สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม :  แล้วเอาสิ่งของอะไรไปนี่จะตกนรกไหมครับ ?
      ตอบ :  ถ้าลักษณะอย่างนั้นเขาถือว่าเป็นหนี้สงฆ์ คราวนี้มันมีวิธีคือว่าไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าเรารู้หรือว่าไม่มั่นใจว่าจะเป็นหนี้สงฆ์หรือเปล่าให้ตั้งใจทำการชำระหนี้สงฆ์ การชำราหนี้สงฆ์ทำในลักษณะที่ว่าเมื่อถึงเวลาครบปีก็นำเงินจำนวนหนึ่งจะเป็นร้อยบาท สองร้อยบาท เท่าไหร่ก็ได้ไปหาพระที่อยู่วัดใกล้ที่สุดจะได้สะดวกในการทำบุญ บอกกับท่านว่าอันนี้เป็นการชำระหนี้สงฆ์เช่าที่ เราถือว่าเราเช่าที่นั้นอยู่เราขอชำระหนี้ด้วยเงินจำนวนนี้ ทำอย่างนั้นทุกปี บางทีที่อยู่แล้วหาความเจริญไม่ได้ทีหลายที่นะ
              ทางด้านหลังวัดท่าซุงไม่ทราบว่าโยมเคยไปกันไหม ? หลังวัดท่าซุงก่อนหน้านั้นมันเป็นที่วัดทั้งหมด แต่ว่าเจ้าอาวาสรุ่นเก่า รุ่นหลวงหลวงพ่อเล่ง หลวงพ่อไล้ มานี่ท่านขายที่กันครึกครื้นไปเลย จนกระทั่งเดี๋ยวนี้คลองยางฝั่งตรงข้ามที่ลุงมาโบสถ์อยู่กลางนาเลย โบสถ์เก่าแล้วสถานที่เหล่านี้นั่นน่ะเขาทำนากัน แต่ละปี ๆ ถามเขาว่าได้ผลไหม ? เขาบอกว่าไร่หนึ่งได้ไม่ถึง ๒๐ ปี๊บ ปี๊บนี้ไม่ใช่ข้าวสารนะ ... ข้าวเปลือกแล้วคิดดูว่าสีเป็นข้าวสารมันจะเหลือสักเท่าไหร่ ? ทำยังไงก็ไม่พอกิน คือว่าเอาที่สงฆ์ไปทำกิน แล้วอยู่ในลักษณะที่เรียกว่าทำประโยชน์เพื่อตนเอง โดยไม่มีส่วนของสงฆ์เลย ไม่ได้ทำการชำระหนี้สงฆ์อย่างนี้มันไม่เจริญ หลวงพ่อท่านแนะนำให้ทำอย่างนี้ว่าถ้าหากเราไม่มั่นใจหรือว่าเชื่อแน่ว่าที่นั้นเป็นที่สงฆ์แน่นอนให้ทำวิธีชำระหนี้สงฆ์ทุกปีนะ ถ้าอย่างนี้จะปลอดภัย
              ส่วนใหญ่แล้วบางทีนี่วัดวาอารามจมหายไปเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นั้นเป็นที่วัดมาก่อน อย่างนี้ถ้าเราไม่มั่นใจทำกินเท่าไหร่มันก็ไม่เจริญ ลองทำวิธีชำระหนี้สงฆ์ดู มันปลูกข้าวต้นสูงไม่ถึงคืบเราเดินไปบิณฑบาตทางด้านหลังวัด ... สายหลังวัดวีรกรรมในการบิณฑบาตเยอะมากเลย พาพระใหม่ ๆ ไป บางทีพระท่านก็เอาแต่ภาวนา บอกให้ระวังงู พอบอกระวังงูมันก็เลี้ยวฟึ่บ ! หลบ นึกว่างูอยู่บนถนน งูเขียวหางไหม้มันพันอยู่บนต้นไม้เบียดงูซะเกือบร่วง เราบอกให้ระวังแทนที่จะหลบมันเดินชนเลย สายหลังวัดไปดู ๆ เขาทำไร่นาแล้วน่าสงสาร
      ถาม :  แล้วไม่มีใครบอกเขาหรือครับ ?
