ถาม:  เมื่อจิตของคนโดยปกติมีสภาพทุกข์ ผู้ที่เข้าถึงธรรมคือพระอรหันต์ จิตของท่านมีสภาพทุกข์หรือไม่ครับ ? เมื่อสภาพธรรมที่เป็นการสลายตัวไปในที่สุด ผู้ที่เข้าถึงธรรมคือพระอรหันต์จิตของท่านมีสภาพการสลายตัวหรือไม่ครับ ?
      ตอบ :  จิตไม่มีการสลายตัว เพียงแต่เปลี่ยนแปลงไปตามบุญตามบาป แต่ของพระอรหันต์ขันธ์ห้าคือกายหยาบที่สลายตัว แต่ขันธ์ทิพย์คือสภาพจิตที่ผ่องใสถึงที่สุดนั้นไม่ได้สลายตัวไปไหน ไปตั้งมั่นอยู่บนพระนิพพาน พระนิพพานเป็นธรรมพิเศษที่ต่างออกไป ประเภทเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปแบบอื่นไม่เป็น เกิดขึ้นแล้วทรงตัวอยู่เป็นปกติอยู่อย่างนั้น ส่วนสภาพจิตของคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป ถ้ายังไม่เริ่มปรุงแต่งก็ยังไม่ทุกข์ ปรุงแต่งเมื่อไรถึงทุกข์ สภาพจิตของพระอรหันต์หยุดการปรุงแต่งแล้วทั้งปวง รู้เท่าทันในสิ่งที่เป็นจริง รู้ว่าท่านหลุดพ้นแล้วจิตชุ่มชื่นเบิกบานเป็นปกติ เรียกว่าท่านมีความสุขก็ได้
      ถาม :  อาการของสี่ในแปดโลกธรรมอันได้แก่ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ เป็นความสุขหรือความทุกข์ครับ ?
      ตอบ :  สิ่งที่ได้มาแบ่งเป็นสองอย่าง คือถ้าส่วนของลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เรียกว่า อิฏฐารมณ์ เป็นอารมณ์พอใจ ถ้าคนทั่ว ๆ ไปได้มายินดี เขาบอกว่ามีความสุข แต่จริง ๆ แล้วคือทุกข์น้อย เพราะความทุกข์ถอยไปเนื่องจากจิตยินดีอยู่ ในส่วนที่เป็นเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์เรียกว่า อนิฏฐารมณ์ เป็นอารมณืไม่พอใจ ไม่มีใครอยากได้ เมื่อประสบเข้าจิตมีความหดหู่เศร้าหมองเป็นปกติ กลายเป็นความทุกข์จริง ๆ จริง ๆ ทุกข์ทั้งคู่ เพียงแต่อันหนึ่งมีปีติมาค้ำอยู่ รู้สึกว่าทุกข์น้อยกลายเป็นสุขไป
      ถาม :  ตัวพิจารณาจะเป็นของเราหรือไม่อย่างไรครับ ?
      ตอบ :  การพิจารณาจริง ๆ คือการที่เราใช้จิตไปในหน้าที่นั้น ๆ ในสิ่งนั้น ๆ อย่างเช่นพิจารณาในธรรม จะเรียกว่าเป็นของเราไหม ? เป็นแค่อาการหนึ่งเหมือนอย่างกับเครื่องมือ เหมือนอย่างกับเราใช้มีดตัดหญ้าอย่างนี้ตัวการพิจารณาคือมีดที่กำลังตัดหญ้าอยู่ แต่ตัวที่ตัดหญ้าจริง ๆ คือตัวเราซึ่งคือจิต
      ถาม :  .............................
