ถาม:  ......................................
      ตอบ :  มีอยู่เที่ยวหนึ่งเหมือนกันที่หลวงพ่อท่านบอกให้พระช่วยกันสืบหาหน่อย พระรูปหนึ่งชื่อหลวงตาจวนอยู่สิงห์บุรี ท้วม ๆ ขาว ๆ หน่อย อยู่แถวไหน ? ก็ตระเวนหากันไปเจอหลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม นั่นก็มรณภาพแล้วนะ ถามหลวงพ่อ “หาทำไมครับ ?” ท่านบอก “แปลกว่ะ ข้าไปเจอท่านที่จุฬามณีไปทั้งตัวเลย เอากายเนื้อไป” ถามท่าน ท่านบอกว่า”ท่านชื่อจวน อยู่สิงห์บุรี” เลยลงมาให้ลูกศิษย์ช่วยหาหน่อย ปรากฏว่าท่านมีชื่อเสียงพอตัวทีเดียว ไปถามหาไม่ยากเลย สิงห์บุรีตอนนั้นก็มีหลวงพ่อแพ หลวงพ่อจวน ตอนนี้ไปทั้งคู่แล้ว
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  ไม่ใช่หรอก ต้องได้อภิญญา ยกกายเนื้อไปเลย หลวงพ่อท่านไม่ชอบเพราะร่างกายป่วย เอากายเนื้อไปก็เหนื่อยตายชัก หลวงพ่อท่านเลยถนัดมโนมยิทธิ ถอดใจไปง่ายกว่า
      ถาม :  พระซ่อมไม่ได้ค่ะ ดูแล้วซ่อมไม่ได้ ?
      ตอบ :  พอแตกพอหักปุ๊บ คนก็เอาไปทิ้งไว้ตามโคนต้นไม้ในวัด อาตมากวาดมาหลายคันรถเข็นเลย ทำฐานพระในกุฏิชีที่สร้างใหม่ เพราะพระหน้าตักสี่ศอกฐานใหญ่ จัดแจงเอาวาง ๆ แล้วเอาทรายกลบผูกเหล็กเทปูนทับไปเลย เพราะเวลาเราตั้งพระประธานองค์ใหญ่ในฐานเท่ากับได้กราบท่านทุกองค์อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นคนทิ้งตากแดดตากฝนอยู่ เห็นแล้วอย่างไรก็ไม่สบายตา
      ถาม :  ปกติมีการหักหรือแตกหักควรจะทำอย่างไร ?
      ตอบ :  ซ่อมได้ซ่อมขึ้นมา ถ้าไม่สามารถจซ่อมได้เอาบรรจุไว้ในพระองค์ใหญ่หรือไม่ก็บรรจุไว้ในที่ ๆ สมควรอย่างนี้ อาตมาสร้างป้ายวัดก็บรรจุดไว้บนป้าย ถ้าสร้างโบสถ์ก็บรรจุดบนหลังคาโบสถ์ ก็ยังใช้กราบไหว้ต่อ อย่าไปทุบทำลายเพื่อที่จะหลอมเป็นองค์ใหม่หรือปั๊มเป็นองค์ใหม่ เพราะจะมีโทษเท่ากับทำลายพระพุทธรูปดีดีนี่เอง เพราะฉะนั้น...บรรดาเซียนพระต่าง ๆ แหม...บดผงเก่าใส่ลงไป พวกนั้นสร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้เยอะเลย เพราะต้องทำลายพระเก่า
