ถาม :  ............
      ตอบ :  สมัยโบราณพระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้พระใช้ผ้าบังสุกุลเพียงสามผืน คือ สบง จีวร และสังฆาฏิเท่านั้น พระท่านก็ต้องทะนุถนอมจีวรไว้ให้ดี ถึงเวลาอาบน้ำอาบท่านก็ต้องแก้ผ้ากันเลย
              คราวนี้มีอยู่วันหนึ่งที่เชตุวันมหาวิหาร นางวิสาขามหาอุบาสิกานิมนต์พระเอาไว้ว่าให้มาฉันภัตตาหารที่บ้าน ก่อนถึงเวลาฝนตก พอใกล้ถึงเวลาก็เลยให้คนใช้วิ่งไปนิมนต์พระ คนใช้ไปถึงบอกไม่มีพระเลยมีแต่ชีเปลือย คือพวกชีเปลือยพระแก้ผ้าของทางอินเดียเขามีเป็นปกติอยู่แล้ว นางวิสาขาได้ยินเข้าก็เข้าใจ ก็เลยบอกคนใช้ว่ารอเดี๋ยว ตอนนี้ชีเปลือยเขาคงมากัน อีกสักพักหนึ่งเขากลับแล้ว เราค่อยไปนิมนต์พระ
              พอฝนหยุดก็บอก ตอนนี้ชีเปลือยกลับไปกันหมดแล้วล่ะ ไปนิมนต์พระได้ พอเขาวิ่งกลับไปใหม่พระห่มผ้าครองจีวรเรียบร้อยแล้วนี่ ก็นิมนต์พระมา เสร็จแล้วท่านเป็นคนฉลาด ท่านก็เลยกราบทูลขออนุญาตพระพุทธเจ้าว่าให้รับผ้าคหปติจีวรคือจีวรที่ผู้พอมีอันจะกินเขาถวายในขณะที่ในหน้าฝนได้ใช้ผ้าอาบน้ำฝนบ้าง เขาเรียกว่าผ้าวัสสิกสาฏก
              ตั้งแต่นั้นมาก็มีธรรมเนียมถวายผ้าอาบน้ำฝน แต่ว่าถ้าหากว่าใช้เฉพาะช่วงหน้าฝนมันสิ้นเปลืองเกินไป ส่วนใหญ่ถ้าได้มาก็อธิษฐานยาวไปจนกว่าเปื่อยพังไปข้างหนึ่ง แต่ว่าสมัยนี้เขาก็อยู่ลักษณะนี้แหละ ถ้าพอที่จะมีที่ถวายจริง ๆ ไม่ใช่เพียงผ้าอาบน้ำฝน แต่เป็น ผ้าไตรมาแบบนี้
      ถาม :  ..........
      ตอบ :  กฐินปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายของเกาะพระฤๅษีที่อาตมาจะรับได้ในนามของตัวเอง เพราะว่าหลังออกพรรษาแล้วท่านเจ้าคุณวัดท่ามะขามท่านบัญชาให้ไปอยู่วัดท่าขนุน ท่านจะเอาตัวเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนที่เป็นลูกศิษย์อาตมาเองและเป็นเจ้าคณะตำบลด้วยไปเรียนต่อเพื่อรอเป็นเจ้าคณะจังหวัด ท่านบอกว่าทองผาภูมิมันจะเป็นแยกออกเป็นจังหวัด ตัวท่านเองต้องไปเป็นเจ้าคณะจังหวัด
