ถาม :  ที่วัดเขาอ้อมีหลวงปู่กลั่นอยู่ หลวงปู่กลั่นนี่ท่านศึกษาวิชาการของเขาอ้อมาตั้งแต่เป็นฆราวาส แล้วอายุยืนเหลือเกิน เพื่อนร่วมรุ่นตายหมดแล้ว เหลือท่านอยู่ก็เลยต้องเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ปีนี้ ๙๐ ขึ้น ๙๑ ปีแล้ว ท่านไม่หวงวิชาด้วย ถามอะไรก็บอกหมด ชวนขึ้นครูเป็นลูกศิษย์สายเขาอ้อ ท่านบอกว่าเดี๋ยวนี้พระหนุ่ม ๆ ที่สมาธิดี ๆ หายาก จะเรียนอะไรเพิ่มเติมอีกก็ขอให้บอก
              ไปวัดบ้านสวนมีหลวงพ่อพรหมอยู่ หลวงพ่อพรหมท่านบอกว่าวิชาการด้านกรรมฐาน คาถามอาคมเกี่ยวกับประเภทปลุกเสกเลขยันต์ท่านไม่เก่งหรอก ท่านเก่งแต่สมุนไพร จะอาบน้ำว่าน กินเหนียวกินมันคือเสกน้ำมันงาจนแข็ง และหุงข้าวเหนียวดำ กินให้อายุยืนหรือคงกระพันจะศึกษาอะไรก็ยินดีที่จะถ่ายทอดให้ เอ้า...เป็นอันว่าได้มาอีกซีกหนึ่ง
              ไปอีกที่หนึ่งคือวัดดอนศาลา ๓ วัดนี่อยู่ใกล้ ๆ กัน เป็นสายเดียวกันหมด พระที่เป็นเจ้าอาวาสปกครองส่วนใหญ่ออกมาจากวัดเขาอ้อทั้งนั้น ไปถึงก็ อ้าว...ท่านอาจารย์มหาอุทัย เคยรู้จักสนิทสนมกันตั้งแต่ท่านอยู่วัดหาดใหญ่ใน (วัดมหัตมังคลาราม) ถามว่า “อาจารย์มาได้อย่างไรนี่ ?” ท่านว่า “ผมเป็นเจ้าอาวาสที่นี่ครับ”
              เรียนท่านว่า “เอ๊ะ...ทางด้านผม อย่างเก่งเขาก็ย้ายข้ามอำเภอ ขนาดย้ายข้ามจังหวัดเพิ่งมาเจอที่นี่แหละ” ท่านบอกว่า “ไม่ย้ายก็ไม่ได้ครับ เพราะผมคนเป็นบ้านนี้” ท่านไปบวชอยู่หาดใหญ่โน่น เสร็จแล้วเล่าเรียนจนกระทั่งเป็นมหาเปรียญ เป็นเจ้าอาวาสวัดหาดใหญ่ใน เป็นเจ้าคณะตำบลควนลังด้วย
              พอถึงเวลาท่านพระครูกาชาดมรณภาพ ทางชาวบ้านก็ไปนิมนต์ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสแทน ท่านยังแซวว่า อาตมาศึกษาวิชาสายเขาอ้อมาก็มาก จะมาเป็นเจ้าอาวาสวัดดอนศาลาแทนไหม ? ท่านจะได้กลับไปวัดหาดใหญ่ในตามเดิม
              พอเห็นอย่างนั้นแล้ว ก็มานึกถึงวัดท่าซุง อยู่ยันปักษ์ใต้ดันฟุ้งซ่านไปวัดท่าซุงได้ พวกเราจะเห็นว่า สายเขาอ้อจริง ๆ นี่เขาสืบสายมายาวนานมาก ตั้งแต่สมัยปรมาจารย์ทองเฒ่า ไล่มาจนกระทั่งถึงสมัยหลัง ๆ อย่างหลวงพ่อเอียด หลวงพ่อปาล หลวงพ่อนำ หลวงพ่อศรีเงิน ล้วนแล้วแต่มีความสามารถ เป็นที่พึ่งของชาวบ้านเขาได้ทั้งนั้นเลย
