สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๖ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม :  ................................
      ตอบ :  มีงาน ๒ งาน งานอัญมณีของดีเมืองกาญจน์ ส่วนใหญ่จะจัดช่วงงานสะพานข้ามแม่น้ำแคว หรือช่วงงานกาชาดประจำปี อีกงานก็งานเห็ดโคนและอัญมณี จะเป็นของอำเภอบ่อพลอย งานเห็ดโคนและอัญมณีบ่อพลอย อาตมาเคยเข้าไปดู ไม่ได้ไปชอบใจอะไรหรอก ไปชอบใจพวกไม้ตะเคียน เขาทำเหมืองพลอยแล้วขุดเจอไม้ตะเคียนที่ฝังอยู่ใต้ดิน เขาลากขึ้นมาล้างทำความสะอาดเสร็จ จัดเอาไปให้เขาดู ไม้ขนาดนั้นคิดว่าเลื่อยคงไม่กระดิก เนื้อจะเป็นหินอยู่แล้ว
              ในงานเขาจะมีไพลินมาขายเยอะ ตั้งแต่เม็ดหนึ่งเจ็ดแปดร้อยบาทขึ้นไป จนกระทั่งเม็ดละเป็นแสนก็มี แล้วจะมีใบรับรองให้ว่าเป็นของแท้ งานอัญมณีของดีเมืองกาญจน์ของจะแพง อาจจะป็นเพราะต้องไปเช่าที่ของจึงแพง
              ถ้าอยากจะดูนิลตะโกสวย ๆให้ไปดูที่ร้านอนันตพลพลอยกาญจน์ อยู่ใกล้กับโรงแรมริเวอร์แคว เขาแกะสลักนิลสวย ๆ ถวายในหลวงหลายชิ้น มีชิ้นหนึ่งเป็นรูปด่านเจดีย์สามองค์ พระเจดีย์ทั้งสามองค์แกะด้วยนิลหมดเลย แล้วมีชิ้นหนึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำแคว ตั้งแสดงอยู่ที่พระที่นั่งวิมานเมฆ ซึ่งมีเพชรเม็ดใหญ่ที่สุดในโลก ที่เขาถวายในหลวงตอนกาญจนาภิเษก หรือ ตอน ๗๒ พรรษาก็ไม่รู้ ? อยู่ที่วิมานเมฆเหมือนกัน
              เขามีเจ้าหน้าที่อยู่คนหนึ่ง นั่งแปะอยู่หน้าเพชรเลย คือ จะเป็นประตูห้องให้ชะโงกดูเท่านั้น แล้วเพชรไปอยู่ประมาณข้างในมุมห้องโน้น แต่เพชรก้อนใหญ่มองเห็นชัด มีเจ้าหน้าที่อ่านหนังสือแปะอยู่ตรงนั้น ถ้าต้องการเมื่อไรต้องตีคนเฝ้าให้สลบก่อน
              ในวิมานเมฆก็เคยโดนขโมย หุ่นตุ๊กตาทหารสมัยรัชการที่ห้า ที่เขาแกะสลักด้วยงาช้าง โดนฝรั่งขโมยไป พวกนี้เก่งในทางชั่ว เขาเดินเบี่ยงข้างบังกล้องแล้วล้วงเอาไปเลย จะเห็นแต่ข้างตัวกับมือตอนเอื้อมมือไปหยิบของ นอกนั้นไม่เห็นหน้า เลยไม่รู้ว่าใครขโมย ที่เขาว่าเจออาถรรพ์อะไรต่อมิอะไรเอามาคืน นั่นเมื่อไรจะเอามาคืนก็ไม่รู้ ?
