สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนตุลาคม ๒๕๔๖ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  ผู้ปรารถนาธรรมะบริสุทธิ์เขากล่าวว่า “การที่พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติไว้ในศีล ๕ อันเป็นเหตุแห่งการไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนและเบียดเบียนกัน ถ้าเราถือเอาการที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ไม่ต้องนึกถึงศีลก็น่าจะเพียงพอและเป็นที่ประเสริฐแล้ว” เรื่องศีลนี้เจะต้องมีเจตนาหรือการตั้งใจหรือไม่อย่างไร ? และสีลานุสติเราควรระลึกถึงมากน้อยเพียงไร ?
      ตอบ :  ถ้าไม่ตั้งใจไว้ก่อนไม่เป็นศีล เจตนาในการงดเว้นไม่มี ต้องมีเจตนาในการงดเว้นถึงจัดว่าเป็นศีล ถ้าไม่เจตนางดเว้น อานิสงส์ในการรักษาศีลนั้นจะไม่มี ส่วนที่ว่าควรจะระลึกถึงสีลานุสติในระดับใด เอาเป็นว่าไม่ว่าจะหลับจะตื่นจะยืนจะนั่ง คุณขยับไปไหนให้รู้ตัวเสมอว่าศีลจะบกพร่องไหมก็พอ
      ถาม :  อีกความหมายของคำว่ ศีล คือความปกติ (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  คือเป็นเรื่องที่ต้องงดเว้นเป็นปกติอยู่แล้ว เวลาเขาอาราธนาศีลมีบางคน ไม่ทราบเหมือนกันว่าพระน้อง ๆ เขาเจอกันมาบ้างหรือยัง มันอาราธนา “มะยังภันเต วิสุงวิสุง รักขนัตถายะ ติสรเนนะสห นิจจะ สีลานิ ยาจามะ” นิจจะ สม่ำเสมอ เรื่อย ๆ บ่อย ๆ ศีลที่ต้องใช้บ่อย ๆ ใช้เรื่อย ๆ แกล้งให้ ๒๒๗ เลยดีไหม อาราธนาอย่างนั้นจริง ๆ นะ ถ้าอาราธนานิจจะ สีลานิ ยาจามะ ให้ศีล ๕ มันไม่ใช้ปัญจะหรอก
      ถาม :  การที่ท่านได้กล่าวถึงการให้ว่าเป็นสิ่งอันประเสริฐแล้วในการให้ทาน (ฟังไม่ชัด) หรือการให้ทานทางพุทธศาสนาจะมีวันสิ้นสุดลงด้วย การบริจาคทานน่าจะเพียงพอแล้ว เพราะคนที่ทำก็ทำกันเยอะแล้ว ถาวรวัตถุต่าง ๆ ก็มีมากแล้ว เรื่องนี้คงต้องพูดกันตรงไปตรงมาว่าคำพูดเหล่านั้นจะมีผลให้
              ๑. ผู้มีศรัทธาอยู่แล้วเกิดความลังเลสงสัยในการให้ทาน
              ๒. ผู้ที่ยังไม่เคยศรัทธาก็ยังเลในการให้ทาน
              ๓. ผู้ที่ให้ทานแล้วก็ยังลังเลในการให้ทานว่ามากเพียงพอแล้ว
              และกับคำกล่าวที่ว่าคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีมาก มากประมาณไม่ได้ การให้ทานด้วยความรู้สึกบูชาในคุณพระรัตนตรัยย่อมมีค่ามากประมาณไม่ได้เช่นเดียวกันด้วย (ฟังไม่ชัด) ความมั่นใจมีหลักประกันในการให้ทานควรจะตั้งใจอย่างไร ?