              กระทั่งฝ่ายฆราวาสเก่ง ๆ ก็เยอะแยะ อย่างปัจจุบันก็พ่อปู่ขุนพันธ์ ท่านอาจารย์ประจวบ คงเหลืออะไรอย่างนี้ เขาสืบสายกันมาหลายร้อยปี ถึงในปัจจุบันนี้จะค่อย ๆ เสื่อมลงก็เถอะ แต่ปัจจุบันนี้ฆราวาสที่เก่ง ๆ อย่างท่านอาจารย์ประจวบ คงเหลือ ถ้าบวชกลับเข้าไปเมื่อไร คนก็แห่กันไปหาเต็มบ้านเต็มเมืองเหมือนเดิม เพราะท่านเก่งตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว
              แต่คราวนี้ทางสายวัดท่าซุงของเรา ปัจจุบันนี้พระที่อยู่ทันหลวงพ่อสมัยที่อาตมาอยู่มี ๔๐ กว่ารูป ปัจจุบันนี้งอนิ้วนับดูไม่น่าจะเหลือถึง ๑๐ ถึงไหม ? ไม่น่าจะถึง เสร็จแล้วที่เหลือไม่ถึง ๑๐ นี่ปัจจุบันนี้มีอยู่บางรูปที่ว่า สิ่งที่หลวงพ่อบอกว่าไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าทำไม่ได้ เขาบอกว่าทำได้เสียอีก
              ยกตัวอย่างชัด ๆ คือมีอยู่วันหนึ่งสักประมาณเดือนครึ่งสองเดือนมาแล้ว ท่าน... โทรศัพท์มา “หลวงพี่เล็กครับ ผม...นะครับ” พระรูปนี้น่ารักที่สุดเลย นอบน้อมถ่อมตนตลอด ท่านเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์...วัด...ตอนที่พระอาจารย์...โดนไล่ออกจากวัด แล้วมาขอสังกัดวัดท่าซุงก็มีท่าน...กับท่าน...ติดสอยห้อตามมาด้วย ชนิดที่ไปไหนไปกัน
              ท่านโทรศัพท์มาบอก “หลวงพี่เล็กครับ ถ้าเกิดพระโดนอาบัติสังฆาทิเสส ลงสังฆกรรมร่วมกับคนอื่นได้ไหมครับ ?” บอกท่านว่า “อ้าว...หลวงพ่อท่านบอกชัดเจนอยู่แล้วนี่ ว่าลงไม่ได้ ลงเมื่อไรสังฆกรรมก็พังบรรลัยหมด เพราะศีลไม่เท่าเขาแล้ว เท่ากับเป็นอนุปสัมบัน แล้วจะไปอยู่ในสังฆกรรมได้อย่างไร ?”
              ท่าน...บอกว่า “แต่ที่นี่หลวงพี่...ท่านบอกว่าลงได้ครับ พวกผมจะคัดค้านก็ไม่รู้ว่าคำสอนจุดนี่อยู่ที่ไหน ?” จึงบอกให้ไปฟังเทปชุด โทษละเมิดพระวินัยของหลวงพ่อวัดท่าซุง บอกท่านไปว่า “คุณได้ยัน ไม่ใช่ยันได้ คุณได้ยัน ก่อนจะไปยืนยันก็เก็บของให้ดีนะ อาจจะได้ออกจากวัดไปเลยเหมือนผม...!”