              แต่คนซนเราซนจริง ๆ อย่างของวัดโพธิ์หรือวัดอรุณฯ เขาจะมีเครื่องสังคโลกที่ตัดแต่งเป็นรูปกลีบดอกไม้ พวกเล่นเด็ดใส่กระเป๋าไปเฉยเลย พอไปเจออาถรรพ์เดือดร้อนเข้าถึงได้เอามาคืน
              โบราณเขาจะเอามณีนพรัตน์เป็นเครื่องเสริมชะตาชีวิต แหวนโบราณจะเห็นว่าทำเป็นแหวนเก้ายอด แหวนนพรัตน์อะไรพวกนั้น จะเป็นยอดแหลม ๆ ขึ้นมาแล้วจะมีอัญมณีเก้าอย่าง เขาผูกเป็นโคลงเป็นกลอนว่า เพชรดี มณีแดง เขียวใสแสงมรกต เหลืองใสสดบุษราคัม แดงแก่ก่ำ เมนเอก (โกเมนนี่สีแดงเข้มจนดูเป็นสีดำ) สีหมอกเมฆนิลกาฬ (คำว่านีละ บาลีชัดเลยว่า สีเขียวเหมือนดอกอัญชัญ ดอกอัญชันสีน้ำเงินเข้ม นิลกาฬก็ต้องเป็นพลอยไพลิน) มุกดาหารหมอกมัว แดงสลัวเพทาย สังวาลสายไพฑูรย์ ขาวนูนวิเชียรพลาย ทั้งหมดหมายนพรัตน์ โบราณเขาผูกเป็นโคลงเป็นกลอนไว้เลย
              สมัยนี้วิทยาศาสตร์เขาเพิ่งจะยอมรับว่า มีพลังงานอยู่ข้างในเพชรพลอยอะไรพวกนั้น ความจริงของทุกอย่างจะเป็นกรวดหินดินทราย อะไรก็มีพลังงานทั้งนั้น กระทั่งไอสไตน์ยังบอกวัตถุทุกอย่างแกนกลางเป็นพลังงาน ที่ต่างกันเพราะการเรียงอะตอมของวัตถุต่างกัน ถ้าเราสามารถเปลี่ยนการเรียงอะตอมใหม่ได้ก็จะเป็นวัตถุอีกชนิดหนึ่ง คราวนี้หายสงสัยหรือยัง ? ทำไมพอใช้ปีตกสิณแล้ว สามารถเสกของทุกอย่างเป็นทองได้ ก็แค่บังคับให้เรียงอะตอมใหม่แค่นั้นเอง จากวัตถุทุเรศ ๆ อะไรก็ได้ กลายเป็นทองหมด
              แล้วทำไมพระไปนั่งเสกนะโมพุทธาแยะ เสกหินกลายเป็นมันเอามาเผากิน หรือเสกกลายเป็นเป็นขนมเอามากินได้ นั่นก็แค่เปลี่ยนการเรียงอะตอมของหินเท่านั้น เพียงแต่ว่าอภิญญาเขาเปลี่ยนกันเร็วมาก เปลี่ยนแค่ใจนึก เสร็จแล้วเขาไม่ต้องเสียเวลามาคิดว่าอะตอมหน้าตาเป็นอย่างไร ต้องเรียงใหม่อย่างไร แค่คิดว่าเอ็งจงเป็นมันเท่านั้นเอ็งจงเป็นขนมก็เป็นแล้ว
              แต่คราวนี้หลวงตาท่านนั้นท่านโดนคุณมหาท่านไปกวนเข้า ไปธุดงค์กับท่านแล้วเห็นท่าน เออ...หาอาหารที่ไหนฉัน ? อยู่กลางป่าลึก...ใช่ไหม ? หลวงตาหยิบก้อนหินขึ้นมาเป่า ๆ ส่งให้ก็กินได้ คุณมหาก็อยากได้คาถาบ้าง “สอนได้ไหม ?” หลวงตาบอกว่า “สอนได้” ถามว่า “คาถาอะไร ?” ท่านว่า “นะโมพุทธาแยะ”....(หัวเราะ)...
