สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกันยายน ๒๕๔๖ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  ….........................?
      ตอบ :  พระพุทธเจ้าถึงเวลาไปฉันที่บ้านของนางวิสาขา ก็นิมนต์พระสงฆ์ให้หย่อนไปองค์หนึ่ง แทนที่จะเอาไป ๕๐๐ อย่างที่ว่า ก็เอาไป ๔๙๙ พระนางวิสาขาก็ท้วงถาม พอนางวิสาขาท้วงถามพระพุทธเจ้าก็บอกว่า “ให้ไปนิมนต์เถอะ ยังเหลืออยู่อีกองค์หนึ่ง คือพระจุลปันถกะ อยู่ที่กุฏิ” พอเขาเข้าไปปรากฏว่า คนใช้ถอยหลังกลับมา “พระแม่เจ้า พระเยอะเหลือเกิน” ถามว่า “องค์ไหนคือพระจุลปันถกะ ทุกองค์ตอบเหมือนกันหมด ว่าท่านคือพระจุลปันถกะ นิมนต์ไม่ถูก” นางวิสาขาท่านฉลาดมาก ท่านบอกว่า “เข้าไปใหม่ ถามว่าพระคุณเจ้าองค์ไหนคือพระจุลปันถกะ องค์ไหนตอบก่อนให้จับแขนองค์นั้นไว้” พอถามปุ๊บ องค์นั้นตอบก่อนว่าอาตมาคือพระจุลปันถกะ คนใช้ก็คว้าแขนไว้อีก ๙๙๙ รูปก็สลายตัวไป เหลือแค่องค์ที่แท้จริงเท่านั้น ก็นิมนต์ไป นั่นแหละถึงได้ไปเล่าลือจนกระทั่งเชื่อว่าองค์นี้เก่งจริง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้คือเป็นพระที่ฉลาดน้อยที่สุด คาถาสั้น ๆ บทเดียวเรียนอยู่สามเดือนไม่สำเร็จ กลายเป็นผู้ที่เลิศที่สุดในทางมโนมยิทธิ เพราะท่านเนรมิตกายในออกมาให้คนอื่นเห็นได้ด้วยตาเนื้อเลย แล้วไม่ใช่องค์เดียว ออกมาเป็นพันองค์พร้อม ๆ กัน เหลือเชื่อไหม
      ถาม :  ใช้คำว่า “ทิพจักขุง คือตาใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ทิพจักขุง คือตาที่ล่วงตาปกติไป ยังดีจ้ะ แค่นี้ก็มึนแล้ว พระพุทธเจ้าท่านยังมี มังสะจักษุ คือตาเนื้อธรรมดา ทิพจักษุ คือความรู้สึกทางใจที่เป็นทิพย์ สมันตจักษุ คือความรู้รอบที่ไม่มีใครรู็ตามทันได้ ยุ่งไปเลยใช่ไหม ทิพจักขุญาณ คือการที่เรารู้เห็นล่วงจากตาปกติ อย่างเช่น ตอนนี้เรานึกถึงบ้าน ภาพบ้านชัดเจนมากใช่ไหม ถามว่าเห็นไหม ไม่ได้เห็นด้วยตา แต่ชัดไหม ชัด นั่นแหละเขาเห็นกันลักษณะนั้น
      ถาม :  ใช่แบบที่เราสังหรณ์ใจหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  สังหรณ์นั่นเป็นทิพจักขุญาณอย่างอ่อน ถ้าหากว่าคุณชัดเจนมาก ๆ ชัดเหมือนกับตาเห็น คืออย่างตอนนี้เรานึกถึงบ้าน บ้านก็ชัดแจ๋วเลยอะไรอย่างนั้นน่ะ
      ถาม :  อย่างเราคาดเดาหรืออะไรอย่างนี้ แล้วเป็นความจริงล่ะคะ ?
