ถาม:  เจอนิทานชาดกอยู่เรื่องหนึ่ง ?
      ตอบ :  มิตตวินทุชาดก เกี่ยวกับลูกเศรษฐี ดื้อกับพ่อแม่ว่าอะไรไม่เคยฟัง เอาแต่ใจตนเอง คราวนี้พวกเพื่อน ๆ ชวนไปค้าสำเภาต่างประเทศก็จะไปกับเขา พ่อแม่ห้ามก็ไม่ฟัง พอไปฉุดไปรั้งก็ทุบเอาตีเอา แล้วก็หนีขึ้นสำเภาไป แล้วหลงไปที่เกาะ ๆ หนึ่ง ก็เห็นเปรตที่โดนกงจักรพัดหัวอยู่ เห็นเป็นคนที่กำลังแต่งเนื้อแต่งตัวสวยงามมากมีดอกบัวประดับอยู่บนศีรษะอย่างนี้ ตานั่นชื่อมุตตวินทุ
      ถาม :  เรื่องกงจักรหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ใช่ เสร็จแล้วเขาจะมีคำโคลงที่อยู่ในพระมาลัยคำกลอน “ผู้ใดตีพ่อแม่ปู่ย่าแก่แลตายาย ตีด่าสงฆ์ทั้งหลาย ตีภิกษุและเจ้าเณร เลือดไหลลงยะหยดกงจักรกรดพัดมลาย เร่งร้องเร่งครางตาย กงจักรเร่งพัดผัน” เขาจะมีเอาไว้ แล้วพวกราโชวาทจะเกี่ยวกับฑีฆาวุกุมาร ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลยกไปตีบ้านตีเมืองยึดบ้านยึดเมืองเขา แล้วก็พระเจ้าฑีฆีติโกศลผู้เป็นพ่อตาย คราวนี้โดนจับได้ก่อนที่จะประหารชีวิต ท่านรู้ว่าลูกแอบดูอยู่ในหมู่คนก็บอกลูกว่า “ถ้ารักยาวให้บั่น ให้รักสั้นให้ต่อ” ท่านก็พูดขึ้นมาลอย ๆ แล้วท่านก็โดนประหารชีวิตไป โดยลูกนั้นเข้าใจแต่ว่าพ่อสอนเอาไว้ว่าไปอาฆาตพยาบาทใคร เพราะถ้าอาฆาตพยาบาทเขาก็จะจองเวรจองกรรมกันไม่เป็นที่สิ้นสุด เรื่องจะยืดยาวกันไปในภายหน้า ถ้าจะให้จบเสียแค่นั้นแบบรักสั้น ถ้ารักยาวพูดง่าย ๆ คือว่าให้จบลงแค่นี้ แต่ถ้ารักสั้นก็ให้พยาบาทกันต่อไปอะไรอย่างนั้น อยู่ในลักษณะรักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ แล้วฑีฆาวุกุมารตอนหลังพูดง่าย ๆ คือแอบปลอมตัวเข้ามาสมัครเป็นคนรับใช้ เป็นคนเลี้ยงม้าจนได้รับความไว้วางใจเป็นทหารคนสนิท แล้วพาพระราชาออกประพาสป่า คิดจะล้างแค้นให้พ่อแม่ ถึงเวลาแกล้งขับรถม้าซะเร็วจนกระทั่งพลัดกับพวกข้าราชบริพาร อยู่กลางป่า พระเจ้าปเสนทิโกศลคล้าย ๆ กับว่าเหนื่อยมาก นอนหนุนตักฑีฆาวุกุมาร ฑีฆาวุกุมารแอบดึงอาวุธมาจะฆ่า พอเงื้ออาวุธขึ้นก็นึกถึงคำของพ่อก็วาง พอเงื้อขึ้นนึกถึงคำของพ่อก็วาง พอถึงวาระที่สามพระเจ้าปเสนทิโกศลสะดุ้งตื่นขึ้นมาเห็นเข้าพอดีก็สงสัย ตกใจด้วย สงสัยด้วย ถาม “เรื่องอะไร ?” เขาบอกว่า “เขาเป็นลูกของพระเจ้าฑีฆีติโกศลที่โดนประหารชีวิตไปแล้ว เพราะโดนแย่งราชสมบัติ จะล้างแค้นให้พ่อ แต่นึกถึงคำของพ่อแล้วทำไม่ลง” พระเจ้าปเสนทิโกศลเห็นความดีเลยคืนบ้านเมืองให้ไปปกครองกลายเป็นพระเจ้าฑีฆาวุ
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  นั่นน่ะ คือลักษณะแบบเป็นปริศนาธรรม แบบให้รู้คิดเอง แต่ตัวพ่อเข้าใจเลยว่าลูกฟังรู้เรื่องแน่ แล้วรู้เลยว่าวันประหารอย่างไรลูกต้องมาแอบดูในฝูงชนแน่ เลยตะโกนขึ้นมาลอย ๆ คนอื่นเขาไม่รู้หมายความว่าอย่างไร แต่อันนี้เขารู้ บอกว่า “จะอาฆาตพยาบาทกันต่อไปจนกลายเป็นการจองเวรไม่สิ้นสุดดี หรือว่าจะให้จบลงแค่นี้ดี ถ้าให้จบลงแค่นี้ก็ให้อภัยซะ”
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  ความจริงการท่องจำได้สมาธินะ คราวนี้เด็กรุ่นใหม่ ๆ เขาไม่ได้ท่องสมาธิเลยค่อนข้างจะสั้น ความสนใจอะไรเขาจะอยู่เฉพาะหน้าแค่แป๊บ ๆ แค่นั้นเอง
      ถาม :  เคยสอนเด็กมาหลายปีก่อน มาเทียบกับเด็กตอนนี้เห็นเลยว่าต่างกัน ?