              ในเมื่อนะโมพุทธาแยะ คุณมหาท่านเรียนมาเยอะนี่ ท่านเถียงตายเลย “ไม่เคยได้ยินนะหลวงตา ผมอ่านตำรามาเยอะแยะแล้ว มีแต่นะโมพุทธายะ แยะไม่มีหรอก” เลยทำให้หลวงตาเกิดความสงสัย ตัววิจิกิจฉานี่ร้ายกาจมาก พอลังเลสงสัย กำลังใจไม่มั่นคง ก็เสกไม่ได้ อดทั้งคู่ เล่นเอาคุณมหาอดไปด้วย สมน้ำหน้า....!
              แต่พอหลวงตาท่านกลับไปแล้ว ไปบอกกับครูบาอาจารย์ของท่าน ว่าคาถาไม่ใช่นะโมพุทธาแยะ ท่านเลยเสกหินมากินไม่ได้อีก พออาจารย์ท่านได้ยินก็ โอ้...จริง ๆ แล้วได้ ท่านบอก “นะโมพุทธาแยะนั่นตัวเมีย ถ้านะโมพุทธายะเป็นตัวผู้ ใช้ได้ทั้งคู่นั่นแหละ” อาจารย์ท่านเก่ง ท่านไปของท่านได้ คราวนี้พอคนมีกำลังใจ เฮ้ย...ขอกูยังถูกอยู่ ก็ใช้ได้อีก ต้องอย่างนั้น
      ถาม :  ..............................
      ตอบ :  โบราณเขาว่า “เวลาและวารีไม่มีวันจะคอยใคร” พักเดียวแค่นั้นเอง เด็ก ๆ แก่กันหมดแล้ว อาตมาแย่ที่สุด กี่ปี ๆ ก็อยู่แค่นี้ ตอนนี้กลายเป็นขาดความน่าเชื่อถือ ลูกศิษย์แต่ละท่าน ขึ้นไปเป็นเจ้าอาวาสบ้าง เจ้าคณะตำบลบ้าง แก่กันหมดแล้ว พอเขาถามว่าอาจารย์อยู่ไหน ? ท่านชี้มาโยมยังถามว่า “ใช่หรือ ?” ให้ตายเถอะ...เป็นความผิดของอาตมาด้วยหรือ ?
              วันนี้มีคนเอายามาให้ ยายอิ๋ว (พัชราพรรณ) เขาบอกว่า “ยานี้ถ้ากินแล้วชะลอความแก่ได้ด้วย” อาตมาถามว่า “ไอ้ที่กินแล้วแก่เร็ว ๆ มีไหม ?” จริง ๆ แล้ว ถ้าใจสบายไม่เครียด ร่างกายจะทรุดโทรมช้า ที่เครียดเพราะถึงเวลาขึ้นมาไฟ รัก โลภ โกรธ หลง เผาร่างกายก็จะโทรมเร็ว โบราณเรารู้นานแล้ว ฝรั่งกว่าจะรู้ โอ๊ย..นานเลย
              ของโบราณอย่างนางพญาผมขาวอย่างนี้ เครียดมากผมหงอกภายในคืนเดียว รุ่งขึ้นกลายเป็นผมขาวโพลนเลย สมัยนี้ขาวภายในชั่วโมงเดียวเท่านั้น ย้อมพักเดียวก็ได้แล้ว คราวนี้พอรุ่นหลัง ๆ แก่เอาแก่เอา ของอาตมายังประเภทเป็นผีดิบพันปีอยู่ก็หมดความน่าเชื่อถือ
              วันก่อนไปอบรมเด็ก ๆ รุ่นของลูกจ๊ะเอ๋ พวกเขาอยู่ ป. ๖ พออบรมเสร็จ เด็ก ๆ ตั้งเกือบสามร้อยคน ก็บอกกับพวกเขาว่า “เจอหลวงตาที่ไหนให้ทักด้วยนะ เพราะพวกเราโตเร็ว หลวงตาจำไม่ได้หรอก” อีกสิบปีข้างหน้าหลวงตาก็อยู่ประมาณแค่นี้ แต่พวกเราจะจบมหาวิทยาลัยพอดี เพราะฉะนั้น...จะจำพวกเราไม่ได้หรอก เพราะโตเร็ว
              ถ้าอยากแก่ช้าต้องพยายามช่างมัน ช่างมันได้จะไม่ค่อยเครียด ช่างมันไม่ไหวก็ช่างหัวมัน ช่างหัวมันไม่ไหวก็ช่างแม่มัน ถ้าช่างแม่มันยังไม่ไหวก็ช่างโคตรพ่อโคตรแม่มัน...! ช่างได้สักระดับหนึ่ง แล้วจะเครียดน้อยลง โดยเฉพาะถ้ากำลังใจอยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับการภาวนา ไม่ปรุงแต่งมาก รัก โลภ โกรธ หลง ก็จะน้อยลงไปมาก
      ถาม :  ............................