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  ที่สวนป่าออป. ของทองผาภูมิ (อุตสาหกรรมป่าไม้เขตทองผาภูมิ) สร้างบ้านพักหลังหนึ่งแล้วไม่มีใครอยู่ได้ ใครไปอยู่นี่เผ่นกระจายหมดทุกรายเลย คราวนี้ตัวผู้ช่วยรุ่งเป็นผู้ช่วยอยู่ที่นั่นรู้จักเลยนิมนต์ไป บอก “ไปช่วยดูหน่อยครับ” เราก็บอก “เออ...จัดที่นอนไว้ด้วยนะ” เขาเห็นพระที่เกาะมีสี่ห้าองค์ก็จัดที่นอนอไว้ห้าที่ ที่ไหนได้เราแบกย่ามไปคนเดียว เขาถามว่า “หลวงพี่นอนได้หรือ ?” “เออ...จะนอนให้ดู” แล้วก็นอนไป ก่อนนอนก็ตั้งใจบอกเจ้าที่ บอกว่า “มีอะไรให้คุยกันนะ” ดึกประมาณซักห้าทุ่ม เจ้าที่ก็มาบอกว่า “แถวนี้เรียกเขาว่าเจ้าพ่อวังน้ำเขียว เจ้าพ่อวังน้ำเขียวมีศาลทางด้านโน้น” บอกว่า “แล้วเป็นฝีมือของเจ้าพ่อหรือบริวารหรือเปล่า ?” บอก “ไม่ใช่หรอกครับ พวกผมไม่ยุ่งกับใครหรอก ผมแค่ดูแลรักษาสถานที่เฉย ๆ คนแถวนี้ให้ความเคารพผมดี” บอก “แล้วฝีมือใคร ?” “ถ้าผมไปเดี๋ยวเขามาเองแหละครับ” พอเจ้าพ่อถอยไปก็มาเลย เป็นผู้หญิงคลอดลูกดตายอยู่ใกล้ ๆ ตรงนั้น เสร็จแล้วเขาเอาศพไปเผาเยื้อง ๆ อยู่กับตัวอาคารที่เขาสร้างเป็นบ้านพักห่างกันประมาณสี่ห้าเมตร คราวนี้พอตายไปยึดอยู่ตรงนั้น พอยึดอยู่ตรงนั้นแล้วแทนที่จะไปยึดตรงจดุที่เขาเผา เปล่าหรอก เห็นเขาสร้างอาคารมันไปอยู่ในอาคาร คราวนี้ใครไปแม่หลอกกระจายเลย เราพยายามต่อรองท่าไหนไม่ยอมทั้งนั้น ทำบุญอะไรให้มันไม่ยอมทั้งนั้น เลยบอกว่า “เอาล่ะ ดีด้วยไม่ยอมดีก็เอาอย่างนี้แล้วกัน ภายในสามปีนี้ออกไปนอกเขตนี้ห้ามเข้ามาจนกว่าจะครบสามปีถึงจะกลับเข้ามาใหม่ได้” ไล่มันเลย คราวนี้ถ้าเราช้ำกลับของพระไล่ แต่เรากำหนดระยะเวลาด้วยนะ ไมใช่ว่าไล่ไม่มีกำหนดนี่ก็ไปสร้างกรรมกับเขาเหมือนกัน สามปีมนุษย์ไม่นานเท่าของเขา แต่สำหรับคนนี่น่าจะโยกย้ายไปหลายยกแล้ว เราก็กะว่าหัวหน้าคนต่อไปไม่รู้จักกู กูก็ไม่ยุ่งกับมึงแล้ว ป่านนี้ไม่รู้ว่าหลอกกันกระจายเหมือนเดิมหรือยัง ไล่มันออกไปมีรายเดียวจริง ๆ ที่ตั้งใจไล่ เพราะมันดื้อมาก ถามอะไรต่ออะไรทุกอย่างแล้ว คุยด้วยทุกอย่างมันไม่เอาด้วยทั้งนั้น ใจมันมืดจริ งๆ เลย มันจะเอาตรงนั้นที่เดียว
      ถาม :  ................................