              แล้วนึกย้อนไปอีกครับหนึ่งว่า คำทำนายที่หลวงพ่อท่านจากรึกไว้ในแผ่นทองตอนสมัยฝังลูกนิมิต ที่จารึกไว้ประมาณว่า “เรามหาวีระ มีราชาชื่อภูมิพลฯ ได้บูรณะวัดนี้ขึ้นมา จนกระทั่งสร้างอุโบสถ มีการฝังลูกนิมิตวันนั้นเดือนนั้นปีนั้น เวลาล่วงไปประมาณ ๑๘๐ ปีปลาย จะมีพระอรหันต์ ๑ องค์กับพระราชาผู้เป็นธรรมิกราช มาช่วยกันบูรณะวัดนี้ขึ้นใหม่ ขอโมทนาด้วย แต่อยู่ช่วยไม่ได้ เพราะพาลูกไปนิพพานหมดแล้ว”
              อาตมานึกว่า หลวงพ่อสร้างมาขนาดนี้ แค่ร้อยกว่าปีจะหมดสภาพขนาดต้องขุดกันเลยหรือ ? พอมาปัจจุบันนี้เห็นแล้วว่า รุ่นที่ยังทันหลวงพ่ออยู่แท้ ๆ เห็นกันอยู่แท้ ๆ เป็นอย่างนี้ไปแล้ว สิ่งที่ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย เริ่มบอกว่าเป็นธรรมเป็นวินัยแล้ว ความพังก็ใกล้เข้ามาแล้ว เชื่อว่าถ้าหมดรุ่นนี้ไป รุ่นต่อไปที่ไม่ทันหลวงพ่อขึ้นมาจะเหลือสักเท่าไร แปลว่าแค่หนึ่งช่วงเจ้าอาวาสเท่านั้น สิ่งที่หลวงพ่อทำเอาไว้ดี ๆ มีสิท้ธิ์ที่จะพังแล้ว เห็นชัดแล้ว จึงเลิกแปลกใจว่าทำไมแค่ร้อยกว่าปีถึงจะต้องมาขุดบูรณะวัดกันใหม่เลย ?
      ถาม :  พระรุ่นใหม่นี่เขาก็ยกเลิกกฎหลวงพ่อไปแล้ว ที่บอกว่าต้องได้มโนมยิทธิก่อนถึงจะบวชได้ ?
      ตอบ :  ไม่ทราบ แต่ช่วงทำบุญร้อยวันให้หลวงพ่อ หลวงพี่นันต์ท่านอนุญาตให้บวชโดยไม่ต้องฝึกกรรมฐาน โดยอ้างว่าฉุกเฉินไม่มีเวลาฝึก เสร็จแล้วมีการประชุมสงฆ์เพื่อจะขับไล่หลวงพี่นันต์ อาตมาเป้นคนกันไว้เอง เมื่อเลิกประชุมอาตมาโดนพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งทุบหลังอั้กเข้าให้...
              “ไอ้ห่...มึงชกผิดฟอร์มนี่หว่า” ท่านว่าอย่างนี้ คือปกติอาตมานี่แหละจะเป็นคนกัดหลวงพี่นันต์ประจำ แต่วันนั้นกลับไปป้องกันไว้ ต้องบอกว่า “จำเป็นครับพี่ ผมต้องชกผิดฟอร์ม เพราะถ้าเราเอาหลวงพี่นันต์ออกจากตำแหน่ง คือเราทะเลาะแตกแยกกัน วัดของเราใคร ๆ ก็อยากได้ แตกแยกให้เขาเห็นเมื่อไร ทางจังหวัดเขาส่งคนของเขามาปกครองเราก็บรรลัยเลย ตกลงว่าเราจะเตะตูดกันเองหรือให้คนอื่นเขามาขี่คอดี ?”
              ตกลงว่าเตะตูดกันเองดีกว่า แล้วอาตมาก็โทรไปหาหลวงพี่นันต์ว่า “หลวงพี่ครับ ถ้าผมอยู่ผมต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง ผมก็ต้องเอาหลวงพี่ออกจากตำแหน่ง แต่ถ้าผมไป จะหมดภาระตรงนี้เอง คือให้คนอยู่เขาจัดการกันไป ซึ่งถ้าไม่มีผมเขาก็ทำไม่สำเร็จหรอก” หลวงพี่นันต์ถามว่า “ถ้าคุณไปแล้วใครจะช่วยผม ?”