      ตอบ :  ศาลเพียงตาคือศาลพระภูมิเจ้าที่ เขาตั้งไว้สูงประมาณระดับสายตา จึงเรียกว่าศาลเพียงตา ปกติแล้วพระภูมิเจ้าที่ยังสูงกว่ารุกขเทวดาชั้นหนึ่ง ต้องเป็นภุมมเทวดา รุกขเทวดา แล้วถึงเป็นอากาสเทวดา ที่เราสร้างคือสร้างศาลพระภูมินั่นแหละ พอไปโค่นต้นไม้ของท่านลง ท่านเองจริง ๆ แล้วก็อยากจะถือสาหาความเหมือนกัน แต่อย่าลืมว่าท่านเป็นรุกขเทวดา
              เทวดานี่ไม่ว่าจะเป็นเทวดาประเภทไหนก็ตาม ถ้าเกิดความโกรธขึ้นมา ไฟโทสะจะเผากายทิพย์สูญไปเลย เท่ากับว่าต้องจุติ (เคลื่อนไปเกิดใหม่) ท่านก็พยายามที่จะไม่โกรธ แต่ที่มีโทษ ส่วนใหญ่เป็นบริวารของท่านที่ไปลงมือแทน
              คราวนี้พอเราสร้างศาลเพียงตาขึ้นมา ให้ตัดกิ่งของต้นไม้ต้นนั้นกิ่งหนึ่ง ยาวสักคืบก็ได้ สักศอกก็ได้ เอาไปตั้งในศาล หันทางด้านปลายขึ้นบน แล้วก็จุดธูปบอกท่านว่า “รุกขเทวดาที่อาศัยต้นไม้ต้นนี้อยู่ เราขอเชิญให้เข้ามาสถิตอยู่ในศาลนี้แทน” จะได้ทดแทนกันไป แต่แหม...ต้นไทยอายุเป็นร้อย ๆ ปีแล้วกล้าไปโค่นนี่ใจถึงน่าดูเลยนะ แน่จริงไปโค่นที่ไทรงามเลยสิ ที่ไทรงามต้นหนึ่ง ๒๐ กว่าไร่ ลองดูหน่อยไหม ? ที่ไทรงามนี่พอกิ่งยื่นออกไป ๆ แล้วรากห้อยลงถึงพื้น ก็ลงรากต่อเลย เพราะฉะนั้น...เลยแผ่กว้างออกไปเรื่อย ๆ
              เรื่องของตนไม้ศักดิ์สิทธิ์ ตอนสมัยอยู่ที่เกาะมีอยู่ต้นหนึ่ง เลยขึ้นไปทางเหมืองเขาเรียกเหมืองสองท่อ ต้นนั้นประเภททั้งผ้าแดงทั้งแป้งอะไรลายพร้อยทั้งต้นเลย ไปบอกหวยเขาถูกทั้งหมู่บ้าน เจ้ามือเจ๊งยกล้อ หมดไป ๒๐ กว่าล้าน แบบนั้นน่าจะโดนโค่น ...(หัวเราะ)...