              คราวนี้อายุท่าน ๗๒ แล้ว พระนี่เขาเกษียณกันอายุ ๘๐ อายุราชการเหลืออีกหน่อยเดียวหรือว่าผมอาจแก่ตายก่อนก็ได้ ท่านพูดอย่างนี้ สิ้นจากผมแล้ว ผมมองไม่เห็นใครเลยนอกจากคุณ หมายตาคุณเอาไว้ คุณก็ไม่เอา คุณปฏิเสธทุกทีก็เลยต้องเอาท่านสมพงษ์ไป เลยกราบเรียนท่านว่า ลูกศิษย์ของเราอีกคนหนึ่ง คือท่านปรีชาที่มาเรียนอยู่ บอกว่ามหาปรีชาไงล่ะครับ ท่านบอกว่ามหาปรีชาหัวมันไม่ทันเขา คำว่าหัวมันไม่ทันเขาอยู่ในลักษณะที่ว่าซื่อเกินไป ไปเจอคนชั่วพลิกแพลงเข้าจะแย่ มันจะปกครองเขาไม่ได้ เลยจะเอาท่านสมพงษ์ซึ่งว่าเป็นลูกศิษย์อีกคนหนึ่ง ท่านอยู่ลักษณะที่คล่องตัวพอ ก็จะเอาไปเรียนต่อ เลยไปอยู่ที่โน่น ก็จะเป็นในนามวัดท่าขนุน ซึ่งจะชื่ออาจารย์สมพงษ์ไม่ใช่ชื่อของเราแล้ว
              เพราะฉะนั้นปีนี้ถ้าจะถวายกฐินก็ถือว่าปีสุดท้ายของอาตมาแล้ว มีเท่าไหร่ก็รีบทุ่มไปเถอะ ท่านจะให้เป็นเจ้าคณะตำบลมาหลายยกแล้วหนีท่านคราวนี้ท่านไม่ให้เป็นแล้ว ให้เป็นตาแก่เฝ้าวัดไว้เฉย ๆ ประชดด้วยนะ ถามอาจารย์สมพงษ์ว่า เฮ้ย ! สมพงษ์ ยอดเขาว่างไหม? บอกว่างครับ เออ...นั่นแหละ ท่านเล็กเขาชอบเงียบ ๆ ให้เขาไปอยู่ข้างบนนั่นแหละ (หัวเราะ)
      ถาม :  ...............
      ตอบ :  ตัวคาถาฆะเฏสิ นี่จริง ๆแล้ว ป้องกันอันตรายทุกอย่างนะ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้ว อาจารย์ยุคหลัง ๆ ท่านถือให้เป็นคาถากันขโมยมันเริ่มจากว่ามีชายเข็ญใจคนหนึ่ง หัวทื่อมากเลย ทำอะไรมันก็ไม่เอาไหน อาจารย์ท่านเลยให้คาถานี้ไปท่อง ตัวคาถามันว่า ฆะเฏสิ ฆะเฏสิ กิงกะระณา ฆะเฏสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ ความหมายก็คือว่าทำอะไรกันนั่น ท่านทำอะไรอยู่ ทำอะไรใครก็รู้ เราเห็นอยู่ว่าทำอะไร เจ้านั่นประเภทคนซื่อคนขยันน่ะ อาจารย์ให้ก็ท่องตะบันราดเลย
              วันหนึ่งพระราชาออกตรวจงานราษฏร์ตอนกลางคืน คล้าย ๆ กับว่า ตรวจดูความสงบเรียบร้อย โจรมันกำลังจะย่องเบาอยู่ มันตั้งท่าจะปีนบ้าน เจ้านี่ละเมอก็ตะโกนออกมา ตะโกนคาถาบทนี้ มันก็แปลว่า ทำอะไรกันนั่น ท่านทำอะไรอยู่ ทำอะไรใครก็รู้ เราเห็นอยู่ว่าทำอะไร โจรมันก็แผ่นแนบเลย เพราะนึกว่าเจ้าของบ้านตื่น พระราชาท่านก็แปลกใจ โผล่เข้าไปเห็นเลยปลุกมันขึ้นมาถามว่าเรื่องอะไรกัน ก็เลยบอกว่าคาถาวิเศษบทนี้อาจารย์ให้มาบอกว่าป้องกันอันตรายได้ทุกอย่าง พระราชาเลยขอเรียน บอกว่าถ้าจะขอเรียน ต้องยอมตนเป็นลูกศิษย์ถึงจะสอนให้ พระราชาก็เลยต้องไหว้คนเข็ญใจ