      ตอบ :  เรื่องของผี เขามาส่วนใหญ่เขาลำบาก ในเมื่อเขาลำบากมา เขาอยากให้เราช่วยมากกว่า คุยกับเขาดี ๆ ก็ได้ หลังจากที่ไล่ที่เป็นหมอผีมอญที่ว่าไปแล้ว คราวนี้พวกนี้มาเป็นชุด ๆ เหมือนกับรู้ว่าเราทำอะไรได้ เดี๋ยวก็มาอีก เดี๋ยวผู้ช่วยนุ้ยก็หามร่องแร่งเข้ามาอีกรายแล้ว ถามว่า “เรื่องอะไรกันวะ ?” “รายนี้เมาแล้วไปพังศาลาบางปลาม้าโน่น” ถามว่า “เป็นอย่างไร ?” “แล้วมันก็นั่งเอ๋อไป ๗-๘ วัน ไม่มีใครแก้ได้ หาพระที่ไหนแก้ไม่ตก” ไม่รู้มันพาไปหาหลวงปู่ปลื้มหรือเปล่า บางทีอยู่บางปลาม้าพาไปหาหลวงปู่ปลื้มสบายเลย วัดสวนหงส์ ตอนนี้หลวงปู่ปลื้มก็มรณภาพไปแล้ว คราวนี้พอผู้ช่วยนุ้ยได้ยินว่าเออ...เราแก้คนนี้ได้ คนนั้นก็ก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็พามา เขาบอกว่า “พอไปบอกญาติมันว่าจะพามาหา มันลุกขึ้นอาบน้ำอาบท่ากินข้าวกินปลาเสร็จมันมาเลย” มาถึงก็มานุ่งจุ้มปุ๊กตรงหน้าแล้วก็กราบ ๆ ๆ ถามว่า “เป็นอย่างไร ไปแกล้งเขาทำไม ?” “ไม่ได้แกล้งครับ เขาไปพังที่อยู่ของผม” ถามว่า “อยู่ที่ศาล ?” บอก “ไม่ได้อยู่หรอก แต่เขาสร้างให้เป็นที่อยู่ของผมแล้ว ไอ้หอกนี่มันไม่เครารพ เมาแล้วซ่าแสดงฤทธิ์อวดเพื่อนมันพังศาลเจ้าซะ” แกเลยบังคับให้มันนั่งเอ๋อไปเฉย ๆ อย่างนั้น บอกแล้ววันนี้เป็นอย่างไร รู้ว่าจะมาหาพระล่ะซิ ก็เลยให้มันกินข้าวกินปลาหน่อยไม่อย่างนั้นเดี๋ยวไม่มีแรง ถามเขาว่า “จะเอาอย่างไร ?” เขาบอกว่า “ถ้าเขาขอขมาแล้วทำศาลให้ใหม่ก็จะยอม” เลยถามญาติเขาว่า “ได้ไหม ?” เขาบอกว่า “ได้” สร้างศาลใหม่แล้วให้ไอ้นี่ไปจุดธูปเทียนขอขมา เขาก็ตกลงบอกว่า “ตกลงเขากลับบ้านได้ กลับไปถึงแล้วเลิกกันนะ” “โอเค” กลับไปเขาเงียบไปเฉย ๆ คงจะหายไป
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  ไปเกิดใหม่ อาจจะไปตามบุญตามบาปตามที่จิตของตัวเองยึดเกาะในช่วงท้ายก่อนที่จะตาย แต่ว่ามีอยู่อย่างหนึ่งคนที่ฆ่าตัวตายมักจะต้องฆ่าตัวตายซ้ำ ๆ กันไปหลายชาติ
      ถาม :  อย่างนี้ถ้าเราทำบุญให้เขา เจาะจงให้เขา เจาจะได้ไหม ?
      ตอบ :  เจาะจงให้เขาน่ะได้ ให้เขาไปสบายเลยหมดเรื่อง ถ้าเขาโมทนาบุญสังฆทานได้ มีความสุขเหมือนเทวดา ถึงเวลาถ้าหมดอายุขัยความเป็นมนุษย์ก็ไปเป็นเทวดาเลย
      ถาม :  ................................
      ตอบ :  ไม่มีใครฆ่ามารได้จำไว้ ชินมาร ชิตะมาร ผู้ชนะมารผู้พิชิตมาคือพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ท่านก็ไม่ได้ฆ่ามารได้ เพียงแต่ท่านรู้เท่าทันจนมารหลอกท่านไม่ได้แล้ว ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง เรามีหน้าที่หลีกหนี มีหน้าที่ขวนขวายเพื่อความหลุดพ้น เราหลีกหนีเขาไปขวนขวายเพื่อความหลุดพ้น เขามีหน้าที่ขัดขวาง เขาก็พยายามสร้างกลสร้างเกณฑ์ต่าง ๆ มาขัดขวางเราไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ถึงวาระถึงเวลาก็ต้องแยกจากกันไป ให้เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ถ้าเราไปยึดถือมั่นหมายกลัดกลุ้มอยู่กับมันก็เป็นทุกข์ ในที่สุดทั้งเขาทั้งเราก็ทรงอยู่ไม่ได้หรอก ท้ายสุดก็สลายตัวไป ไม่ว่าจะเป็นใครขันธ์หยาดหรือขันธ์ทิพย์ก็ตาม และสุดท้ายทั้งหมดก็จะล่วงเข้าสู่พระนิพพานด้วยกันทั้งสิ้น
              เพราะฉะนั้น...ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด มารไม่ใช่ศัตรูหรอก เป็นครู แต่เป็นครูที่ขยันฉิบหาย โอ้โฮ...เผลอเมื่อไรเป็นทดสอบ ทุกวินาทีเผลอเป็นโดนเผลอเป็นโดน เขาสามารถใช้สิ่งรอบข้างของเรา ไม่ว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุธาตุ หรือสิ่งของ กลายเป็นมารไปแล้วมาสร้างอารมณ์ขัดเคืองให้กับเรา น้อยอกน้อยใจให้กับเรา เพราะฉะนั้น...จะต้องมีสติรู้เท่าทันมันด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นมันหลอกปั่นหัวเราไปเรื่อย ๆ ถ้าปั่นเราได้เมื่อไรเราก็หนีไม่พ้นก็ต้องอยู่กับมันไปเรื่อย ๆ
      ถาม :  อย่างนี้เท่ากับว่ามารไม่ปั่นให้เราไปทำคนอื่น ก็ปั่นให้คนอื่นมาทำเรา ?