      ตอบ :  บอกเขาก็คงไม่เชื่อเพราะว่าคนแถวนั้นมันกินวัดเป็นปกติ สมัยหลวงพ่อไปอยู่ใหม่ ๆ นี่ศาลาเหลือแต่ไม้พื้นกับเสา ข้างฝามันแงะขายหมด เป็นการร่วมมือกันดีมากเลยระหว่างผู้ที่ครองวัดกับผู้ที่อยู่นอกวัดไปกันได้ลื่นมาก ขนาดไม้ฝามันแงะหมดลำบากมาก
              มาตอนหลังหลวงพ่อพยายามซื้อที่ขยายไปเพื่อที่จะเอาวัดเก่าคืนมา คราวนี้ซื้อไปซื้อมาแล้วถ้าหากว่าโยมไปสังเกตจะเห็นว่าระหว่างตรงที่สวนไผ่ ๖ ไร่ครึ่งกับพระจุฬามณีจะมีที่หนึ่งที่เป็นเวิ้ง ที่หลวงพ่อท่านทำทางเดินทำห้องพักล้อมเอาไว้ทิ้งเอาไว้ ด้านนั้นติดอยู่ด้านหน้าที่แถวนั้น จริง ๆ เขาขายไร่หนึ่งประมาณ ๘,๐๐๐ บาท ตรงนั้นพอเห็นหลวงพ่อซื้อที่ตรงโน้นซื่อที่ตรงนี้มันโก่งราคาเอาไร่ละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท หลวงพ่อท่านก็เลยอ้อมหลบมันทิ้งเอาไว้ ปล่อยให้มันลงนรกให้พอ (หัวเราะ) ไร่ละ ๘,๐๐๐ เอาไร่ละ ๒๐๐,๐๐๐ มันบอกว่าหลวงพ่อรวย....มันว่างั้น น่ารักไหม ?
              ขนาดที่ฝั่งตรงกันข้ามที่โรงเรียนอยู่ต้องให้นายดาบตระกูลไปซื้อ นายดาบตระกูลเป็นคนพื้นที่นั้น แล้วซื้อนี่เขาก็ถามว่าหลวงพ่อซื้อหรือว่าดาบซื้อ ดาบก็ยืนยัน เฮ้ย!ผมซื้อเอง ผมเกษียณแล้วผมจะได้ทำกินบ้างอะไรบ้างนั่นน่ะค่อยถูกหน่อย บอกว่าหลวงพ่อซื้อหลังแอ่นเหมือนกัน อุตสาห์สร้างโรงเรียนจนเสร็จนั่นน่ะ นายดาบตระกูลช่วยซื้อให้ คนแถวนั้นแปลกมากเลยเรื่องจะทำบุญไม่มีหรอก มีแต่กินวัด
      ถาม :  ตอนนี้ยังมีไหมครับ ... อย่างพระนารายณ์แบ่งภาคมาเกิด ?
      ตอบ :  แบ่งภาคคงไม่ต้องแบ่งหรอกจ้ะ ถ้ามาคงมาเลย คำว่าพระนารายณ์ที่เป็นตำแหน่งไม่ใช่เป็นชื่อเฉพาะ ดังนั้นใครมากินตำแหน่งนั้นเขาเรียกว่าพระนารายณ์ ปัจจุบันเขาเรียกท่านพี่มเหสักข์ นอกจากท่านจะทำหน้าที่พระนารายณ์แล้วท่านยังเฝ้าทางเข้าพระจุฬามณีด้วย ถ้าหากท่านพ้นตำแหน่งไปองค์อื่นก็มาเป็นเขาเรียกพระนารายณ์เหมือนกัน ถ้ามาเกิดคงมาเกิดเลยเรื่องแบ่งภาคไม่มีหรอก แบ่งไม่ออก (หัวเราะ)
              พราหมณ์เขาเก่งเขาตั้งเทวดาได้ คือเขาจะกำหนดว่าเทวดาชื่อนั้นมีความสามารถอย่างนั้น ๆ เสร็จแล้วทางข้างบนเขาก็ลำบากกันเพราะว่าการเคารพเทวดาตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าคือเป็นเทวตานุสสติ ระลึกถึงความดีของเทวดาท่าน แต่ว่าพรหามณ์เขาไม่ระลึกถึงความดีในลักษณะที่ว่าเทวดาดีอย่างไรแล้วทำตาม เช่น เทวดาต้องมี หิ ริ รู้จักละอายชั่ว โอตตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่วจะให้ผล หรือว่าอย่างน้อยต้องมีศีลห้าบริสุทธิ์ เป็นต้น ถ้าหากว่าเป็นพรหมซึ่งถือว่าอากาศเทวดา ชั้นสูงขึ้นไปอย่างน้อยต้องได้ฌานสมาบัติเขาไม่ได้ดูตรงจุดนี้ แล้วก็ไม่ได้ทำตามตรงจุดนี้ เขาใช้วิธีอ้อนวอนร้องขออย่างเดียว แต่ว่าก็ยังเป็นการยึดในเทวตานุสสติ ในเมื่อเป็นการยึดความดีในคำสอนของพระพุทธเจ้า