              ตัวนี้ก็คือว่าถ้าหากว่าคุณต้องการวิชาคุณจะถือตัวถือตนไม่ได้ พอให้ไปพระราชาก็ท่องเป็นประจำอยู่เหมือนกัน ท่องไปท่องมามีอยู่วันหนึ่งบรรดาพวกเชื้อพระวงศ์ต้องการจะปฏิวัติรัฐประหารชิงราชสมบัติก็จ้างให้กัลบก คือช่างตัดผม บอกว่าเวลาที่โกนหนวดให้พระราชานี่ปาดคอซะจะให้รางวัล พระราชาท่านหลับเพลิน ๆ ก็ละเมอคาถาบทนี้ออกมามั่ง ช่างมันก็ตัวสั่นตกใจนึกว่าพระราชารู้ เลยสารภาพหมด พระราชารอดไปได้ ในเมื่อท่านรอดมาได้ก็คิดว่าเพราะอาจารย์ที่เป็นคนเข็ญใจเลยรับตัวมาเลี้ยงไว้ในวังเป็นอย่างดี จริง ๆ อุปเท่ห์การใช้ของมันใช้ป้องกันอันตรายทุกชนิด
              แต่ว่าในระยะหลังท่านบอกว่าให้ใช้กันขโมย ก่อนนอนก็ตั้งใจว่าคาถานี้สักเจ็ดจบ อธิษฐานว่าถ้าหากจะมีขโมยหรือมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นกับเราขอให้เรารู้ตัวก่อน ให้ตื่นมาพร้อมกับสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ เพื่อได้แก้ไขเหตุการณ์ณ์ให้ลุล่วงไปด้วยดี ฟังดูแล้วน่าเล่น ฆะเฏสิ ฆะเฏสิ กิงกะระณัง ...กิงกะระณา คือ ทำอะไรอยู่....ฆะเฏสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ
      ถาม :  ..........
      ตอบ :  มีคนถามบ่อย สองวันนี่ถามเป็นสิบรายแล้ว ถามว่าเข้าพรรษาแล้วทำไมมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ? พรรษาจริง ๆ แปลว่าฤดูฝน จำพรรษาคือการอยู่ประจำที่ในฤดูฝน คราวนี้บางครั้งมันก็มีเหตุอันจำเป็น อันทำให้ต้องไปไหนมาไหนทั้ง ๆ ที่อยู่ในระหว่างจำพรรษา พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้ไปได้แต่ต้องไปไม่เกิน ๗ วัน ภาษาบาลีเรียกว่า สัตตาหะกรณียะ คือเวลามีเหตุอันควรให้ไปได้ไม่เกิน ๗ วัน เหตุอันควรนั้นท่านระบุไว้ชัดเลยว่า
              ๑. พ่อป่วย แม่ป่วย ครูบาอาจารย์ป่วย ถ้าสามอย่างนี้ให้ไปเพื่อรักษาพยาบาลได้ ถือว่าเป็นความกตัญญู แต่ว่าต้องไม่เกิน ๗ วัน
              ๒. เพื่อนสหธรรมมิกที่อยู่ต่างวัดจะสึก ไปเพื่อห้ามปรามเขา ไปได้แต่ต้องไม่เกิน ๗ วัน แต่อันนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า ตอนนี้สำหรับข้อนี้แล้วไม่อนุญาต ใครอยากสึกให้มันสึกไป สมัยก่อนโน้น พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้เพราะทราบว่าพระองค์นั้นถ้าอยู่ต่อแล้วจะเป็นพระอรหันต์ ท่านก็เลยอนุญาตให้ไปห้ามได้