      ตอบ :  อันนั้นมีส่วนของทิพจักขุญาณอยู่ แสดงว่าอดีตเคยมีอยู่แล้ว แต่เพียงว่าปัจจุบันขาดการฝึกฝน ก็เลยไม่แม่นยำ มีผิดมีพลาดบ้าง ถึงคนที่ฝึกฝนอยู่ประจำ โอกาสผิดพลาดก็มี ถ้าใช้กำลังตัวเอง เขาถึงให้ขอบารมีพระพุทธเจ้า
      ถาม :  แต่การขอบารมีพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้ใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  คือถ้าหากว่าเราทำได้ แล้วขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านช่วย จะสว่างไสวเป็นพิเศษ เพราะลำพังกำลังของเรานี่ ทิพจักขุญาณผู้ทรงฌานสมาบัติ ในอรรถกถาท่านเปรียบเหมือนกับเวลาตะวันโพล้เพล้ ใกล้จะค่ำ มัวสลัวไปหมดนะ ถ้าหากว่าของพระสาวกปกติ เหมือนอย่างกับเทียนดวงน้อย ถ้าเป็นของอัครสาวก เหมือนกับคบไฟดวงใหญ่ ถ้าเป็นของพระปัจเจกพระพุทธเจ้า เหมือนกับพระจันทร์วันเพ็ญ แต่ถ้าเป็นของพระพุทธเจ้าเหมือนกับพระอาทิตย์ยามเที่ยง ต่างกันขนาดไหน ถ้าไม่ขอให้ท่านช่วย แล้วเราจะรู้รอบได้อย่างไร
      ถาม :  อย่างนั้นพวกหมอดูล่ะคะ ?
      ตอบ :  หมอดู ถ้าหากว่าตามตำราจริง ๆ ความแม่นยำเขาก็มีนะ แต่ว่าจะได้ประมาณ ๖๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ถ้าหากว่าเป็นหมอดูที่ใช้ทิพจักขุญาณรู้ได้ถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ เหลืออีก ๒๐ เปอร์เซ็นต์ คือพวกนอกเหตุเหนือผลพวกนั้น เขาจะเป็นปรมัตถบารมี กำลังใจเข้มแข็งเป็นพิเศษ พวกนี้ถ้าหากว่าเขามั่นคงในทาน ศีล ภาวนา ตัวบุญกรรมของเก่าจะให้ผลได้ไม่เกิน ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ก็เลยกลายเป็นส่วนนอกเหตุเหนือผลไป ถ้าเจอคนพวกนี้เข้าบ่อย ๆ เดี๋ยวหมอดูเดี้ยง หมด ความมั่นใจในตัวเอง แต่ถ้าหากว่าทั่ว ๆ ไปแล้ว ตำราหมอดูได้ประมาณ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ และก็ถ้าเป็นทิพจักขุญาณได้ถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือมีนอกเหตุเหนือผล เกินกฎของกรรมไม่สามารถจะละเมิดได้
      ถาม :  แล้วบางอย่างที่เขาทายว่า คนจะตายนะคะ แล้วคนไม่ตายล่ะคะ ?
      ตอบ :  ก็ต้องดูสิ ขนาดพระพุทธเจ้าท่านยังบอกเลยว่า “อายุวัฒนะกุมาร จะตายภายใน ๗ วัน” ใช่ไหม แต่ว่าท่านมีวิธีแก้นี่ ท่านมีวิธีแก้เพราะว่าเด็กคนนั้นเขามีอุปฆาตกรรมอยู่ ถึงตอนนั้นมีโอกาสตายได้
              คราวนี้ยักษ์ ก็เออ...ถ้ากูได้บริวารดี ๆ อย่างนี้ กูก็เอาอยู่แล้วก็เลยไปรอจะรับ ในเมื่อรอจะรับตัว พอเพื่อนของพ่อที่เป็นโยคีมีทิพจักขุญาณรู้เข้า พอพ่อไหว้ก็เลยบอก “อายุวัฑฒโก ขอเธอจงเป็นผู้อายุยืน” แม่ไหว้ก็บอก “อายุวัฑฒโก เธอจงเป็นผู้อายุยืน” พอลูกไหว้ก็เงียบ พอเงียบก็ถามเข้า ก็เลยบอกความจริงให้ฟังว่า “เด็กคนนี้จะตายภายใน ๗ วัน” ถามว่า “มีทางแก้ไหม ?” เพื่อนที่เป็นโยคีบอกว่า “เกินความรู้ของตัวเอง แต่ให้ไปหาพระสมณโคดม พระสมณโคดมเป็นพระอรหันต์ผู้เลิศด้วยประการทั้งปวง ทานอาจจะแก้ได้” ก็ไปกราบพระพุทธเจ้าก็ลักษณะเดียวกัน