              พระอินทร์ซึ่งถือว่าเป็นหัวหน้าเทวดาก็เลยต้องหาผู้มารับตำแหน่งรับหน้าที่ตามนั้น ผู้ใดมีความสามารถใกล้เคียงกับที่เขากำหนดไว้ เอ้า ! เขาว่าไว้ต้องเก่งอย่างนั้น ต้องดีอย่างนั้น มีความสามารถด้านนั้นก็หามารับตำแหน่งไป
              อย่างพระศิวะของเขาในปัจจุบันก็คือท่านปู่พระอินทร์รับไปอย่างนั้น พระแม่อุมาเทวี ก็ท่านย่ารับไป แต่ว่าประวัติเทวดาของเขาแต่ละอย่างพิลึกพิลั่นบางทีกิเลสท่วมหัวยิ่งกว่ามนุษย์อีก เช่นพระอินทร์ไปเป็นชู้กับเมียพระฤๅษีก็มี....อะไรอย่างนี้ ของเขาสนุกมากประวัติเทวดาแขกลองไปอ่านดู
      ถาม :  พระพิฆเณศวร์ล่ะครับ ?
      ตอบพระพิฆเณศวร์ก็มีจ้ะ ปัจจุบันนี้ก็คือท่านปิยะสิกขะรับตำแหน่งอยู่ เป็นตำแหน่งเฉย ๆ ใครมารับตำแหน่งก็เรียกพระพิฆเณศวร์ ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งศิลปวิทยาการทั้งปวง แต่ท่านไม่ได้มีเศียรเป็นช้างอย่างที่เห็นนะ ที่เป็นช้างนั่นตามตำราพราหมณ์เขาว่าไว้ จริง ๆ แล้วท่านหล่อกว่าชายงามจักรวาลอีก เรื่องนี้โกหกหรือเปล่าพระก็เล่าไปเรื่อยนะ จับผิดไม่ได้โกหกมันไปเรื่อยอย่างนั้นพูดหน้าตาเฉยอย่างกับรู้จักกันดี (หัวเราะ) ว่าไปเรื่อยเปื่อย... มันเป็นตำแหน่งของเขา

      ถาม :  ผมอ่านหนังสือของหลวงพ่อเจอเรื่องที่ว่าพรหม เทวดาที่ท่านจะหมดบุญท่านจะมาเลือกเกิด อันนี้ไม่แน่ใจว่าท่านเลือก....?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วมีเยอะจ้ะ แต่ไม่ใช่ว่าก่อนจะหมดบุญแล้วเลือกลงมา ถ้าหากว่าตัวเองจะหมดบุญแล้วโอกาสเลือกมันน้อย ส่วนใหญ่จะลงมาก่อน ลักษณะลงมาก่อนนี่จะต้องมีเทวดาผู้ใหญ่ให้การรับรองด้วย การรับรองนั้นก็คือรับรองว่าถ้าลงมาเกิดแล้วอย่างน้อยต้องกลับไปดีเท่าเดิมหรือว่าดีกว่าเดิมถึงยอมให้ลงมา
              คราวนี้บรรดาท่านที่ลงมาเกิดลักษณะอย่างนี้ท่านจะเลือกที่ของท่านได้ แต่ว่ากติกามันจะบังคับอยู่เพราะฉะนั้นบางคนนี่อยากจะทำชั่วใจแทบขาดมันทำไม่ได้หรอก มีอะไรบางอย่างคอยบีบคอยกันคอยกีดขวางอยู่ตลอดเวลา ก็คือท่านข้างบนซึ่งรับรองอยู่นั้นท่านต้องคอยบังคับให้เราอยู่ในช่อง ออกนอกเมื่อไหร่ท่านเดือดร้อนด้วยเพราะท่านเป็นคนรับรองให้ เพราะฉะนั้นบางทีเขาด่าเราว่าชิงหมาเกิดนี่จริง ๆ แย่งเขาเกิดจริง ๆ ไม่ใช่คิวของตัวเองหรอก แต่ถ้าหากว่ารอจนหมดบุญแล้วส่วนใหญ่จะลงอบายภูมิไปเลย เพราะฉะนั้นก็ลงมาก่อนหมดบุญดีกว่า
      ถาม :  ส่วนใหญ่นี่รวยหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ไม่แน่ เพราะว่าส่วนใหญ่จะเลือกในสถานที่ ๆ ว่าเมื่อถึงวาระหนึ่งในชีวิตนั้น ๆ จะมีโอกาสได้ทำความดีในพระพุทธศาสนาเพื่อเสริมบุญของตนให้กลับไปในที่เดิมหรือว่าได้ที่ดีกว่าเดิม เพราะฉะนั้นบางทีถึงแม้จะลำบากหน่อยแต่ถ้าหากว่าลงมาแล้วจะมีความเจริญก้าวหน้าในการปฎิบัติสามารถส่งตนให้ขึ้นสู่ภพภูมิขึ้นไปท่านก็ยอมลำบาก แต่จะรู้ล่วงหน้าเลย....