      ตอบ :  คือพวกเทคโนโลยีสมัยใหม่นี่แหละเร็วเกินไป จนกระทั่งเด็กที่เกิดใหม่ ๆ จริง ๆ คล้าย ๆ กับว่าจิตใจขอเขายังมีความเป็นทิพย์มากอยู่ ในเมื่อมีความเป็นทิพย์มาก มาอยู่ในลักษณะที่ว่าคิดอะไรก็ต้องให้ได้อย่างนั้น ในเมื่อมาเจอเครื่องมือสมัยใหม่ประเภทรีโมทคอนโทรลกดปุ๊บได้ดั่งใจ สมาธิพลอยไม่ต่อเนื่อง กลายเป็นว่าสืบเนื่องเอาอาการเดิมมา แต่ตัวเองไม่ได้อยู่ในสภาพความเป็นทิพย์อย่างนั้นแล้ว แต่จิตยังกระโดดไปกระโดดมาไวเหมือนเดิม ความสนใจเขาเลยเปลี่ยนเรื่องเร็วกลายเป็นคนสมาธิสั้นไป
      ถาม :  เห็นว่าเด็กรุ่นใหม่ ๆ นี่พอนั่งหน้าโทรทัศน์รีโมท ?
      ตอบ :  พาเสียไปเลย ยื่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์ เดี๋ยวนี้คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ๆ แหม....จริง ๆ ความไวก็มากขึ้น ๆ ทุกที ๆ จะเอาอะไรกดปรี๊ดออก ถ้าจะให้เทคโนโลยีมีคุณค่าจริง ๆ พวกเราจะทิ้งสมาธิไม่ได้เลย ต้องฝึกให้หนักไว้ ฝึกให้หนักจะได้มั่นคง เหมือนกับขับรถเร็ว ยิ่งขับเร็วเท่าไร ต้องมีสติมั่นคงระมัดระวังมากเท่านั้น
              คราวนี้เทคโนโลยีใหม ๆ เร็วมาก ก้าวหน้าไวเหลือเกิน อย่างนี้สมาธิของเราต้องยิ่งมั่นคงมาก ไม่อย่างนั้นไหลตามกระแสไปเลย ความเจริญเป็นสิ่งที่ปฏิเสธิไม่ได้ แต่ทำอย่างไรเราถึงอยู่กับมันอย่างมีสติ
      ถาม :  เมื่อเช้าดูทีวีรายการพระธรรมเทศนา เขาพูดเรื่องในรายการนี้ว่า สร้างคุณธรรมให้กับเด็ก เขาบอกว่าไม่ได้สร้างมาตั้งแต่เล็ก ๆ มาใส่เอาตอนโต ๆ เหมือนการปลูกต้นไม้ไม่ได้เพาะด้วยเมล็ด ไม่หยั่งรากฝังลึกมาเริ่มเอาตอนโต ๆ ?
      ตอบ :  อันนั้นท่านเปรียบเทียบชัดเลยจ้ะ ความจริงเจ้าคุณองค์นี้ท่านเป็นคนใต้ เวลาได้ยินท่านเทศน์เห็นนาน ๆ จะได้ยินสำเนียงใต้หลุดออกมา แม้กระทั่งในวงการพระเอาลูกเข้าไปบวช ไปถึงก็ฝากหลวงพ่อด้วยนะเจ้าคะ ช่วยทำให้มันเป็นคนดีซักที ถามว่า “บวชนานเท่าไหร่ ?” บอก “๑๕ วัน” พ่อแม่เลี้ยงมาอย่างน้อย ๒๐ ปีถึงมีสิทธิ์บวชได้นะ ๒๐ ปีสอนลูกให้ดีไม่ได้ จะให้พระเอาลูกมันดีให้ได้ภายใน ๑๕ วัน ช่างเป็นภาระที่หนักอะไรเช่นนี้ ฟังดูเรารู้เลยนี่ปัญหาใหญ่เลย
      ถาม :  พระในประเทศมีซะสามแสน แต่จะหาพวกแม่ทัพได้ซักกี่คน ?
      ตอบ :  หายากจริง ๆ อย่างน้อยก็ ๒๐ ปี บางคนก็ ๓๐,๔๐ น่ะยังเอาดีไมได้ อย่างไอ้ทิดเอกนี่ ๔๒ ขึ้น ๔๓ แล้วไปอยู่วัดก็อยู่ได้สบาย ๓ เดือน ๕ เดือนก็กลายเป็นพระให้เขาไหว้ได้เต็มที่ เคร่งด้วยนะ ออกจากวัดเมื่อไรกินเหล้าเมื่อนั้น ให้ตายเถอะ นี่สึกไปแล้วเมาหัวทิ่มไปแล้ว อยู่กับวัดนี่เขากลับเคร่งครัดมากเลยนะ แล้วมันอดได้มันก็ไม่อดเลย ออกไปปั๊บมันก็วิ่งใส่
      ถาม :  ไม่คิดจะอยู่ให้เป็น ?
      ตอบ :  เขาคิดเหมือนกัน แต่เขาเองลักษณะคล้าย ๆ กับว่าทางไปมีเยอะ ในเมื่อทางไปมีเยอะก็ไม่คิดที่จะอยู่กับวัด วันก่อนไปเดินมองเด็ก ๆ สาว ๆ เที่ยวเลาะไปถามโน่นถามนี่ เราเองก็ “เอกเอ้ย...แกแก่จนป่านนี้แล้ว นั่นของคนรุ่นใหม่ ๆ เขา ตัวเอง ๔๐ กว่าแล้ว”
      ถาม :  เป่ายันต์เกราะเพชร ?