      ตอบ :  ใช่ เขาใช้ได้ทุกอย่างเลยกระทั่งของวางอยู่เฉย ๆ แท้ ๆ ห่า...เกะกะฉิบหายเลย มันสามารถดลใจให้เราคิดอย่างนี้ได้ พอเราไม่พอใจคือตัวโทสะ เรามองเอ๊ะ...สวยจังเลย เสร็จมันอีกแล้ว กลายเป็นราคะอยากได้ เอาอย่างไรดี เสร็จมันทั้งขึ้นทั้งล่อง เราต้องรู้ทันมัน พอรู้ทันแล้วต้องพยายามเบรกให้ทัน
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด).
      ตอบ :  สำคัญทีสุดรู้การชำระจิตตัวเองให้สะอาด ทำอย่างไรจะให้ผ่องใสจากกิเลส ทำอย่างไรจะไม่ให้ปรุงแต่งไปด้วยอำนาจของมัน
      ถาม :  ตอนเช้าบิณฑบาต จะมีโยมประจำที่ใส่ครับ มีอยู่วันหนึ่งโยมเขาเตรียมสาย พอดีไปเช้าเลยเดิน ๆ เขาก็ออกมาชะโงก ๆ ผมก็หันไปดู เขาไม่ได้นิมนต์ผมก็เลยเดินกลับ หลังจากวันนั้นไม่ได้ใส่อีกปิดบ้านไปเลย
      ตอบ :  อ๋อ...ไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่แต่เราเท่านั้น มีอยู่วันหนึ่ง มารแกล้งพระพุทธเจ้า บันดาลให้คนทั้งกรุงสาวัตถี ลืมไปว่าวันนี้จะทำบุญกับพระศาสดา เดินบิณฑบาตตั้งแต่ตนยันกลับไม่มีใครใส่บาตรเลย นั่นพระพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “ปาปิมะ ดูก่อนมารผู้เป็นบาป เราทราบว่าเป็นการกระทำของเธอ แต่ตถาคตเองจริง ๆ แล้วไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกวฬิกราหารดอก ตถาคตอยู่ด้วยธรรมปิติก็ได้” กวฬิงกราหารคืออาหารที่กินเข้าไปอย่างพวกข้าว พวกกับ พวกน้ำ พวกขนมอะไรพวกนี้ จะมีผัสสาหารกับลมหายใจเข้าออก มโนสัญญเจตนาอาหารคือความต้องการของใจ คราวนี้ท่านบอกว่าตถาคตอยู่ด้วยธรรมปิติก็ได้ มารถึงได้ยื่นหน้ามาให้เห็น ฝีมือผมเองแหละครับ
      ถาม :  พวกมารพวกนี้เขามีวัตถุประสงค์อะไร ?
      ตอบ :  หน้าที่ของเขาคือขวาง เขาก็ทำหน้าที่ของเขา
      ถาม :  พระพุทธเจ้าจะเข้าถึงนิพพานอยู่แล้ว เขายังจ้องจะแกล้งอีก ?
      ตอบ :  ทำไมล่ะ ลองดูสิเผื่อฟลุก อาจจะไม่พ้นจริง (หัวเราะ)
      ถาม :  มารเขามีวาระในการพ้นจากความเป็นมารไหมครับ ?