              เรียนท่านว่า “ผมจะมาประคับประคองให้สักประมาณสามปี หลังจากนั้นพี่ยืนได้ด้วยตัวเองแล้วก็ทำเองเถอะ” ท่านบอกว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมให้ท่านลาพิเศษไปเดือนหนึ่งเลย แล้วให้กลับมาวัดใหม่” อาตมาว่า “ไม่หรอกครับ ผมไปแล้วไปเลย ผมไม่ชอบย้อนกลับทางเดิม” ท่านถามว่า “เรื่องของคุณจะให้ผมทำอย่างไร ?” เรียนท่านว่า “ทำว่าโดนไล่ออก โดนให้ออก โดนปลดออก อีท่าไหนก็ว่าไป ผมรับได้ทั้งนั้น”
              ว่าแล้วอาตมาก็ออกจากวัดในวันรุ่งขึ้นเลย ตอนแรกคิดว่า เอ๊ะ...เราทำแบบนี้ถูกไหม ? มาปัจจุบันนี้ชักมั่นใจแล้วว่าทำถูก เพราะถ้าไม่ทำอย่างนี้ เวลาที่พระพี่พระน้องท่านทนดูพระธรรมวินัย หรือคำสอนหลวงพ่อโดนเหยียบย่ำ แล้วท่านออกมา ท่านจะไม่มีที่พึ่ง แต่ปัจจุบันพออาตมาออกมาอย่างนี้ เขาจะเอาวัดไหนขอให้บอก จะเอาบรรยากาศประเภทไหน ? แบบป่า แบบเขา แบบริมน้ำหรือว่าแบบในเมือง แบบถ้ำ มีให้ทั้งนั้น ๑๑ ปีสร้างมาตั้ง ๗-๘ วัด ไม่มีให้อยู่ก็เกินไป
              ในเมื่อเป็นอย่างนี้เลยคิดว่าจริ งๆ แล้วความเสื่อมปรากฏอยู่ตลอดเวลา แต่ในสายของเรา ซึ่งถือว่าเป็นสายกรรมฐานใหญ่สายหนึ่ง มีคนได้เป็นพระอริยเจ้าจำนวนมาก ไม่น่าจะเสื่อมเร็วขนาดนี้ แต่ก็เป็นไปแล้ว เพราะฉะนั้น...ทุกสิ่งทุกอย่างยึดถือมั่นหมายไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่หรือตัวบุคคล เราต้องเอาในเรื่องของธรรมเป็นหลัก ต้องรีบปฏิบัติเพื่อเอาตัวเองให้รอดก่อน เรื่องของคนอื่นเป็นอย่างไรช่างมัน เราขึ้นฝั่งได้เมื่อไรแล้วค่อยหันไปช่วยเหลือเขาไม่อย่างนั้นจะหมดแรงจมน้ำตายไปด้วยกันทั้งหมด
              สมเด็จเจ้าพะโคะท่านย่นระยะทางไปเยี่ยมปรมาจารย์ทองเฒ่า ท่านปรมาจารย์ทองเฒ่าผูกหุ่นพยนต์เป็นเรือสำเภาแล่นไปเยี่ยมตอบแทนบ้าง สำเภาอะไรก็ไม่รู้วิ่งบนบก ถึงเวลาทางด้านโน้นส่งแตงโมมาให้ ลูกศิษย์ทางด้านนี้เอาขวานจามยังไม่ออกเลย ต้องให้อาจารย์ผ่าเองจึงจะได้กิน ทางด้านนี้ส่งข้าวเหนียวแดงไปให้ ทางด้านโน้นเอาอีโต้สับไม่เข้าเหมือนกัน ต้องถึงมืออาจารย์จึงได้กิน เขาลองกันอย่างนั้น สมัยก่อนเขามีคู่แข่ง จึงรุ่งเรืองก้าวหน้าดี