      ตอบ :  เดือนกันยายนปีหน้าจ้ะ ๑๘ กันยายนจะเป่ายันต์เกราะเพชร ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ของปีหน้า ใครต้องการฤกษ์พรหมประสิทธิ์เอาไปแบ่ง ๆ กัน จะได้ดูฤกษ์ดี ๆ เผื่อจะแต่งงาน ปีนี้เสาร์ห้าไม่ได้เป่ายันต์เกราะเพชร จะทำมีดหมอรุ่นหนึ่ง มีดหมอรุ่นนี่จะปลุกเสก ๓ ครั้ง คือพุทธาภิเษกเสาร์ห้า แล้วขอหลวงพ่ออุตมะ ช่วยเสกให้อีกรอบหนึ่ง หลังจากนั้นจะเข้าพิธีผูกพัทธสีมา (ฟังไม่ชัด) ถอน ถ้าป้องกันอันตรายใช้เคล็ดผูก คราวนี้คำว่าผูกกับถอนเป็นเคล็ดแค่สองคำเท่านั้นเอง ที่เขาบอกว่าจะช่วยให้มีดหมอมีอานุภาพมากที่สุด เลยกลายเป็นว่าถ้าเป็นทางสายเราทำก็ต้องทำตอนนี้
              คราวนี้วันนั้นไปก็แหม...เราก็มีเงินตั้งแสนหนึ่ง ปรากฏว่าไปสั่งมีดหมอได้แค่ ๔๐๐ กว่าเล่ม ด้ามกับฝักเป็นไม้งิ้วดำ คราวนี้พอคนรู้ก็แย่งกันอุตลุดเกินครึ่งไปแล้ว จะมีเหลือแต่ขนาด ๕ นิ้ว ๕ นิ้วนี่จองหนึ่งพัน แล้วก็ ๓ นิ้วมีที่เสียบแบบปากกานั่นจอง ๕๐๐ ถึงได้บอกว่าให้ไปหยอดกระปุกกัน ถ้าจองต้องจ่ายเงินเลยจ้ะ มี ๕๐๐ กับ ๑,๐๐๐ จองได้เลยเพราะจะหมดอยู่แล้ว อย่างห้าพันเก้านิ้วนี่หมดแล้ว ราคาหนึ่งพันนี่เหลืออยู่ ๔๐ เล่ม ราคาห้าร้อยเหลืออยู่ ๒๐๐ กว่าเล่ม เพราะห้าร้อยได้มามากที่สุด
      ถาม :  เล่มขนาดไหนครับ ?
      ตอบ :  เล่มเล็ก ๆ ขนาดนิ้วมือ พกสะดวก จะมีที่เสียบแบบปากกาให้ด้วย จะมีแหนบติดแบบเสียปากกาให้ด้วย
      ถาม :  เอาไปใช้ในทางไหนครับ ?
      ตอบ :  หลายอย่างด้วยกันคาถาเพิ่งไปให้เขาพิมพ์อยู่ จะมีถอนคุณไสยไล่ผี ป้องกันอันตราย หรือว่าอะไรในลักษณะนั้น คาถามีมาตั้งหลายบท วันนั้นเดิมท่อม ๆ อยู่แถวสามย่านแล้วท่านมาบอกคาถาไว้ ตายห่า...ถ้าไม่ใช่เราใครจะจำได้นี่ตั้งเยอะตั้งแยะ ขออภัยเมื่อครู่บอกผิด ราคาเล่มละพันเหลืออยู่แค่ ๓๕ เล่มจ้ะ
      ถาม :  มีก่อสร้างอะไรอีกหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ทางท่าขนุนยังไม่ได้ถามเขาเลย เดี๋ยวเอาเบอร์โทรศัพท์เจ้าอาวาสไปคุยกันเองได้แลย อ้าว...ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ปีหน้า ๑๘ ก็อยู่ในนั้นแหละ เออ...อะไรที่ไม่ตรงไปตรงมาบางครั้งก็พาเราทำงานลำบาก กฐินตกค้างมาอีกแล้ว ถึงได้บอกว่ายอดกฐินที่แจ้ง ๆ ไปไม่ใช่ของจริงหรอก มาเรื่อย ๆ ประมาณ ๓-๔ เดือน จะมีมาเรื่อย
              คราวนี้ของที่เกาะพระฤๅษียอดกฐินผิด คือทางคณะคุณสุภาวดีแจ้งยอดซ้ำมาสองแสนกว่า คือตอนที่รวม ๆ ยอดเงินเพื่อที่จะแจ้งกับคนที่ไปทำบุญว่าได้เท่าไร เลยกลายเป็นยอดของเกาะพระฤๅษีเป็นล้านกว่า แต่จริง ๆ คือได้แปดแสนห้าหมื่นแปดพันหกร้อยสิบหกบาท คราวนี้เขาแจ้งซ้ำมาสองแสนกว่า เพราะเจ้าภาพห้าราย ประเภทส่งมาทีแล้วก็ส่งอีกทีหนึ่ง เราไม่ได้สังเกต บวกเข้าไปกลายเป็นล้านกว่าตกใจหมดเลย ทางด้านวัดถ้ำทะลุได้หนึ่งแสนหนึ่งหมื่น แต่ตกค้างก็ได้ไปเยอะ วันก่อนก็ให้ไปหลายพัน ของวัดพุทธบริษัทแสนหกหมื่นห้าพันสี่ร้อยห้าสิบบาท แต่เห็นท่านกอล์ฟบอกว่าเกินแสนเจ็ดไปแล้ว ของวัดท่าขนุนได้แสนห้าหมื่นกับเจ็ดร้อยสิบบาท ของวัดทองผาภูมิเจ้าอาวาสไม่ยอมบอกว่าได้เท่าไร คนหนึ่งถามได้ยอดหนึ่งเล่นเอาญาติโยมตลอดจนพระชักหงุดหงิด จะโกหกทั้งทีทำไมไม่โกหกตัวเลขเดียวกันวะ
              วันก่อนวิ่งแจ้นไปราชบุรีเอาเงินไปฝากที่โน่น กลัวคนทางนี้จะรู้ว่ามีเงินเท่าไร ถึงได้ว่าคราวหน้าถ้าเอากฐินไปบอกให้เปลี่ยนเป็นผ้าป่าไปทอดตอนเป่ายันต์เกราะเพชร ถ้าเป็นกฐินเจ้าอาวาสเขาอ้างสิทธิ์ขึ้นมาเราทำอะไรไม่ได้
      ถาม :  วัดก่อสร้างเจ้าอาวาสท่านบอกว่ายังติดค้างหนี้อะไรไหมครับ ?