      ตอบ :  มีจ้ะ ถึงเวลาเขาก็จุติไปเหมือนกัน อย่าลืมว่ามารนี่ ในบาลีนี่จัดมารไว้สูงกว่าเทวดา เทเวนะวา มาเรนะวา พรัหมมุนาวา เทวดาก็ดี มารก็ดี พรหมก็ดี มารนี่ในบาลีจัดไว้สูงกว่าพรัหม จะว่าไปแล้วจริ งๆ ท่านคือเทวดาประเภทหนึ่ง เพียงแต่เป็นเทวดาที่แหม...มากที่จะได้แกล้งพวกเรานะ จริง ๆ จะว่าแกล้งก็ไม่ได้ ท่านคือครู บอกแล้วว่าท่านเป็นครู แต่เป็นครูที่ขยันมาก ถ้าข้อสอบอันไหนที่เราทำได้แล้ว เราจะไม่มีวันสอบตกอีก รู้เท่าทันแล้ว เขาก็ต้องหาข้อสอบอื่นมาทดสอบเรา
              เพราะฉะนั้น...จริง ๆ ท่านคือผู้ที่มีพระคุณอย่างยิ่งในการที่จะส่งเสริมเราให้หลุดพ้น ไม่อย่างนั้นเราก็จะไม่เสียเวลามาพากเพียรดิ้นรน เพราะเห็นว่าไปสบาย ๆ ไปง่าย ๆ อยู่แล้ว ในเมื่ออยากตะเกียกตะกายให้ได้มาแล้ว แหม...ค่อยยังมีคุณค่ามากหน่อย ไม่อย่างนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าท่านกลายเป็นของง่าย ๆ ใคร ๆ ก็ทำได้ขึ้นมา คนก็ไม่สนใจนะซิ
      ถาม :  ศาสนาอื่นเขาก็ไม่มีมาร ?
      ตอบ :  มีทุกศาสนาแหละ อย่าลืมว่าของคริสต์ก็ซาตาน ของอิสลามเรียกคล้าย ๆ ซาตาน เรียกไซดอน
      ถาม :  อย่างนี้คนทำเขาบาปไหม มารถือว่าทำบาปไหมครับ ?
      ตอบ :  เอาอย่างนี้นะ พอเสือกินกวางเสือบาปไหม ? บาปแต่มันน้อยเพราะภพภูมิของเขาอยู่ระดับที่หยาบกว่ามนุษย์ มนุษย์ฆ่าสัตว์ มนุษย์มีภูมิรู้ที่สูงกว่า ในเมื่อไปฆ่าสัตว์กรรมก็เลยหนัก แต่สัตว์ฆ่าสัตว์ สัตว์มีความมืดบอดเป็นปกติ กรรมเบากว่า คนฆ่าพ่อฆ่าแม่เลยเป็นอนันตริยกรรม แต่สัตว์ฆ่าพ่อฆ่าแม่ไม่เป็นอนันตริยกรรม
              เพราะฉะนั้น...ในเมื่อเขาอยู่ในภูมิที่ต้องทำหน้าที่อย่างนั้น เขาทำไปเถอะ ส่วนที่เป็นบุญก็มี ส่วนที่เป็นบาปก็มีแต่บาปของเขาน้อยกว่า เพราะของเขามันหยาบ ของเทวดาแค่โกรธก็ไฟไหม้ตัวแล้ว
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  ความคิดอย่างนี้แหละทำให้เกิดขึ้น แล้วเกิดสลับกันไปสลับกันมา ในมารดวัชชนียสูตร พระสารีบุตรยังบอกเลย มารแกล้งอย่างไร พระสารีบุตรท่านเดินจงกรมอยู่ มารก็แหม...นี่ขนาดพระอรหันต์แล้วนะ ยังขยันเดินจงกรม อยากจะหลุดพ้นซะจริงเชียว เลยมุดเข้าไปในท้องทำให้ปวดท้องซะจะได้หมดอารมณ์ที่จะเดินจงกรม พระสารีบุตรก็เอ๊ะ...อยู่ ๆ ปวดท้องขึ้นมาไม่มีสาเหตุ เพราะอาหารฉันขึ้นมาก็พิจารณาดีแล้ว โรคภัยของร่างกายก็ไม่มี เลยใช้ทิพจักขุญาณดู อ้าว...