      ถาม :  ที่เมืองกาญจน์มีหนาวขนาดนั้นด้วยหรือ ?
      ตอบ :  ประมาณปี ๒๕๔๒ อาตมาพาพระออกธุงดงค์ ช่วงค่ำจะสนทนาธรรมกัน ก่อนจะแยกไปกลดใครกลดมัน คราวนี้ประมาณสองทุ่ม นั่งคุยกันอยู่ข้างกองไฟกองเบ้อเริ่มเลยนะ ควันออกปากอย่างกับสูบบุหรี่ อาตมาก็เอ๊ะ..ทำไมหนาวขนาดนี้วะ ? ผ้ามีกี่ผืนก็โปะลงไปจนหมด แต่ยังไม่หายหนาว เลยต้องเอาผ้าพลาสติกปูนอนมาพันตัวแทน นอนเป็นดักแด้กันอยู่อย่างนั้น พอรุ่งเช้าคลี่ผ้าออกมาได้ก็ น้ำหยดติ๋งเลย ไอตัวออกมาติดอยู่ในนั้น คราวนี้เกาะพระฤๅษีอยู่กับหน่วยจัดการต้นน้ำ เขาตรวจวัดอากาศอยู่ทุกวัน ก็จำวันนั้นไว้ พอกลับไปดู เขาบันทึกว่า ๒.๕ องศา เซลเซียส
      ถาม :  ๒.๕ องศาเซลเซียส ?
      ตอบ :  เกือบ ๆ จะแข็งตายอยู่แล้ว ๒.๕ นี่ที่หน่วยงานของเขา วัดจากตู้สกรีนนะ แล้วพวกเราอยู่ในป่า อาจจะต่ำกว่านั้นอีก ปีแรกที่ไปถึง เห็นอาคารสำนักงานของป่าไม้เขามีเตาผิง ยังคิดว่าสร้างให้สวย ๆ ตามแบบฝรั่ง ที่แท้เขาเอาไว้ใช้งานจริง ๆ เพราะปีนั้น ๓ องศา แล้วปีถัดมา ๕ องศา แล้วขึ้นมาเรื่อย ๆ ขึ้นมา ๘ องศา ๑๑ องศา อาตมาคิดว่าหมดปัญหาแล้ว ที่ไหนได้ อยู่ ๆ วูบลงไป ๒.๕ เลย
              ตอนนี้ไม่รู้ว่าเท่าไร เพราะวันออกมา ๑๔ องศา เขาแจ้งมาว่าตอนนี้ลดลงไปอีกแล้ว วันที่อากาศ ๑๔ องศา พอดีพี่รสทางเชียงใหม่โทรศัพท์มา อาตมาถามว่า “อากาศทางเชียงใหม่เป็นอย่างไรบ้าง ?” พี่เขาบอกว่า “ยังไม่หนาวเท่าไรหรอกค่ะ เพราะในเมืองยังแค่ ๒๐ องศา” ของเรานี่ในเมือง ๑๔ องศา หนาวก่าเชียงใหม่ตั้งเยอะ…
              มีอยู่ปีหนึ่งออกจากเมืองกาญจน์ไปดอยอินทนนท์ ไปวัดดอยกู่ใต้ที่แม่แจ่ม เป็นหุบเขาอยู่หลังดอยอินทนนท์ ไปถึงที่โน่น ๑๒ องศา อาตมาก็สรงน้ำสบายใจเฉิบ เจ้าถิ่นตาเหลือกเลย เขาถามว่า “อาจารย์สรงน้ำได้หรือ ?” บอกว่า “ที่วัดหนาวกว่า มาที่นี่เลยร้อน” อากาศต่างกันตั้ง ๒ องศานี่ร้อนเลยนะ ต่อให้อยู่ที่ศูนย์องศาแล้ว ถ้าที่เรามาลบ ๒ ลบ ๓ มาถึงที่ศูนย์องศาจะอาบน้ำได้เลย จะร้อนเหงื่อซึม ๆ แปลกมากเลย อากาศถ้าต่างกันสัก ๒-๓ องศากะทันหันจะรู้สึกทันที ถ้าค่อย ๆ ลดประเภทครึ่งองศา องศาหนึ่งไม่ค่อยจะรู้สึกหรอก
      ถาม :  นี่รูปสมัยสาว ๆ โน้น ?
