สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกันยายน ๒๕๔๖ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  แล้วที่สักยันต์ละครับ ?
      ตอบ :  เรื่องของยันต์ประกอบด้วย ๓ อย่างด้วยกัน อันดับแรกของขลังก่อนที่จะสัก เขาจะหาของอย่างเช่นว่า ว่านยา หรือไม่ก็ผงที่เป็นอาถรรพ์ เพื่อที่ประกอบให้มีความศักดิ์สิทธิ์ แล้วต้องรีบสักนะ ช้าไม่ได้ ช้าแล้วสักไม่เข้าเคยเจอมาแล้ว อย่างพวกที่สักว่านสบู่เลือด ยังสักไม่ครบองค์ยันต์เลย ทิ่มไม่เข้าแล้วนะ แล้วก็พลังจิตของครูบาอาจารย์ คนที่สักถ้าอย่างหลวงพ่อหรุ่น เก้ายอดวัดอัมพวัน พอสักเสร็จไล่อีดาบหวดตูมเลยล่ะ ก่อนจะหวดท่านโกนขนหน้าแข้งให้ดูซะด้วย บรรดาอาจารย์ขลัง อันดับสุดท้ายคือกำลังใจตัวเอง ของทุกอย่างน่ะดี สำคัญตรงกำลังใจของตัวคนใช้ของเปิดรับหรือเปล่า ของเป็นเครื่องส่ง ส่งคลื่นอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว สำคัญตรงเครื่องรับจะรับไหม รับได้มาก อานุภาพก็สูง รับได้น้อยก็ต่ำ
              เพราะฉะนั้น...ของดีจริง ๆ เขามีอยู่แต่ถ้าประกอบได้ ๓ ส่วนนี้ ก็คือดีครบ หลวงพ่อหรุ่นท่านสักยันต์เก้ายอด เก้ายอดรุ่นสุดท้ายที่เรารู้จักก็คือ คุณธรรมนูญ เทียนเงิน ผู้ว่ากทม. พอหลุดจากรุ่นคุณธรรมนูญแล้ว ไม่รู้ว่าลูกศิษย์หลานศิษย์มีใครที่ประเภทเก่งทางนี้บ้าง สมัยก่อนนั้นถ้าหากว่าก๊กพวกเก้ายอดออกไปตีกับใคร เขาสั่นหัวกันทั้งนั้นแหละ ตีเท่าไรไม่มียุบ ฟันเท่าไร แทงเท่าไร ไม่มีเข้าหลวงพ่อหรุ่นจริง ๆ แล้วท่านเป็นขุนวิจลใจภารา เป็นท่านขุน รักพวกรักพ้อง พาคนไปดีก็มี เลวก็มี แต่ว่าคนเลวไปหาท่านไม่เอาเลวไปอวด มันเอาดีไปอวด อยากจะคบหากับท่านใช่ไหม ถึงเวลาทางการจะเล่นงานท่าน เกิดคนหมั่นไส้มา มันก็ไปฟ้องว่า ท่านขุนแกคบโจร เขาจะจับแกเข้าคุก แกก็ต้องเผ่นไป คนเวลามันไปปล้นที่ไหน มันก็บอกว่า “เสือหรุ่นปล้น” ก็เลยตกกระไดพลอยโจน ตามไปยิงกบาลไอ้คนปล้นซะตัวเองก็เลยกลายเป็นผู้ร้ายฆ่าคนทางตำรวจเห็นว่าชักจะโด่งดังกันไปใหญ่ เพราะว่าความที่ตัวเองกว้างขวางมาก พอลูกน้องเยอะเข้าตำรวจเอาไม่อยู่แล้ว ก็ส่งคนไปเจรจาให้ไปมอบตัวแล้วจะอภัยโทษให้ ปรากฏว่าเกิดหักหลังกันขึ้น พอวันที่ไปมอบตัว ซุ่มกำลังอยู่จะจับท่าน ท่านก็เลยต้องแหวกวงล้อมไป แล้วก็หนีไปบวชสมัยก่อนเข้าบวชเป็นอันว่าจบกันคุณอยู่ในวัดไม่เป็นไร ขนาดราชภัย คือพระเจ้าแผ่นดินจะประหารนี่ ถ้าหนีไปบวชก็จบนะ ไม่ตามไปรังควาน เพราะว่าอย่างน้อย ๆ มีความเคารพในศาสนา เคารพในผ้าเหลืองอยู่ ก็ถือว่าจบกัน กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีแล้วใช่ไหม