พ่อกราบก็บอก “อายุวัฑฒโก” แม่กราบก็บอก “อายุวัฑฒโก” ลูกกราบก็เงียบเหมือนกัน ยืนยันเลยว่าตายแน่ภายใน ๗ วัน ถามว่า “มีวิธีแก้ไหม ?” ท่านบอกว่า “มีนะ ให้นิมนต์พระไปล้อมวงแล้วเจริญปริตร” คือสวดมนต์อยู่ตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน พอวันที่ ๗ พระพุทธเจ้าก็เสด็จเอง พอพระพุทธเจ้าเสด็จเอง เทวดาพรหมทั้งหมดก็ต้องไป เทวดาพรหมทั้งหมดไปก็คือ บรรดาโน่นน่ะ ผบทบ.ไปกันหมด พลทหารจะเหลือหรือ ก็เผ่นแน่บไปโน่น
              คราวนี้เรื่องของพระ เรื่องของผี เรื่องของเทวดา เขาตรงไปตรงมา ในเวลานั้นก็ต้องเวลานั้น เลยเวลาก็อดทำอะไรไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านก็อยู่จนกระทั่งเลยเวลานั้น พอเลยเวลานั้นยักษ์ไม่สามารถจะเอาชีวิตเด็กไปได้ตามที่ได้รับพรมา ก็ถือว่าจบกัน เด็กอยู่ต่อมาจนกระทั่งอายุครบ ๑๒๐ ปี ถึงได้เรียกว่า อายุวัฒนะกุมาร นั่นแหละถ้าวาระเและเวลามาถึงใช่ไหม ถ้าได้รับการแก้ไขโดยผู้ที่รู้จริง ก็แก้ได้ แต่ถ้าหากว่าคนแก้ไขไม่รู้จริง ก็อาจจะไปเอาง่าย ๆ เหมือนกัน
      ถาม :  สถิติในเรื่องของกราฟ ลัคนาอะไรพวกนี้ เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน ?
      ตอบ :  บอกแล้วประมาณ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ อย่าลืมว่าหมอดูนี่เป็นศาสตร์ เกิดจากความช่างสังเกตของคนโบราณ พราหมณ์เขาเก็บสถิติต่อเนื่องมาเป็นพัน ๆ ปี ว่าคนที่เกิดวันนี้ เวลานี้ ปีนี้ ระยะนี้นะ ถึงเวลาอายุนั้นเท่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นในชีวิต เป็นสิ่งที่ดีก็ตามชั่วก็ตาม จริง ๆ แล้วก็คือบุญบาปที่เราทำนั่นแหละ คนที่เกิดเวลาใกล้เคียงกันในวันเดือนปีใกล้เคียงกันก็คือ คนที่ทำบุญทำบาปมาใกล้เคียงกัน เมื่อทำบุญทำบาปมาใกล้เคียงกัน ถึงวาระของผลบุญผลบาปจะส่งผล ก็ส่งผลใกล้เคียงกัน เขาก็เลยบัญญัติขั้นมาเป็นศาสตร์ กำหนดขึ้นมาเป็นความรู้เฉพาะเรื่องได้ แต่บอกแล้วว่า ความแม่นยำเต็มที่ได้ประมาณ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าดูในทิพจักขุญาณจะได้ถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือ ๒๐ เปอร์เซ็นต์หมดสิทธิ์ แตะไม่ถึงหรอก ชอบใจที่สุดคือ โหรพม่า ที่ดูดวงให้หลวงพ่ออุตตมะตั้งแต่สมัยเป็นเณร รายนี้เก่งจริง ดูดวงใครทายเป๊ะ ๆ ทุกรายเลย เอาดวงหลวงพ่ออุตตมะไปผูกเสร็จ พับเก็บบอกทายไม่ได้ เกินความรู้ตัวเอง ลักษณะเดียวกับวังคีสะพราหมณ์
              วังคีสะพราหมณ์สมัยพระพุทธเจ้านั้น ท่านมีฉวะสีสะมนต์ เคาะกะโหลกคนหรือสัตว์ที่ตายแล้ว แล้วบอกได้ว่าไปอยู่ที่ไหน ภพไหน ภูมิไหน พอถึงเวลาไปถึงเมืองสาวัตถี ก็อยากจะอวดความรู้ ก็แหม..พาลูกศิษย์ไปเป็นขบวนไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ประกาศชื่อ ประกาศโคตรตัวเองเป็นใครมาแต่ไหน มีความสามารถพิเศษอย่างไร พระพุทธเจ้าก็ให้ไปหาศีรษะคนตายมา เอาคนตายที่ตกนรก คนตายที่เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน คนตายที่เป็นพระอรหันต์เข้านิพพานไป พอเอามาถึง เอ้า...