      ตอบ :  มีอยู่ตอนหนึ่งโค่วจงจะดวนกับราชันย์บู๊ เขาบรรยายบอกว่า “พอก้าวเท้าออกรู้สึกศีรษะขยายไปจดแผ่นฟ้า พื้นดินใต้เท้าขยายไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทุกอิริยาบถของตนและคู่ต่อสู้อยู่ในอาการรับรู้ทั้งหมด” อาการอย่างนั้น อาการของทิพโสตทิพจักขุญาณชัด ๆ เลยไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นเรารับรู้ได้หมด เพราะเป็นส่วนหนึ่งของเร ยังสงสัยคนเขียนต้องได้แน่ ๆ เลย หรือไม่ในอดีตต้องได้ ไม่อย่างนั้นเขียนออกมาไม่ได้หรอก
      ถาม :  หัวเด็กจะโตไปเรื่อย ๆ จนถึง ๗ ขวบหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  จนกว่ากระหม่อมจะปิด แต่การเจริญของมันจะเจริญไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งอายุ ๒๕ อายุ ๒๕ สัดส่วนร่างกายต่าง ๆ จะหยุดเจริญเติบโตจะเริ่มเข้าสู่วัยเสื่อม หมายถึงช่วงนี้นะ ถ้านานไปจะน้อยลงเรื่อย ๆ
      ถาม :  ผมฟุ้งซ่านไปนหน่อยครับ กลัวลูกไม่ฉลาด วัดรอบหัวตัวเองตั้ง ๕๘ รอบหัวลูกแค่ ๕๓ แฟนบอกหยุดโตแล้ว บอกไม่โตเท่าเราจะฉลาดเท่าเราได้อย่างไร ?
      ตอบ :  ไม่จำเป็นต้องตัด เรื่องของคนครอบครัวเดียวกันต้องรักต้องห่วงเป็นปกติ เพียงแต่เมื่อสงเคราะห์เต็มที่แล้วไม่สามารถให้เขาดีกว่านั้นได้ ต้องหยุดคิดเพื่อที่จะป้องกันความกังวลจะเกิด ถ้าเรากังวลเมื่อไรใจเราจะเศร้าหมองเอง เราจะหยุดได้ไหม เรื่องรักเรื่องห่วงเป็นปกติอยู่แล้ว
      ถาม :  ผมรู้สึกว่าเรายังไม่เข้าใจจริง ๆ จริง ๆ เรายึดติดร่างกายส่วนไหน แต่เราไปบอกตัวเองว่าไม่ยึดติดแล้ว แต่จริง ๆ ยังยึดติด ?
      ตอบ :  เพราะรู้ว่าถ้าบอกว่าไม่ยึดแล้วถูก
      ถาม :  ผมเข้าใจแล้วว่าหลวงพ่อรักเราขนาดไหน ? ท่านเมตตาขนาดไหน ? ผมกราบหลวงพ่อเดี๋ยวนั้นเลย พอกราบเสร็จ ผมคิดว่าหลวงพ่อขนาดนี้แล้วสมเด็จองค์ปฐมกับพระพุทธเจส้ากับพระทุกองค์ท่านก็เหมือน ๆ กัน ผมกราบเดี๋ยวนั้นเลยทุกองค์ พอคิดได้กราบได้ จิ้งจกร้องจุ๊ ๆ เดี๋ยวนั้น ผมนึกว่าเวลาที่เราคิดไม่ดี ๆ
      ตอบ :  เขารับรู้ทางนั้น ภาษิตจีนว่าเหนือศีรษะสามนิ้วมีเทพเจ้าอยู่ ใช่เลย คุณจะบอกว่าใครไม่รู้ไม่เห็นได้หรือเปล่า โอ้โฮ...ทั้งผีทั้งเทวดาเห็นเพียบเลย
      ถาม :  บางเรื่องที่อยู่ในใจนี่ถึงแม้ไม่บ่งบอก ?
      ตอบ :  ของท่านไม่จำเป็นต้องบอก อยู่ในความเป็นทิพย์ คุณคิดอะไรรู้หมด
      ถาม :  แต่ท่านไม่ได้จะติดตามเราไม่ใช่หรือครับ ?
      ตอบ :  ท่านที่เป็นเทวดาประจำตัว คือเป็นบุคคลที่เคยเกี่ยวข้องกับเราทางใดทางหนึ่ง ไปเป็นเทวดาแล้วยังจดจำได้ ยังมีความรักความห่วงเราอยู่ถึงเวลาก็พร้อมที่จะสงเคราะห์เรา ท่านทั้งหลายนี้จะตามดูพฤติกรรม พฤติกรรมอันไหนก็ตามที่เป็นไปในด้านบุญด้านกุศล ท่านพยายามสนับสนุนเต็มที่ พฤติกรรมใดที่เป็นไปในด้านอกุศล ทำให้เราตกต่ำท่านพยายามที่จะกีดกันเต็มที่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น...สังเกตว่าพวกเราถ้าตัดสินใจทำความชั่ว ตัดสินใจไม่ขาดซักที เพราะท่านทั้งหลายพยายามที่จะกันเอาไว้ แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ กระแสอกุศลกรรมแรงกว่า ท่านต้องยอมปล่อย
      ถาม :  เจ้ากรรมนายเวรที่มาคอย ?