              ๓. วัดพัง ไปหาทัพสัมภาระมาเพื่อซ่อมวัด สมัยก่อนต้องเข้าป่าตัดไม้ ไปหาหวายหาอะไรมา มันช้า วันเดียวไม่เสร็จแน่เลย ต้องไปค้างคืน ให้ไปได้ไม่เกิน ๗ วัน
              ๔. ข้อสุดท้าย ได้รับกิจนิมนต์ไปเพื่อเจริญศรัทธา ไปได้ อย่างเช่นมาที่นี่ ก็คือมาเพื่อเจริญศรัทธาชาวบ้าน มาเพื่อรับการถวายสังฆทาน เหล่านี้เป็นต้น อันนี้ถือว่ารักษากำลังใจเจริญศรัทธาญาติโยมให้ไปได้ แต่ว่าก่อนไปก็ต้องมีพิธีกรรม เขาเรียกว่าขอสัตตาหะ คือขอกับเพื่อนพระด้วยกัน ถ้าทุกองค์เห็นพ้องกันว่าไปได้ ก็ไปได้ ถ้ามีค้านสักองค์หนึ่งก็ไม่ต้องไป
              แต่ว่าข้อสุดท้ายนี้ หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้ว่าใครก็ตามที่มันอยู่ติดที่ไม่เป็นแต่มันไปติดโยมแทน ถึงเวลาแอบเขียนจดหมายหรือโทรศัพท์ไปเพื่อให้เขานิมนต์ อย่าให้ข้ารู้ ข้าตีกบาลแยกเลย มีเหมือนกันนะ มีประเภทที่ให้โยมเขานิมนต์ แอบไปบอกเขาให้นิมนต์เพื่อตัวเองจะมีข้ออ้างไปได้ในระหว่างอยู่ในพรรษา หลวงพ่อท่านปิดช่องเกลี้ยงเลย เบี้ยวไม่ได้
              ด้วยเหตุนี้ถึงได้มานั่งอยู่ตรงนี้ได้ แต่ว่ายังดีนะ คนเขามีปัญญาเขาสงสัยแล้วเขาถาม ประเภทสงสัย ๆ เปล่า ๆ เสร็จแล้วคอยระแวงไปด้วยเลยกระทั่งพรรษามันยังไม่อยู่เป็นที่เป็นทางดันทะลึ่งมาอีก อะไรอย่างนี้ ไอ้นั่นคิดมากเป็นโทษแก่ตัวเอง ฟุ้งซ่านอีกต่างหาก

      ถาม :  ............
      ตอบ :  หลังจากออกพรรษาต้องไปอยู่ประจำที่วัดท่าขนุน วันก่อนไปดูกุฏิแล้ว เจ้าประคุณเถอะ ! หลังมันใหญ่กว่าห้องนี้อีก เป็นกุฏิที่ไม่มีใครยอมอยู่เลย เจ้าของกุฏิเก่าพระครูอะไรนะ จำไม่ได้ เราเรียกหลวงตาเหงี่ยม ตอนเป็นพระก็ดุ เป็นผีก็ดุเข้าไปใหญ่ กุฏิหลังนั้นเลยทิ้งร้างโทรมอยู่ไม่มีใครดูแล หลังคาก็รั่ว พื้นก็ผุ ประตูก็พัง หน้าต่างก็หลุด ไปนั่งคลำ ๆ ดู
              ท่านสมพงษ์บอกว่าถ้าอาจารย์มาผมจะซ่อมให้ บอกว่าคุณไม่ต้องห่วงหรอกเดี๋ยวผมหางบซ่อมเอง แต่ดู ๆ ลักษณะมันแล้วแสนหนึ่งน่าจะเอาไม่อยู่ (หัวเราะ) กุฏิหลังใหญ่มาก สบายมากเลย ไปนอนมาแล้วดีทุกอย่าง แต่คนอื่นเขากลัว ของในกุฏิไม่มีใครกล้าแตะแม้แต่ชิ้นเดียว จนกระทั่งไปถึงบอกท่านว่านั่นน่ะพวกสบง จีวร อะไรนั่น ของดี ๆ ทั้งนั้นไปแจกพระแจกเณรซะ แล้วข้าวของอื่นใครต้องการจะใช้เอาไปเลยเดี๋ยวผมรับผิดชอบให้เอง หลวงตาท่านไม่ว่าอะไรหรอก เขากลัวกัน จริงๆ กลัวประเภทที่ว่าทิ้งพังไปเลย ไม่มีใครเข้าไปแตะ กุฏิหลังใหญ่มากน่าอยู่ด้วย ก็เลยว่าปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายที่จะจัดงานกฐิน เพราะว่าเมื่อไปอยู่ที่โน่นแล้วความคิดก็คือว่าจะไม่พยายามรับตำแหน่งเหมือนเดิม ก็คือให้อาจารย์สมพงษ์ เขาเป็นเจ้าคณะตำบลและเป็นเจ้าอาวาสอยู่ในนามตัวเราเองบริหารอยู่ข้างหลัง
              คราวนี้พอเราอยู่ในลักษณะนั้นเราเองก็เลยรับกฐินในนามตัวเองไม่ได้ มันก็ต้องเป็นของทางโน้นเขา ซึ่งเขาจะมีกรรมการอะไรยุ่งย่ามไปหมดเลย ส่วนใหญ่พวกกรรมการ ตั้งขึ้นมาแล้วมันไม่คิดทำอะไรหรอกนอกจากจะคุมเงินพระ หลวงพ่อก็บอกว่าถ้าจะตั้งกรรมการพวกแกหาพระในวัดที่ไว้ใจได้ตั้งขึ้นมาสัก ๖ องค์ ๗ องค์ มีความเห็นร่วมกัน จะได้ทำงานได้พร้อมกัน มัวแต่ไปรอฆราวาส อยู่บางทีมันขัดขึ้นมาสักคนเดียวงานก็ไม่ได้ทำแล้ว ในเมื่อเขามีกรรมการมีอะไรอยู่ก็ไม่อยากเข้าไปทำให้มันยุ่งยาก
              เลยกลายเป็นว่าปีนี้อาจเป็นปีสุดท้ายที่ได้ทำในนามของตัวเอง ผลัดท่านไว้ว่าขอออกจากพรรษาก่อน ความจริงท่านจะให้ไปเลยแล้วก็จะให้อาจารย์สมพงษ์ เขาสัตตาหะ คือท่านบอกว่า การเรียนมันสำคัญมาก อนุญาตให้สัตตาหะไปเพื่อติวได้ก็ให้มหาทองดีที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน ตอนนี้ได้เปรียญ ๖ แล้ว กำลังจะขึ้นเปรียญ ๗ ที่เป็นเปรียญเอก ประเภทที่ว่ากันตัวต่อตัว ยังไง ๆ ก็ให้มันทันสอบปีหน้า ซึ่งจะเท่ากับว่าไม่ต้องเสียเวลาไปปีหนึ่ง แต่อาจารย์สมพงษ์ก็คล้าย ๆ กันเป็นพระที่ไม่ค่อยจะเอาอะไรหรอก หลบได้ก็หลบ เลี่ยงได้ก็เลี่ยง
              ตอนที่ท่านโดนยัดเป็นเจ้าคณะตำบลนี่ท่านหนีไม่พ้นจริง ๆ เพราะว่าของเราจับยัดให้ท่านเอง รู้จักกับท่านมาตั้งแต่ท่านบวชพรรษาแรก ปีนั้นหลวงพ่อสายเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนมรณภาพพอดี ท่านขาดครูบาอาจารย์ก็เลยมาขอพึ่ง เท่ากับว่าท่านเป็นลูกศิษย์ ตอนนี้อยู่ทองผาภูมินี่ดังน่าดู เท่ากับว่ามีลูกศิษย์เป็นเจ้าคณะตำบลไปสองสามตำบลแล้วท่านเจ้าคุณถึงได้ต่อว่าให้ตำแหน่งแล้วไม่ยอมรับ ก็เลยให้คนอื่นไปแทน นี่ถ้าหากว่าบรรดาเสือสิงห์กระทิงแรดในทองผาภูมิทราบว่าท่านเจ้าคุณคิดยังไงร้องไห้กันหมด
