ถาม :  เก่งยังไงครับ?
      ตอบ :  วิชาแบบขุนแผนนี่ถึงเวลาแล้วจะไปไหนก็ไป แต่ว่าเขามีข้อแม้ว่า ห้ามหนีกฎหมายบ้านเมือง ดังนั้นถ้าพม่ามันจับเราต้องยอมให้จับ ถ้าหนีกฎหมายบ้านเมืองวิชาจะเสื่อม ขุนแผนกลางคืนสะเดาะกลอนไปนอนกับเมีย กลางวันก็รีบกลับไปนอนในคุกหนีกฎหมายบ้านเมืองไม่ได้ โบราณาจารย์ที่ท่านบัญญัติวิชาพวกนี้ขึ้นมาท่านป้องกันลูกศิษย์กลางเป็นเสือเป็นสางไป เดี๋ยวไปปล้นไปฆ่าแล้วก็แหกคุกหนีอย่างเดียว ฉะนั้นต้องยอมรับโทษตามกฎหมายบ้านเมือง
              อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง ไม่รู้ว่าพวกเราเคยได้ยินไหม? เป็นฆราวาสทรงอภิญญา ก็น่าจะอยู่รุ่นพ่อรุ่นปู่ของเรานี่เองแหละ อาจารย์ฟ้อนแกเก่งมาก ตำรวจไม่เชื่อ ชิหาว่าแกหลอกลวงชาวบ้านจับเข้าคุก ถึงเวลาก็ลั่นกุญแจหันหลังให้อาจารย์ฟ้อนก็หมู่ประตูไม่ได้ล็อค หมู่หันมาอ้าวกุญแจไม่ได้ล็กคดันกรึ๊บเข้าไปหันหลังให้ หมู่กุญแจยังไม่ได้ล็อค เจอไป ๓-๔ ที คุณหมู่ต้องยกมือไหว้ อาจารย์ครับขอร้องเถอะ (หัวเราะ) ถ้าอาจารย์แกล้งผมอย่างนี้เจ้านายเล่นผมตายแน่เลย แกถึงได้ยอม ก็เพราะเจ้านายมันไม่เชื่อมันส่งลูกน้องจับไปอยู่ที่นั่น
              นอกจากเรื่องของการถือฤกษ์ถือยาม ถือไสยศาสตร์โหราศาสตร์อะไรอย่างเข้มข้นแล้ว มันยังมีของแปลก ๆ เยอะไปเจอกล้วยไม่มีปลีที่นั้น มันเป็นกล้วยที่ออกมาลักษณะเหมือนกับหัวปลี แต่พอปลีมันบานออกปุ๊บมันเป็นเครือเลย กาบมันจะร่วงหมดไม่มีหัวปลีห้อยอยู่ แบบกล้วยบ้านเรา มันมีกี่หวีมันก็มีเท่านั้นกาบเท่านั้น พอบานมันก็ร่วงหมด ดู แล้วก็บอกเออ ไอ้กล้วยนี้มันก้าวหน้าแฮะ มันประหยัดวัสดุการผลิตเหลือเกิน มีกี่หวีมันเอาแค่นั้น ไม่เหมือนบ้านเราเหลืออยู่ยาวปรี๊ดเลย แล้วก็เจอกาฝากมันเกาะต้นอะไรรู้ไหม ? ต้นมะเขือพวง มันเกาะไปได้ยังไง มะเขือพวงกินมันเท่านิ้วมือ สงสัยกาฝาก ๒ ต้อนนี้มันหน้ามือไม่ดี อะไรจะกินมันกินกระทั่งต้นมะเขือพวง
              ก็มานึกถึงเรื่องของธรรมะ บอกว่า อะไรก็ตามที่ต่างไปจากการรับรู้ของเรา เราก็ไปว่ามันผิดปกติ แต่ถ้าเรารู้ว่าธรรมดาของมันเป็นอย่างนั้นเรื่องทั้งหลายเหล่านี้มันก็เป็นปรกตินี่เอง ฟังเข้าใจมั้ย อะไรที่ผิดไปจากการรับรู้ของเรา เราก็ไปว่าเขาผิดปกติ แต่ความจริงปกติของเขาเป็นอย่างนั้น เพียงแต่เรายังไม่เคยเห็น แล้วก็ไปเจอความซื่อของคนพม่าเข้า