              คราวนี้ของท่านศึกษาวิชาการไว้มาก พอไปบวชเข้าคนที่เลื่อมใสที่เป็นลูกศิษย์ลูกหามาก แล้วท่านก็สักยันต์ให้มันประเภทสักแล้วลองได้เลยอย่างนั้นนะ เหนียวทุกคน ลูกศิษย์ก็เยอะขึ้น ๆ มาตอนหลังทางการต้องไปขอร้องใหม่ “หลวงพ่ออย่าสักให้มันเลย มันจะกลายเป็นนักเลงกันหมดแล้ว” วัดอัมพวัน ปัจจุบันไม่มีวามเป็นวัดเหลืออยู่ อยู่แถว ๆ นี้ แถว ๆ เขตพระนคร แถวเขตป้อมปราบ พอกลายเป็นที่ช้าวบ้านทำมาหากินไป พอสิ้นหลวงพ่อหรุ่นแล้ว ก็เสื่อมโทรมไปเรื่อย เพราะไม่มีใครดูแลรับช่วงต่อ เลยกลายเป็นวัดร้างเสื่อมสภาพ เป็นธรณีสงฆ์ไไป ก็โดนตัดออกจากความเป็นวัดของทางกรมศาสนาไปอย่างนั้น ถ้ายังมีวัดอัมพวันอยู่นี่ พวกยังขายของหลวงพ่อหรุ่นได้อีกหลายยก
              คราวนี้เล่ามาตั้งเยอะตั้งแยะ สมัยก่อนนี่เสือหรือชาวบ้านหรือตลอดจนกระทั่งพระ ทำไมท่านทำอะไรก็ขลัง แปลกไหม ? แล้วสมัยนี้ทำไมไม่ขลังอย่างนั้นบ้าง ที่ทำขลังยังมี แต่น้อย ด้วยเหตุที่น้อยลงก็เพราะว่า คนรุ่นหลังนี่ยังทำไม่จริง คำว่า “สัจจะ” น่ะใช่เลย สัจจะ คือจริงจัง จริงใจ อยากดีแต่ไม่พยายามแสวงหา ไม่พยายามขวนขวาย ไม่พยายามทำขึ้น คิดแต่จะเพียงอาศัยคนอื่น เคยคุยกับโยมคนหนึ่ง เป็นเสือเก่าหนังดีเหมือนกัน ประเภทตำรวจยิงไม่เข้า หรือยิงออกก็ไม่ถูกนะ เสือวีเขาบอกว่า “ถึงเวลาว่างเมื่อไร ต้องรีบภาวนาไว้” โอ้โฮเว้ย...ยิ่งกว่าพระอีก ว่างเมื่อไรให้รีบภาวนาไว้ เพราะไม่รู้เหมือนกันว่า ลูกปืนมันจะมาเมื่อไร เท่ากับเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ส่วนพวกเราว่างเมื่อไร ก็ฟุ้งซ่านเมื่อนั้น ในเมื่อมันทำไม่ได้อย่างเขา ผลก็เลยยังไม่เกิดเหมือนคนโบราณเขา
      ถาม :  สมมติว่ามีพระที่พุุทธาภิเษกแล้ว แล้วมีพุทธาภิเษกที่วัดท่าซุง เราเอาเข้าโบสถ์จะเป็นผลอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  หลวงพ่อท่านเคยพูดเล่น คือถ้าหากว่าทำพิธีมาจากแหล่งเดียวกันเพิ่มเติมเข้าไปก็จะมีแค่เสมอตัวกับกำไร แต่ถ้าหากว่าผ่านจากพิธีอื่นมา ที่เขาไม่ได้ทำพิธีครบถ้วน