      ตอบ :  ถ้าติดค้างหนี้ก็โน่นพุทธบริษัทนั่นแหละ ยังสร้างอะไรไม่ได้ ยังเหลือหนี้อีกสามแสนสอง บอกหนี้หมดเมื่อไรพ่อเจ้าประคุณคงทำโน่นทำนี่ไป แต่เห็นว่าปีนี้ถ้าการไฟฟ้าไม่มีปัญหาจะเอาไฟฟ้าเข้า ที่มีปัญหาอยู่เพราะต้องปักเสาเข้าไปเกือบหนึ่งกิโลเมตร คราวนี้ช่วงเกือบหนึ่งกิโลเมตรผ่านที่ชาวบ้าน ยังเจรจากันไม่ได้ คือความจริงผ่านที่นี่เขาจะพ่วงหม้อใช้บ้านเขาเลย เราก็ไม่รังเกียจนะ แต่แหม...คุยกันยากเหลือเกิน
      ถาม :  สมมติมีคนฝากทำบุญ แต่เราจำไม่ได้ว่าเขาฝากทำอะไร แล้วเราลืมไป แล้วเราทำกฐินทำอะไรที่มากกว่าได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  ถ้าทำมากกว่าได้จ้ะ อย่างสังฆทานนี่เราเอาไปทำวิหารทานหรือธรรมทานได้ แต่ถ้าไปทำของที่น้อยกว่านั้นไม่ได้
      ถาม :  อย่างมีซองของวัดพุทธบริษัท ?
      ตอบ :  ส่งมาที่อาตมานี่ กำลังรวบรวมอยู่แล้วเอาไปให้เขา
      ถาม :  ถ้าเลยกฐินจะเป็นไรไหมครับ ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไรจ้ะ เพราะเขาตั้งใจทำตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจตนาเขาทำเขาได้ตั้งแต่ตอนที่เขาคิดแล้ว อยู่ที่นี่ก็ประจำนะ หลังกฐินไปแล้วประมาณสามเดือนจะได้ซองของทุกเดือน มาอยู่เรื่อย ๆ ได้บุญเพราะเขาตั้งใจทำแล้ว
      ถาม :  อานิสงส์ได้แต่ช้าหน่อย ใส่ก่อนได้เปรียบ ?
      ตอบ :  หลวงพ่อท่านมักจะยกเรื่องจูเฬกสาฎกฟังพระพุทธเจ้าเทศน์สองคน ผัวเมียมีผ้าห่มอยู่ผืนเดียว คราวนี้ของพราหมณ์เวลาออกนอกบ้านต้องแต่งตัวเรียบร้อย มีผ้านุ่งมีผ้าห่ม คราวนี้ของเขาผ้านุ่งผ้าห่มมีผืนเดียว ผัวเมียก็ผลัดกันออกจากบ้าน ถ้าผัวกลับมาเมียก็รับผ้าห่มแล้วก็ออกจากบ้านไป คราวนี้ก็สลับกันลักษณะนี้ จูเฬกสาฎกไปฟังพระพุทธเจ้าเทศน์ชอบใจขึ้นมา ไม่มีอะไรจะถวายขยับจะถอดผ้าห่มถวาย นึกขึ้นว่า เอ๊ะ...เดี๋ยวเมียไม่มีโอกาสจะออกมาฟังพระพุทธเจ้าเทศน์ อย่าเพิ่งถวายเลยวะ พอยามสองฟังชอบใจจะถวายอีกก็นึกแบบเดียวกันอีก พอยามสามเอาละวะ เมียได้มาไม่ได้มาช่างมัน กูทำบุญแล้ว ก็ถอดถวายไป คราวนี้แกปลื้มใจแกร้องว่าชิตัง เม ชิตัง เม คือเราชนะแล้ว ชนะความโลภแล้ว ชนะความตระหนี่แล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลเพิ่งออกไปปราบโจรยกจตุรงคเสนากลับมาฟังเทศน์ด้วย ได้ยินเข้า เอ๊ะ...นี่ทำอะไรของมันวะ กูไปรบชนะมากูยังไม่ดีใจขนาดนี้เลย ชนะอะไรของมัน บอกว่าเราชนะแล้ว ก็เรียกมาถาม จูเฬกสาฎกเล่าให้ฟังว่าชนะความตระหนี่แล้ว คอยแต่ห่วงเมียคอยแต่ห่วงของอยู่ พระเจ้าปเสนทิโกศลก็เออ...ขืนให้ตอนนี้กำลังใจล้น ถวายพระพุทธเจ้าหมดแน่ ๆ เลย บอกว่า “เอาอย่างนี้แล้วกันมอบบ้านส่วยให้คือให้หมู่บ้านที่จูเฬกสาฎกเท่ากัเบขาเป็นนายบ้าน แล้วมีสิทธิ์ที่จะเก็บภาษีแล้วก็เอาไปใช้เองได้ แล้วให้ข้าทาสหญิงชาย ช้างม้าวัวควาย เลยกลายเป็นคหบดีคือผู้มีอันจะกินขึ้นมา พระทั้งหลายก็แปลกใจ เอ...ทำบุญหน่อยเดียวกับพระพุทธเจ้าแล้วถึงกลายเป็นคหบดี พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้าจูเฬกสาฎกทำบุญเร็วกว่านี้จะได้มากกว่านี้ ถ้าทำตั้งแต่ยามต้นจะได้ผลมหาเศรษฐี มหาเศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ รวยตายชักเลย ๘๐ โกฏิ หลวงพ่อบอกประมาณแปดหมื่นล้าน เพราะโกฏิหลวงพ่อท่านบอกว่าเป็นหลักพันล้าน ถ้าเราว่าตามบาลีนะ โกฏินี่หลักสิบล้านนะ เพราะจากล้านเป็นโกฏิมีทรัพย์แปดหมื่นล้าน ถ้าถวายยามที่สองจะได้เป็นอนุเศรษฐีมีทรัพย์อยู่สี่หมื่นล้าน สี่สิบโกฏิ