              โดยเฉพาะคนหนองบัวนี่ล่ะนะ ไปถึงใหม่ ๆ หน้าเห็นมัดก็ผัดเห็นใส่ผักบุ้งมา เราก็ เออ แปลกดี พออีกวันหนึ่ง มันผัดกลอยใส่ผักบุ้งมา เราก็อ๋อเลย มันทำตามที่โบราณเขาทำมา หรือทำตาที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายทำมาโดนที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไร ทำไปแล้วเป็นยังไง อีกไม่กี่วันมันต้มยำเห็ด มันใส่ข้าวมาเป็นข้าวต้มเห็นเลย เราก็นั่งหัวเราะมัน ถามคนทำเขาเป็นครูอยู่ บอกครูทำนี่เพื่ออะไรใส่ข้าวลงไปด้วย เขาบอกว่าให้อร่อย ความจริงมันไม่ใช่หรอก
              โบราณนี่ถ้าหากว่า ได้ผักได้หญ้าอะไรมาที่เขา ไม่มั่นใจว่ากินแล้วจะปลอดภัยหรือเปล่า เขาจะเอาข้าวสุกใส่ลงไปด้วย ถ้าข้าวสุกกลายเป็นสีดำก็แปลว่ามีพิษกินไม่ได้ ทีนี้เขาเองเห็นผู้ใหญ่ใส่ก็ใส่ไปเรื่อยคิดว่าอร่อย ไม่ได้รู้หรอกว่าใส่เพราะอะไร ใส่ไปใส่มามันก็เลยเล่นซะกลายเป็นข้าวต้มเห็ด ส่วนเห็ดกับกลอยนี่ที่เขาใส่ผักบุ้งมา ผักบุ้งเป็นยาถอนพิษนะจำไว้ให้แม่น ๆ เลยว่า ถ้าโดนพิษโดนอะไรให้เอาผักบุ้งตำแล้วคั้นน้ำกรอกปากเข้าไปส่วนใหญ่มันจะถอนพิษได้
              คราวนี้ความไม่แน่ใจที่ไม่รู้จักเห็ดแต่ว่ามันจำเป็นต้องกินไม่งั้นมันไม่มีอย่างอื่นเขาก็เอาผักบุ้งผสมเห็ดนี่แหละแล้วก็ผัดเผื่อเหนียวไว้ก่อนเลย ถ้าคุณกินเข้าไปอันตรายมันก็น้อยเพราะผักบุ้งมันถอนพิษแล้ว มันเอากลอยมามันก็ใส่ผักบุ้งมาเราก็ไม่ว่าอะไร หรอก แต่หัวเราะมันตรงที่ว่าเห็ดโคนเรารู้จักอยู่แล้วมันใส่ผักบุ้งมาทำไมมันไม่รู้จักพลิกแพลงเลยเหรอ แล้วที่ทำเห็นต้มยำมาก็เห็ดโคน เห็ดปลวกนั่นแหละ
              ในเมื่อรู้จักแล้วแต่พลิกแพลงไม่เป็นก็มานั่งคิดอยู่ว่า การที่เราเชื่อถือผู้ใหญ่ปฏิบัติตามโบราณโดยไม่คัดค้านเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว แต่ว่ามันน่าจะศึกษาซะหน่อยว่าเขาทำเพื่ออะไร ถึงเวลามันจะได้หาเหตุหาผลได้จะได้ตอบคนอื่นได้ นี่มันหลับหูตาตามอย่างเดียวมันลักษณะเถรส่องบาตร เถรส่องบาตรนี่หลวงพ่อท่านเคยว่าทีหนึ่ง คือโบราณนี่พระเถระท่านมีบาตรอยู่ บาตรดินมันก็เป็นรูทะลุอยู่ คือเขาบอกไว้ว่าถ้าทะลุจนนิ้วมือลอดได้ก็เป็นอันว่าเปลี่ยนบาตรได้
              พระท่านเวลาบิณฑบาต ล้างบาตร เช็ดบาตร ท่านก็ส่องดูว่ารูมันใหญ่แค่ไหนแล้ว ลูกศิษย์ก็ไม่รู้เห็นอาจารย์ส่องทุกวันกูก็ส่องบ้างเขาก็เลยเรียกว่าทำเหมือนเถรส่องบาตร คือทำตามโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย ว่าเขาทำอะไร เพื่ออะไรไปเจอพวกพม่าเป็นเถรส่องบาตรซะหลายคน มันทำตามอย่างเดียวจริง ๆ แล้วก็กลัวการเปลี่ยนแปลงมาก งานไม่เคยทำมันก็ไม่บอกเรานั่งละล้าละลังทำอะไรไม่ได้อยู่นั่นแหละ เราให้เขาทำโครงหลังคาด้วยเหล็กเขาไม่เคยทำงานเหล็กมาเลยทำแต่ไม้ ก็ข้องใจมากว่าทำไมไม่ขึ้นหลังคาซะที