เรื่องของพระและเทวดาที่ท่านสงเคราะห์แบบนั้น ก็จะมีแต่กำไรแต่ส่วนเดียว เอาของมากไปเติมให้ของน้อย ก็มีแต่รับใช่ไหม แต่เอาของมากไปเติมของมากด้วย ก็ล้นเสียเปล่า ๆ ดังนั้นว่าถ้าเอาจากที่อื่นมา ส่วนใหญ่ที่สายอื่นเขาทำ เขาได้ว่าพลังไม่สูงอย่างกับสายของหลวงพ่อ แต่ถ้าคุณสังเกต สมเด็จวัดระฆังก็ดี สมเด็จวัดปากน้ำก็ดี พระหลวงปู่ปานก็ดี เป็นอย่างไร ราคาในตลาดหูดับทั้งนั้นเลยใช่ไหม แล้วทำไมถึงขลังอยู่ยงคงกระพันมาจนถึงปัจจุบันนี้ เพราะว่าทุกองค์รู้จักพระพุทธเจ้า รู้จักท่าน อาราธนาท่าน ของท่านให้ช่วยได้ คราวนี้ของสายอื่นเขาใช้กำลังสมาธิสมาบัติเฉพาะตัว ที่หลวงพ่อท่านเตือนนักเตือนหนา ทำอะไรอย่าใช้ความสามารถตัวเอง พระท่านว่าอย่างไรให้ทำอย่างนั้น ตรงนี้สำคัญที่สุด ดังนั้นถ้าของเขาทำด้วยตัวเอง ก็สู้ของพระท่านไม่ได้ เอามาก็มีแต่ได้เพิ่มขึ้น แต่ถ้าหากว่าของพระกับของพระด้วยกันเข้าพิธีก็ต้องรอฟลุก ว่าเมื่อไรท่านจะเพิ่มให้
              เป่ายันต์เกราะเพชรคราวที่แล้ว มีโยมคนหนึ่งคนเดียวขนวัตถุมงคลไปเข้าพิธีหนึ่งรถปิคอัพ ยืนยันว่าคนเดียว อะไรมันจะเชื่อขนาดนั้นวะ...! มันกะว่าอาตมาเป่ายันต์เสร็จเป็นลมตาย มันก็สบายแล้ว คนเดียวมันเล่นไปปิคอัพหนึ่ง ไปนึกถึงหลวงพ่อตอนที่ท่านทำ สมเด็จคำข้าว ๕ ล้านองค์รุ่นที่สอง ท่านบอกว่า “ท่านทำนี่อนุญาตให้วัดอื่นเอาไปจำหน่ายได้” เพราะว่าท่านจำหน่าย ๑๐ บาท วัดอื่นเอาไปจำหน่ายร้อยหนึ่งได้ เพื่อหาประโยชน์เข้าวัด ท่านอนุญาตไว้อย่างนั้นเลย คือจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาขอให้ท่านไปทำที่โน่นที่นี่ เพราะท่านเองก็ไม่มีเวลา แล้วจะผิดใจกันเสียเปล่า ๆ ไปโกรธท่านก็เกิดโทษ อีกเลยอนุญาตให้ไปจำหน่ายได้ เพราะฉะนั้น...บางครั้งวัดโน้นมี วัดนี้มีนี่ ถ้าเป็นคนที่พิสูจน์ได้ก็สบายเลย เจอราคาไม่ถึงพันนี่กวาดเอาไว้ก่อน
      ถาม :  ผมไปเดินตลาดพระ เห็นมีพระหลวงพ่ออยู่ด้วย มีดหมอ แต่ผมไม่มั่นใจว่าแท้หรือเก๊ ถ้าหากว่าผมบูชามาแล้ว ขอให้หลวงพี่สงเคราะห์ได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  ขอให้เณรสงเคราะห์ได้ เณรไม่ใช่พระ ในเมื่อเณรไม่ใช่พระ ข้อห้ามตรงจุดนี้ไม่มี เพราะเณรเขาศีลแค่ ๑๐ ข้อก็พอแล้วนั่นแหละไปได้เลย วัดประยูรเอาให้ตายไปข้างหนึ่ง
      ถาม :  พระคำข้าวองค์ละ ๑๐ บาท ๒๐ บาทเหมือนเด๊ะ ?