              คราวนี้แกประเภทใจเย็นไปหน่อย มัวแต่คิดถึงเมียอยู่ ห่วงเมียจะไม่ได้มาฟังเทศน์ มาถวายเอายามสุดท้ายเลยได้เป็นแค่คหบดี แล้วท่านก็ยกบาลีว่า ตุลิฏะ ตุลิฏัง สีฆะ สีฆัง ทำอะไรต้องเร็ว ๆ ไว ๆ บางคนไปถวายสังฆทานที่ วัดทองผาภูมิวันเกิด ตั้งท่าจุดธูปจุดเทียนอาราธนาศีล บอก “โยมยกประเคนมาเลย” เขาก็งง ๆ บอกว่า “ทำอะไรทำให้เร็ว ๆ ทำง่าย ๆ ถึงเวลาก็ได้เร็ว ๆ ได้ง่าย ๆ” แล้วเราจะไปกราบพระไว้พระของเราให้ชื่นใจทีหลัง
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  ถ้าสมัยนี้ของคุณทักษิณได้เป็นอนุเศรษฐี ยังเป็นมหาเศรษฐีไม่ได้ยังไม่ถึงแปดหมื่นล้าน แต่ถ้าเอาระดับโกฏิหนึ่งสิบล้าน แกเป็นไปหลายรอบแปดสิบโกฏิเท่ากับแปดร้อยล้าน คือตามตัวเลขบาลีถัดจากล้านเป็นโกฎิจากโกฏิเป็นอสงไขย แต่หลวงพ่อท่านบอกว่าถ้าตามความเป็นจริง จริง ๆ แล้วโกฏิเป็นหลักของพันล้าน คือถ้าเรามานึกถึงเป็นแค่พันล้าน แล้วถัดจากนั้นเขาใช้คำว่าอสงไขย คือนับไม่ได้ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะยังนับได้อีกตั้งเยอะ
      ถาม :  ................................
      ตอบ :  วันนี้มีแต่วิ่งสองที่ ประเภทวิ่งพรวดพราดขึ้นมาทำบุญ เสร็จแล้วบอกจะต้องรีบไป ถามว่า “ทำไม ?” “รถตู้จะเออกรีบไปวัดท่าซุง” วัดท่าซุงมีงานครบรอบปีหลวงพ่อกับหลวงปู่สายมรณภาพปีเดียวกัน แต่หลวงปู่สายไปก่อนหกอาทิตย์แล้วตั้งศพเอาไว้ ปีที่แล้วซื้อโลงแก้วประดับมุกถวายท่านไปสองแสนกว่า รีบปรับปรุงวัดท่าขนุนเสร็จกะจะเผ่นไปนอน ไปได้แค่ ๒ วันท่านตามให้ไปจัดการวัดทองผาภูมิต่อ
      ถาม :  .............................
      ตอบ :  เมื่ออาทิตย์ก่อนพี่สามารถรุ่นพี่ที่บวชวัดท่าซุง เขาบวชก่อนพรรษาหนึ่งแล้วสึก เป็นช่างสร้างมณฑปกับปราสาททองคำ มณฑปตั้งศพหลวงพ่อปราสาททองคำ แวะไปถามว่า “มีงานอะไรให้ทำบ้าง ?” เลยชี้ให้ดู หลวงพ่อพระประธานองค์ใหญ่ข้างหน้า บอกว่า “พี่ออกแบบมณฑปสักอันสิ” แกไปนั่งลูบ ๆ คลำ ๆ อยู่พักใหญ่ออกมาบอก “แพงนะ” บอก “เออ...แพง ออกแบบแล้วตีราคาให้ด้วย เดี๋ยวจะได้หาเงินไว้สร้าง” เขามองซ้ายมองขวา บอกน่าจะถึง ๑๗ ล้านนะ บอก “เออ...ทำไปเถอะ ออกแบบเสร็จแล้วขอดูแบบหน่อย” เพราะตั้งใจแล้วถ้าบูรณะวัดทองผาภูมิหมดแล้วจะทำมณฑปถวายท่าน คือตามสายของหลวงพ่อเรา ท่านเคยสอนนักสอนหนาบอกว่า “ไม่ว่าแกจะไปอยู่ที่ไหน ถ้าสร้างพระขออย่างหนึ่ง อย่าเอาพ่อใหญ่ของเราไปตากแดดตากฝน ข้าเห็นแล้วไม่สบายใจทุกที” แต่คราวนี้คนอื่นเขาชอบสร้างอย่างนั้น เขาบอกว่าเด่นดี
      ถาม :  .......................
