ท่านจะไขให้ดู ของเราเองก็พยายามจะถ่ายรูปมา แต่นื่องจากว่าอยู่ในเซฟและที่จำกัด แล้วกล้องก็ซูมไม่ได้ เป็นกล้องที่เขาเรียกว่ากล้องปัญญาอ่อน ถ่ายออกมาแล้วไม่ได้ดี ที่ทางด้านโน้นพระที่เป็นหลัก ๆ เลยมีหลายองค์ ญาติโยมไปหาเป็นหมื่น ๆ แล้วที่เป็นพระดีมรณภาพไปไม่เน่าก็หลายองค์ บางองค์ก็ตั้ง ๔๐-๕๐ ปีมาแล้ว ร่างกายอย่างกับทองแดงเลย บางองค์ก็มรณภาพ ถ้านับอายุก็อย่างหลวงปู่สุริยะ อายุ ๕๕ เอง สร้างงานของท่านเสร็จ ท่านก็ไปเลย แต่ก็กายสังขารท่านก็ไม่เน่าเหมือนกั นหลวงปู่อู่กะวิ ที่เมียนชานนั้น ๔๔-๔๕ ปีแล้ว บวชเป็นพระอยู่แค่ ๔ พรรษา ตายแล้วไม่เน่า คนเราจะเอาดีได้ ไม่จำเป็นต้องบวชนานใช่ไหม
ถาม : (ฟังไม่ชัด)
ตอบ : ก็สองอย่าง ถ้าหากว่าท่านไม่ได้อธิษฐานไว้เอง ก็เกิดจากพระเห็นว่าลูกศิษย์ลูกหายังยึดถือท่านอยู่ ถ้าอยู่แล้วจะเป็นที่ยึดของท่านได้ ยังเป็นที่เกาะกำลังใจของลูกศิษย์ ก็จะสงเคราะห์ให้
ถาม : เห็นหลวงพ่อให้ภาวนา (ฟังไม่ชัด)
ตอบ : ภาวนาไปเถอะสำหรับเรา ต้องถึงระดับปรับธาตุเปลี่ยนธาตุได้ ถ้าทำไม่ถึงขนาดนั้นไม่มีทางหรอก มีเท่าไรก็เปื่อยหมด พระที่ปรับธาตุได้เปลี่ยนธาตุได้ สังเกตอยู่อย่าง ท่านไม่ค่อยกิน ถ้าทำไม่ได้ระดับเปลี่ยนธาตุได้ปรับธาตุได้ ก็เน่าไปก่อนเถอะ
ถาม : (ฟังไม่ชัด)
ตอบ : คราวหน้าสร้างรูปหล่อแล้วก็ไปตั้ง ๆ เอาไว้ เอาแบบหลวงปู่จง พองานประจำปีวัดบางนมโค หลวงปู่จงก็ไปลงกระหม่อมเป่าหัว ลงนะหน้าทองให้กับญาติโยม ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย ๗ วัน ๗ คืน เป่าจนน้ำลายแห้ง จนเป็นลม ได้เงินมาแปดพันบาท โอ้โฮ...ไม่ใช่น้อย ๆ นั่นน่ะ ตั้งร้อยชั่งนะ แปดพันบาทสมัยนั้นนี่โบสถ์หลังหนึ่งเลย ปรากฏว่ารูปหล่อหลวงปู่ปานตั้งบาตรเอาไว้เฉย ๆ ได้แปดพันบาทเท่ากัน หลวงพ่อจงท่านบอก “ผมแพ้ท่านปาน ท่านปานนั่งอยู่เฉย ๆ ได้แปดพันเท่ากัน ผมเองเป่ากระหม่อมจนจะเป็นลมได้แค่นี้” คือเวลาคนไปทำบุญกับหลวงปู่จง นึกถึงหลวงปู่ปาน มาเห็นรูปอยู่ก็ทำบุญไปด้วย ก็คงจะทำเท่า ๆ กัน ถ้าองค์นี้ ๑๐ บาท องค์โน้นก็ ๑๐ บาท องค์นี้ ๕ บาท องค์โน้นก็ ๕ บาทได้เท่ากันเป๊ะเลย หลวงพ่อเล่าให้ฟังเสร็จ เป็นเรา ๆ ก็นึกขำเหมือนกันนะ หลวงปู่จงนี่ท่านอยู่นานเหลือเกิน ท่านร่วมสมัยกับหลวงปู่ปานนะ หลวงปู่ปานมรณภาพอายุ ๖๐ เศษขึ้น ๖๒ หลวงปู่จงอยู่ต่อมาจน ๙๐ กว่านะ มามรณภาพเอาปี ๒๕๐๘ หลวงปู่ปาน ๒๔๘๑ หลวงปู่จงมรณภาพ ๒๕๐๘ อยู่ต่อมาเกือบ ๓๐ ปี อยู่กันลืม นั่นก็พระไม่มีมานะ ดีแน่ ๆ ขำตอนไม่มีมานะ คนมาถึงมาจอดหน้าท่าเรือวัดหน้าต่างนอก จะไปหากำนัน หลวงปู่จงท่านก็นั่งอยู่ท่าน้ำ “หลวงตา ๆ เฝ้าเรือให้หน่อยนะ จะไปหากำนันหน่อย” “เออ...ไปเถอะ” กลับมาสองทุ่มหลวงตายังนั่งหัวโด่ แต่คราวนี้มันกลับมาพร้อมดอกไม้ธูปเทียนเลย เพราะก่อนจะมากำนันถาม “มึงจอดเรือที่ไหนวะ เฮ้ย...เดี๋ยวก็หายหรอก” “ให้หลวงตานั่งเฝ้าอยู่” “หลวงตาที่ไหนวะ ?” “ก็องค์ที่ผอม ๆ เล็ก ๆ” “ตายห่าแล้ว มึงใช้หลวงพ่อกูแล้ว...!” ดอกไม้ธูปเทียนมาเลย ก็มากราบท่าน หลวงปู่ท่านก็ “เออ...ไม่มีอะไรหรอก ไม่ถือโทษโกรธเคืองหรอก เพียงแต่ว่า...ต่อไปไปไหนอย่าทำอย่างนี้อีกนะ ใช้พระมันบาป” เป็นอย่างไรครูบาอาจารย์ลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง มันใช้หลวงตาเฝ้าเรือ
ถาม : ในพุทธกาลมีไม่ใช่หรือครับ ใช้เพื่อนที่เป็นพระอรหันต์ ปรากฏว่าเกิดมาหลังค่อม ?
ตอบ : เรื่องหลังค่อมนี่อีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าเรื่องที่ท่านใช้เพื่อนที่เป็นพระอรหันต์ ท่านต้องเกิดไปเป็นคนใช้ ๕๐๐ ชาติติดกัน เพราะว่าท่านเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ พอเอ่ยปากปุ๊บ ท่านนึกเลยว่า ถ้าไม่ทำเป็นอย่างไร ถ้าไม่ทำ เธอจะโกรธ ถ้าเธอโกรธเราที่เป็นพระอรหันต์ เธอจะลงอเวจีมหานรก แต่ถ้าเราทำตามที่เธอขอ เธอมีโทษการใช้พระอริยเจ้า เธอต้องไปเกิดเป็นคนใช้ ๕๐๐ ชาติ เอาเถอะ เกิดเป็นคนใช้ก็ยังดีกว่าลงนรก ก็เลยหยิบส่งให้ พอหยิบส่งให้ก็เท่ากับใช้พระอรหันต์ ไปเกิดเป็นคนใช้เขา ๕๐๐ ชาติ ส่วนที่ท่านหลังค่อมนั้น ท่านไปล้อพระปัจเจกพุทธเจ้า อันนี้อาตมาเจอบ่อยนะ ขนาดพระสังฆราชถึงเวลาไปขอให้ท่านจารโน่นจารนี่ แหม...อันตรายจริงๆ พระสังฆราชท่านก็เมตตา มือไม้สั่นจับแทบจะไม่ไหวแล้ว เหล็กจารก็ยังอุตส่าห์เขียนให้ ลักษณะของการใช้พระมีแต่ขาดทุน อย่างที่ว่านั่นแหละ แต่ว่าคนเรามักจะใกล้แล้วกลายเป็นสนิทสนมกันจนเกินไป พอสนิทสนมกันจนเกินไป กลายเป็นความเคยชินอย่างไรก็ได้ อย่างไรก็ได้ก็บรรลัยแล้ว เออ...!