              ปัจจุบันนี้อาตมาเสียดายอยู่อย่างหนึ่งคือ พี่ ๆ น้อง ๆ ของเราภูมิใจคำว่าวัดท่าซุงมากเกินไป ในเมื่อภูมิใจคำว่าวัดท่าซุงมากจนเกินไป จะปิดตัวเองเป็นกบในกะลา ไม่รู้ว่าโลกภายนอกไปถึงไหนแล้ว คนที่มีความสามารถจริง ๆ ในวัดนี่นับตัวได้ เอาตั้งแต่สมัยอาตมามาจนถึงสมัยปัจจุบันนี่ ประเภทท้าดวลได้ทุกรูปแบบหาไม่ได้สักคน
              ผู้ที่ศึกษาวิชาการตามแบบของหลวงพ่อวัดท่าซุงนี่ น่าจะท้าพิสูจน์ได้ทุกขั้นตอน ไม่ใช่ถึงเวลาก็อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ลองเอาของใส่กล่องไปวางแล้วถามดูสิ วิ่งหนีกันหมด อาตมาหรือ? ถ้าบอกถูกให้ผมไหมล่ะ ? เสร็จอาตมาหมดแหละ วิชาการต้องพิสูจน์ได้ทุกเวลา ธรรมะของพระพุทธเจ้าท่านว่า “เอหิปัสสิโก ขอให้ท่านทั้งหลายจงมาดูเถิด” คือมาพิสูจน์กันได้เลย สิ่งที่ท่านสอนเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง
              หลวงพ่อของเราเองก็พร้อมที่จะให้พิสูจน์ทั่วประเทศทั่วโกล อยู่ที่ไหน เป็นอย่างท่านก็ว่าของท่านไปตรง ๆ ไม่ต้องไปเกรงใจใคร คราวนี้มัวแต่ไปภูมิใจอยู่ ปัจจุบันนี้กระทั่งเด็ก ๆ สอบเข้าโรงเรียน การฝึกมโนมยิทธิยังมีการเตี๊ยมกันมาเลย ว่าถามอย่างไรจะต้องตอบอย่างไร อาจารย์ก็โดนลูกศิษย์ต้มเปื่อย เพราะอาจารย์ไม่เก่งจริง ไม่รู้ว่าลูกศิษย์คิดอย่างไร จิตของลูกศิษย์ตอนนี้อยู่ที่ไหน
      ถาม :  ถ้าเหตุการณ์เป็นมโนมยิทธินี่ สมมติว่าเราทำแล้วโดน...(ไม่ชัด)...?
      ตอบ :  ถ้าท่านที่คล่องตัวจริง ๆ จะรู้ แต่เรื่องของอุปาทานที่เรายึดถือนี่แปลกอยู่อย่าง คือมักจะเตือนแล้วไม่ฟังเหมือนกัน เวลาอกุศลกรรมเข้าแทรก เราเตือนตอนนั้นท่านไม่ฟังหรอก จนกว่าจะเห็นทุกข์เห็นโทษ โดนจนอ่วมแล้วถึงจะนึกได้ว่า อ๋อ...เขาเคยบอกเราแล้วนี่ แต่เราไม่เชื่อเอง
      ถาม :  ...(ไม่ชัด)....เห็นภาพพระวิสุทธิเทพ คือเป็นการเห็นแบบอุปาทาน ?