      ตอบ :  เขาก็รอของเขาอยู่ ถึงได้บอกว่าถ้าแรงของเขามากกว่า ทางด้านนี้ต้องยอมเขา แต่คอยจ้องจังหวะ มีโอกาสเมื่อไรดึงกลับทันที
      ถาม :  ไม่อยู่ที่กำลังใจเราด้วยหรือครับ ?
      ตอบ :  อยู่ด้วย แต่ของเขาก็มีส่วน
      ถาม :  ถ้าเราประกาศว่าเรามุ่งมั่นแล้วอย่างนี้ ?
      ตอบ :  ท่านก็พยายามถีบส่งเลย
      ถาม :  ถีบลงหรือถีบขึ้นครับ ?
      ตอบ :  ดูว่ามุ่งมั่นด้านไหน ถ้ามุ่งไปดีแน่ ๆ ท่านยันตูมไปลย อยากให้มันเป็นอย่างนี้มานานแล้ว
      ถาม :  ต้องเจอบทเรียนเยอะ ๆ ก่อนหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วพวกเราสันดานถ้าไม่เจอ ไม่เข็ด ขนาดเจอแล้วก็นานกว่าจะเข็ด นี่อาตมาวัดจากตัวเองนะ เดินธุดงค์อยู่ ๑๑ วัน ๑๑ คืนตกระกำลำบาก ถ้าเป็นคนอื่นคงประเภทกราบลาแล้วอย่างนั้น แต่ของเรามุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว โน่นน่ะ จนกระทั่งเกือบ ๆ ค่ำที่ ๑๑ เพิ่งคิดได้ นี่ทุกข์นี่หว่า ก่อนหน้านั้น ๑๑ วันนี่ลุยไปจนกระทั่งป่าแหลกเป็นทางนะ ไม่ได้คิดสักคำเดียวว่าทุกข์ คิดอยู่อย่างเดียวกูไหว เอากับมันดูซิว่ามันดื้อขนาดไหน นั่นแหละ พอจับทุกข์ติด โอ้โฮ...คราวนี้ทุกอย่างวางกองอยู่ตรงนั้นเลย
              ตอนที่ยังจับทุกข์ไม่ติดนี่กำลังใจของพวกเราบ้าเกินคน มีใครบ้างตกระกำลำบากอยู่ ๑๑ วัน ๑๑ คืน เจอนทั้งฝนทั้งฟ้าทั้งไฟพร้อม ๆ กันหมด ลุยป่าฝ่าดงไปทากกินแทบตายแถมยังอดข้าวอีกต่างหาก แต่ไม่ยอมทุกข์อะไรอย่างเดียวคิดอยู่อย่างเดียวกูไปได้กูไหว อะไรจะดื้อขนาดนั้น ๑๑ วันนี่ไม่ได้เห็นหน้าคนเลยนะ อยู่แต่ในป่าอย่างเดียวจริง ๆ ชนิดที่เดินเข้าไปแรก ๆ สัตว์ป่าเห็นเราก็พรวดหายไปเลย เดินไป ๆ เจอเรามันละล้าละลัง กูจะไปดีหรือไม่ไปดี พอเดินไป ๆ เจอประเภทเอ้อระเหยลอยชายตูไม่รู้จักมัน ตัวอะไรก็ไม่รู้อะไรอย่างนั้น ถ้าในสภาพอย่างนั้นเราจะคิดอย่างไร เป็นคนอื่นฝ่อตายไปนานแล้ว แต่ของเราคิดอยู่อย่างเดียวกูไหวกูต้องไปได้
      ถาม :  กำลังนึกครับผมว่า จริง ๆ ตัวเองออกจะท้อบ่อย ๆ ?
      ตอบ :  คราวนี้พอเจอลักษณะอย่างนั้น เลยต้องเจอบทเรียนหนัก ๆ ต้องเจอมาก ๆ ไม่อย่างนั้นไม่ยอมรับ เวลาธรรมดาเราภาวนา ถึงเวลาเราพิจารณาอริยสัจเห็นทุกข์เป็นปกติ แต่คราวนี้นั่นน่ะกว่าเราจะรู้ว่าเป็นสัญญา เราต้องโน่นล่อไปซะ ๑๑ วันแล้ว คือนั่นเป็นสัญญาเรารู้ว่าต้องคิดอย่างนี้ ต้องมองอย่างนี้ แต่อันนั้นเป็นปัญญาจริ งๆ ยอมรับเลยมองผ่าน โอ้โฮ...๑๑ วันเป็นคนอื่นอาจจะตายไปหลายรอบแล้ว ชีวิตทุกข์ขนาดนี้เลยหรือ
      ถาม :  ผมอ่านบันทึกไม่ลับของอุบาสก อ่านรอบแรกก็ดี อ่านรอบสองยิ่งดีมากเลย รู้สึกตามไปด้วย แต่พอมาอ่านวันนี้เฉย ๆ ?
      ตอบ :  เฉย ๆ แสดงว่าเริ่มชินแล้ว เหมือนอย่างกับธรรมะบางส่วนเราเข้าถึงใหม่ ๆ ความที่ยังไม่เคยถึงก็รู้สึกแปลกใหม่ได้อะไรมหาศาลเหลือเกิน แต่พอทำไปทำไปย้ำแล้วย้ำอีกสักระยะหนึ่ง พอชิน ๆ เหมือนกับไม่ได้อะไรเลย
      ถาม :  ผมเคยนึกว่าเป็นเพราะตัวเองได้ฌานสี่จนเป็นปกติหรือเปล่า ? ปัจจุบันเลยไม่รู้สึกว่าทำอย่างไรถึงจะได้ฌานสี่ เพราะชินจนไม่รู้ว่านี่คือฌานสี่ ?
      ตอบ :  ลองดูสิ ถ้าเราต้องการรู้อะไรเมื่อไรรู้ได้ปั๊บเลย ต้องการไปสวรรค์ไปพรหมไปนิพาพนไปได้ปั๊บเลย คุณได้ฌานสี่จนคล่องแล้วแน่ ๆ
      ถาม :  ไปแต่ไม่ชัดครับ ?
      ตอบ :  ไม่ชัดไม่เป็นไร ขอให้เรามั่นใจว่าไปได้
      ถาม :  ถ้าอย่างนี้ก็ไปได้ ?
      ตอบ :  ใช่ แล้วทำอย่างไรถึงชัด ทำอย่างไรจะให้ชัด ลดความอยากลง อย่าไปใส่ใจกับมันมาก คิดว่าชัดไม่ชัดก็ตาม ความรู้ของเราสมบูรณ์อยู่แล้ว
      ถาม :  การได้ฌานสี่ต้องผ่านขั้นตอนนั้นมาแล้ว ?
      ตอบ :  ผ่านมาแล้ว แต่ขณะเดียวกันนั่นเป็นอดีตที่เนิ่นนานอาจจะหลายชาติมาแล้ว การที่เราฟื้นฟูกลับไปจุดเดิมเลยช้าหน่อย เพราะประกอบไปด้วยความอยากซะแล้ว ตัวอยากเลยบังอยู่
      ถาม :  การเห็นผีจำเป็นต้องได้ฌานไหมครับ ?
      ตอบ :  ถ้าเขาปรับมาให้เราเห็นจะชัดมาก แต่ถ้าเราใช้กำลังของฌานสมาบัติ ถ้าไม่ใช่บารมีของพระท่านช่วยอย่างเก่งเห็นเหมือนเวลาใกล้ค่ำ ประเภทมืด ๆ มัว ๆ
      ถาม :  ผมนึกแบบเด็ก ๆ ที่ผมเจอก็เห็นอย่างนี้ ?
      ตอบ :  อย่างนั้นส่วนใหญ่เขาปรับมา หรือเราเป็นเด็กใจยังสะอาดอยู่ อย่างอาตมาตั้งแต่เล็ก ๆ กับตาแสงสองคนนี่ โฮ้โฮ...พ่อเจ้าประคุณมานอนเป็นเพื่อน คราวนี้กลัวแทบฉี่ราด อยู่ ๆ ตื่นขึ้นมากลางดึกหาน้องชายไม่เจอ “มันอยู่ไหนวะ ?” มีแต่ไอ้ตัวเท่านักมวยปล้ำผิวดำปี๋นุ่งแดงใส่แดงนอนคั่นอยู่อย่างนี้ ไอ้รายโน้นร้องไห้จ้าเลย หาเราไม่เจอเหมือนกัน มีแต่ไอ้ตัวใหญ่ ๆ อยู่ แล้วสักพักหนึ่งพ่อแม่มาฟาดซะ เสือกแหกปากร้องกลางดึก...!
      ถาม :  สมัยตอนเด็ก ๆ กลัวกว่าตอนนี้ ?
      ตอบ :  ตอนนั้นอยู่เราที่เรา สภาพตอนนั้นปรุงแต่งได้ดีที่สุดแค่นั้น คราวนี้จิตของเราเคยชินเข้มแข็งขึ้น กล้าแกร่งขึ้น ถึงปรุงแต่งดีกว่าเดิมก็เฉย ๆ
      ถาม :  เรื่องผีอาละวาดดัง ๆ สมัยก่อนจริงหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  เรื่องจริงเลย สมัยนี้แสงไฟนี่ช่วยได้เยอะเลย ผีเขาต้องรวบรวมกำลังของเขาทั้งหมด เพื่อดึงเอาอนุภาคของดินน้ำไฟลมตรงหน้ามารวมตัวกัน เพื่อเป็นของหยาบให้เราเห็น เพราะฉะนั้น...สังเกตว่าที่ไหนสว่าง ๆ ผีไม่เจ๋งจริงหลอกเราไม่ได้กำลังไม่พอ ไฟฟ้านี่แหละตัวแสบที่สุดผีไม่ได้หายไปไหนอยู่เป็นปกติ
      ถาม :  อย่างนี้พวกเจ๋งจริงเก่งจริงก็เป็นฝ่ายดี ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่ฝ่ายดี แต่เขามาทดสอบเรา อาตมาถึงได้ยืนยันกับทุกคนว่าผีจะหลอกเราเที่ยง ๆ ก็เอา บ่าย ๆ ก็เอา ไม่เจอหรอกไปหลอกค่ำ ๆ พวกต้องค่ำ ๆ แล้วค่อยหลอกนี่ฝีมือน้อยไปหน่อย
      ถาม :  อย่างนี้แสงแดดก็มีส่วน ?
      ตอบ :  มีส่วนมหาศาลเลย ท่านที่กำลังไม่ถึงจริง ๆ หลอกเราไม่ได้หรอก
      ถาม :  จริง ๆ คือความกลัวของเราประทับจิตมาตั้งนานแล้ว มืด ๆ นี่แหละตัวดี ?
      ตอบ :  ใช่ เพราะผีสามารถปรากฏให้เราเห็นได้ง่ายมาก ไม่มีอะไรไปกวนมัน กระแสไม่มีอะไรไปขัดมันก็รวมตัวได้ง่าย
      ถาม :  วิญญาณสะท้อนกระจกได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้าเขายังไม่ดึงขึ้นมารวมเป็นของหยาบก็มองไม่เห็น ถ้ามองไม่เห็นก็ไม่มีอะไรเป็นเงาในกระจก แต่ถ้าเขาดึงเอาดินน้ำไฟลมในอากาศมารวมกันเพื่อที่จะให้เราเห็น ถ้าหยาบขึ้นเมื่อไรกระจกจะสะท้อนได้ คือเป็นเหมือนกับร่างปกติ อาตมาไล่เตะไล่ชกอยู่กับผีสามปีเต็ม ๆ ยืนยันว่าเนื้อหนังมังสาเหมือนคนหมด เพียงแต่เราตั้งใจมองจะมองทะลุได้ อย่างถ้ามองคุณจะเห็นคนข้างหลังกับข้างฝาไปด้วย คือเห็นอยู่ดี
      ถาม :  เขารวมร่างเขาไม่ต้องเอาตับไตไส้พุงมาอยู่ที่เขา เขาเอาแค่เห็นจำได้เพื่อนอาบน้ำเสร็จเดินออกมา แล้วพอมาหน้ากระจกปั๊บ พอเห็นส่องกระจกเป็นผู้หญิงมาสางผมพร้อมกับเพื่อนสาง ผมวิ่งลงมาจากชั้นสี่ยังจำได้อยู่เลย ?