              จนกระทั่งไปแงะปากมันว่ามันแต่ทำอะไรกันอยู่ถึงไม่ขึ้นหลังคาซะที มันถึงได้สารภาพว่ามันไม่เคยทำ เราก็บอกว่าตัดยาวเท่านี้นะ ลักษณะเป็นฉากเท่านี้เป็นมุมเท่านี้อะไรอย่างนี้ มันทำอันที่ ๑ ไปแล้วมันก็วิ่งมาถามอันที่ ๒ ทำยังไง หลังคาเดียวกันนะ ทุกอันมันก็ต้องทำเหมือนกันซิวะ (หัวเราะ) มันต้องวิ่งมาถามว่ายังไง แล้ววางแปก็วางไม่เป็น พอโครงมันเสร็จแล้วมันก็ต้องวางแปเพื่อที่จะมุงกระเบื้องก็บอกว่า กระเบื้องนี่แผ่นหนึ่งมันยาว ๔ ฟุต คุณก็ให้หัวครึ่งฟุต ท้ายครึ่งฟุตเท่ากับว่าคุณต้องวาง แปตัวละ ๓ ฟุต
              คราวนี้มันคำนวณคานผิดแต่แรกแล้วนี่ ในเมื่อมันวางตรงผิดมามันก็ ๓ ฟุตไม่ได้มันก็จะพาซื้อวาง ๓ ฟุต ๓ ฟุตแล้ว ไอ้ตัวบนก็เหลือคืบกว่า ๆ บอกว่าในเมื่อมันไม่พอ ๓ ฟุตคุณก็หารไปเลยซิว่า ๔ ตัวมันลงเท่าไหร่แล้วก็พอดี ๆ ไปมันจะได้ดูสวยไม่ใช่ทะลึ่งวาง ๓ ฟุตไป ๒ ตัว แล้วเสร็จแล้วตัวสุดท้ายก็เหลือคืบกว่า ๆ มันผ่าวางไปอีกตัวจี้มัน มันก็ทำผิด พอทำผิดเราก็ต้องมาแก้ไข เสียหายหมด ดูแล้วเป็นไง กลุ้มใจแทนมั้ย ? งานนี้ยังต้องปล้ำกันไปอีกหลายยกเลย

      ถาม :  ...........
      ตอบลักษณะการทำบุญปิดท้ายจะมีลาภมากแบบพระสีวลี ลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่นเก่า ๆ จะรู้ดี ทำบุญปิดท้ายไปเรื่อย ปิดไม่รู้จักจบคนโน้นปิดคนนี้ก็ปิดต่อไปเรื่อยไป เพราะว่าพระสีวลีท่านทำบุญปิดท้ายกรายการ เนื่องจากว่าสมัยนั้นท่านเกิดเป็นคนจนมีอาชีพตัดฟืนอยู่ในป่าคราวนี้ระหว่างชาวบ้านกับพระราชา เขาแข่งกันอยู่ในที แข่งกันทำความดีถือว่าน่าสรรเสริญ ชาวบ้านกับพระราชาเขาแข่งกันทำบุญ ลักษณะว่าใครทำบุญถวายพระพุทธเจ้าได้ดีกว่ากัน พอถึงเวลาพระราชาท่านก็จัดโน่นจัดนี่มาให้ดีกว่าชาวบ้านเขา ทีนี้กำลังของพระราชาเองถ้าไม่เกณฑ์ชาวบ้านนี่มันจะเอาดีก็คงจะไม่เท่าไหร่ ชาวบ้านพอสู้ได้เพราะคนเยอะกว่าก็ช่วยกันสรรหามา
              จนกระทั่งถึงครั้งสุดท้ายชาวบ้านเขากะจะเกทับให้พระราชาไม่มีโอกาสกระดิก ทำบุญครั้งนี้จะหาของทุกอย่างที่พึงจะถวายพระมาให้ครบ ปรากฏว่าพอหามาแล้วขาดน้ำผึ้งสดจากรวงอย่างเดียว น้ำผึ้งเก่ามีแล้ว อยากจะได้ที่คั้นสด ๆ ถวายพระเลย บรรดาที่เป็นหัวหน้าท่านก็ประกาศให้ลูกน้องนำเงินคนละ ๑ พันกหาปนะไปยืนรอที่ประตูเมืองทั้ง ๔ ทิศ ใครมีรวงผึ้งสดมาขอซื้อเขา ให้ราคาไปเรื่อยให้จนกระทั่งหมดพันกหาปนะนั่นแหละ
              เชื่อว่าคนเขาขายให้อยู่แล้วเราะปกติราคามันไม่ถึงนั้น ราคาไม่ถึงกหาปนะซะด้วยซ้ำไป หนึ่งกหาปนะในปัจจุบันถ้าเทียบอันตรากับ ๔ บาท หรือ ๑ ตำลึง แต่อย่าลืมว่า ๔ บาทโบราณนี่ค่ามหาศาลนะ คราวนี้พระสีวลีท่านเป็นชายตัดฟืน บังเอิญวันนั้นไปเจอรังผึ้งเข้าก็เลยตัดรังผึ้งแบกมาด้วย
              พอมาถึงประตูเมืองบรรดาเจ้าของทานทั้งหลายที่มารออยู่ พอเห็นเข้าก็ขอซื้อ บอกว่านี่พ่อคุณเราขอซื้อผึ้งรวงของท่านในราคา ๑ กหาปนะจะขายมั้ย? พระสีวลีท่านได้ยินท่านก็สะดุดใจ ท่านเป็นคนฉลาดถึงจะจนแต่ก็ฉลาด ของราคาไม่ถึงทำไมให้แพงจัง ลองแกล้งขยักเอาไว้หน่อยซิ ไม่ขาย พอไม่ขายอย่างนั้น ๒ กหาปนะ ๔, ๘ กหาปนะให้ไล่ขึ้นไปเรื่อย ท่านก็ไม่ขายจนกระทั่งถึง ๑๐๐๐ กหาปนะนะท่านก็ไม่ขาย บรรดาคนที่ไปรอก็หมดปัญญา นายเขาให้มาแค่พันเดียว ก็บอกว่าแล้วท่านคิดราคาเท่าไหร่ถึงจะขาย
              พระสีวลีก็ถามว่าท่านต้องการรวงผึ้งเห็นปานนี้ไปเพื่อกิจอะไร ถ้าท่านบอกเราแล้ว เราถึงจะกำหนดราคาได้ เขาก็บอกว่าจะทำบุญถวายพระพุทธเจ้ากันต้องการที่จะถวายของทุกอย่างที่สมควรแก่สมณะบริโภคให้มีให้ครบถ้วน ขาดน้ำผึ้งสดอย่างเดียวถึงได้มาดักรอซื้อ แพงแค่ไหนก็จะซื้อเพื่อให้ได้ทำบุญ พระสีวลีบอกว่า ถ้าอย่างนั้นไม่ขายแต่ให้ไปแจ้งกับนายของเธอว่า ถ้าอนุญาตให้เราทำบุญด้วยน้ำผึ้งรวงนี้ เราก็จะให้ฟรี ๆ เขาก็วิ่งอ้าวไปบอกเจ้านาย เจ้านายก็โมทนาและก็อนุญาตให้ร่วมด้วย กลายเป็นว่าของทุกอย่างมี ขาดน้ำผึ้งสดอย่างเดียว แล้วพระสีวลีได้ทำบุญปิดท้าย
              คราวนี้ด้วยอานุภาพของพระพุทธเจ้าและอานุภาพของทานครั้งนั้น น้ำผึ้งรวงเดียวครั้นแล้วพอพระทุกองค์ทั้ง ๆ ที่พระมาตั้งมากมายมหาศาลเพราะมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พอแก่พระทุกองค์ เขาบอกว่าในสมัยนั้นหลังจากที่ทุกคนทำกาละ คือตายไปแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดา
              คราวนี้พระสีวลีท่าน ท่านไม่ได้เกาะกันเหนียวแน่นแบบนั้น ท่านก็เลยลงมาเกิดเป็นพระสีวลี ในชาติที่ท่านมาเกิดก็ใช้หนี้กรรมเก่าหน่อยหนึ่งเพราะว่า อดีตชาตินานมาแล้วท่านเคยเป็นพระมหากษัตริย์ไปล้อมบ้านล้อมเมืองเขาอยู่ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน แต่ว่าด้วยอานุภาพบุญทำให้ไม่รู้สึกลำบากเลย คลอดออกมาก็ ๗ ขวบกว่า ๆ ประเคนของพระได้เลย แล้วก็ขอบวช แค่พระปลงผมให้เสร็จก็เป็นพระอรหันต์
              เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วเป็นผู้ที่เลิศกว่าภิกษุอื่นในด้านลาภมาก เหตุที่เลิศกว่าภิกษุอื่นในด้านลาภมาก พระพุทธเจ้าบอกว่า เพราะทำบุญปิดท้ายรายการเสริมทุกอย่างของคนอื่นเขาให้บริบูรณ์ ตัวเองก็เลยบริบูรณ์ไปด้วย ถ้าไม่มีของท่าน แล้วจะขาด มีของท่านแล้วถึงจะสมบูรณ์บริบูรณ์ท่านก็เลยรับเอาอานิสงส์นั้นไปเต็ม ๆ
              ถึงขนาดที่พระพุทธเจ้าจะไปเยี่ยม พระเรวัตตะที่เป็นน้องชายคนเล็กของพระสารีบุตรท่านไปจำพรรษาอยู่ที่ป่าตะเคียนถามทางกับพระอานนท์ว่าหนทางที่จะไปถึงพระเรวัตตะนั้นไกลมั้ย? พระอานนท์ตอบว่า ถ้าเป็นทางตรงปราศจากโคจรคามเพื่อบิณฑบาตมีแต่เหล่าอมนุษย์เป็นระยะทางแค่ ๖๐ โยชน์ แต่ถ้าเป็นทางอ้อมสะดวกสบายด้วยหนทางและการโคจรบิณฑบาตเป็นระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ มากกว่าเท่าหนึ่ง พระพุทธเจ้าบอกว่า อานันทะดูก่อนอานนท์ สีวลีได้ไปด้วยหรือไม่? พระอานนท์บอกว่าไปด้วยพระเจ้าข้า เพราะเขามีการจัดพระเพื่อตามพระพุทธเจ้าไปด้วย พระพุทธเจ้าบอกว่า อานันทะดูก่อนอานนท์ ถ้าสีวลีไปด้วยเราไปทางตรงกัน ไม่ทีที่บิณฑบาตไม่มีอะไรมีแต่อมนุษย์ก็ไปกัน
              พอท่านไปปรากฏว่าบรรดาเทวดาทั้งหลายที่เคยร่วมบุญในครั้งนั้น พอเห็นเข้าก็พระผู้เป็นเจ้าของเราจะเดินทางไปในป่าแล้ว ก็รีบไปตกแต่งสถานที่ โยชน์หนึ่งตั้งศาลาไว้หลังหนึ่งให้เพียงพอกับพระทั้งหมด โยชน์หนึ่ง เตรียมสถานที่เอาไว้ โยชน์หนึ่งเตรียมสถานที่เอาไว้ ก็เลยกลายเป็นว่าระยะทาง ๖๐ โยชน์ ปกติพระพุทธเจ้าเดินทางครึ่งวัน งวดนั้นเดินซะ ๒ เดือน
              แล้วเรื่องของอานุภาพบุญก็เป็นเรื่องอัศจรรย์มากปกติใคร ๆ ก็จะต้องแย่งกันทำบุญถวายต่อพระพุทธเจ้าแต่ปรากฏว่าบรรดาเทวดาที่เป็นเพื่อนร่วมบุญในครั้งนั้นตั้งหน้าตั้งตาเอามาถวายพระสีวลีองค์เดียว แต่ว่าของนั้นก็มากพอที่พระสีวลีถวายต่อพระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดแล้ว ยังเหลือเฟืออยู่จะเป็นอย่างนี้ไปตลอด ๒ เดือนระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ ปรากฏว่างวดนั้นเดินซะ ๒ เดือนรอเทวดาเขาทำบุญ
              คราวนี้พระสีวลีนิพพานไปแล้วหลวงพ่อท่านบอกว่าผลบุญใดก็ตามนะที่เป็นของพระอรหันต์ท่าน โดยเฉพาะพระอรหันต์ที่เป็นเอตะทัคคะคือ มีความเป็นเลิศพิเศษในทางใดทางหนึ่ง ถ้าเราบูชาท่านผลบุญที่ท่านไม่ต้องใช้แล้วเพราะท่านเข้านิพพานแล้วผลบุญนั้นจะมีสำเร็จแก่เราด้วย ดังนั้นเขาถึงได้บอกกันว่าคนที่บูชาพระสีวลีส่วนใหญ่จะมีลาภมากคือ ท่านไม่จำเป็นต้องใช้ลาภอันนั้นแล้วเข้านิพพานไปแล้วกุศลที่ท่านทำก็เลยตกถึงผู้ที่บูชาท่านด้วย