ถาม : (ฟังไม่ชัด)
ตอบ : ก็อยู่ในลักษณะที่ว่าคนละอย่างกัน ประเภทนั้นไปถึงก็ประเภทอย่างไรล่ะ หลวงปู่ หลวงตา ทำให้ผมหน่อย เสกโน่นให้ผมนิด เสกอันนี้ให้ผมหน่อย ยุ่งไปหมด ปัจจุบันนี้มีอยู่องค์ก็คือ หลวงพ่ออุตตมะ ๙๓ แล้วนะ งานล่าสุดก็คืองาน ๒๐ ปีโรงพยาบาลทองผาภูมิ ท่านเองท่านก็เหนื่อยชนิดนั่งรถเข็นไปแล้ว ฉันก็ไม่ได้เป็นสุขหรอก คนโน้นจะเอาลูกประคำ คนนี้เป่าหัวให้หน่อย มีอยู่รายหนึ่งควักกระเป๋าสตางค์ให้ ลงให้หน่อย ท่านเองท่านก็ไม่ว่าอะไร เป็นอย่างไร ลักษณะนั้นใช้จริง ๆ เลยนะ ท่านเองท่านก็ประเภทใครว่าอะไรก็ว่าตามกัน ไม่ขัดคอโทษจะได้น้อยหน่อย
คราวนี้บางคนสงสัยว่าทำไมฆราวาสถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วถึงต้องตาย ก็ตรงจุดนี้แหละ ประเภทเพื่อนกันหรือคนครอบครัวเดียวกันอย่างนี้ ไปใช้ท่านเข้า ไม่อย่างนั้นก็ขอบ้องหูที ซวยไม่รู้จบ ถึงได้ว่าให้ตัดให้ตายไปเลย จะได้ไม่สร้างกรรมใหญ่ให้คนอื่นเขา นี่ก็ยังเป็นห่วงอยู่ว่า ถ้าสิ้นหลวงพ่ออุตตมะแล้ว จะหาใครมาแทนไม่ได้ตรงจุดนั้น เพราะว่าหลวงพ่ออุตตมะนี่ทั้งพม่าทั้งกะเหรี่ยงนี่เคารพท่านหมด ไม่ว่าจะเป็นพม่า มอญ ทวาย กะเหรี่ยง ชาติไหนก็ตามสองฝั่งไทยพม่าเคารพท่านหมด ขนาดมันรบกันนะ พม่าก็ตามตีชนกลุ่มน้อย ตีพวกมอญ ตีพวกกะเหรี่ยงใช่ไหม พวกนี้พอสู้ไม่ได้ก็ถอยเข้าวัดหลวงพ่ออุตตมะ ก็เป็นอันว่าสบายใจได้ ทหารพม่าไม่ตามเข้าไปหรอก ก็หยุดหุงข้าวกินกันได้ หายเหนื่อยเดี๋ยวออกมาตีกันใหม่ สู้ไม่ไหวก็หนีเข้าวัดนะ มันรู้ว่าเขาเคารพหลวงพ่ออุตตมะ เขาไม่ตามไปยิงมันอยู่แล้ว อาตมากำลังเร่งงานที่วัดทองผาภูมิให้เสร็จเพราะท่านห่วงอยู่ หลวงพ่ออุตตมะเป็นผู้เริ่มต้นเกี่ยวกับการสร้างวัดทองผาภูมิ โดยปรารภร่วมกับหลวงพ่อสาย วัดท่าขนุน พอทำขึ้นมาแล้ว จนป่านนี้ยังไม่มีโบสถ์ให้ฝังลูกนิมิตนะ
ถาม : ............................
ตอบ : เขาเอากระดาษมาปึกหนึ่ง เอามาถึงก็วาง แล้วเอากระบี่กรีดขวางให้ดู หยิบขึ้นมาขาดทุกแผ่นเลย ถึงได้เชื่อว่าฟันเหล็กเหมือนฟันหยวกนี่มีอยู่จริง ๆ น่าจะอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ไปดูเถอะ ลายระยับเลยแหละ ลองไปหาวีดีโอมาดูสิ ชุดนี้น่าจะมีอยู่ในชุดจีนแผ่นดินมหัศจรรย์ สมัยก่อนถือว่าเป็นหนังสารคดีของจีนเขา ตอนนั้นเป็นประวัติของหลี่เหลี่ยนเจี๋ย เขาอายุแค่สิบกว่า ๆ โดนขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติที่มีชีวิตของชาตินะ เขาเก่งขนาดนั้น แค่อายุสิบกว่า ๆ แล้วมีอยู่อย่างหนึ่งคือว่า ตระกูลแม่ครัวพ่อครัวที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยซูสีไทเฮายังครองแผ่นดินอยู่ เขาจะมีตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นตา อายุเจ็ดสิบแปดสิบลงมา ถึงห้าสิบ หกสิบ สี่หิบ สามสิบ ยี่สิบกว่า จนกระทั่งรุ่นเล็ก ๆ เพิ่งจะประเภทหัดล้างผัก หัดเก็บฟืนอะไรพวกนั้นน่ะ เขาฝึกต่อกันตั้งแต่สมัยนั้นจนสมัยนี้ โอ้โฮ...แล้วฝีมือเขาสุดยอดจริง ๆ เขาวางเขียงลง เอาผ้าขาวปู เอาเนื้อวางลงชิ้นหนึ่ง สับโซะ ๆ เสร็จหยิบขึ้นมาขาดหมดทุกชิ้นเลย แล้วสะบัดผ้าให้ดู ไม่มีรอยเลย ขาดเฉพาะเนื้อแค่นั้น ใช้กำลังได้พอดีอะไรขนาดนั้น เสร็จแล้วก็เอาเนื้อมาอีกชิ้นหนึ่ง ประมาณซักหนึ่งกิโลกรัม แล้วเขาก็เอาปังตอแล่ให้ดู ปรี๊ด ๆ มัวนไปเรื่อย ยาวตั้งหลายเมตรแหละอะไรจะพอดีได้ขนาดนั้น ที่อัศจรรย์ที่สุดคือ เขาเอาเนื้อปลามาแกะเป็นเจดีย์เก้าชั้น แล้วก็ต้มเป็นน้ำแกงจืด เจดีย์ลอยอยู่ในน้ำได้ คำนวนได้พอดีขนาดนั้นเลย พวกที่ใส่ฟืน มีหน้าที่ใส่ฟืนอย่างเดียว อาหารแต่ละอย่างจะต้องใช้ฟืนใช้ไฟแรงแค่ไหน เบาแค่ไหน แรงตอนต้น เบาตอนกลาง แรงตอนปลายอะไรนี่เขาจะรู้หมด เฉพาะหน้าที่หัดใส่ฟืนอย่างเดียว คุณหัดอยู่เป็นสิบปีนะ เขาถึงได้หัดมาตั้งแต่เล็ก ๆ
ถาม : เขาอยู่มณฑลไหนคะ ?