      ตอบ :  ที่เหมือนเด๊ะ เพราะอะไรรู้ไหม เขาส่งของไม่ครบจนเลยกำหนดเวลาไปสองเดือนเต็ม ๆ แล้วสองเดือนเต็ม ๆ แม่พิมพ์ ๑๒ ตัวมันปั๊มได้เท่าไร ? ไม่มีปลอม พิมพ์ก็ใช่ เนื้อก็ใช่ ตำหนิทุกอย่างเหมือนกันหมด เพียงแต่ไม่ได้เอาได้เข้าพิธี เพราะมันเก็บไว้เตรียมจำหน่าย เรื่องของตลาดพระนี่ ที่ดีก็มี ที่ชั่วก็มาก มันถึงขนาดทำตำหนิเอาไว้เลย แล้วสมมติว่าสามสิบพิมพ์นะ มันจะทำตำหนิไว้สักสี่พิมพ์ หรือห้าพิมพ์ แล้วก็จะปั๊มแต่ไอ้สี่พิมพ์ห้าพิมพ์ไว้เป็นกุรุสเลย พอถึงเวลานานไป ๆ พระดังขึ้นมา ก็จะชี้ตำหนิตามที่มันทำขึ้นมา ว่าต้องอย่างนี้ถึงใช่ อันอื่นต่อให้รับมากับมือแท้ ๆ กลายเป็นของปลอมไป ถ้าใช่นี่ต้องของมัน นี่ประการที่ ๑ ประการที่ ๒ คือมีการปั๊มเพิ่มเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าจำไม่ผิดคือประมาณ ๒๕๒๓ หลวพ่อทำพระปิดตาตชด. แต่เป็นพระปิดตาทรงสามเหลี่ยมตัดมุม เพราะฉะนั้น...สามเหลี่ยมตัดมุมมันก็มากขึ้นหลายเหลี่ยมเลยใช่ไหม นั่นแหละปรากฏว่า หลวงพ่อสั่งระงับการพุทธาภิเษก คนเขาก็แปลกใจว่าทำไม ? หลวงพ่อบอก “มันทำเกินเป็นหมื่นเลย” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลวงพ่อก็หายไปจากวงการพระเครื่องเลย เลิกคบพวกนี้โดยเด็ดขาด สั่งแต่เจ้าที่เชื่อถือได้เท่านั้น พอหลวงพ่อระงับพวกนั้นก็เจ๊งสิ ทำเกินไปตั้งเยอะตั้งแยะ มันควักทุนตัวเองล้วน ๆ ใช่ไหม ถามหลวงพ่อว่า “แล้วทำไมถึงถอนตัวออกมาครับ ?” ท่านบอกว่า “ดังไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะคนที่มาหาพระเครื่อง ส่วนใหญ่แล้วกำลังใจมันแค่ชั้นต้น ๆ เท่านั้นเอง ถ้าคนที่เขามาหาธรรมะ จึงมีกำลังสูงสุด” ท่าต้องการคนพวกนั้นมกากว่า แค่นี้ข้าก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ถ้าพวกที่เห่อพระเครื่องก็แห่มาอีก ข้าจะตายไวกว่านี้ นี่คือเหตุผลของหลวงพ่อ นิตยสารลานโพธิ์พาดหัวเลย “ฤๅษีลิงดำทราบด้วยญาณ มีการทำพระเกินเป็นจำนวนมาก จึงสั่งระงับเสีย” เล่นพาดหัวกันอย่างนั้นเลย
      ถาม :  ถ้าผมคิดจะบวชไม่สึกได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  บวชไม่สึก เลิกคิดเลยคุณ อาตมายืนยัน ตายอย่างเดียว ต้องคิดว่า ถ้าอยากสึกเมื่อไร พร้อมสึกทันที ถ้าอย่างนั้นแหละคุณจะอยู่สบาย คิดว่าบวชไม่สึกคุณปิดทางหนีตัวเอง ถึงเวลาโดนเขาบอมบ์ตาย เราตั้งใจไว้ไม่ต้องบอกใคร แล้วเราทำของเราไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องไปเสียฟอร์มตอนอยากสึก