      ตอบ :  ให้ทันทีที่มีโอกาสจะให้ ให้เพราะรู้ว่าเขาต้องการ หลังจากให้แล้ว เขาเอาไปทำอะไรเราไม่ต้องไปใส่ใจคิด ถ้าจะยึดหลักการให้ ส่วนที่บอกว่าเยอะแล้ว พอแล้ว ไม่ควรจะให้แล้ว คนที่พูดอย่างนั้นลงอเวจีแน่นอน เพราะทำให้คนเป็นมิจฉาทิฏฐิ ถ้าเราจะนับวัตถุในการให้ไม่มีวันพอหรอก ไม่มีวันเต็มหรอก ให้ไปได้เรื่อย ๆ ส่วนที่เต็มจริง ๆ คือกำลังใจหรือว่าบารมี พอให้ไปเรื่อย ๆ จิตใจไม่ยึดอยู่กับความโลภแล้ว พร้อมจะสละออกอยู่ตลอดเวลา รู้ว่าคนต้องการเมื่อไรเราพร้อมจะให้ ถ้าอย่างนั้นบารมีเต็ม
              แต่คราวนี้ถึงบารมีเต็ม คนที่ทำมาขนาดนั้นท่านก็ประกอบด้วยความไม่ประมาท มีโอกาสท่านก็ให้เป็นปกติ เพราะฉะนั้น...ถ้าใครเขาพูดอย่างนั้นก็น่าสงสารมาก เพราะว่าสอนคนเป็นมิจฉาทิฏฐินี่โทษอเวจีอาจจะยังเบาไป ดีไม่ดีลงโลกันต์ไปเลย
      ถาม :  ได้ฟังเรื่องเล่าของเศรษฐีที่กลายเป็นขอทาน และไม่ได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล ด้วยว่าท่านขาดอธิษฐานบารมี ท่านขาดอย่างไร ?
      ตอบ :  ทำบุญแล้วไม่ได้ตั้งใจว่าต้องการอะไร คือการขาดความตั้งใจว่าต้องการอะไรนี่แหละ สิ่งที่เราทำทุกอย่างให้ผลแน่นอนอยู่แล้ว การอธิษฐานเป็นเพียงการกำกับไปว่าต้องการให้เกิดผลอย่างไร เกิดผลเมื่อไร เป็นการประกันความเสี่ยง ถึงเวลาที่เราต้องการได้แน่ ๆ ไม่ใช่เรื่องของความโลภ แต่คนมักจะไปคิดว่า เออ...ถ้าทำบุญแล้วอธิษฐานเป็นความโลภ ก็ต้องดูตัวอย่างท่านอานันทเศรษฐี ท่านไม่ได้อธิษฐานเป็นขอทาน จากบุคคลสมควรได้อนาคามีก็ไม่ได้อะไรเลย เพราะว่าขาดอธิษฐานบารมี
      ถาม :  สมัยก่อนจนถึงปัจจุบัน เรามีนักเต้นวงดนตรีลูกทุ่งเรียกว่าหางเครื่อง ต่อมาผู้คนในโลกใหม่ ๆ เขาคิดว่าหางเครื่องเต้นไม่พร้อมกัน จึงได้นำรูปแบบการเต้นแบบต่างประเทศมาใช้ เพราะเขาเต้นได้พร้อมกัน และมีผู้ปฏิบัติสามารถเป็นนักเต้น และปัจจุบันเรียกว่า Dancer มีมุมมองที่ทางฝรั่งใช้มองหญิงสาวเป็นคำพูดที่ไม่สามารถฟังได้ โดยมีลักษณะในเชิงที่เรียกว่าดึงดูดทางเพศ หรือปรากฏความหมายว่าเซ็กซี่ (Sexy) มีนักพูดให้ความเห็นในการแสดงเรื่องเพศ คือเมื่อใดก็ตามที่ไม่รู้ว่าจะพูดสิ่งใด้ให้คนสนใจก็จะใช้มุกใต้สะดือ ก็จะทำให้คนสนใจมากขึ้น ต่อด้วยเรื่องของคำว่า “เซ็กซี่” ตามความหมายที่ใช้คืออาการของนักเต้นที่มีปลายเท้าเหยียดออกเพื่อระบุ (ฟังไม่ชัด) อย่างหนึ่ง ก็จะเป็นเรื่องที่เซ็กซี่และผู้คนสนใจ จึงได้ทำกิจการงานนั้นมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุผลเหล่านั้น ด้วยเหตุผลทางธุรกิจหรืออะไรก็ตาม สภาพอาการของคนที่จะให้ของทุกอย่างคงที่อยู่อย่างนั้นในช่วงเวลาหนึ่งประมาณ ๓-๕ นาที อารมณ์ที่ชื่นชอบขณะเวลา ๓-๕ นาที เมื่อเสียงเพลงบรรเลงจบ นักเต้นก็ต้องหยุดเต้น แต่ใจที่ต้องการอยากได้คือต้องการให้สิ่งนั้นต่อเนื่องต่อไป