ตอบ : อยู่ที่ปักกิ่ง พอถึงเวลาเขาก็จะแสดงให้นักท่องเที่ยวชม
ถาม : เขาไม่ได้เปิดร้านอาหาร ?
ตอบ : ไม่ได้เปิดหรอก กลายเป็สมบัติของชาติไปแล้ว ที่แสดงให้นักท่องเที่ยวชมน่ะ มีอยู่อันหนึ่งก็คือ เขาทำปลา ปลาเป็น ๆ นี่แหละ ช้อนขึ้นมาจากน้ำ ขอดเกล็ดทอดขึ้นมา ปากยังพะงาบ ๆ อยู่เลย ไส้ควักออกไปหมดแล้ว เขาทำเร็วจริง ๆ เร็วขนาดเราดูไม่ทัน เขาเอาผ้ากำหัวปลาที่บั้งแล้วผ่าท้องแล้ว ขอดเกล็ดแล้ว จุ่มลงในน้ำมันที่เดือดฟองซ่าขึ้นมา สุกทั้งตัวเลย ปลายังไม่รู้เลยว่ามันตาย ปากยังพะงาบ ๆ หายใจอยู่เลย เสร็จแล้วไอ้พวกฝรั่งที่เข้าไปศึกษาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ เขาจะกินอะไรกันเขาก็สนุก เอาเหล้ากรอกปากปลาบ้างอะไรบ้าง เราดูแล้วมันสุดยอดความโหดเลย จริ งๆ ต้องสด ๆ เป็น ๆ ขนาดนั้น ปลาตายแล้วมันยังไม่รู้ตัวเลยว่ามันตาย แล้วลองไปดูว่าแผ่นดินมหัศจรรย์เป็นอย่างไร แค่เขาทอดขนมเปี๊ยะ จะเรียกขนมเปี๊ยะก็ไม่ใช่ มันคล้าย ๆ กับเต้าส้อ พอถึงเวลาเขาปั้นเสร็จ ก็ห่อแป้งชั้นแล้วชั้นเล่า เราก็เอ๊ะ...จะห่อไปทำไม เสร็จแล้วเขาก็เอามีดกรีด ๆ พอหย่อนลงกระทะทอด มันบานพรึบอย่างกับดอกเบญจมาศ แล้วข้างในเป็นเกสร ถ้าพูดถึงลักษณะการกิน ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ต่างแค่ขนาดขนมเปี๊ยะ ส่วนใหญ่มันเบ้อเร่อเลย
ถาม : ดาบฟ้าฟื้นสร้างยาก อานุภาพต่างจากดาบธรรมดายอย่างไรครับ ?
ตอบ : อันดับแรก ท่านว่าตอนที่ขุนแผนเขาลองความคมน่ะ ท่านอบกว่า “ต้นรังสามกำกึ่งน่ะ ฟันดาบเดียวขาดน่ะ” คุณรู้ไหมว่า มาตรากำหนึ่งของโบราณ เขาวัดกันอย่างไร ? สามกำกึ่งนี่เป็นโอบนะ สามกำกึ่งคือเจ็บคืบโดยรอบ ดาบเดียว แล้วป้องกันภัยให้เจ้าของได้ ถึงเวลาอาจจะร้องเตือนได้ เพราะว่าท่านบรรจุผมผีตายโหงเอาไว้ด้วย
ถาม : อย่างนี้ก็เป็นไสยศาสตร์ ?
ตอบ : ไสยศาสตร์ร้อยเปอร์เซ็นต์...!
ถาม : แล้วถ้าเอาดาบเข้าพิธีพุทธาภิเษกนี่ จะเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็มีอานุภาพเหมือนกัน แต่ถ้าหากว่ามาเข้าพุทธาภิเษก แล้วถ้าพิธีถูกต้องนะ ก็จะเป็นวัตถุมงคลที่มีเทวดารักษา แต่สมัยนั้นส่วนใหญ่ไม่ใช่พระพุทธาภิเษก เพราะฆราวาสเก่ง ๆ เขามี เขาทำกันเอง ก็เลยต้องเอากำลังของผีมาช่วยบ้าง
ถาม : …....................