      ตอบ :  เขานั่งอยู่มันดันไปซ้อนเขาเอง ไม่ใช่เขาซ้อนมันนะ เขากำลังหวีผมของเขาอยู่ ไอ้นี่ไปถึงกูหวีบ้าง ไม่ใช่บังเอิญเห็น คือตอนนั้นจิตเปิดช่วงนั้นพอดี แต่กำลังเพลิน ๆ สบาย ๆ ตรงนั้นแหละช่วงกำลังของอุปจารสมาธิที่จะเห็นได้
      ถาม :  อาจเป็นได้ว่าที่เราเห็นเดิน ๆ ไปบางครั้งเราไม่ได้คิดว่านั่นน่ะ ไม่ใช่คนก็ได้ แต่เราไม่ได้ใส่ใจ ?
      ตอบ :  อาตมาระยะหลังนี่เวลามองแล้วต้องมองสองครั้ง คือมองว่าไอ้นี่เป็นคนหรือไอ้นี่เป็นผี เพราะเจอเสียจนกระทั่งบางครั้งแยกแยะไม่ทัน บางครั้งอาจจะเห็น เอ๊ะ...เรามองแปลก ๆ คือมองซ้ำอีกครั้งคนหรือผี
      ถาม :  ถ้าเขาแสดงให้หลวงพี่เห็นทำไมคนอื่นไม่เห็นละครับ ?
      ตอบ :  บางครั้งเขาให้เฉพาะเจาะจงคนเดียว ?
      ถาม :  ได้ด้วยหรือครับ ?
      ตอบ :  ได้ ถ้ากำลังเขาพอ ประเภทกดโช้ะเห็นคนเดียวเลย
      ถาม :  นึกว่าไหน ๆ อุตส่าห์รวมร่างขึ้นมาแล้ว ?
      ตอบ :  แต่ละคนจิตหยาบละเอียดไม่เท่ากัน บางครั้งเหมือนอย่างกับเราปรับคลื่นวิทยุความถี่ มีประเภท .๒๕/ .๕๐/ .๗๕ อะไรอย่างนี้
      ถาม :  คลื่นวิทยุคิดว่ารับตรงกันเฉพาะเครื่อง ?
      ตอบ :  ตรงกับเฉพาะเครื่องก็เรียบร้อย
      ถาม :  ........................
      ตอบ :  ที่เกริงกระเวีย บ้านหลังใหญ่ ใหญ่มโหฬาร ใหญ่เป็นศาลา ไม้ชิงชันทั้งหลัง ทำดีมาก ร่องรอยซักนิดก็ไม่มี ขึ้นไปขย่มได้เลยไม่มีลั่นซักเปรี๊ยะ เจ้าของอยู่ไม่ได้ ต้องย้ายหนีไปอยู่สังขละ ใครเข้าไปผีหลอกกระจายทั้งนั้นเลย ก็เลยไป มีอาตมา มีมหาปรีชา มีอาจารย์สมพงษ์ แล้วก็ทิดจิตรไปอาศัยฝึกกำลังใจ คราวนี้มีอาคารหลายหลัง ไม่ใช่อาคารหรอกเป็นกระต๊อบรอบ ๆ แล้วตัวหลังใหญ่ ตกลงกันว่าอยู่หลังละองค์หมุนเวียนกันทุกคืนจะได้ไม่ซ้ำที่ ถ้าเจออะไรจะได้เจอเหมือน ๆ กัน
      ถาม :  ไปอยู่รวมกันหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  กลางวันมาฉันรวมกัน ถึงเวลาก็แยกย้ายกันไป ต่างคนต่างอยู่คราวนี้ตอนอื่น ๆ ไม่กระนักหรอก คนอยู่ตรงนั้นเจออย่างนั้น คนอยู่ตรงนี้เจออย่างนี้ มาเล่าให้ฟังกัน ปรากฏว่าคืนสุดท้ายมันรับน้องใหม่พร้อม ๆ กัน โอ้โฮ...มาอย่างกับป่าช้าแตก ทั้งโห่ทั้งแห่อะไรสารพัดสารเพ ทิดจิตรปักกลดอยู่ใต้ถุนหลังใหญ่ เราอยู่ข้างบน เขาเล่าให้ฟังตอนเช้าบอกว่า “ตอนมันมานี่กลัวจนจะแหกกลดวิ่งอยู่แล้ วแต่นึกขึ้นมาได้มีสติอยู่นิดหนึ่ง ถ้าทนอยู่ในกลดก็หลอกได้แค่นี้ แต่ถ้าวิ่งออกไปจะเจอหนักกว่านี้” (หัวเราะ) เขาบอกมีสติอยู่นิดเดียวเท่านั้น ลักษณะนั้นมันเล่นกันครบทุกคน นั่นมันปรับเข้ามาทุกความถี่เลย
      ถาม :  ไม่มาบีบคอแบบในหนังได้ใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  คือเขาลำบากอยู่แล้ว เขาไม่พยายามสร้างกรรมใส่ตัวหรอก
      ถาม :  อ้าว...อย่างนี้แสดงว่าทำได้สิครับ ?