              โดยส่วนใหญ่แล้วท่านจะคิดว่าท่านมีความสามารถหารู้ไม่ว่าผู้ใหญ่เขามองทะลุหมด โดยส่วนใหญ่ใช้ความสามารถไปหาผลประโยชน์ใส่ตัว ท่านดูออกว่าใครทำเพื่อส่วนรวม ใครทำเพื่อส่วนตัว แล้วลูกศิษย์สายหลวงพ่อส่วนใหญ่แล้วจะว่ากันตรงไปตรงมา ในเมื่อว่ากันตรงไปตรงมา ไม่เอาก็คือไม่เอานะ ก็จะต้องไปเฝ้าให้เขา
              คราวนี้มันสำคัญตรงว่าอาจารย์สมพงษ์เขาเรียนจนกลับมาแล้วต้องเป็นใหญ่ขึ้นไปดีไม่ดี เราจะโดนจับยัดอีก หนีไม่พ้น... ลูกศิษย์มันใหญ่กว่าอาจารย์ ถึงเวลาเราเอาอะไรไปเขาต้องเซ็นให้อยู่แล้ว (หัวเราะ) ระยะหลังนี่สบายขึ้นนะ อย่างเช่นว่า เวลาที่เข้าพรรษาทุกอย่างมันก้าวหน้าขึ้น
              เมื่อกี้ที่ปรารภขึ้นว่าตอนนี้มันมีรถตู้ไปถึงอุทัยสบาย ๆ สมัยก่อนไปหาหลวงพ่อ โอ้โห... ฝุ่นแดงตลบจนกระทั่งหัวดำ ๆ กลายเป็นหัวแดงไปเลย ต้องเอารถไปลงแพทีละคัน ๆ สมัยนี้ทางลาดยางผ่านหน้าวัดสบายมาก รถวิ่งถึงที่การถวายเทียนพรรษาก็เลยชักจะกลายเป็นหลอดไฟมากขึ้น ๆ สะดวกดีและไม่อันตรายด้วย เพราะว่าไฟฟ้ามันช๊อตมันก็ดับเลยใช่ไหม หลอดมันขาด แต่ว่าเทียนพรรษานี่ถ้าเผลอนะ เทียนนี่จริง ๆ สำหรับคนละเอียดและมีสติรอบคอบเพราะว่าเผลอเมื่อไหร่มันไหม้วัดจริงๆ ก็เลยเปลี่ยนเป็นหลอดไป แต่ว่าอานิสงส์ก็ยังเป็นการบูชาพระรัตนตรัยด้วยแสงสว่างซึ่งจะมีผลด้านทิพจักขุญาณ
              พระอนุรุทธท่านเป็นพระวิชชาสามแต่ว่ามีทิพจักขุญาณเหนือกว่าพระอัครสาวกอย่างพระโมคัลลาน์พระสารีบุตรอีก พระโมคคัลลาน์นี่ถือว่าเป็นยอดของปฏิสัมภิทาญาณ เลิศกว่าผู้อื่นในทางด้านมีฤทธิ์ ทิพจักขุญาณยังสู้พระอนุรุทธไม่ได้ พระอนุรุทธก็เลยได้รักการตั้งว่าเป็นเอตะทัคคะ คือเป็นผู้มีความสามารถยอดเยี่ยมในทางทิพจักขุญาณ
              ในอดีตชาติท่านเคยถวายบูชาพระพุทธเจ้าด้วยประทีปโคมไฟ ได้อานิสงส์ทิพจักขุญาณมากกว่าคนอื่นเขา ในขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังดำเนินกิจไปเพื่อนที่จะเข้าสู่ปรินิพพาน มีพระอนุรุทธผู้เดียวที่ตามทัน บอกได้ตลอดเลยว่าตอนนี้พระพุทธเจ้าอยู่ระดับฌานไหน กำลังเข้าฌานไหน ออกฌานไหน จากฌานนั้นมาเข้าฌานไหน ขณะนี้กำลังดำเนินจิตอยู่ในลักษณะยังไง บอกถูกหมด คนอื่นสู้ไม่ได้