              ตอนนั้นก็จะสัญญิงสัญญากันดิบดีประเภทเหนื่อยแค่ไหนลำบากแค่ไหนก็จะทน...ลงมาลำบากหน่อยบ่นฉิบหายเลย (หัวเราะ) ใครบ่นมั่ง ? ลำบากแค่ไหนก็จะทน .. ลำบากหน่อยบ่นกันจัง น่ารักไหม ? ตอนที่จะลงมายังไงก็ได้ใช่ไหม ? รับปากได้ทุกเรื่อง พอลงมาหน่อยนี่แหม... บ่นซะไม่มี
      ถาม :  แล้วอย่างถ้าเรากำหนดว่าจะลงมาตำแน่งของคน ๆ นี้นี่ครับ คือมันต้องคงลงอยู่แล้วหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ตำแหน่ง ?
      ถาม :  คือใครจะเป็นใครอย่างนี้น่ะครับ ?
      ตอบ :  อ๋อ...ไม่ใช่อย่างนั้นจ้ะ คือตัวเราลงมาเกิดก็จะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าหากคนอื่นมาเกิดก็จะเป็นไปตามบุญตามบาปของเขาน่ะ ผลกรรมที่เขาทำมาแต่ว่าอย่างน้อยส่วนดีคือผลของศีลห้าเก่าอย่างน้อยต้องมี ถ้าหากว่าไม่มีนี่เกิดเป็นคนไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนที่เกิดมาเป็นคนต้นทุนของเราพอแล้ว คืออย่างน้อยต้องเคยมีศีลห้าทรงตัวมาก่อน แล้วผลของศีลห้าก็ส่งผลไห้เราเกิดมาเป็นคน คราวนี้ว่าเกิดมาชาตินี้เราจะขาดทุนหรือว่าจะกำไรอยู่ที่ว่าเราจะรักษามันต่อได้แล้วทำดีได้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปหรือเปล่า ถ้าทำได้ก็กำไร ถ้าทำไม่ได้ก็ขาดทุน
      ถาม :  แล้วที่เขาลงมารู้ไหมครับ ?
      ตอบ ที่ลงมาส่วนใหญ่จะลืม แต่ว่าลงมาแล้วทำไปทำมาถึงวาระหนึ่งถึงเวลาหนึ่งก็ได้ทำหน้าที่ ๆ ตัวเองต้องการบางทีก็ไปรู้เอาตอนข้างบน แต่ว่ามีบางราย อย่างนางปติปูชิกาที่เป็นภรรยาของมาลาพาลีเทพบุตร ลงมาจุติแล้วท่านจำได้ ในเมื่อท่านจำได้ท่านทำความดีทุกครั้งท่านจะอธิษฐานว่าขอให้ได้เกิดในสำนักของสามีตนเอง
              ในเมื่ออธิษฐานอย่างนี้แฟนก็คิดว่า แหม... มันรักเราจังเลยกี่ครั้ง ๆ ก็อธิษฐานขอให้เกิดด้วยกัน ความจริงไม่ใช่หรอก ท่านตั้งใจจะไปเกิดกับมาลาพาลีเทพบุตร แล้วพออายุ ๕๐ กว่าก็ป่วยตายไปเกิดที่เดิม อันนั้นเขารู้....แต่ท่านที่ไม่รู้ จนถึงวาระสุดท้ายก็มี พอกลับไป อ๋อ.... ที่แท้เราลงไปเพื่ออย่างนี้ ๆ แต่ทำไปซะเต็มที่แล้วล่ะ
      ถาม :  .......................................