      ตอบ :  ถ้าเป็นสมัยอาตมานี่ไปพร้อมกับลูกศิษย์ แล้วแกล้งลูกศิษย์เป็นประจำเลย ปกติอย่างพระพุทธเจ้าท่านจะประทับอยู่ในพระวิมานอย่างนี้ อาตมาจะเข้าไปกราบอาราธนา ขอให้พระองค์ท่านเสด็จออกมาข้างนอก อยากจะลองลูกศิษย์หน่อย พาลูกศิษย์เข้าวิมานไป ถามว่า “พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ?” เขาตอบว่า “อยู่ข้างนอก” คนรู้จริงนี่เถียงไม่ได้หรอก บอกถูกหมด
              บางครั้งพระอรหันต์ที่เคยให้การสงเคราะห์ท่านรออยู่ ก็นิมนต์ท่านออกมาอยู่ทางด้านนี้ หรือให้ไปอยู่ทางด้านโน้น ถึงเวลาถามเขาบอกถูกหมด คนที่เขาไปได้จริง ๆ คล่องตัวจริง เขาบอกถูกหมด การสอนไม่มีแบบแปลนตายตัว ต้องเป็นไปตามกำลังใจของลูกศิษย์ในตอนนั้น แต่ปัจจุบันนี่มีรูปแบบตายตัว เด็กถึงได้เตี๊ยมกันมาหลอกได้
              สมัยที่สอนอยู่ครั้งหนึ่ง พอถึงเวลาลงไปเลือกวงสอน บรรดาป้า ๆ จะเลือกก่อน ป้าชอบ ป้าเชิญ ป้าน้อย พี่แป๊วอะไรพวกนี้ เขาจะเลือกก่อนทุกคน โดยจะเลี่ยงวงคนแก่ เขาบอกว่าคนแก่ดื้อ คราวนี้อาตมาเป็นเด็กน้อยท้ายแถวสุด เหลืออย่างไรก็สอนอย่างนั้น เจอคนแก่วงเดียวหกคน เต็มวงเลย คนแก่ล้วน ๆ
              ปรากฏว่าไปเจอคนแก่มหัศจรรย์ โอ้โฮ...คล่องตัวจริง ๆ ไม่ว่าอาตมาจะหลอกท่าไหนอย่างไร ขนาดเอาตัวขึ้นไปเอง เปลี่ยนสีสารพัดเขายังบอกถูกหมด แต่ปรากฏว่ามีรายหนี่งนั่งเงียบไม่พูดไม่จาด้วย ถามอะไรก็เงียบอย่างเดียว อาตมาก็ เออ...เงียบไป เอ้าห้าคนนี่ไปก่อน พอห้านี้ท่านไปถึงพระนิพพานได้ ก็บอกกับพวกเขาว่าให้เอาจิตเกาะตรงจุดนี้นะ ถ้าคิดจะไปไหนให้ขอบารมีพระท่านนำไป ถ้าคิดว่าพอแล้วก็ดึงกำลังใจกลับมาสู่ร่างกาย แล้วพยายามประคับประคองรักษาอารมณ์นี้เอาไว้
              แล้วก็หันกลับไปหาลูกศิษย์คนที่นั่งเงียบอยู่ ปากหลุดออกเองไปถามว่า “ภาพพระในดวงแก้วยังชัดเจนแจ่มใสอยู่ไหม ?” เขาบอกว่า “ยังชัดอยู่เจ้าค่ะ” จึงว่า “ให้ตั้งใจน้อมจิตกราบลงตรงนั้นนะ พระพุทธเจ้าท่านไม่อยู๋ที่ไหนหรอก นอกจากอยู่บนพระนิพพาน เราเห็นท่านคืออยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคืออยู่บนพระนิพพาน” เท่านนั้นแหละ เขานั่งร้องไห้โฮอยู่ตรงนั้น
              เขาจับภาพพระในดวงแก้วของเขา เขามีความสุขของเขาจึงไม่อยากตามอาตมาไป สำคัญว่าครูฝึกต้องรู้ด้วยว่าลูกศิษย์ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ งวดนั้นกลายเป็นคนแก่มหัศจรรย์ ทั้งหกคนคล่องตัวกว่าอาตมาอีก หลอกอย่างไรหลอกไม่ได้เลย