              ประเด็นคือว่า มีนักวิชาการท่านหนึ่งได้ให้ความเห็นเรื่องคำว่า “หนอ” เอาไว้ว่า โกรธหนอ จะตบหนอ ตบแล้วหนอ เจ็บแล้วหนอ รวมความว่า อาการรู้และเห็นอารมณ์ใจในการปฏิบัติอย่างเดียวจะเพียงพอหรือไม่ ? และการยับยั้งชั่งใจและสติมีความสำคัญมากน้อยประการใด ?
      ตอบ :  ถ้านับตั้งแต่ต้น บุคคลที่สามารถกำหนดรู้ได้ตลอดอย่างนั้น จะสามารถระงับโทสะเอาไว้ได้ชั่วคราว เพราะฉะนั้น...ประเภทตบหนอ เจ็บแล้วหนอจะไม่มี เพราะจิตของเขาอยู่กับการภาวนา อารมณ์จะทรงตัวตลอด การกำหนดสติให้ต่อเนื่องให้ตลอดอย่างนั้น รักโลภโกรธหลงจะเข้าไม่ได้ เพราะจิตมีการเสวยอารมณ์เป็นช่วง ๆ เป็นส่วน ๆ รับอารมณ์ทีละอย่างเท่านั้น ยกเว้นเราเผลให้อารมณ์ไม่ดีแทรกเข้ามา ก็จะเสวยอารมณ์ไม่ดีต่อ
              ส่วนในลักษณะที่ว่ามาตั้งแต่แรก คือลักษณะบรรดาหางเครื่องหรือว่า Dancer อะไรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เนื่องจากคนเราสนใจในเรื่องกามารมณ์เป็นปกติ อันนั้นเป็นสัญชาตญาณ สัญชาตญาณจะเกิดขึ้นเป็นธรรมชาติเลย ฝรั่งเขาก็บอก บอกว่า “เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เด็กผู้ชายคนหนึ่ง เอามาเลี้ยงไว้ในถ้ำปิดประตูไว้ไม่ต้องให้เห็นอะไร ส่งอาหารเข้าไปให้อย่างเดียว มีอาหารมีน้ำก็โตขึ้น รับรองมันผลิตลูกได้แน่นอน” เพราะอันนั้นเกิดจากสัญชาตญาณที่ต้องการจะสืบพืชพันธุ์ของสัตว์โลกกระตุ้นให้เป็นไป สุนทรภู่ท่านก็บอกเอาไว้ “อันตัณหาราคะนั้นสาหัส ถ้าใครตัดเสียได้ฉันให้ถอง อุตส่าห์เรียนวิชาหาเงินทอง ก็เพราะของสิ่งเดียวมันเกี่ยวกวน”
              เพราะฉะนั้น...ถ้าเขาหากินด้วยเรื่องพวกนี้จะหาเงินได้ง่าย เพราะคนสนใจทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องที่น่าตำหนิ แต่ถ้ามองในแง่ของการปฏิบัติ คือทำให้คนไปยึดติดโดยเฉพาะติดกับโลก ติดกับมายาการ ติดกับกามราคะ โอกาสจะหลุดพ้นยากขึ้นไป กลายเป็นซ้ำเติมเขา คนที่เขาทำทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าคนที่เขาซ้ำเติมเป็นผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติดี แต่ว่าไปเสียท่า โดนพวกเรื่องเหล่านี้น้อมนำไปจนกระทั่งเลิกราการปฏิบัติไป คนที่ทำจะมีโทษไปด้วย ไม่มีอะไรจะใช้ก็ใช้มุกใต้สะดือคนหูผึ่งเอง อันนี้นี่เป็นความจริง
      ถาม :  เรื่องพระมหาชนก ท่านได้กล่าวถึงความเพียรอันเกิดจากการว่าย้ำกลางทะเล ๗ วัน และท่านได้ชี้ให้เห็นประโยชน์ของความพยายามในชีวิตจริงของคนเรา บางสิ่งบางอย่างจำเป็นต้องใช้เวลามากกว่า ๗ วัน เรื่องของความคิดในการคิดทำกิจการต่าง ๆ จะมีจุดสิ้นสุดในการทำความเพียรหรือไม่ ?