      ตอบ :  ไม่เหมือนกัน บางทีเขาใช้คำว่า อสงไขยกัป (หัวเราะ) ยิ่งหนักเข้าไปอีก หนึ่งกัปนี่ระยะเวลาตามอรรถกถาท่านเปรียบเอาไว้ ท่านบอกว่ามีภูเขาหินล้วนลูกหนึ่ง กว้างหนึ่งโยชน์ ยาวหนึ่งโยชน์ สูงหนึ่งโยชน์ หนึ่งโยชน์มัน ๔๐๐ เส้น ๔๐๐ เส้นก็ ๘,๐๐๐ วา เส้นหนึ่งเท่ากับ ๒๐ ว่า เท่ากับหนึ่งหมื่นหกพันเมตร เท่ากับสิบหกกิโลเมตร กว้าง ยาว สูง ด้านละ ๑๖ กิโลเมตร
              ร้อยปีมีเทวดาเอาผ้าเนื้ออ่อนเหมือนสำลีมาเช็ดทีหนึ่ง หนึ่งร้อยปีมาเช็ดทีหนึ่ง... จนภูเขาลูกนั้นสึกเสมอพื้นดินเป็นเวลาหนึ่งกัป ไหวไหม ? เมื่อไหร่มันจะสึกสักคืบหนึ่งเราก็รอไม่ไหวแล้ว (หัวเราะ) ถูทุกวันมันยังไม่อยากจะสึกเลย หรือไม่ท่านก็เปรียบว่ามีถังเหล็กใบหนึ่ง กว้าง ยาว สูง ด้านละ หนึ่งโยชน์เหมือนกัน เอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดใส่ไว้จนเต็ม ใครเคยเห็นเมล็ดพันธุ์ผักกาดบ้าง มันยังกับผงดำ ๆ น่ะ ร้อยปีหยิบออกเมล็ดหนึ่ง เมล็ดพันธุ์ผัดกาดหมดถังเมื่อไหร่ได้เวลาหนึ่งกัป นับอยากจัง
      ถาม :  อย่างเทวดา... สมมุติว่าเทวดาท่านอยู่หลายกัปแล้ว การที่ท่านจะลงมาเกิดอย่างนี้ หมดบุญมันก็นานมาก ?
      ตอบ :  ที่อยู่กันหลายปกัปจริง ๆ ต้องพรหมน่ะจ้ะ ถ้าเทวดาทั่ว ๆ ไป อายุท่านราว ๆ อย่างเช่น ๑๐๐ ปีทิพย์ ๒๐๐ ปีทิพย์ ๔๐๐ ปีทิพย์อย่างนี้เป็น ถ้าหากว่าท่านไม่ได้ทำบุญในลักษณะที่ว่าอยู่มานาน เช่นบุญบวชพระ อานิสงค์การบวชพระจะอยู่ได้ ๖๐ กัปนะ พอครบ ๑๐๐ ปีทิพย์ท่านก็จุติ คือเคลื่อนจากจุดนั้นแล้วก็เกิดใหม่ซ้ำที่เดิมเลยจนกว่าจะครบ ๖๐ กัป หมดบุญอันนั้นถึงจะต้องไปตามภพภูมิของบุญของบาปที่ตัวเองทำอยู่ ถ้าอย่างนั้นน่ะได้
              ถ้าจะนับอายุเทวดาจริง ๆ ที่ถึงขนาดกัปนี่ส่วนใหญ่จะเป็นอรูปพรหม โดยเฉพาะเนวะสัญญานาสัญญายตนพรหม คือชั้นที่ ๒๐ เขาเรียกชั้นที่ ๒๐ คืออรูปพรหมชั้นที่ ๔ อันนั้นอายุจะแปดหมื่นมหากัป... อยู่กันลืมไปเลย แบบเดียวกับท้าวผกาพรหมท่านสร้างบุญไว้มาก พอจุติแล้วท่านก็เกิดเป็นพรหมใหม่ จุติแล้วเกิดเป็นพรหมใหม่จนกระทั่งท่านเองสัญญาวิปลาส คือเข้าใจผิดคิดว่าพรหมน่ะสูงสุดไม่มีวันตาย
              ความจริงแล้วก็คือท่านหมดอายุของความเป็นพรหมในช่วงนั้นพอดีจุติใหม่ท่านก็เป็นพรหมใหม่ อานุภาพบุญมันยังเหลืออยู่มาก ก็ซ้ำที่เดิมไปเรื่อย ๆ จนพระพุทธเจ้าต้องขึ้นไปแก้ให้ถึงกลับมาเป็นสัมมาทิฐิ ไม่อย่างนั้นท่านก็ยังเชื่อว่าพรหมสูงสุด