      ตอบ :  หลวงพ่อท่านบอกเอาไว้ว่า “ถ้าทำมีดหมอ ให้ทำช่วงผูกพัทธสีมา เพราะจะมีการถอนโบสถ์เก่าแล้วมาผูกโบสถ์ใหม่” วัดที่จะมีการถอนโบสถ์เก่าแล้วมาผูกโบสถ์ใหม่นี่หายาก เพราะส่วนใหญ่นี่เขาสร้างใหม่เลย แล้ววัดที่ผูกโบสถ์ถอนโบสถ์แล้วเรามีสิทธิ์ไปยุ่งกับเขาก็ยิ่งหายากเข้าไปอีก มีโอกาสก็ต้องรีบทำ เพราะเรื่องของมีดหมอนี่ ถ้าเราใช้พวกถอนคุณถอนของถอนไสยศาสตร์อะไรนี่จะใช้เคล็ดคำว่าถอน ตอนที่เขาสวดถอนโบสถ์นั่นแหละพระเป็นร้อย ๆ องค์ แล้วขณะเดียวกันตอนที่เราจะกันจะแก้อะไรเขาจะใช้เคล็ดผูก เลยจำเป็นตที่จะต้องว่ามีการผูกการถอน ตอนที่หลวงพ่อบอกก็ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้ทำ ได้แต่ฟัง ๆ แล้วก็จำ ๆ เอาไว้
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  การเดินจงกรม คือการเคลื่อนไหวอิริยาบถปกติ ถามว่าเดินอย่างไรถึงจะถูกต้อง มีหลายอย่าง อย่างแรกคือจับอิริยาบถการเคลื่อนไหวของร่างกายของเรา คือดูว่าเท้าซ้ายไป เท้าขวาไป แขนซ้ายแกว่ง แขนขวาแกว่งไปอย่างนี้ ให้สติจับอยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกาย ถ้าสติสมบูรณ์จริง ๆ รู้ละเอียดมากถึงขนาดลมพัดมากระทบเส้นขนไหว รู้ตัวจะรู้หมด
              คราวนี้ยังมีอีกคือเดินแล้วจับลมหายใจ การเดินจับลมหายใจถ้าไม่คล่องตัวในการทางฌานจริง ๆ ถ้าจับครบ ๓ ฐานเมื่อไรก้าวไม่ออก ต้องคล่องตัวจริง ๆ ถึงจะก้าวได้ อีกอย่างหนึ่งคือเดินแล้วพิจารณาหัวข้อธรรมหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งที่เราติดขัด ไม่แจ่มแจ้ง เดินไปนึกไปตรองไป ถ้าเป็นอย่างสายเรานึกขอบารมีพระท่านช่วยสงเคราะห์ จะเกิดความรู้แจ้งขึ้นมา หรือไม่อย่างของเราส่วนใหญ่ที่นิยมคือ เดินแล้วจับภาพพระครอบลงมา ตั้งใจถ้าตายเมื่อไร เราจะไปอยู่กับท่าน หรือไม่ก็เดินกำหนดจับภาพพระนิพพานไว้
      ถาม :  ตั้งใจจะเอาจิตไปจับกับการก้าวเท้า ไม่ทราบว่าจะเอาจิตไปไว้ตรงไหน ?
      ตอบ :  ถ้ากำหนดรู้ตามลมไปด้วยจะก้าวไม่ออก
      ถาม :  ก้าวไม่ออก ?
      ตอบ :  เพราะลม ๓ ฐานนี่เป็นปฐมฌาน อาตมายืนยันเลยว่าใครจับลมครบ ๓ ฐานเท่ากับทรงปฐมฌานอยู่ เพียงแต่จะทรงได้นานแค่ไหน จิตไม่เคลื่อนเท่านั้น ท่านที่ชำนาญจริง ๆ จะทำอิริยาบถไหนก็ทรงฌานได้ทุกระดับชั้น แต่คราวนี้ถ้าไม่ชำนาญ พอเราจับลม ๓ ฐานเป็นอาการของปฐมฌาน ปฐมฌานจิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกัน จะบังคับร่างกายไม่ได้ พอขยับก็ติด ก้าวไม่ออก ต้องคล่องตัวจริง ๆ ถึงระดับฌานใช้งานถึงจะก้าวออก
      ถาม :  เดินไปทำงานค่อนข้างใช้เวลานาน เวลาก้าวไปทำงานก็ อิติปิโส ภะคะวา ไปเรื่อย ๆ ?
      ตอบ :  ได้จ้ะ ไม่มีปัญหา
      ถาม :  จิตที่ทรงฌานจริง ๆ ของการเดินจงกรมนี่ ได้แค่ปฐมฌานเท่านั้นหรือคะ ?
      ตอบ :  ไม่นะจ๊ะ ฌานสี่หรือสมาบัติแปดใช้ได้ทั้งนั้น เพียงแต่เราคล่องตัวไหม ถ้าเรามีความคล่องตัว ฌานไหนก็บังคับร่างกายให้ทำงานได้
      ถาม :  เราจะทราบได้อย่างไรคะ ว่าเรามีของเก่าไหม ?
      ตอบ :  ลองดูสิ ถ้าเราทำได้ง่าย แปลว่าของเก่าเราต้องมี ถ้าทำยากปล้ำเท่าไรไม่เกิดผลซะที แปลว่าของเก่ามีน้อยหรือไม่มี
      ถาม :  ของเก่ามีน้อยหรือไม่มี สงสัยจะมีน้อย ไม่เห็นมีผลสักที ?
      ตอบ :  จริง ๆ ของบางอย่างวาระและเวลาไม่ถึงสมัยเป็นฆราวาสทุ่มเททำเป็นทำตาย ทำชนิดลืมกิน ลืมนอน มีการปฏิบัติหลายหัวข้อที่ทำเท่าไรไม่สำเร็จ แล้วมาได้เอง ได้เอาตอนเป็นพระ ตอนนั้นไปถามหลวงปู่มหาอำพันว่า “เป็นเพราะอะไร ?” หลวงปู่ท่านบอกว่า “ตอนก่อนนี้เหมือนกับคนสตางค์ไม่พอ เหมือนกับคนเงินไม่พอ เพราะทุกอย่างเรื่องของบุญบารมีต้องพร้อมถึงจะได้ คราวนี้พอเราบวชเข้ามา อานิสงส์ใหญ่ของการบวช ผลบุญมหาศาล ถ้าเราทำดีก็คูณด้วยแสน บังเอิญว่าเรามาทำดี ผลของกุศลใหญ่ที่เรามาทำความดี ขณะเดียวกันเป็นกุศลของการบวชด้วย สิ่งที่เราอยากได้กลายเป็นว่าต้นทุนพอ พอต้นทุนพอทำอะไรก็ได้ง่าย ดังนั้นที่เคยแปลกใจว่าทำไมสมัยฆราวาสเราขยันกว่านี้ตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมไม่ได้ พอตอนเป็นพระทำแค่สบาย ๆ กลับได้ เพราะว่าต้นทุนพอแล้ว
      ถาม :  เพราะอย่างนี้ต้นทุนคงไม่พอ คงน้อยเจ้าค่ะ ?