              มีอยู่รายหนึ่งเป็นรุ่นน้องอาตมา ๗-๘ พรรษา บวชอยู่ที่วัดท่าซุง ตอนใกล้ออกพรรษาจะมีการถ่ายรูปหมู่ประจำพรรษา แกก็ไปถ่ายรูปหน้าหลวงปู่ปานที่หน้าวัด แล้วก็อธิษฐานว่า “ถ้าหากว่ามีอะไรที่เป็นปาฏิหาริย์ให้เห็นได้ชัด แกจะบวชตลอดชีวิต” ปรากฏว่าล้างรูปออกมามีดวงแสงสว่างเบ้อเร่อเลยอยู่บนหัว พออกพรรษาอยากสึก ไอ้นั่นเกือบจะบ้า เพราะว่าไปปิดทางถอยตัวเองแล้วนี่
              เพราะฉะนั้น...คุณจำให้ขึ้นใจเลย จะสึกหรือไม่สึกอยู่ที่เรา อาตมาเองทุกวันนี้ยังตั้งใจเลย นึกอยากสึกเมื่อไร กูไปทันที คราวนี้พอเราเปิดทางโล่งเอาไว้ขนาดนั้นนี่ มันก็ไม่มาบังคับเราให้สึกเสียเวลาหรอก จะมาเล่นเราด้านอื่นแทน องค์นั้นน่ะสึกจ้ะ เหตุที่สึกเพราะว่า ไปกราบหลวงพ่อร้องห่มร้องไห้ “ผมจะทำอย่างไรดี ไม่สึกผมขาดใจตายแน่ ๆ แต่ผมก็สัญญากับพระไว้แล้ว ?” หลวงพ่อท่านว่า “อันนั้นเป็นความตั้งใจของคุณใช่ไหม ?” “ใช่ครับ” “ก็เปลี่ยนความตั้งใจเสียสิ” ฟังดูง่ายนิดเดียวเนอะ ฟังง่ายไหม เปลี่ยนความตั้งใจเสียสิ แต่อันนี้ฟังง่ายเฉพาะคนที่เข้าถึงธรรมจริง ๆ เลย คนที่เข้าถึงไม่จริงไปยึดติดอยู่นี่ คลั่งแน่เลย เพราะคิดว่าเป็นการผิดสัจจะ ความจริงตัวตั้งใจเป็นตัวอธิษฐานบารมี ถ้าเรารู้ว่ามันผิดทางเราก็แก้ให้มันถูกได้ ถ้าไม่ได้หลวงพ่อ ไม่ได้สึกหรอกนั่นน่ะ ป่านนี้บ้าไปเรียบร้อยแล้ว
      ถาม :  อธิษฐานบารมี กับสัจจะบารมี ต่างกันอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  ต่างกันตรงที่ว่าตัวสัจจะคือ จริงจังมั่นคงทุกอย่าง โดยเฉพาะสัจจะบารมีนี่วัดง่ายที่สุด ใครที่สัจจะบารมีเต็มนี่ไปตรงนัดทุกคน นัดใครไม่เคยพลาดหรอก พวกประเภทมาตรงวันก็ดีแล้วนี่ สัจจะบารมีพร่องแน่ ๆ เลย ส่วนอธิษฐานบารมีเป็นการปักใจมั่นว่า เราจะเอาอย่างนั้น เราจะทำอย่างนั้น คราวนี้ถ้าเรารู้ว่าผิด เราก็แก้ไขให้ถูกได้ มันถึงจะเป็นคนมีปัญญา ถ้าหากว่าผิดแล้วยังไม่แก้ไข ตะบันไปตามผิดอยู่อีก ก็ขาดปัญญามากจนเกินไป
      ถาม :  บางคนเขาอธิษฐานว่านิพพานชาตินี้ใช่ไหมครับ แล้วอย่างนี้ ถ้ากรรมเก่าเขาเห็น่าจะนิพพานชาตินี้ เขาไม่มารุมเราแย่เลยหรือครับ ?
      ตอบ :  รุมก็รุมไปสิ กำลังใจของคนจะไปนิพพาน เขาเห็นว่าชั่วชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไรก็ไม่เกิน ๑๐๐ ปี เปรียบกับการเวียนตายเวียนเกิด นับกัปไม่ถ้วนที่จะมีต่อไปข้างหน้า เท่ากับแป๊บเดียวเอง ทำไมเราจะทนไม่ได้ ทำไมจะอยู่กับมันไม่ได้ แต่ขึ้นชื่อว่าเกิดมาเพื่อทุกข์ เพื่อทนอย่างนี้จะไม่มีสำหรับเราอีกแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เขาคิดกันแค่นี้ คุณลองคิดดูสิ อย่างไรก็อีกแป๊บเดียว เปรียบกับไอ้แค่นับไม่ถ้วนนั่นไม่รู้จนบอกไม่ถูกนะ โอ้โฮ...คุ้มเหลือเกินนะ ประเภทล้านหนึ่งเก็บบาทเดียว
      ถาม :  ดาบฟ้าฟื้นสร้างอย่างไรหรือครับ ?