ไหนแสดงความรู้เธอให้ดูทีสิ” ท่านก็ว่ามนต์ฉวะสีสะ เคาะเป๊ก “นี่เป็นสัตว์นรก” พระพุทธเจ้าก็บอก “ถูกต้อง รับรองให้” อันนี้เป็นเดรัจฉาน ก็ถูกต้อง ก็เคาะไปเรื่อย พอถึงกะโหลกพระอรหันต์ เคาะเป๊กเงียบ เคาะเท่าไรก็เงียบ ก็แปลกใจ พระพุทธเจ้าก็ถามว่า “บอกได้ไหม ?” เขาบอกว่า “บอกไม่ได้ เกินความรู้” บอก “แล้วอยากรู้ไหม ตถาคตบอกได้ ?” ก็บอกว่า “อยากรู้ แล้วขอให้สอนด้วย” พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “จะสอนเฉพาะพวกเดียวกัน ถ้าอยากจะเรียนต้องบวชก่อน” วังคีสะพราหมณ์ท่านเองท่านก็เก่งนะ ท่านก็รู้อยู่แล้วมนต์สั้น ๆ บทเดียวสำหรับท่านไม่กี่วันก็คล่องแล้วแหง ๆ อย่างนี้ ก็บอกลูกศิษย์ว่า “กลับไปก่อน เดี๋ยวจะตามไป” เสร็จแล้วก็บวช พระพุทธเจ้าให้มนต์อะไรไป “เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ” ท่องอาการ ๓๒ ให้ฟัง ท่องไปท่องมา อ้าว...ตายละหว่า ไอ้สภาพทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรานี่หว่า จบเรียบร้อย พระพุทธเจ้าท่านบอก “พุทธมนต์” อยากเรียนจะสอนให้ ไม่ได้หลอกนะ สอนให้จริง ๆ เพราะว่าถ้าหากว่าท่านเป็นพระอรหันต์เมื่อไร ท่านก็จะรู้ว่าศีรษะนั้นก็คือ ศีรษะพระอรหันต์ เรียนจบจริง ๆ เหมือนกัน แล้วพอท่านเรียนจบ ท่านก็ประเภทว่าเป็นคนมีความรู้แต่งโคลงแต่งกลอนเก่ง ก็เลยแต่งบทสรรเสริญพระพุทธเจ้าขึ้นมาเป็นร้อย ๆ บทเลย พระพุทธเจ้าท่านก็เลยตั้งให้เป็นเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าผู้อื่นในทางผูกบทบรรยายสาธยาย ในลักษณะที่ว่าแต่งโคลงแต่งกลอนเก่ง สรรเสิรญพระพุทธเจ้าเสียจนประเภทที่ว่าเป็นเรานี่อ่านกันเหนื่อยเลย
      ถาม :  …............................ ?
      ตอบ :  เหตุที่เขามีการที่ว่าพระพุทธเจ้าที่เป็นปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมีสี่อสงไขยกับแสนมหากัป ท่านที่เป็นศรัทธาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป ท่านที่เป็นวิริยาธิกะบำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป นี่ท่านไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ท่านทำเพื่อบริวารของท่าน ท่านที่สร้างบารมีมา ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปนี่ บริวารของท่านก็จะมีรวยมีจน มีสวยมีงาม มีอัปลักษณ์ มีฉลาดน้อย ฉลาดมาก ปนเปกันไปหมด แต่ว่าท่านที่เป็นศรัทธาธิกะ บริวารท่านดี สวย รวย เสมอกันหมด แล้วคนชั่วเข้ามาในเขตที่ท่านประกาศศาสนาไม่ได้
              แต่ถ้าอย่างของปัญญาธิกะนี่มันปนกันไปหดม จะดีจะชั่วก็ตามอยู่รวมกัน ถ้าหากเป็นวิริยาธิกะ นั่นนอกจากบริวารจะดี สวย รวย เสมอกันหมดแล้ว โลกยุคนั้นคนชั่วเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น...สิ่งที่ท่านทำทั้งหมดน่ะ ท่านทำเพื่อบริวาร ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง
      ถาม :  ทำไมสมัยนั้นรู้แจ้งได้ไว ?