ตอบ : สมัยหลวงพ่อ ท่านได้ดาบมาเล่มหนึ่ง สมัยนั้นท่านยังเป็นทหารเรืออยู่นะ ท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้้นหลวงพ่อขึ้นมาจากเรือหลวงธนบุรีมาแล้ว เพราะว่าเรือหลวงธนบุรีไปโดนลามอสปิเกต์ของฝรั่งเศสยิงจมที่เกาะช้าง ตอนสงครามมหาเอเชียบูรพา ไม่มีเรือจะอยู่ แต่ว่าสามเซียนนี่ ฝีมือเป็นที่ติดตาต้องใจของผู้บังคบบัญชามาก ก็เลยมีการขอตัวกันข้ามหน่วยงาน ขอให้ไปช่วยปราบปรามของกรมตำรวจเขา ปรากฏว่ามีแต่บรรดาไอ้เสือหนังเหนียวที่ใคร ๆ ก็ปราบไม่อยู่ ก็ต้องเอาสามท่านนี้ไป ที่หลวงพ่อท่านบอกว่า ตอนที่ท่านบวชใหม่ ๆ แล้วมี ๓๐ กว่าศพมาขวางหน้าน่ะ ก็คือบรรดาไอ้ประเภทสุดยอดนี้ทั้งนั้นแหละ ใครก็ไม่สามารถจะทำได้แล้ว ก็ต้องเอาหลวงพ่อกับเพื่อนสามองค์ไปจัดการ
คราวนี้มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไปปราบเสือโดดที่สุพรรณบุรี เสือโดดนี่มันไอ้เสือสุดยอดของบริเวณนั้น ไปไหนมันจะสะพายปืนสเต็น ปืนสเต็นเป็นปืนกลโบราณ รุ่นเดียวกับ Tomson อะไรพวกนั้น พวกคุณไม่รู้ว่าเคยได้ยินชื่อหรือเปล่า สายสะพายสเต็นของมันเป็นทองคำ ๓๐ บาท มันปล้นเขาจนรวยขนาดนั้นน่ะ มันสะพายสเต็น แต่มือมันถือดาบ หลวงพ่อก็โอ้โฮ...ดาบมันเขียววับเป็นปีกแมลงทับเลย มารยาทดีด้วยนะ ใครไหว้มัน มันก็ไหว้ตอบ แต่ใครไม่ไหว้ ยืนโด่เด่มันฟันหัวขาดเลย ถือว่ากระด้างกระเดื่อง หลวงพ่อกับเพื่อนก็เลยใช้วิธีนัดแนะกัน บอกว่า “มึงไหว้ก่อนนะ แล้วเตรียมพร้อมไว้ แล้วก็มึงไหว้นะ แล้วเตรียมพร้อมไว้ พอมาถึงกู กูจะยิง แล้วมึงคอยซ้ำ” เสร็จแล้วพอถึงเวลา ได้ยินเสียงคนฮือกัน แล้วก็หมอบกัเนป็นแถว เสือโดดมา ลูกน้องตามหลังมาสิบกว่าคน หลวงพ่อสามองค์ก็ประเภท ๑๐ กว่าเท่านั้น เรื่องเล็กใช่ไหม แล้วตัวเองประเภทฝีมือดี หนังดี แล้วประเภทกลัวใครไม่เป็น อะไรอย่างนี้ ก็ตามที่ตกลงกันนั่นแหละพอถึงเวลาก็หัวแถวไหว้ก่อน กลางแถวไหว้ หัวแถวก็แตะปืนเตรียมรอแล้ว พอปลายแถวไหว้ปุ๊บ หัวแถวก็ชักปืนยิงตูม หงายท้องไปเลย ท่านบอกว่า “พอเสือโดดโดนยิงล้มปุ๊บ ชาวบ้านเฮเข้ามาเป็นร้อยเลย” หลวงพ่อสามองค์ปืนหกกระบอก หันหลังชนกันเลย กะว่าวันนี้ยิงกันแหลกแน่ ปรากฏว่าชาวบ้านเขาฮือเข้ามาขอบใจ ที่ยิงมันตายห่าเสียที ท่านบอกว่า “ท่านได้มาแต่ดาบเล่มนั้นเล่มเดียว ตอนที่ชุลมุนกัน ไม่รู้ใครคว้าไอ้สเต็นสายทองคำ ๓๐ บาทไปก็ไม่รู้” เสร็จแล้วก็เรียกตัวผู้ใหญ่บานกำนันมา บอกให้รวบตัวพวกสมุน ๑๐ กว่าคนนั้นไปด้วย บอกว่า “ไปส่งตำรวจ แต่อย่าให้ถึงสถานีตำรวจ หวังว่าคุณคงเข้าใจนะ เอาไปให้มันนอนใต้ดินให้หมดนะ”