      ตอบ :  "จะจัดแจงตีดาบไว้ปราบศึก ตรงตรึกหาเหล็กไว้หนักหนา เสร็จสมอารมณ์ตามตำรา ที่ว่าไว้ในมหาศาสตราคม เอาเหล็กยอดเจดีย์มหาธาตุ ยอดปราสาททวารามาผสม เหล็กขนันผีพรายตายทั้งกลม เหล็กตรึงโลกตรึงปั้นลมสลักเพชร หอกสำริดกริชทองแดงพระแสงหัก เหล็กปฏักสลักประตูตะปูเห็ด อีกทั้งเหล็กเบญจพรรณกัลเม็ด เหล็กบ้านพร้อมเสร็จทุกสิ่งแท้ เอาเหล็กไหลเหล็กหล่อบ่อพระแสง เหล็กกำแพงน้ำพี้ทั้งเหล็กแร่ อีกทองคำสำริดนาคออะแจ เงินที่แท้ชาติเหล็กทองแดงดง”
              ตายไหม ? แค่หาเหล็กอย่างเดียวก็แย่แล้ว อะไรก็ไม่ว่าหรอก เคยนั่งทะเลาะกับผี “หอกสำริดกริชอทองแดง” อ้าวพอไหว “พระแสงหัก” เฮ้ย...พระแสงมันต้องอาวุธของเจ้านายเลยนะ มันยากนะ แล้วก็เอา “ยอดเจดีย์มหาธาตุ” ติดหนี้สงฆ์ตายห่าอีก เขาบอกว่าอะไรรู้ไหม ? เขาบอกว่า “เขาไม่โง่เหมือนกับเอ็งหรอก เขาก็ตั้งพานชำระหนี้สงฆ์ไว้ก่อน แล้วค่อยไปขอ” “ยอดปราสาททวารามาผสม” ตายละหว่า เหล็กยอดปราสาท เข้าไปก็หัวขาดสิครับ เขาบอกว่า “เขาได้วิชาล่องหนหายตัว เรียนมาแล้วไม่รู้จักใช้ ก็ตายห่าไปสิ” นั่งเถียงกับผีมาครึ่งคืนนะ มาไล่ไปทีละอย่างว่ามันเอาไปได้อย่างไร เสร็จแล้วมาตายหงิกอยู่ตรงตะปูเห็ด “ตะปูเห็ด” หาง่ายจะตาย สมัยนี้ซื้อกล่องหนึ่งเป็น ๕๐ ตัว ๑๐๐ ตัวใช่ไหม เขาบอกว่า “ไอ้บ้า...ไม่ใช่ตะปูเห็ดอย่างนั้น” ตะปูสมัยก่อนเป็นตะปูหล่อ เขาเรียกตะปูสังขวานร หัวจะโต เขาเรียก ตะปูเห็ด จะเป็นตะปูหล่อที่ส่วนใหญ่เขาเอาไปเพื่อตอกสลักประตูโบสถ์
      ถาม :  ต้องไปแงะประตูโบสถ์หรือครับ ?
      ตอบ :  ก็หาที่เขาชำรุดสิ ไม่ก็ของใหม่ไปเปลี่ยนของเก่านั่นแหละ ไปนั่งเถียงกับผีอยู่ครึ่งคืน จนกระทั่งเกือบจะโดนผีเตะเอา เพราะความช่างสงสัย
      ถาม :  ในโลกนี้เคยมีคนสร้างกี่เล่มครับ ?