      ตอบ :  ค่อย ๆ ทำไป ไม่ใช่เรื่องยากหรอก เพียงแต่ว่าต้องทำสม่ำเสมอ เอาจริงเอาจัง ไม่ใช่ทำ ๆ ทิ้ง ๆ อย่างนี้ก้าวหน้ายาก
      ถาม :  .............................
      ตอบ :  การถวายดอกไม้บูชาพระ ดอกอะไรก็สู้ดอกบัวไม่ได้ หลวงปู่ครูบาวงศ์ยืนยัน หลวงปู่ครูบาวงศ์บอวก่า “ดอกบัวดอกหนึ่งแทนดอกไม้อื่นได้หมื่นดอก จะสังเกตว่าเวลาสร้างพระพุทธเจ้าจะมีดอกบัวเป็นบัลลังก์เสมอ หรือเสด็จเดินไป ๗ ก้าวมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับพระบาท มีพระเถรีองค์หนึ่งชื่อพระนางอุบลวรรณาเถรี เป็นพระภิกษูณีผู้ใหญ่ พระนางอุบลวรรณาเถรีในดถีตชาติท่านมีลูกเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ ท่านได้ถวายดอกบัวบูชาพระปัจเจกพระพุทธเจ้าทั้ง ๕๐๐ องค์นั้น ชาติต่อมาท่านเกิดมาไม่ว่าเดินไปไหนมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับเท้าตลอด ชื่อของท่านคืออุบลวรรณ ผิวเหมือนกับดอกบัว เอาบ้างไหม แต่ต้องมีลูกเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์นะ ของท่านเอาจริง ๆ ท่านคลอดเจ้าชายองค์เดียวที่เหลือเรียกว่าเกิดแบบ สังเสทชะ คือการเกิดเรียกว่า โยนิ คือการเกิด มี ๔ ประเภท คือ ๑. ชลาพุชะ พวกแทรกไส้เกิด พวกอยู่ในมดลูก อย่างพวกเราหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ๒. สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล คืออยู่ในลักษณะแบบว่าเชื้อโรค อะไรพวกนั้น ๓. อัณฑชะ เกิดจากไข่ อย่างพวกนก พวกไก่ ๔. โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้นโตทันใด อย่างพวกผี พวกเทวดา
              คราวนี้พระนางอุบลวรรณาเถรีในชาตินั้น ท่านคลอดลูกท่านคลอดคนเดียว คลอดเจ้าชายองค์เดียว เพราะท่านเป็นพระราชินี แต่เหงื่อที่ไหลออกมากลายเป็นเด็กอีก ๔๙๙ คน ถ้าเป็นเราก็เลี้ยงกันอานเลย ตั้งใจเลี้ยงลูกคนเดียว ท่านเป็นพระราชินีลูกเยอะเท่าไรท่านก็เลี้ยงได้ พอพระกุมารทั้งหลายโตขึ้นอายุประมาณ ๗ ขวบ ไปวิ่งเล่นในสระสวนอุทยาน ราชกุมารที่คลอดตามปกติทั่วไปเป็นหัวหน้า ปรากฏว่าพอไปถึงสระโบกขรณีเห็นดอกบัวเข้า ความที่ตัวทำดีเอาไว้เยอะ นึกย้อนไปว่าดอกบัวนี้คือบัลลังก์ของเรา ท่านก้าวขึ้นไปนั่งบนดอกบัว พอก้าวขึ้นไปนั่งปุ๊บเจริญกรรมฐานต่อเลย ความดีเก่าคืนมาหมด เจริญกรรมฐานต่อพิจารณาจนกระทั่งเห็นอริยสัจ กลายเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าไป บรรดาเจ้าชายอีก ๔๙๙ ตามวิ่งเล่นอยู่ พอเห็นขึ้นไปนั่งอย่างนั้นก็สงสัย พอลืมตาขึ้นมาถามว่า “ทำอะไร ?” ท่านเล่าให้ฟังแล้วเทศน์อริยสัจให้ทั้ง ๔๙๙ คนบรรลุตามกันไปหมด กลายเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าด้วยกันทั้งหมด คราวนี้พวกอำมาตย์ก็สงสัย ราชบุตรราชกุมารวิ่งเล่นกันเกรียว ๆ อยู่ ๆ เงียบฉี่ไปหมด ตกใจวิ่งหากัน เจอนั่งเรียงเป็นตับอยู่บนดอกบัวในสระ ถามว่า “ไปทำอะไรอยู่อย่างนั้น ?” ท่านบอกว่า “เราเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว ถือว่าเป็นพราหมณ์ เป็นนักบวช ผู้สละแล้วทั้งหมด” พวกนั้นบอกว่า “ไม่ใช่หรอก ลักษณะของนักบวชต้องไม่ใช่อย่างนี้” ถามว่า “ลักษณะเป็นอย่างไร ?” บอกว่า “นักบวชต้องมีลักษณะโกนศีรษะ นุ่งห่มผ้ากาสาวพัตร์ มีบริขาร ๘ ถึงจะเรียกว่านักบวช” พระกุมารพอได้ยินยกมือลูบเศียรตัวเองแลัวเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าทั้งหมดเลย