ตัวระยำหลบอยู่ข้างใน บอกว่า “ปาปิมะดูก่อนมารผู้เป็นบาป เรารู้จักเธอออกมาเถอะ อย่ามาแกล้งเราเลย เป็นบาปกรรมซะเปล่า ๆ” มารก็ไม่เชื่อ คิดว่าฝีมือตัวเองดี หลบอยู่ในลักษณะของโรคภัยทางร่างกายไม่น่าจะหามันเจอ พระสารีบุตรเลยต้องบรรยายให้ฟัง ชักตระกูลมารให้ฟังบอกว่า “ชาตินั้นพ่อเธอชื่อนั้น แม่เธอชื่อนั้น ตัวเธอชื่อนั้น ส่วนเราชื่อนั้น ตกลงตัวเราเป็นพี่ชายของแม่เธอ ตัวเราก็เป็นลุงของเธอเอง ออกมาเถอะ มารโดนลำดับตระกูลเข้าเห็นว่ารู้จริงเลยออกมายอมสารภาพผิด ตกลงพระสารีบุตรก็ยังเคยเป็นพวกมารมาก่อน เพียงแต่ว่าเมื่อถึงเวลาก็เกิดสลับกันไปสลับกันมาตามทิฐิของตน ตามบุญตามกรรมของตน พอพ้นวาระพ้นอะไรไป ท้ายสุดก็เข้าสู่นิพพานกันหมด อย่าลืมว่าท้าวมาราธิราช ท่านเองท่านก็เป็นมารมาก่อน แล้วตอนนี้ก็ตัดใจลาเข้านิพพาน
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  พูดง่าย ๆ ถ้าเรารู้ว่าเขาเจตนาจะทำบุญ แล้วเขาทำประจำอยู่แล้วก็หยุดซะนิดหนึ่ง ประเภทถ้านับหนึ่งถึงยี่สิบเขาไม่มาเราก็เดินต่อไป ถือว่าให้โอกาสแล้ว อย่าว่าประเภทเดินไปเลย บางครั้งทำให้เขาเสียน้ำใจเหมือนกัน ผมเองเด็กเล็ก ๆ ระยะนี้จำตรงที่แม่อู๋ใส่บาตรจะมีสาวคนหนึ่งเขาเอาลูกเล็ก ๆ มาปิ้งกล้วยปิ้งขาย ลูกมาระยะหลังใส่บาตรทุกวันแล้วตัวมันเตี้ยนิดเดียว ผมต้องก้มเกือบติดดินถึงจะรับบาตรมันได้น่ะ นั่นแหละก็ก้มไปหาเขาหน่อยอำนวยความสะดวก แล้วเด็ก ๆ เห็นเออ...หลวงตาใจดีรับบาตรทุกวัน คุยกับมันด้วยเดี๋ยวพรุ่งนี้มันอยากใส่อีก
      ถาม :  ..............................
      ตอบ :  การประทุษร้ายตระกูลด้วยการประจบคฤหัสถ์ ลักษณะยอมตัวให้เขาใช้ หรือไม่ก็ไปประจบประแจงเขาหวังความคุ้นเคยสนิทสนมเขาจะได้สงเคราะห์ พระพุทธเจ้าท่านปรับ คราวนี้ในลักษณะของเรา ๆ ไปโปรดสัตว์แต่อย่าทำอย่างอาตมาที่อธิษฐาน ตอนนั้นอยู่วัดเทพศิรินทร์แหม...หากินง่าย ๆ จริง ๆ เลย เดินไม่ถึงสองเสาไฟฟ้าล้นบาตรแล้ว คนกรุงเทพฯ นี่ใส่บาตรกันเยอะมากเลย วันนั้นก็นึกคึกขึ้นมา ก่อนออกบิณฑบาตก็ตั้งใจอธิษฐานว่าขอให้บุคคลที่ใส่บาตรในวันนี้เป็นบุคคลที่เคยร่วมบุญกันในอดีตมาจริง ๆ คนอื่นไม่เอา ปรากฏว่าให้มีเหตุเป็นไปจนหมด ขนาดพวกคณะพยาบาลหัวเฉียวลูกศิษย์หลวงปู่ประเภทสัญญาดิบดีนัดแนะไว้เลยว่ากี่โมงกี่นาทีจะมายืนรอใส่บาตรหายเกลี้ยงเลย วันนั้นมีใส่บาตรแค่สองรายเดินแทบตาย
              เพราะฉะนั้น...ต่อไปอย่าพยายามอธิษฐานแบบนี้ ถ้าไม่ใช่ถิ่นของเราจริง ๆ นะ คนที่จะร่วมบุญจะน้อย นั่นยังดีนะมีสองราย พอกินอยู่แล้ว ของเราต้องการแค่รายเดียวเท่านั้นข้าวถุงเดียว
      ถาม :  เคยจริงหรือเปล่าหลวงพี่ ?