      ตอบ :  ถ้าดาบฟ้าฟื้นมีเล่มเดียว ถ้าหากว่าอาวุธที่สุดยอดระดับนัั้นมีเยอะ เพราะตำราสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่ใช่แต่ของเรา อย่างของญี่ปุ่นก็มี อย่างของจีนก็มี อย่างของญี่ปุ่นยอดดาบซามูไรของเขา ประเภทวางขวางทางน้ำไหลแล้วก็ใบไม้ไหลผ่านมาก็ขาดเลยอะไรอย่างนี้ เขาทำได้ขนาดนั้น เสร็จแล้วก็ขึ้นอยู่กับนิสัย แล้วก็สันดานของคนทำด้วย เพราะต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจเข้าไป เพื่อสร้างผลงานที่ดีที่สุด เลิศที่สุดออกมา อย่างของเราที่ต้องประกอบด้วยสมาธิ สมาบัติ คาถาอาคมสารพัด เพราะฉะนั้น...ของญี่ปุ่นนี่มีดาบฝ่ายดี แล้วก็ฝ่ายไม่ดี
      ถาม :  อย่างการให้ทาน ผมมีความคิดว่า การให้ทานในแต่ละระดับชั้น แต่ละกรณี สิ่งที่ต่างกันคือความเข้าใจในการที่เราให้ คือสิ่งที่ต่างกัน ?
      ตอบ :  ถูก แล้วคราวนี้คุณรู้ไหม ตัวเข้าใจคุณเข้าใจอะไร ?
      ถาม :  คือสิ่งที่ต่างกันจากต้น กลาง ปลาย
      ตอบ :  อยู่ตรงตัวปล่อยวาง ตัวปล่อยวางเขาเรียกว่าตัวอุุเบกขา แรก ๆ พอให้เขา อาจจะตามไปเช็คว่าเขาใช้ของกูหรือเปล่าวะ เอาของกูไปใช้ประโยชน์จริงหรือเปล่า หรือหลอกต้มให้กูให้มัน แต่ถ้ามาถึงจุดสุดท้ายแล้ว ให้แล้วให้เลย มันอยากได้เราก็ให้มัน จะไปทำอะไรเรื่องของมัน ต่างกันตรงไหนล่ะ ตรงที่ปล่อยวางนั่นแหละ ตัวนี้เรียกว่า “อุเบกขา” บารมีทุกอย่างท้ายสุดจบลงตรงอุเบกขา สมาธิทุกระดับท้ายสุดจะจบลงตรงอุเบกขา วิปัสสนาญาณทุกระดับท้ายสุดจะลงตรงอุเบกขา
      ถาม :  เป็นอุเบกขาโดยสมาธิ หรือเป็นอุเบกขาโดยวิปัสสนาครับ ?
      ตอบ :  จะต้องทั้งคู่ควบกัน เพราะถ้าปัญญาอย่างเดียว บางครั้งกิเลสแรงบางครั้งก็เอาไม่อยู่ ต้องใช้สมาธิช่วย ถึงได้บอกว่า ราคะกับโทสะ ถ้าไม่มีสมาธิ เอาไม่อยู่แน่ ๆ เลย
      ถาม :  เพราะว่ามีขันธ์ ๕ ใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ต่อให้เป็นขันธ์ทิพย์ก็โดน โดยเฉพาะเทวดานี่ ความสุขของท่าน ราคะของท่าน ละเอียดกว่าเราเยอะ ยิ่งชวนให้ติด ชวนให้หลงไหลมากกว่า
      ถาม :  แล้วบารมีแต่ละขั้น จากต้นเป็นกลาง จากกลางเป็นปลาย จะเข้าใจอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  ปัญญาเกิดว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ดี เราควรพึงจะทำ เออ...จากเดิมถ้าสมมติว่าเป็นสามัญบารมีอย่างหยาบใช่ไหม บอกว่าให้ทานอย่างไร กูก็ไม่ให้ละวะ แต่พอมาเป็นสามัญบารมีขั้นกลาง บอกว่าให้ทาน เออ...ดีนี่หว่า ควักออกมา อ้าวเสียดาย ยัดกลับเข้าไปใหม่ ถ้าหากว่าเป็นสามัญบารมีต้นขั้นละเอียด ควักออกมาให้เขา แต่แหม...เสียดายใจจะขาดรอน ๆ ก็ไล่ไปอุปบารมีอีกสามขั้น ปรมัตถบารมีอีกสามขั้น อะไรอย่างนั้น
      ถาม :  ให้ไปจนกว่าจะเข้าใจว่าคืออะไร ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วคือให้เพราะเป็นการตัดความโลภ ให้เพราะเป็นการสงเคราะห์คนอื่นเขา และที่สำคัญที่สุด ผู้ที่ให้คือผู้ที่ได้ จะมีความเข้าใจมากขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วจนกระทั่งในที่สุด ก็จะทำอย่างสะดวก พูดง่าย ๆ คือพร้อมที่จะเป็นผู้ให้อยู่ตลอดเวลา
      ถาม :  ถ้าอย่างนี้คือการทำบุญสะสมบุญ เราควรจะพิจารณาส่วนที่ทำอย่างไรได้บ้างครับ ?