      ตอบ :  ทำได้ แต่ทำไปทำไม ทำแล้วตัวเองลำบากต่อไป
      ถาม :  เป็นเจ้ากรรมนายเวรที่แค้นเรามาก ๆ แล้วจำเราได้ ?
      ตอบ :  นั่นต้องวาระกรรมเราเปิดจริง ๆ ช่วงอกุศลกรรมที่เป็นอุปฆาตกรรมเข้ามาจริง ๆ เขาถึงทำได้ ถ้าไม่ใช่ช่วงนั้นไม่ได้กินหรอก อย่างเก่งหลอกให้เรากลัวจับไข้หัวโกร๋นเท่านั้น
      ถาม :  ปล่อยปลา ปล่อยกบ ปล่อยเต่า ?
      ตอบ :  ปล่อยไปเถอะ ปล่อยไปเยอะ ๆ
      ถาม :  ปล่อยไปเรื่อย ๆ แต่ยังติดอยู่นิดหนึ่งเท่านั้นเองครับ คือความรู้สึกทุกครั้งที่ปล่อยแล้วแบบ เออ...มันจะไปรอดไหมหนอ จะมีใครมาจับกินอีกไหมหนอ ?
      ตอบ :  อุเบกขา เบรกซะ ถ้าไม่เบรกจะกังวล เดี๋ยวใจจะหมองแทน
      ถาม :  แต่อดคิดไม่ได้จริง ๆ ครับ ?
      ตอบ :  เอาเถอะ ตามสบายเถอะ
      ถาม :  ถ้าตอนสมัยเราบวชเป็นพระอย่างนี้ แล้วเรานึกว่าเราทำตัวไม่ดีสมัยเป็นพระนี่ จะทำอย่างไรถึงจะทำให้กรรมนั้นเบาลงครับ ?
      ตอบ :  เบาลง ถ้าไม่ช่อาบัติหนักตั้งแต่สังฆาทิเสสถึงปาราชิก แค่ไม่คิดถึงแค่นั้น ตั้งหน้าตั้งตาคิดถึงและสร้างแต่ทานศีลภาวนาในส่วนดีเอาไว้ อย่าคิดถึงแค่นั้น แ ต่ถ้าเป็นปาราชิกช่วยไม่ได้
      ถาม :  ปาราชิกอะไรบ้างครับ ?
      ตอบ :  ขาดความเป็นพระเลย เสพเมถุน ลักของเขาบาทหนึ่ง อวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน และฆ่ามนุษย์ให้ตาย อันนี้ช่วยไม่ได้ ชีวิตนี้คุณไร้ความหมายแน่นอน นุ่งขาวห่มขาวอยู่วัดไปเลย ช่วยงานวัดทุกอย่าง และขณะเดียวกันพยายามเจริญสมาธิให้ทรงฌานให้ได้ถึงจะรอด เขาห้ามแค่มรรคผล แต่ไม่ได้ห้ามเรื่องของสวรรค์ เพราะฉะนั้น...คุณหลบพ้นไปได้ เกิดชาติใหม่ถือว่าเจ๊ากัน เริ่มต้นนับหนึ่งได้
      ถาม :  กินข้าวเย็นเสร็จไหมครับ ?