คราวนี้ตอนนั้นไอ้พวกสายสืบ พวกกองปราบ พวกหน่วยเฉพาะกิจ พวกนี้มีเยอะ ในเมื่อมันมีเยอะ ทางโน้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทางนี้มาทางไหน ใหญ่แค่ไหน แต่ว่าเห็นฝีมือขนาดล้มเสือโดดที่ว่าหนังดีนักหนาได้นะ แล้วแถมสั่งการในลักษณะนั้นด้วย ก็เลยคิดว่าเป็นเจ้าใหญ่นายโตจากกรุงเทพฯ แน่ ก็เลยจัดการให้ตามที่ขอ หลวงพ่อท่านบอกว่า “ดาบเล่มนั้นน่ะ จับดูเหมือนกับไม่คม แต่ลองฟันโต๊ะดู ฉับเดียวขาดไปเลย” ท่านบอกว่า “มันเดินดีเหลือเกิน” คำว่า “เดินดี” คือคมมันเข้าดีเหลือเกิน แล้วอีกอย่างหนึ่งคือ สามารถงอปลายดาบแตะด้ามได้ พอปล่อยแล้วมันดีดกลับ ท่านบอกว่า “ลักษณะนั้น โบราณเขาเรียกเหล็กกำพล” แล้วเหล็กประเภทนี้ตีเสร็จแล้ว ล้อมคาดเอวได้
อาตมาเองไม่มีโอกาสได้เห็นดาบเล่มนั้น เพราะถามหลวงพ่อว่า “ตอนนี้อยู่ไหนครับ ?” ท่านบอกว่า “ตอนบวชชทิ้งเอาไว้ ไม่รู้ใครเอาไป” ท่านบอกว่า “โบราณน่ะเก่งเรื่องโลหะศาสตร์” โลหะศาสตร์ของเรานี่ เหนือกว่าฝรั่งปัจจุบันนี้เยอะ เพราะโบราณเล่นแร่แปรธาตุกันบ่อย ถ้าอยากรู้ว่าโบราณเขาเก่งอย่างไรนะ คุณไปดูหน้ากระทรวงกลาโหม ปืนใหญ่หน้ากระทรวงน่ะ ป่านนี้ยังเขียวปั๊ด สนิมไม่กินเลย ตากแดดตากฝนเป็นร้อย ๆ ปีแล้วนะ ประเภทที่ทำปืนใหญ่เขาเรียก “เหล็กแข็ง” สูตรเหล็กแข็งกับเหล็กเหนียวนี่ มันสูญจากเมืองไทยไปแล้ว
คราวนี้ว่าเหล็กแข็ง มันแข็งขนาดไหน ตอนที่เขาขุดเพื่อที่จะวางรากฐานกรมประชาสัมพันธ์เก่า หลวงพ่อท่านบอกว่า “ได้ปืนใหญ่ลักษณะนั้นมาสองสามกระบอก แล้วเขาก็ทดลองเอาหินเจีย ๆ ดู หินเจียมมันสึกไปเฉย ๆ เจียไม่เข้า” เหตุที่วิชาการมันหายหมด เพราะว่าคนสมัยก่อนเขามีศีลมีธรรม แล้วก็ต้องการคนที่มั่นคงจริงใจ ถ้าหากว่าไม่เป็นที่เชื่อถือนี่ เขาจะไม่ถ่ายทอดสุดยอดวิชาให้ แม้กระทั่งลูกตัวเองยังไม่ให้เลย ถ้าหากว่าคนนี้เชื่อได้ว่าไม่เอาวิชาการไปหากินในทางที่ผิด เป็นผู้ที่อยู่ในศีลในธรรมเป็นปกต มีความขยันขันแข็ง ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ถ้าคุณสมบัติครบถ้วน ถึงจะครอบครู ถ่ายทอดวิชาให้ วิชาการของพวกรเาต่าง ๆ มันค่อย ๆ หายไปทีละน้อย ๆ
สมัยรัชกาลที่ ๕ ญี่ปุ่นยังต้องมาขอช่างไทยให้ไปช่วยหล่อปืนใหญ่ แต่สมัยนี้นี่ เราไล่ญี่ปุ่นไม่ทันแล้ว ก็เมื่อไม่นานมานี้ ปีที่แล้วสิ จะมีการทำวัตถุมงคลรุ่นหนึ่ง เพื่อจะเฉลิมพระเกียรติพระราชินี ๗๒ พรรษา ทำเป็นหลวงปู่ทวด ที่มีตรา “ส.