      ตอบ :  จุดสิ้นสุดคือต้องประสบความสำเร็จในเรื่องที่เราต้องการ แล้วถ้าไม่ประสบความสำเร็จก็ต้องพยายามไปเรื่อย พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “ยาวะเม เถวะ ปุริโส” เกิดเป็นคนควรพยายามร่ำไป ๗ วันเกิดจากนางมณีเมชลามาช่วยซะก่อน ไม่อย่างนั้นต้องนานกว่านั้น เพราะท่านตั้งใจไว้ว่าท่านจะว่ายจนกว่าจะหมดกำลัง จะถึงฝั่งหรือไม่ถึงฝั่งก็ตามใจ จะจมตายหรือไม่ตายก็ช่าง ท่านได้พยายามเต็มที่แล้ว แหงนหน้าก็ไม่อายฟ้า ก้มหน้าก็ไม่อายดิน ท่านคิดของท่านอย่างนั้น ใช้ความพยายามจนเต็มที่ แต่บังเอิญการที่ท่านทำความดีไปสะเทือนเทวดาเข้า ก็ต้องมาช่วยซะก่อน จุดสิ้นสุดคือ ถ้าในเรื่องการทำมาหากินประสบความสำเร็จตามที่มุ่งหวังแล้ว แต่ถ้าหยุดเฉย ๆ จะกลายเป็นน้ำนิ่งน้ำเน่า
              เพราะฉะนั้น....หาเรื่องใหม่ทำต่อไป หาของอะไรมัน ๆ ทำต่อ จะได้มีสิ่งกระตุ้นสิ่งที่เร้าใจให้เราอยากจะใช้ความพยายามต่อไป แต่ให้เป็นสิ่งที่ถูกที่ควรด้วยนะ ดิ้นรนทำมาหากินถูกแน่ ๆ ให้เป็นสัมมาอาชีวะแล้วกัน
      ถาม :  คำว่า “ถูลู่ถูกัง” ที่พระพุทธเจ้าได้เคยบอก เกิดจากกิเลสที่ลากเราจนจิตใจเราถ่วงไปเลย เรื่องนี้ผมรู้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เมื่อครั้งก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณจะปรากฎร่างของพญามารมาให้พระพุทธเจ้าได้บำเพ็ญบารมี และหลังจากนั้นท่านจึงกล่าวกับท้าวมาราธิราชว่าจะสำเร็จเป็นพระศาสดาในอนาคต สรุปว่าใครเป็นคนลากเราให้อยู่ในลักษณะถูลู่ถูกังได้ ?