      ตอบ :  กินข้าวเย็นเป็นปาจิตตีย์ โทษเบาปลงได้ เราอย่าไปย้ำคิดย้ำทำอยู่กับมัน เราแค่ตั้งหน้าตั้งตาทำความดีของเรา
      ถาม :  จำได้ว่าบางครั้งพระแอบกินข้าวเย็นกัน ?
      ตอบ :  ไม่แอบหรอก บางครั้งชวนกันกินอย่างเป็นทางการเลย ประเภทเฮ้ย...กุฏิกูมีมาได้เลย อะไรอย่างนี้ สมัยนี้หนังหน้าค่อนข้างจะด้าน ไม่แอบหรอก โน่น... พระครูวัชรสุวรรณาทร วัดศรีสุวรรธนาวาส เป็นสำนักเรียนเณรก็เยอะ กลางคืนต้มมาม่ากินกันเป็นปกติ แกคอยแต่จะตามไล่จับมัน พอไปเคาะประตูนี่ เคาะสูงไม่รับหรอกรู้ว่าพระ ต้องเคาะต่ำ ๆ คิดว่าเพื่อนเณรถึงเปิด หรือไม่บางครั้งต้องดัดเสียงเป็นเณรอะไรอย่างนี้ หรือไม่ก็ตีนเตะตึ้ง ๆ เลย มันคิดว่าเพื่อน เพื่อนมานี่จะต้องอีโหร่งโฉ่งฉ่างมันก็เปิด เปิดเข้าไปนี่ซดคาปากอยู่น่ะ “เณรกินได้อย่างไรกัน ?” “ผม ผม ผมอมไว้ เคี้ยวพรุ่งนี้ครับ” (หัวเราะ) มันใจร้อนจริง ๆ เลย บางครั้งเข้าไปนี่มันต้มคาอยู่แล้ว เสร็จแล้วเอาชามปิดไว้ พอเปิดขึ้นมา “เณรนี่อะไร ?” “มาม่าครับ” “รู้ไหมกินไม่ได้ตอนเย็น ?” “ผมเก็บไว้กินพรุ่งนี้ครับ” มันต้มตั้งแต่ตอนนี้แล้วเก็บไว้กินพรุ่งนี้ มันคงอืดเส้นเกือบเท่านิ้วมือ เณรนี่ลื่นจริง ๆ เลย มันไปของมันหน้าด้าน ๆ เลย
      ถาม :  อย่างนี้เรียกว่าความคิดดี ?
      ตอบ :  เขาเรียกความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด
      ถาม :  ทำมีดหมอที่ต้องลงอักขระไปเข้าพิธี ?
      ตอบ :  อานุภาพเท่ากัน แต่ถ้าเกิดดังขึ้นมาแล้วเสาะหา ที่เราเอาไปเข้าพิธีเองจะกลายเป็นของปลอม
      ถาม :  ต่อไปถึงเล่มละห้าล้านไหมครับ ?
      ตอบ :  อะไรจะแพงได้ขนาดนั้น
      ถาม :  พระสมเด็จโตยังถึงยี่สิบล้านเลยครับ ?
      ตอบ :  ของอาตมาไม่ได้บารมีถึงขนาดท่านนี่
      ถาม :  ........................
      ตอบ :  เอายอดฉัตรเจดีย์มา เพราะสร้างเจดีย์แล้วจะใส่ฉัตร แล้วบนยอดฉัตรจะมีดวงแก้ว เจดีย์ที่เขาเทวดาสุพรรณบุรี พูดง่าย ๆ อะไรที่ไม่พอมันมาเอากับเราทั้งนั้นแหละ ซื้อจากย่างกุ้ง คือเวลาฉัตรจะเสียบอยู่บนยอด แก้วยอดฉัตรของเจดีย์
      ถาม :  ..............................
      ตอบ :  อันนี้คือไข่จระเข้แต่เป็นแก้วคือไข่เป็นหินนั่นแหละ เขียวปี๋เลย เอาไปใส่ตู้ให้ดู อันนี้จะไปประดับฉัตรยอดเจดีย์ที่วัดเขาเทวดา อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นเจดีย์องค์ที่สามในชีวิตของอาตมา