              พอมาตอนแจ้งยอดสิ ได้เยอะนี่...ใช่ไหม ? คุณเอเคยเจอปัญหานี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เป็นครูฝึก แจ้งยอดว่าลูกศิษย์ฝึกได้เยอะเขาไม่เชื่อ สอนอย่างไรวะได้ตั้ง ๑๐ คน ๑๒ คน ๑๕ คน ๑๖ คน ป้าปล้ำเกือบตายได้แค่ ๒ คนอะไรอย่างนี้ ป้าท่านนั้นคิดว่าป้าต้องเก่งกว่า บอกแค่นี้ก็น่าจะรู้ว่าป้าคนไหน
              เลยมีรายการถึงเวลาแล้วย่องมาฟังอยู่ข้าง ๆ แล้วไปสรุปเองว่า “เจ้าเล็กสอนไม่ตัดขันธ์ห้า” อาตมาก็ “เอ๊ะ...ป้า ผมบอกเขานะว่า ให้ตัดสินใจว่าตอนนี้ศีลทุกสิขาบทเรารักษาได้บริสุทธิ์ ชีวิตเราขอมอบถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา การปฏิบัติครั้งนี้ถึงเราต้องตายลงไปเราก็ยินยอม” ถ้าอย่างนี้ไม่ใช่ตัดขันธ์ห้า อาตมาไม่รู้ว่าจะสอนอย่างไรแล้ว ตัดขันธ์ห้าของคุณป้าท่านนั้นต้องไปบรรยายเป็นฉาก ๆ ของอาตมาไม่ได้ตัด ก็ขันไม่มีนี่ มีแต่โอ่ง ทุบโอ่งแตกไปแล้ว ไม่ได้ใช้ขันเหมือนป้าเขา
      ถาม :  ปีนี้จะเป่ายันต์ ?
      ตอบ :  วันที่ ๑๘ กันยาจ้ะ พระลูกศิษย์หลวงพ่อครอบครูเป่ายันต์กันอยู่แค่ ๙ รูป จริง ๆ แล้ว แล้วจะมีแค่ ๒ รูป คืออาตมากับท่านชาติชาย เพราะหลวงพ่อท่านสั่งเอาไว้ คราวนี้ไม่ทราบว่าทางคณะกรรมการสงฆ์คิดอย่างไร บอกว่าการเป่ายันต์ควรจะเป็นหน้าที่ของหลวงพ่อเท่านั้น ใครคิดจะทำแปลว่าวัดรอยเท้าของหลวงพ่อ ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อท่านสั่งให้พระทุกรูป ภาวนาจับภาพพระให้เป็นปกติ เมื่อถึงเวลาให้ตั้งขันครูเพื่อที่จะรับการครอบครูเป่ายันต์
              ในเมื่อกรรมการสงฆ์สั่งมาอย่างนั้นทุกรูปก็หยุดหมด แต่อาตมารั้นอะไรที่พ่อสั่งดูจะทำ จึงไปขอให้โยมศุภาพรทำขันครูให้ ท่านชาติชายก็ไปบวชเพราะอาตมา ก็ตามตูดไปด้วย โยมศุภาพรเห็นเข้าก็ถอนใจเฮือก ถามว่า “หลวงพี่คิดดีแล้วหรือ ? สองคนรวมกันยังไม่ได้ ๑๐ พรรษาเลย ?”
              ตอนนั้นอาตมาได้แค่ ๗ พรรษา ของท่านชาติชาย ๒ พรรษาเท่านั้น บอกว่า “โยมรู้นิสัยของฉันอยู่ อะไรที่พ่อสั่ง ต่อให้ตายลงไปก็ต้องทำให้สำเร็จ” โยมว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าทำกันไปแค่ ๒ คนโดนแน่ ๆ กรรมการสงฆ์ท่านไม่เหลือเอาไว้หรอก เพราะถือว่าฝืนคำสั่ง เดี๋ยวโยมจะทำพานให้กับพระผู้ใหญ่ที่อยู่ในศาลา ๑๒ ไร่ด้วย ถึงเวลาจะได้ไม่โดนเฉ่ง”