ก.” อยู่ เขาเรียกรุ่น “สร้างพระเพื่อแม่” ของไทยเราได้นำสูตรนวโลหะไปให้ทางบริษัทฯ โมเน่เขา เพื่อผลิตเป็นเหรียญประมาณ ๕,๐๐๐ เหรียญ ฝรั่งเขาทึ่งมาก อันดับแรก แข็งบรรลัยโลกเลย อันดับสอง พอทำสเร็จเรียบร้อยแล้ว ผ่านระยะเวลาหนึ่ง มันเปลี่ยนสีได้ ไม่ใช่สนิมกินนะ มันเปลี่ยนสีได้ ที่เรียก “นวโลหะกลับดำ” คือถ้าสูตรมันมีทองคำและเงิน ผสมตามสูตร มันจะกลับเป็นสีดำทีหลัง และดำสวยมาก เงาวับเลย ปรากฏว่าเขาทำไม่ได้ครบตามจำนวน เพราะว่าบล็อกพังเสียก่อน โลหะมันแข็งเกินไป ทางโรงงานโมเน่ที่เคยผลิตเหรียญสมัยรัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสยุโรป เขาก็จารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ของโรงงานเขาเลย เขาเรียกว่า “ไทยบรอนซ์” คือมันเป็นโลหะทองแดงของไทยอย่างนั้น แต่จริง ๆ มันไม่ใช่ มันเป็นโลหะผสมเก้าชนิด เขาบอกว่า “ไม่นึกว่าประเทศเล็กอย่างไทย จะมีวิชาการขนาดนี้อยู่” แต่ว่าไอ้นี่จริง ๆ มันแค่กระจิ๊บกระจ๊อย
สมัยก่อนเขาไม่ได้ต้องการตรงจุดนี้ เขาต้องการจะทำทอง แล้วอาตมาก็เจอเขาทำทองมาหลายรายแล้ว ทำสำเร็จจริง ๆ ด้วยอันนี้สายการผสมเล่นแร่แปรธาตุเพื่อสร้างทองนี่ ทางด้านสายวัดเขาอ้อ จังหวัดพัทลุง ยังทำได้อยู่ แต่อันนั้นเขาใช้โลหะ ๗ ชนิดผสมกัน ออกมาเป็นทอง ดูสีอย่างไรก็เป็นทองชัวร์ ๆ เลย แต่คราวนี้ยังไม่ได้ให้เพื่อนไปทดลอง เพราะเสียดายของ ถ้าไปให้ร้านทองเขาทดสอบ แล้วยืนยันว่าเป็นทองชัวร์ ๆ เลย ก็แสดงว่า ของเขาต้องรักษาสัจจะตามสายครูบาอาจารย์ ทำเพื่อหาเงินสร้างถาวรวัตถุในพุทธศาสนาเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเขาไม่ไปแตะต้อง ถึงรู้ถึงเป็นถึงทำได้ เขาก็ไม่ยุ่งด้วย หลวงพ่อท่านบอกว่า “ท่านก็เจอมาหลายท่านเหมือนกัน”
กระทั่งหลวงปู่ศุขน่ะ หลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่า พอทำได้เสร็จเรียบร้อย ก็เลิก รู้แล้ว พอใจแล้ว แต่เพราะว่าทองที่ท่านทำได้นี่แหละ เล่นเอาหลวงปู่ศุขหงิกอยู่พักใหญ่เลย หลวงพ่อท่านเล่าว่า “พอท่านไปอยู่วัดท่าซุงแล้ว มีอยู่วันหนึ่งหลวงปู่ศุขมาหา” ต้องคิดดูให้ดีนนะ ตายไปนานแล้วนะ หลวงปู่ศุขมาหาบอกว่า “ตอนนี้เป็นเทวดาอยู่ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีเท่านั้น” แต่จริง ๆ แล้วด้วยความสามารถทางด้านอภิญญาสมาบัติ ท่านต้องไปเกิดเป็นพรหม แต่ที่ท่านเป็นเทวดาแค่ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี เพราะว่าไปติดของอยู่ ถามว่า “ของมีอะไรบ้างครับ ?” “มีลูกอมวิเศษ กับทองคำ ๒๔ บาททองที่ท่านทำนั่นแหละ บอกว่า ท่านฝังไว้ที่ข้างเจดีย์หน้าวัด” บอกจุดเสร็จสรรพเลย ให้หลวงพ่อไปขุดขึ้นมา แล้วหลวงพ่อเอาไปเก็บไว้ให้ที ท่านจะได้ไปเป็นพรหมเสียที ไม่อย่างนั้นก็ติดอยู่แค่เทวดา หลวงพ่อท่านก็บอกว่า “ก็ในเมื่อหลวงปู่ติดแหง็กอยู่แค่นั้นแล้ว เรื่องอะไรผมจะเอามาให้ผมติดด้วยละครับ ?” พอหลวงปู่ศุขท่านขอร้องไม่ได้ผล ท่านก็ไป รุ่งขึ้นมาใหม่ พาเพื่อนมาด้วย พาหลวงปู่ปานมา หลวงพ่อบอก “แหม...