      ตอบ :  ถ้าบุคคลที่ตั้งใจจะปฏิบัติยังไม่ถึงจุดหมาย ท่านก็ต้องตะเกียกตะกายต่อไปจนกว่าจะถึงจุดหมายของท่านเอง แต่ขณะเดียวกันจะมีตัวถ่วง ต้องใช้คำว่าตัวถ่วง คือบรรดามารทั้ง ๕ จะเป็นตัวถ่วงทำให้เราเข้าถึงจุดหมายได้ช้า แล้วถามว่าใคร ก็ทั้งเราและเขาร่วมกัน เพียงแต่ของเราถ้าไม่ถึงจุดหมายเราไม่เลิก ส่วนถ้าเขาถ้าป้องกันจุดหมายนั้นไว้ให้เราเข้าไม่ถึงได้ เขาก็จะทำไปเรื่อย แต่ถ้าป้องกันไม่ได้เมื่อไร เราพ้นไปแล้ว เขาถึงจะเลิก คือทั้ง ๒ ฝ่ายต่างช่วยกันลากช่วยกันถู คนหนึ่งพยายามจะตะกายไป อีกคนก็พยายามจะฉุดเอาไว้
      ถาม :  การที่บอกว่าเวลานั่งต่อหน้าพระการนั่งสมาธิ (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  การที่เรานั่งขัดสมาธิ โบราณถือว่าไม่เคารพ เพราะว่าท่านั่งที่เรียบร้อยกว่านั้นมี คือนั่งพับเพียบ ดังนั้นสมัยก่อนหลวงพ่อท่านบอกว่า “คนไหนที่ขัดสมาธิพูดกับข้านี่ ข้าไม่พูดกับมันเลย เพราะจะทำให้เกิดเป็นโทษเสียเปล่า ๆ เพราะเคารพในพระรัตนตรัย” อย่างเช่นเสขิยวัตร คือระเบียบปฏิบัติของพระเพื่อมารยาทอันเรียบร้อยดีงาม ในส่วนของธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ คือเกี่ยวกับการสอนธรรม จะมีบอกเอาไว้เยอะมาก อย่างเช่นถ้าเขาถืออาวุธอยู่ เราจะไม่สอนเขา ถ้าเขากางร่มอยู่ เราจะไม่สอนเขา เอาผ้าโพกหัวอยู่ จะไม่สอนเขา เขานั่งสูงกว่า จะไม่สอนเขา เขาอยู่ข้างหลัง จะไม่สอนเขา เขาอยู่ข้างทาง จะไม่สอนเขา ฯลฯ อย่างนี้เป็นต้น
              เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งสูงค่า ใครก็ตามที่ต้องการต้องแสดงความเคารพอย่างน้อย ๆ ต้องแสดงออกลักษณะว่าบูชากันตามสมควรแล้วถึงจะแสดงให้ เพราะถ้าคนไม่ให้ความเคารพ แสดงไปก็เสียเปล่าอยู่แล้ว คนไม่เคารพพระรัตนตรัย แสดงธรรมไปให้ตายก็ไม่มีโอกาสได้มรรคผล
      ถาม :  การที่เราปฏิบัติ (ฟังไม่ชัด) การที่เรานั่งในท่าที่สบาย แล้วนั่งยืดเท้าออกไป (ฟังไม่ชัด) ถือว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยหรือไม่ครับ ?
      ตอบ :  นั่งเหยียดเท้าก็ได้ นอนก็ได้ อะไรก็ได้ แต่ว่าอย่าหันเท้าไปทางพระ แต่ถ้าเป็นหลวงพ่อท่านนั่งอยู่ ท่านจะนั่งเหยียดเท้าก็ดี นั่งสมาธิอย่างไรก็ดี ถ้าท่านเห็นภาพพระพุทธเจ้าเมื่อไหร่ ท่านจะเปลี่ยนเป็นนั่งพับเพียบทันที หลวงพ่อท่านทำอย่างนั้นเป็นปกติ
      ถาม :  ในข้อที่ว่าก่อนที่จะนอน ถ้าตายไปขอให้ไปนิพพาน (ฟังไม่ชัด) จุดประสงค์เพื่ออะไร ?