      ตอบ :  อะไรก็ตามที่เป็นวิสัยเดิมที่ตนทำมา พระพุทธเจ้าท่านรู้ เทศน์ตรงนั้นก็บรรลุตรงนั้น
      ถาม :  เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ทิพจักขุญาณของเราแต่ก่อนเคยทำมา ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่ถ้าอยากได้นี่จะเคยมี ง่ายไหม ถ้าอยากได้ต้องเคยมีง่ายที่สุด ก็บอกแล้วว่า ถ้าหากว่าแบ่งบารมี ก็จะเป็น ๓ ระดับ ๙ ขั้น หยาบ กลาง ละเอียด ถ้าพวกประเภทหยาบนี่ บอกให้เหมือนกับเข็นครกขึ้นภูเขาน่ะ ประเภทอย่างกลางนี่ก็ได้บ้างหายบ้าง แต่ถ้าอย่างละเอียดนี่ทำทรงตัวได้ คราวนี้ของเรานี่ถ้าหากว่าเราอยากได้นี่ ต้องมีมาบ้างแล้ว ไม่มีมาบ้างจะไม่อยากหรอก หมดอยากไปเลย บอกแล้วเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา ใครอยากได้ล่ะ
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  เป็นไปได้ แต่ว่านานจนกระทั่งมองไม่เห็นปลายว่าจะไปสุดตรงไหน มีแน่นอน เพราะสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ว่าจะอยู่ในภพใด ภูมิใดก็ตาม วาระท้าย ๆ การสั่งสมความดีจะเพิ่มมากขึ้น ๆ จนในที่สุดก็บริสุทธิ์หลุดพ้นเข้าพระนิพพานไปได้ แต่คราวนี้บรรดาที่ท่านเข้านิพพานไปทั้งหมดก็ดี ที่เป็นพรหม เป็นเทวดาอยู่ก็ดี เป็นมนุษย์อยู่ตามจักรวาลต่าง ๆ ก็ดี เป็นสัตว์ทั้งหลายก็ดี ที่เราเห็น ๆ อยู่นี่ ยังไม่เท่ากับที่อยู่ข้างล่างเลย เพราะฉะนั้น...ก็เลยมองไม่เห็นว่า จุดสุดท้ายที่ทั้งหมดไปนิพพานด้วยกันน่ะ จะอยู่ตอนไหน นานเหลือเกิน แต่โอกาสมีแน่นอน
      ถาม :  แล้วอย่างดวงวิญญาณ สมมติว่าที่เขาไม่เคยทำบาปนะครับ แต่ว่าก็ไปทำบุญเหมือนกัน รอรับแต่ส่วนกุศล ?
      ตอบ :  ก็คงจะเกิดเป็นอานันทเศรษฐี เป็นชาวเมืองอาราวี ท่านเองมีความวิปลาสว่า ทรัพย์สมบัติก็คือต้นตระกูลของเราหามา ในเมื่อต้นตระกูลของเราหามา ก็ไม่จำเป็นที่จะไปทำบุญสุนทานกับใคร ในเมื่อตลอดทั้งชีวิตของท่าน ท่านไม่ทำความดีเลย แล้วก็ไม่ทำความชั่วเช่นกัน ก็เลยเกิดเป็นลูกขอทาน แล้วเพราะไอ้ความที่ไม่เคยมีทานบารมีมาเลย วันแรกที่จุดติเข้าท้อง วันนั้นขอทานทั้งคณะอดหมดเลย ขอใครไม่มีใครให้