      ตอบ :  ในอดีตต้องเคยสร้างบุญร่วมกันมา แล้วสองคนที่ใส่ก็ไม่ใช่คนที่คุ้นหน้าเลย
      ถาม :  .................................
      ตอบ :  บุคคลที่อายุยืนเป็นบุคคลที่ประกอบด้วยปาณาติบาตน้อยมาในอดีต พระเถระอยู่ถึงร้อย ระดับสมเด็จนี่ยังไม่เคยได้ยินเลยมั้ง หลวงปู่วัดสามพระยาก็ ๙๐ กว่า สมเด็จพระวันรัตน์วัดโสมนัสก็ ๙๐ คงจะมีองค์ฯ ทำลายสถิติ แต่แหม...พอไปดูรูปเก่าแล้วยอมจริง ๆ เลย ความรู้จริงของหลวงพ่อนี่ให้ดิ้นเถอะ พระที่ท่านนิมนต์ไปชะยันโตงานรับพัดเจ้าคุณสุธรรมยานเถระ ปัจจุบันเป็นสมเด็จเกือบหมดแล้ว ที่เป็นจนตายไปแล้วอีกหลายองค์ ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดก็มีเจ้าคุณธรรมวโรดม วัดปทุมคงคา เป็นสมเด็จธีรญาณมุนี มรณภาพไปแล้ว เจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ปัจจุบันคือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุวรรณาราม เจ้าคุณพุทธิวงศ์มุนี เป็นสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ วัดเบญจฯ แล้วก็เจ้าคุณธรรมปิฎก ปัจจุบันคือสมเด็จพระมหาธีราจารย์ แล้วก็เจ้าคุณธรรมปัญญาบดี ปัจจุบันคือสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ทั้งหมดที่ไล่มานี่ มีอยู่องค์เดียวคือหลวงปู่เจ๊ก เจ้าคุณเพทวรเวที วัดแก้วแจ่มฟ้า อันนั้นเพื่อนซี้กัน อันนั้นที่ยังไม่เห็นขึ้นสมเด็จ ตอนนั้นที่อาวุโสน้อย ๆ อย่างเจ้าคุณธรรมปิฎก วัดชนะสงคราม ภายหลังเลื่อนเป็นเจ้าคุณธรรมวโรดม แล้วถึงได้เลื่อนเป็นสมเด็จพระมหาธีราจารย์ อาวุโสน้อยขนาดนั้นหลวงพ่อนิมนต์ไปแล้ว ดู ๆ ไปท่านรู้ขนาดนี้จริง ๆ เนอะ แล้วก็เจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ คือหลวงพ่อวัดสระเกศ สมเด็จพระพุฒาจารย์
      ถาม :  สมเด็จล้วน ๆ เลยค่ะ ?
      ตอบ :  ตอนนั้นของเราประเภทวิ่งไปวิ่งมารับใช้ท่านสะดวก พอเห็นท่านมานั่งรวม ๆ กันก็ขอถ่ายรูปทีละองค์ พอไปถึงหลวงพ่อวัดสระเกศก็แซวกันอุตลุต เจ้าคุณอุบาลีท่านบอกนี่องค์นี้ถ้าไม่จุดธูปขอถ่ายไม่ติดหรอก หลวงพ่อวัดสระเกศบอกว่า “ถ่ายไม่ติดแล้วจะทำอย่างไรล่ะ ?” “ผมจะอัดกระดาษเปล่าไว้บูชาจนกว่าจะติดเลยครับ” “เออ...ถ้าอย่างนั้นถ่ายได้” พระผู้ใหญ่ท่านอยู่ด้วยกันก็เหมือนกับพวกเรานั่นแหละ ท่านเล่นกันสนุกไปเลย