      ตอบ :  เป็นการกำหนดจิตเอาไว้ว่าเราต้องการอะไรเหมือนอย่างกับเซ็ทโปรแกรมคอมพิวเตอร์เอาไว้ ถ้าลักษณะเป็นเครื่องบินก็ตั้งโปรแกรม Auto pilot ไว้ ถึงเวลาต่อให้นักบินเป็นลมตายก็ไปจนถึงลักษณะของจิตมีสภาพจำ ในเมื่อเราตั้งใจให้จำอย่างนี้ จะไปที่นี้ ถ้าตายเมื่อไรไปที่นั้นจริง ๆ
      ถาม :  ....................
      ตอบ :  พูดถึงไข่พญานาค สำคัญที่ความเชื่อ ถ้าจิตของเราเชื่อมั่นก็มีผล คนที่ไม่เชื่อต่อให้ขอดีจริง ๆ แท้จริง ๆ ต่อให้เอาพญานาคตัวจริงพันคอเอาไว้ก็เท่านั้น
              สมัยก่อนเขาว่าต้องอธิษฐานเอาว่าตัวเราเองสร้างบุญสร้างบารมีมาแล้ว สมควรกับสิ่งใดให้ได้สิ่งนั้น แล้วอธิษฐานทุบเอาจะได้สีตามนั้น ต้องไปดูตำราของอาจารย์ศักดา อาจารย์ศักดาเป็นคนเปิดเกมเรื่องเพชรพญานาคขึ้นมา แกจะรู้ว่าแต่ละสีหมายถึงอะไร อย่างเช่นคนนี้มีสภาพจิตใจอย่างไร ตอ่ไปจะเป็นอย่างไร ต่อไปจะได้สีที่เหมาะสมกับกำลังใจของตัวเอง ไปดูตำราอาจารย์ศักดาเถอะ ไม่รู้ทิ้งไว้ที่ไหน ทิ้งไว้ที่วัดท่าขนุนหรือเปล่าไม่รู้
      ถาม :  ได้แมววิเชียรมาศมาตัวหนึ่ง ลูกแมวเอามาเลี้ยงเป็นแมวโทนตัวเดียว
      ตอบ :  เป็นแมวโทนตัวเดียวหรือ พี่สาวที่บ้านหมาออกลูกมา ๙ ตัว ๙ ตัวไม่ใช่เยอะ แต่ตำราจีนเขาบอกว่า “ถ้าหมาออกลูก ๙ ตัว จะมีราชาหมาอยู่ ๑ ตัว พี่สาวถามว่า “ดูอย่างไร ?” ต้องดูขนตรงใต้คาง ใต้คางจะมีตุ่มอยู่ตุ่มหนึ่งจะมีขนแข็ง ๆ อยู่ ราชาหมาจะมีขนเส้นเดียว ในชีวิตนี้เจอแค่ ๒ ตัว ไอ้มะดันนี่แสบสุด ๆ เลย อายุไม่ถึง ๒ เดือนมันกัดหมาใหญ่ หมาใหญ่ต้องหนีให้มันกิน มันแย่งอาหารหมาใหญ่ ภาษาที่เรียกว่าตัวเท่าลูกหมา มันลูกหมาจริง ๆ แต่มันกัดหมาใหญ่ หมาใหญ่ต้องหนีให้มันกิน เราก็แปลกใจ ไอ้ตัวนี้ผิดปกติ ปกติมีแต่ตัวใหญ่แย่งตัวเล็ก ไอ้ตัวเล็กแย่งตัวใหญ่แล้วตัวใหญ่ถอยนี่ไม่มี เลยจับมันพลิกดูใต้คางมีขนเส้นเดียวจริง ๆ
              ส่วนอีกตัวหนึ่งก็ไอ้ตี๋น้อยของท่านตี๋น้อยของท่านตี๋ที่วัดท่าซุง ไอ้นั่นโดนรถชนปางตาย ท่านตี๋ก็หยอดน้ำข้าวต้มทายาให้มัน พอมันหายมันก็มอบกายถวายชีวิต ตามท่านต้อย ๆ ตลอด ไปไหนก็ตาม เขาเลยเรียกไอ้ตี๋น้อย