              พระนางอุบลวรรณาเถรีในชาตินั้น พอทราบขว่าวก็รีบมา พอเห็นลูกตัวเองเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าทั้งหมดก็ดีใจ ตั้งใจถวายบังคมเก็บดอกบัวบูชาพระปัจเจกพระพุทธเจ้าทั้ง ๕๐๐ องค์ที่เป็นลูกของท่าน พระปัจเจกพระพุทธเจ้าพอรับถวายดอกไม้เสร็จ เหาะกลับเขาคันธมาศเป็นที่อยู่ของพระปัจเจกพระพุทธเจ้าทั้งปวง พอท่านบรรลุปุ๊บ ท่านจะรู้อะไรเป็นอะไรทั้งหมด แล้วบันดาลให้พระเทวีเห็นตั้งแต่ออกจากสระสวนในพระราชวัง จนกระทั่งถึงเขาคันธมาส คนอื่นเห็นไม่เห็นอย่างไรไม่รู้ แม่เห็นตลอด เสร็จแล้วเอาดอกไม้ไปบูชาพระให้เห็น ท่านปลื้มใจ ตายจากชาตินั้นมาเกิดใหม่ทุกย่างก้าวมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับ นั่นหลวงปู่ครูบาวงศ์ท่านบอก “ดอกบัว ๑ ดอก แทนดอกไม้อื่นได้หมื่นดอก”
              อย่างนี้ต้องนึกถึงคุณประสิทธิ์ เจ้าชายสัตตบุษย์ของเรา ระยะนี้ไม่ค่อยมา คุณประสิทธิ์ แคล้วโยธา เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่นเก่า สมัยอยู่กุฏิหลวงปู่มหาอำพันจะหอบดอกบัวไปถวายทุกวัน ถ้าไปหาหลวงพ่อหรือว่ามาที่นี่ จะหอบดอกบัวมาประมาณ ๑๐ มัดทุกครั้ง มาถึงก็มานั่งพับด้วยความปลาบปลื้มมากเลย จะถวายทุกครั้ง เขาตั้งความปรารถนาจะเกิดเป็นพระพุทธเจ้า เวลาที่มีของสำคัญ ๆ มาอย่างนิมนต์หลวงพ่อศิลามาก็ดี อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาจากต่างประเทศก็ดี อย่างพระบรมสารีริกธาตุข้อนิ้วพระหัตถ์ แกจะเหมาดอกบัวชนิดที่เรียกว่าหมดนาเลย เอาไปถวายเอาไว้ให้คนไปบูชาพระบรมสารีริกธาตุ บูชาพระพุทธรูปดัน เขาทำอย่างนั้น บอกอีตานี่พวกเราเรียกกัน เจ้าชายสัตตบุษย์ เกิดใหม่เมื่อไรได้เกิดในดอกบัวแน่ ๆ เลย
      ถาม :  เขาทำเป็นปรมัตแล้วใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ ไม่ได้เงินเดือนเงินดาวอะไรมากมาย คือนับ ๆ แล้วเขาเป็นพนักงานของโอสถสภา คราวนี้ขับรถได้เท่าไร จะมีเปอร์เซ็นต์ของการส่งของ พวกประเภทเมคเงินตลอด ตั้งใจอย่างเดียวเอาเงินมาสร้างบุญ ใครมีสร้างพระสร้างอะไรที่ไหน เอากับเขาหมด แต่ที่เห็น ๆ แกไปทำบุญที่ไหนต้องแบกดอกบัวไปเป็นกุรุส เก่งจริง ๆ นะ ขี่มอเตอร์ไซค์คันเล็ก ๆ สามารถเอา ๑๐ มัด ทุกครั้งจะเป็นแบบนั้น ประเภทตำรวจเห็นเลิกจับไปเอง ไม่รู้จะจับไปทำไม มันไปทำบุญ
      ถาม :  พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องมีดอกบัวเป็นดอกไม้ในพระพุทธศาสนาหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  คือตอนที่ท่านอย่างองค์ปัจจุบันของเรานี้ พอมีประสูติกาลเสร็จคืออรรถกถาท่านบอกว่า ทุกคนจะเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนดั่งโตแล้ว อายุ ๑๖ เป็นพระราชกุมารมีเครื่องทรงครบถ้วนสมบูรณ์ ท่านเสด็จไปด้านหน้า ๗ ก้าว เปล่งอภิสวาจา คือคำพูดที่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ “อะหัง อัคโคหมัสมิ” เราเป็นผู้ประเสริฐสุด เราเป็นผู้เจริญสุด ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราแล้ว ขึ้นชื่อว่าการเกิดไม่มี ท่านพูดเป็นภาษาบาลี แปลเป็นไทยได้แบบนี้ แล้วช่วง ๗ ก้าวที่เดินไปจะมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับ มีคนสงสัย เด็กเพิ่งเกิดทำไมพูด เด็กเพิ่งเกิดทำไมเดินได้ อันนี้ต้องดูที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า “สัตว์โลกบางเหล่า ขณะจุติคือเคลื่อนจากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ขณะจุติไม่รู้ตัว เมื่อลงสู่ครรภ์มารดาไม่รู้ตัว อยู่ในครรภ์ไม่รู้ตัว เกิดมาจึงรู้ตัว อันนี้คือพวกเราทั่ว ๆ ไป สัตว์บางจำพวก ขณะจุติไม่รู้ตัว ลงสู่ครรภ์มารดารู้ตัว เมื่อคลอดออกมารู้ตัว สัตว์บางจำพวก ขณะจุติก็รู้ตัว ลงสู่ครรภ์มารดาก็รู้ตัว คลอดออกมาก็รู้ตัว ประเภทรู้ตัวตลอด พัฒนาการของเขาไม่ได้สะดุดอะไรไลย ไม่มีอะไรที่จะขัดได้ เหมือนผู้ใหญ่คือผู้ใหญ่ตลอด แม้จะอยู่ร่างเด็ก เพราะฉะนั้น...พูดได้เดินได้เป็นปกติ พัฒนาการไม่มีการสะดุดขาดตอน เพราะสติรู้อยู่ตลอด จริ งๆ คำอธิบายมีอยู่หมด แต่คนไม่ค่อยอ่านกัน ในเมื่อไม่ค่อยอ่าน อ่านไม่ทั้งหมดก็มานั่งเถียงกัน