      ตอบ :  การพิจารณาพระพุทธเจ้าท่านสอนอยู่ตลอดนะ ต่อให้ของคุณทำงานทางโลกก็เถอะ มีการทบทวนประเมินผลอยู่เสมอใช่ไหม การพิจารณาทบทวนประเมินผลของทางธรรม พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า วิมังสา ท่านสอนไว้ครบแล้วนะ วิมังสา คือการไตร่ตรองทบทวน จะได้รู้ว่าตัวเองทำอะไรทำถึงไหน ตรงจุดมุ่งหมายหรือยัง ถ้าหากว่ายังไม่พอจะได้ทำเพิ่ม ถ้าหากว่าดีแล้วก็ได้ทำให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
      ถาม :  แต่ว่าผู้ที่มีความตั้งใจอย่างเต็มที่ มักจะพิจารณาอยู่แล้วในสิ่งที่ตัวเองทำเพื่อให้เกิดผล ?
      ตอบ :  คิดจะทำไหม พร้อมจะทำไหม ลงมือทำหรือยัง ผลของการลงมือทำเป็นอย่างไร เสร็จแล้วก็มาเริ่มต้นรอบใหม่ เพื่อให้ดีขึ้น ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่างพระอนุรุทธ ท่านเป็นวิชชาสาม แต่ทิพจักขุญาณท่านครอบคลุมทั้งอภิญญาหก และปฏิสัมภิทาญาณเหนือกว่าใครทั้งหมดเลย เหมือนของท่านเป็นผู้ชำนาญการโดยตรง เพราะว่าท่านสร้างบุญทางด้านนี้มาโดยเฉพาะ ถวายประทีบโคมไฟในพระศาสนา กลายป็นประเภทที่เรียกว่า ในเมื่อศึกษามาโดยตรงความคล่องตัวมีมากกว่าคนอื่นเขา คนที่เราคิดว่า เออ...เขาแข็งแรงกว่า แต่ความชำนาญมีไม่พอเท่ากับท่าน
      ถาม :  พระสารีบุตร กับพระมหากัจายนะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ คือว่า พระมหากัจจายนะ ถ้าหากว่าในเรื่องของการอธิบายในลักษณะนี้ของท่านจะมีความคล่องตัวกว่า แต่ว่าถ้าจะเอาเรื่องปัญญาความรู้แจ้งแล้ว พระสารีบุตรเป็นรองพระพุทธเจ้าแค่องค์เดียวเท่านั้น คุณเคยเห็นด็อกเตอร์สอนแล้วคนไม่รู้เรื่องไหม เออ...แต่ขณะเดียวกันอีกคนไม่ใช่ด็อกเตอร์ เรียนต่ำกว่าด้วย แต่สอนแล้วคนรู้เรื่องหมด นั่นแหละลักษณะเดียวกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าพระสารีบุตรท่านสอนคนแล้วไม่รู้เรื่องนะ แต่เปรียบเทียบให้ฟังว่าสำหรับคนที่เขาชำนาญการโดยตรง มีความสามารถพูดเรื่องยากให้ง่ายได้ หายากมาก
              ดังนั้นโดยเฉพาะช่วงคุณศึกษามาจะเจอปัญหานี้เยอะมากเลย อาจารย์เก่ง ทุกคนเชื่อว่าอาจารย์เก่ง แต่เก่งภาษาอะไรสอนเราไม่รู้เรื่อง เยอะมาก แล้วขณะเดียวกันไปเจออาจารย์ที่เราเห็นว่าพื้น ๆ โอ้โฮ...ท่านสอนอะไร แหม...เราเข้าใจแจ่มแจ้งไปหมด เอาเถอะ...ว่าง ๆ พาพรรคพวกมาหลาย ๆ คน ช่วยกันกระทุ้งมันดี