              แรก ๆ ก็สงสัยมาก ข้องใจมากด้วย อย่างพระพุทธเจ้านี่อ่านตามพุทธประวัติและปฐมสมโพธิกถาท่านบอกว่ายามต้นบรรลุบุพเพนิวาสาสุสติญาณคือระลึกชาติได้ ยามที่สองบรรลุจุตูปปาตญาณ คือรู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดนั้นมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ยามสุดท้ายคือยามสามทำจิตให้ผ่องใสไกลกิเลสได้อย่างสิ้นเชิง สรุปแล้วพระพุทธเจ้าเป็นพระวิชาสาม แล้วทำไมสอนลูกศิษย์เป็นอภิญญาหกเป็นปฏิสัมภิทาญาณบานเบอะเลย
              มีผู้กล้าหาญกราบเรียนถามหลวงพ่อ หลวงพ่อทำตอบสั้นและกระชับมาก ท่านบอกว่า วิชาสามของช้างมันเหนือกว่าอภิญญาของมดอยู่แล้ว (หัวเราะ) ชัดเลยใช่ไหม? อย่างพระอนุรุทธท่านก็วิชาสาม แต่ว่าทิพจักขุญาณของท่านเลิศกว่าอัครสาวกซะอีก เพราะว่าความสามารถพิเศษไม่ว่าจะเป็นอภิญญาหรือว่าปฏิสัมภิทาญาณก็มีแบ่งไปตามระดับ ตามความถนัดเฉพาะตัว
              อย่างพระจุลปันถกะ อ่านตามบาลีนะ ท่านเป็นเลิศทางมโนมยิทธิ คนอื่นเก่งแค่ไหนก็เก่งไปแต่ของท่านนี่เยี่ยมกว่าคนอื่นเขาสามารถถอดจิตออกมาเป็นกายเนื้อ ๆ ให้เห็น ๆ ได้ทีละพันพร้อมกัน แล้วไม่ใช่ว่าทำอะไรเหมือนกันนะ ทำคนละอย่าง ง่ายดี องค์โน้นกวาดลาน องค์นี้ตักน้ำ องค์นั้นซักจีวร องค์โน้นถูกุฏิ สบายดีงานมันเสร็จเร็ว เสร็จแล้วพอคนถามว่า องค์ไหนชื่อว่าจุลปันถกะ ท่านก็ตอบพร้อม ๆ กันว่าอาตมาเอง คนนิมนต์ก็เสร็จ
              คราวนี้พอไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่าไปนิมนต์ใหม่ ถามว่าองค์ไหนชื่อ จุลปันถกะ ถ้าองค์ไหนตอบก่อนให้จับแขนองค์นั้นไว้ คือ องค์อื่นจะเป็นตัวกายในที่ท่านถอดออกไป คราวนี้ท่านเลิศมากเลย เพราะตัว มโนมยิทธิ ถ้าทำได้จริง ๆ จะเป็นในลักษณะนั้น ท่านใช้คำว่าถอดกายในออกไป เหมือนชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง คือ หญ้าปล้องมันจะมีปล้องแก่ พอดึงออกมาจะเป็นปล้องอ่อน มันเหมือนกันเปี๊ยบเลย แล้วอันหนึ่งแก่ อันหนึ่งอ่อน หรือว่าเหมือนกับถอดดาบออกจากฝัก คือดึงออกมาง่าย ๆ ท่านชำนาญมาก คือทำออกมาได้ทีละพันร่างพร้อม ๆ กัน