เล่นวิธีนี้เราก็แย่ละสิ พาใครไม่พา พาครูเรามา หลวงปู่ปานก็บอกว่า “รับให้เขาหน่อยสิ” หลวงพ่อก็บอกว่า “รับได้ที่ไหนละครับ ตัวท่านเองยังติดอยู่แค่นี้เลย เดี๋ยวผมก็ไปนิพพานไม่ได้เท่านั้น” หลวงปู่ปานบอก “อย่าโง่สิ ตั้งใจรับขึ้นมา แล้วก็ถวายให้เป็นของสงฆ์ไปซะ ก็จบแค่นั้น ไม่ต้องไปขุดขึ้นมาหรอก” หลวงพ่อบอก “ถ้าอย่างนี้รับได้” พอท่านรับได้ปุ๊บ หลวงปู่ศุขท่านรู้ว่าท่านหมดภาระแล้ว จิตก็ปลดจากตรงจุดนั้น ก็ไปเกิดเป็นพรหมต่อ นั่นน่ะติดอยู่แค่นัั้น
ไอ้ทองคำน่ะ เราไม่แปลกหรอก จะเล่นแร่แปรธาตุมาก็ดีหรือว่าญาติโยมเขาถวายมาก็ตาม มันแปลกตรงลูกอมวิเศษ ถามว่า “ได้มาจากไหนครับ ?” หลวงปู่ศุขท่านเล่าให้ฟังว่า “มีอยู่วันหนึ่ง ไปธุดงค์นั่งกรรมฐานอยู่ มีเทวดามาบอก อยากได้ของวิเศษไหม ?” ถามว่า “อะไร ?” เป็นลูกอมวิเศษ ถามว่า “มีอานุภาพอย่างไร ?” บอกว่า “ถ้าอมอยู่ในปากจะเดินบนน้ำ ดำดิน เหาะเหินเดินอากาศอย่างไรก็ได้” ถามว่า “แล้วจะเอาได้จากที่ไหน ?” ท่านบอก “ให้ไปที่ป่าสามร้อยยอด” ประจวบคีรีขันธ์ แล้วเอาปลาไปทอด ก็ต้องพกกระทะไปด้วย เอาปลาไปทอดแล้วจะมีผีมาขอกิน ให้สังเกตว่าตัวไหนเอาผ้าคลุมหัวมาขอกิน บอกว่า จะให้ก็ต่อเมื่อเอาลูกอมมาแลก” หลวงปู่ศุขไปถึงก็ตั้งเตาตั้งกระทะ ทอดปลาซะควันโขมงเลย ผีมันทนกลิ่นไม่ได้ มันมาขอกินจริ งๆ ท่านก็รอจนกระทั่งไอ้ตัวคลุมหัวมันมาบอก “ให้เอาลูกอมมาแลก” แหม...มันคงอยากกินจนน้ำลายยืด มันก็ตกลงแลกด้วย พอแลกได้ หลวงปู่ศุขท่านได้ลูกอมเสร็จ ท่านก็กลับ ท่านบอกว่า “ได้อีตอนน้องเพล” น้องเพล คือตอนใกล้ ๆ เพล พอฉันเพลเสร็จ ก็ตั้งใจว่าจะเดินธุดงค์กลับวัด ท่านบอกว่า “ท่านเดินไปเรื่อย ๆ ยังไม่ทันจะสี่โมงเย็นเลย ไม่รู้มันไปโผล่ชัยนาทได้อย่างไร แล้วก็ไปโผล่คนละฝั่งน้ำกับวัด” เพราะแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านใช่ไหม โผล่คนละฝั่งน้ำกับวัด ก็ตะโกนเรียกเรือจ้าง มันก็มารับ พอหลวงปู่ศุขมาถึงกลางน้ำก็อยากทดสอบ ก็บอกกับเรือจ้างว่า “เฮ้ย...ไม่ต้องตกใจนะ กูร้อนอยากจะอาบน้ำ” ว่าแล้วท่านก็หงายหลังลงน้ำหายเงียบไปเลย เรือจ้างก็ตกอกตกใจกันยกใหญ่ “หลวงพ่อตกน้ำ ๆ เมื่อกี้ข้าพายมากลางน้ำ ท่านตกน้ำหายไปเลยว่ะ” บอก “ไอ้บ้า...มึงดูโน่น อยู่บนศาลา” ไม่รู้ท่านขึ้นไปตัั้งแต่เมื่อไร ทางด้านนี้มัวแต่ตกใจกันอยู่ ตกลงท่านทดสอบแล้วว่า มันเดินน้ำดำดินได้จิรง ๆ เสร็จแล้วพวกเราก็ปากคัน ถามหลวงพ่อว่า “อยู่ตรงไหนครับ จะได้ไปขุด ?” หลวงพ่อบอก “ดี เขากำลังหาคนเฝ้าอยู่ อยากได้ไหม...! ถ้าจะเอาก็บอกนะ เจดีย์หน้าวัดมีอยู่สององค์ มีอยู่องค์เดียวนั่นแหละ ห่างจากองค์เจดีย์ประมาณศอกเศษ ๆ”
|