              คราวนี้พระบิณฑบาตมันทะลึ่งตามด้วย พอเข้าไปในหมู่บ้านจะเกิดอะไรขึ้น หมาข้ามถิ่นไม่ได้เจ้าถิ่นจะฟัดเอา แห่กันมาทีเป็นสิบ ไอ้ตี๋น้อยแทนที่จะหนี วิ่งใส่ไอ้เป็นสิบกระจายหมด ตกลงไอ้ตี๋น้อยไปไหน ยันกันไม่มีตัวไหนข่มมันลง เราก็เอ๊ะ...แปลก บอกท่านตี๋พลิกคางมันดูหน่อยซิ พ พลิกขึ้นมาดูมีขนเส้นเดียวจริง ๆ ในชีวิตเจออยู่แค่ ๒ ตัว อยู่วัดท่าซุงทั้งคู่ป่านนี้คงจะตายหมดแล้ว ไอ้จูดี้อยู่ในวัดมันไม่สู้ใคร แต่อยู่นอกวัด เจ้าประคุณ คุณจูดี้เกรทเดน ก็ถอยหลัง ร็อตไวเลอร์ก็ถอยหลัง โดเบอร์แมนก็ถอยหลัง ตัวมันเองเป็นหมาตัวกระเปี๊ยกเดียวสูงคืบกว่า ๆ เอง โอ้โฮ...กำลังใจเหลือเกินจริง ๆ มันข่มหมาใหญ่อยู่หมด ไอ้ร็อตไวเลอร์วิ่งรี่เข้ามา มันกระโชกใส่เขาก่อน ไอ้นั่นชะงักกึกเลย มันกินยาผิดหรือเปล่าอะไรทำนองนั้น เราตอนแรกนึกว่ามันเดินไปแค่หัวสะพานก็โดนเขาฟัดกระจายกลับมาแล้ว ที่ไหนได้มันไปตามพระบิณฑบาตตลอดทาง แต่อยู่ในวัดท่าขนุนมันสู้ใครไม่ได้สักตัว โดนเขากัดหมด ออกนอกวัดนี่ใหญ่กว่ามัน ๕ เท่า ๑๐ เท่ามันเอาเขาหมด
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  ตอนนั้นพระองค์ที่ ๑๐ ท่านเสด็จมาที่วัดท่าซุง พวกเราเข้าไปกราบท่านทำบุญกับท่าน มีคนถวายเครื่องบูชามีดอกบัวท่านก็ถือ ท่านอธิบายเกี่ยวกับการปฏิบัติ ถ้าเราทำจิตของเราให้บางให้ใส ท่านเด็ดก้านบัว ให้เหมือนกับใยบัว มันบางใสไม่มีเครื่องถ่วงก็จะหลุดพ้นได้ง่าย ท่านว่าไปเรื่อย
              คราวนี้มีโยมผู้ชายคนหนึ่งเห็นท่านถือดอกบัวอยู่ก็อยากได้ เข้าไปกราบท่านขอดอกบัว ท่านถามว่า “เธอจะเอาไปทำอะไรหรือ ?” โยมเขาบอกว่า “จะเอาไปต้มเป็นยาให้แม่ครับ แม่ไม่สบายจะขอไปรักษาแม่” ท่านบอกว่า “เอาอย่างนี้สิ เธอเอาน้ำใส่หม้อยกขั้นตั้งไฟ ต้มน้ำแล้วนึกถึงฉัน จะรักษาโรคอะไรก็ได้ ฉันจะช่วย” โยมคนนั้นกราบ ๆ แล้วถอยหลังไป ผมอ่านใจออกตลอดเลย มันผิดหวังมาก มันอยากได้แค่ดอกบัวนั้น อยู่ ๆ ให้มันเอาน้ำเปล่าขึ้นตั้งไฟ ใจมันยึดอยู่ที่ดอกบัวมันไม่ได้นึกถึงท่านเลย ท่านให้ขนาดว่า “นึกถึงแล้วท่านจะช่วย” แหม...ถ้าเป็นเราละก็เจ้าประคุณเอ๊ย...โรคอะไรมาตูจะรักษาให้หมดเลย