              ท่านบอกว่า องค์ไหนตอบก่อนให้สังเกตไว้จะตอบก่อนคนอื่นเขาแป๊บหนึ่งแล้วคนอื่นเขาพูดตามเหมือน ๆ กันลักษณะเหมือนกับเสียงสะท้อน ถามว่าองค์ไหน องค์ไหนตอบผมครับก็คว้าเอาไว้ คนที่ไปนิมนต์ก็เล็งเอาไว้ พอถึงเวลาก็คว้าแขนปุ๊บ อีกเก้าร้อยเก้าสิบเก้าองค์ก็ต้องรวมกลับคือเป็นหนึ่งเดียว ตัวต้นฉบับโดนล็อคแล้วนี่ เมื่อความสามารถพิเศษเหล่านี้ยังต่างกัน
              การบรรลุมรรคผลและความสามารถของพระท่านบรรลุเท่ากันเหมือนคนจบปริญญา ถ้านับปริญญาตรีเป็นหลัก เหมือนพระอรหันต์เป็นว่าจบตรีเท่ากัน แต่ว่าความสามารถและแขนงวิชาต่างกันไป ก็เลยว่ามีประเภทอภิญญาหกระดับปกติสาวก คือทั่ว ๆ ไป อภิญญาหก ระดับมหาสาวกอภิญญาหกระดับอัครสาวก อย่างนี้เป็นต้น ถึงได้ก็ไม่ใช่ว่าได้เท่ากัน
              พวกเราหลายคนที่ได้มโนยิทธิอยู่เป็นครูฝึกสอนคนอื่นเขาด้วย เราก็ดูตัวเองซิ ญานแปดอย่างน่ะเราไม่ได้คล่องทุกอย่างหรอก มันจะมีถนัดชำนาญอยู่อย่างหนึ่งส่วนอย่างอื่น ๆ จะมีแค่พออาศัยเท่านั้นเอง สังเกตดูได้เลย ลักษณะนี้แหละทำให้ความสามารถทางใดทางหนึ่งมันต่างกันไป
              พระพุทธเจ้าเคยตรัสถามว่า ภิกขเว ภิกษุทั้งหลาย เธอได้เห็นภิกษุทั้งหลายที่กำลังเสวนาอยู่กับพระโมคคัลลาน์ลูกเราหรือไม่? พระบอกว่าเห็นพระเจ่าข้า ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้ที่หนักในทางฤทธิ์อภิญญา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอเห็นภิกษุทั้งหลายที่เสวนาอยู่กับพระโสณะโกฬิวิสะลูกเราหรือไม่? บอกว่าเห็น ท่านบอกว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้เลิศในทางความเพียร แล้วก็ถามภิกษุ ท่านเห็นภิกษุทั้งหลายที่กำลังเสวนาอยู่กับพระปุณณะมัฌตานีบุตรหรือไม่? ภิกษุทั้งหลายบอกว่าเห็นพระเจ้าข้า บอกว่าภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้ที่ชื่นชอบในทางธรรมกถึก คือเป็นนักเทศน์ คือบุคคลที่เข้าไปหาเก่งทางไหนบรรดาผู้ที่เข้าไปหาคือผู้ที่ชอบในทางนั้นเหมือนกัน
              แล้วจริตนิสัยของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน การสร้างสมบารมีมาในอดีตชาติที่ต่างกันทำให้ความสามารถต่างกันไป เพียงแต่ว่าเวลาหมดกิเลส หมดกิเลสเหมือน ๆ กัน แต่การสร้างสมบุญบารมีมาทำให้ต่างกันตรงความสามารถพิเศษ เหมือนกับคนจบปริญญาตรีมาแล้วอีกคนหนึ่งมันเล่นกีฬาเก่งจังเลย ขณะที่อีกคนหนึ่งไม่เอาอะไรเลยก็มีหรือไปถนัดเล่นดนตรีเลยก็มี ทำให้ต่าง ๆ กันไป