              เลยได้เพิ่มมาอีก ๗ พาน แต่ปรากฏว่าถึงทำไปอย่างนั้นก็โดน อาตมาโดนสอบสวนอยู่ ๒ วันเต็ม ๆ แต่แก้ข้อหาตกทุกเปราะ เขามีประเภทที่หลอกถามให้หลงด้วย สารพัด สนุกดี คราวนี้เขาก็ให้ประกาศชื่อไว้ว่า ผู้ใดได้รับการครอบครูเป่ายันต์เกราะเพชรบ้าง โดยประกาศไว้ในหนังสือธัมมวิโมกข์ฉบับถัดมา
              ปรากฏว่าเขาประกาศไว้แค่ ๗ รูปที่ตกกระไดพลอยโจนครอบครู สองตัวที่นำการครอบครูถูกเขาตัดออกจากกองมรดก ไม่ประกาศชื่อให้ แต่เขาจะประกาศหรือไม่ประกาศก็เป็นเรื่องของเขา เราทำได้ไม่ได้อยู่ที่เรา แต่แปลกใจอยู่อย่างเดียวว่า บรรดาพี่ ๆ หัวแถวมีตั้งเยอะ ทำไมไม่ไปเริ่มตรงโน้น มาเริ่มที่อาตมาเสียเราได้
              อยู่ ๆ ท่านบอกว่าให้สงเคราะห์โยมหน่อย เพราะสถานการณ์ประเทศชาติไม่ดี อาตมาสังเกตดูว่า ปีไหนที่สถานการณ์ประเทศชาติไม่ค่อยดี จะมีเสาร์ห้าให้ทำทุกทีไป บางปีมี ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง ปีนี้จะทำวันที่ ๑๘ กันยายน ตอน ๒๗ ธันวาคมที่ผ่านมาก็แปลกใจว่า ทำไมท่านไม่สั่งให้ทำ พวกเราทุกคนก็แปลกใจว่า ทำไมมีการบอกว่าจะเป่ายันต์ในวันที่ ๒๗ ธันวาคม ปรากฏว่าพอ ๒๒ มิถุนายนโดนย้ายวัด ตอนนั้นเพิ่งจะถึงบางอ้อ อ๋อ...ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง เพราะต้องย้ายสถานที่ ความพร้อมทุกอย่างไม่มี ท่านเลยไม่สั่งให้เป่ายันต์
      ถาม :  ๑๘ กันยายน เป่าที่ไหนครับ ?
      ตอบ :  วัดทองผาภูมิ อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ตามไปเถอะ ไปเหยียบกันตายที่นั่น คราวก่อนอยู่วัดท่าขนุนสั่งขนมจีนมาตั้งครึ่งตันไม่พอเลี้ยง
      ถาม :  การเป่ายันต์เกราะเพชร ...(ไม่ชัด)...
      ตอบ :  ไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้น มอบกายถวายชีวิตให้กับหลวงพ่ออีท่าไหน ทุกคนจะไม่ทำอะไรเลย รอแต่ให้หลวงพ่อสั่งเท่านั้น หลวงพ่อท่านตั้งคณะกรรมการสงฆ์มา ๑๒ รูป ให้อำนาจขนาดว่าถ้า ๒ ใน ๓ ออกเสียงขับท่านออกจากวัด ท่านก็ต้องไป แต่ทุกคนไม่ทำอะไรเลย รอหลวงพ่ออย่างเดียว
              ก็ดี...เพราะถ้าเขาทำ อาตมาคงโดนไล่ออกจากวัดไปก่อนนานแล้ว ไม่ต้องมาออกเองในตอนหลังนี้หรอก เพราะป่วนเขามาตลอด บางครั้งเขาประชุมสงฆ์ตัดสินกันเรียบร้อยแล้ว ไล่อาตมาออกจากวัดแน่นอนแล้ว ดันเอาเรื่องไปเสนอให้หลวงพ่อตัดสินใจอีก หลวงพ่อท่านบอกว่า “สมควรจะมีคนทำอย่างนี้มานานแล้ว” กรรมการสงฆ์กระจายกันไปตามระเบียบก็ดีอยู่อย่าง เพราะถ้าเขาตัดสินใจเลย อาตมาก็ต้องไป ในเมื่อเป็นอย่างนั้นเลยไม่มีใครกล้าถาม ไม่มีใครกล้าพูด แล้วก็คงจะไม่กล้าอีกต่อไป ?