              หัวหน้าขอทานเขาฉลาดมีปัญญา ก็แบ่งคนเป็นครึ่งหนึ่ง ปรากฎว่ากลุ่มที่แม่ของอานันทเศรษฐีไปด้วยนั่นน่ะอด เขาก็แบ่งครึ่งไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุดก็รู้ว่ายายนี่แน่นอน ก็ให้อยู่เฉย ๆ แกไม่ต้องไปขอ เดี๋ยวพาคนอื่นอดด้วย ถึงเวลาคนอื่นเขาแบ่งให้กินเอง พอคลอดลูกออกมา เขาบอกมีสภาพเหมือนปีศาจคลุกฝุ่น ไม่รู้เหมือนกันว่าหน้าตาหล่อเหลาแค่ไหน แม่ก็เลี้ยงดูลูกจนกระทั่งเจริญวัย พอที่จะเดินเหินไปไหนมาไหนได้ ก็เอาชามแตกยัดใส่มือบอก “เจ้าไปหากินเองเถอะ ถ้าขืนอยู่ก็ทำคนอื่นเขาลำบาก” เพราะเป็นกาลกิณีในหมู่ตัวเองซะแล้ว ไม่เคยทำไว้ก็เลยไม่มีโอากสได้ พอเดินไปเดินมา แกเปะปะไปจ๊ะเอ๋บ้านตัวเองเข้าก็จำได้ เพราะคนที่ตายจากคน พอเกิดเป็นคนมันเหมือนกับหลับแล้วตื่น มันจำความเดิมได้หมด แกก็จะเข้าบ้าน พวกคนใช้ก็กันเอาไว้ไม่ให้เข้า เขาก็โวยวายว่าเขาเป็นเจ้าของบ้านนี้ ในเมื่อเขาเป็นเจ้าของบ้านนี้ ทำไมจะเข้าไม่ได้ ลูกชายได้ยินก็แปลกใจ ก็ออกมาพอทราบเหตุดังนั้น ก็ไปกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “เป็นความจริงหรือเปล่า ?” พระพุทธเจ้าบอกว่า “ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่บิดาเธอไม่เคยบอกเอาไว้แล้วตายไปเลยนะ มีอยู่หรือเปล่า” ท่านเคยบอกว่า” มีนั่นมีนี่ แต่ไม่ได้แจ้งสถานที่เอาไว้ก็ตายซะก่อน” ก็บอก “เธอก็จงไปถามเด็กนั่นว่ารู้ไหม ถ้าเขาบอกถูกก็ใช่” พระพุทธเจ้าท่านไม่ยืนยันตรงนะ ท่านสอนให้พิสูจน์เลย ปรากฏว่าเด็กที่เคยเป็นอานันทเศรษฐีนั่นน่ะ เขาบอกถูกหมด ก็เลยต้องยอมเชื่อว่า ไอ้ปีศาจคลุกฝุ่นนี่ก็คือ อดีตพ่อตัวเอง ก็เลยกัดฟันเลี้ยงเอาไว้ เพราะปล่อยไปที่ไหนก็อดตายแน่ ๆ ไม่มีใครสงเคราะห์เขาอยู่แล้ว เพราะไม่เคยทำความดีเอาไว้เลย คราวนี้ก็จะเป็นลักษณะที่คุณว่านั่นแหละ ความชั่วไม่ทำ กรรมดีไม่สร้าง เดี๋ยวก็ไปเกิดเป็นปีศาจคลุกฝุ่นเสียเองหรอก
      ถาม :  สงสารเห็นเขานั่งร้องห่มร้องไห้กัน ?
      ตอบ :  จ้ะ อันนี้ต้องดูตัวอย่างพระตาลปุตตคมินีเถระ ท่านเป็นนักแสดงเก่า มีชื่อเสียงมาก แฟนตรึมพอ ๆ กับปี๊กนี่แหละ คราวนี้พอท่านไปถึงเมืองสาวัตถีก็เหมอืนกันไปกราบพระพุทธเจ้า อวดความสามารถตัวเอง เพราะว่าสมัยนั้น เขามีคติ คือความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า บุคคลผู้สร้างความรื่นเริงให้กับผู้อื่น ถ้าตายแล้วจะเป็นสหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์เทวโลก
              คำว่าเป็นสหายคือไปเกิดที่นั่นนะ เขาก็ไปกราบพระพุทธเจ้ารายงานตัวตนเสร็จสรรพ ก็ถามปัญหาข้อนี้ว่า “จริงหรือไม่ ที่เขาเชื่อถือสืบ ๆ กันมาว่า บุคคลผู้สร้างความร่าเริง เบิกบานให้กับผู้อื่นอย่างเขานี่ คือเขาเป็นนักแสดงใช่ไหม ถ้าตายแล้วจะไปเกิดเป็นสหายของเทวดาในชั้นดาวดึงส์เทวโลก” พระพุทธเจ้าบอกว่า “มานะเว ดูกรมานพ อย่าให้ตถาคตตอบปัญหานี้เลย” เขาก็ตื๊อถามถึง ๓ ครั้ง พระพุทธเจ้าตอบว่า “ไม่ได้ไปดาวดึงส์หรอก ลงอวเจีมหานรก” พระตาลปุตตคามินีเถระ ท่านเชื่อพระพุทธเจ้าแบบประเภทแบบฝังจิตฝังใจเลยนะ ร้องไห้โฮตรงนั้นเลย ถามว่า “มีวิธีแก้ไขไหม ?” บอก “มี บวชแล้วปฏิบัติซะ” ท่านก็เลยบวช แล้วก็กลายเป็นพระอรหันต์ไป ถามว่าทำไมบุคคลที่เป็นดารา ที่มีคนเขาประเภทที่เรียกว่าชื่นชมในการแสดงมาก ๆ ตายแล้วถึงไปอเวจีมหานรก เพราะว่าสิ่งที่เขาทำมันเป็นมายาการ ทำให้คนไปหลงติดในบทบาทการแสดงนั้น ขนาดนางอิจฉาเดินตลาดเจอเปลือกทุเรียนตบน่ะ มันเชื่อเป็นจริงเป็นจังขนาดนั้น
              พระพุทธเจ้าสอนให้ละโลก แต่พวกนี้สอนให้ยึด ลักษณะการกระทำไม่ได้เจตนาแท้ ๆ แต่ทำให้คนเป็นมิจฉาทิฏฐิ คนเป็นมิจฉาทิฏฐิตายแล้วจะลงอวเจี และตัวคนทำให้เขาเป็นมิจฉาทิฏฐิจะเหลือหรือ
              ดังนั้นบรรดาดาราทั้งหลายนักร้องทั้งหลายก็ตาม ประเภทซุปเปอร์สตาร์คนนิยมมาก ๆ ถ้าไม่มีความดีอื่นทรงตัวอยู่นี่ รับรองว่าไปหมดแต่ว่าเจอดาราหลายต่อหลายรายที่เขามีความดีทรงตัวทำบุญเป็นประจำนะ ไปทางฝั่งพม่าดารายอดนิยมสุดยอดของเขาเลยน่ะ บวชชีเป็นประจำ ยายนี่ใส่วิกตลอด ดีไม่ดีเล่นหนังเรื่องหนึ่งพอจบก็บวชชีซะก่อน ประเภท ๗ วัน ๑๕ วัน เสร็จแล้วก็สึกออกมาใส่วิกเล่นหนังต่ออะไรอย่างนั้น โอ้โฮ...แกโกยบุญใส่ตัวชนิดนับไม่ถ้วน คงจะกลัวเป็นแบบนี้
      ถาม :  ไม่ใช่ดาราไทย ?
      ตอบ :  ดาราพม่า ไอ้ของไทยเราไอ้ที่ประเภทใจบุญสุนทานก็มีเป็นปกติอยู่แล้ว อย่างคุณสรพงษ์ แกเป็นประธานสร้างรูปหลวงพ่อโตใหญ่ที่สุดในโลก สร้างรูปเสร็จ คราวนี้สร้างมณฑปอีกแล้ว ถวายหลวงพ่อโตท่าน
      ถาม :  หลวงพ่อโตวัดบ้านไร่หรือคะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่จ้ะ หลวงพ่อโต วัดระฆัง แกไปสร้างอยู่แถว ๆ ชัยภูมิ รอยต่อระหว่างชัยภูมิกับนครราชสีมา ไม่ทราบว่าวัดอะไร เคยผ่านไปเหมือนกัน สีคิ้วใช่ไหม สีคิ้วยังไม่ถึงชัยภูมิ ยังอยู่โคราชอยู่นี่ เคยผ่านขึั้นไปทางด้านโน้น แล้วผ่านวัดนั้นพอดี แล้วก็เคยทำบุญร่วมกับเขามา เขายังประเภทแจกลายเซ็นกับวัตถุมงคลมา เขียนบอกขอให้หลวงพี่เล็กรวย ๆ แหม...รับพรด้วยความเต็มใจ
      ถาม :  หลวงพี่ไปขอลายเซ็นหรือคะ ?
      ตอบ :  ไม่ได้ขอ คนที่ทำบุญเขาให้จริง ๆ เขาจะมีพระเป็นกล่อง ๆ มา แล้วก็เซ็นลายเซ็นไว้ให้ข้างหลัง แล้วก็เขียนอวยพรไว้ให้ด้วย เขาไม่รู้หรอกว่า สิ่งที่เขาให้มาน่ะ จริง ๆ เราอยากได้เหมือนกันในเมื่อเขาให้รวย ๆ เอาก็เอาวะ...!