      ตอบ :  ดูไม่ค่อยจะได้แล้วจ้ะ “นารีจะดูงาม...ต่อเมื่อยามที่ยังเยาว์ แก่แล้วก็เหี่ยวเฉา...บ่มีส่วนจะพึงชม ดุจดวงบุปผชาติ งามพิลาศ น่าเด็ดดม แรกบานก็งามสม...แต่บ่นานก็โรยรา”
      ถาม :  ...........................
      ตอบ :  ไม่ต้องห่วงคดีแล้ว คนชื่อนามสกุลซ้ำกัน แล้วคนซ้ำดันไปก่อเรื่องเข้า ถึงเวลาเขาเช็คประวัติรายนี้จะซวยไปด้วย คือถ้าเขาไม่เช็คหมายเลขบัตรประจำตัวนี่เสร็จเลย จะไม่ซ้ำได้อย่างไร เขาลงทะเบียนคนจนมีชื่อเสนาะ เทียนทอง พวกฮากันตึงเลย ชื่อเสนาะ เทียนทองจริง ๆ
      ถาม :  เขาเป็นญาติข้างไหนกันนะ ?
      ตอบ :  ไม่รู้ ? ชื่อเดียวนามสกุลเดียวกันนี่เจอเยอะ สมัยที่เรียนทหารอยู่เพื่อนร่วมรุ่นชื่อ กมล นามสกุล ดวงแก้ว แล้วรุ่นพี่รุ่นหนึ่งก็มี กมล ดวงแก้ว
      ถาม :  .........................
      ตอบ :  ตัวอาตมาเองนี่แหละ ไปโรงเรียนเจอรุ่นพี่สองปี ชื่อเดียวกัน นามสกุลเดียวกัน แต่นั่นเขามีศักดิ์เป็นหลาน เขากลับไปถึงบ้านก็ไปเล่าให้พ่อเขาฟัง พ่อเขาด่าเช็ดเลย ไม่ใช่หลาน นั่นเป็นเหลน พ่อเขามีศักดิ์เป็นหลาน แล้วคิดดูว่า อาตมาเด็กตัวกระเปี๊ยกหนึ่งมีศักดิ์เป็นปู่เขา พ่อเขาว่าเอ็งไปตั้งชื่อซ้ำกับปู่ได้อย่างไร ? พ่อด่าเอา ความจริงต้องด่าพ่อเขานั่นแหละ อาตมาเกิดทีหลัง ดันไปโทษลูกเขาว่าตั้งชื่อเหมือนปู่ แต่คนจึนเขาถือลำดับรุ่นสาหัส เขาถือสามาก รายโน้นเลยต้องเปลี่ยนชื่อ อาตมาไม่ต้องเปลี่ยน พูดง่าย ๆ ว่าอยู่ ๆ ก็พาให้รุ่นพี่ที่โรงเรียนโดนพ่อเขาด่าฟรี ๆ
      ถาม :  ไถ่ชีวิตสัตว์ค่ะ ?
      ตอบ :  ควายนี่เขาจะเข้าธนาคารจ้ะ ธนาคารโคกระบือ เสร็จแล้วเขาจะเอาไปแจกจ่ายชาวนาที่ยากจน มีข้อแม้ว่าใช้งานได้ แต่ห้ามขาย ห้ามฆ่า ถ้าแก่จนเกินกว่าจะใช้งาน ก็ต้องเลี้ยงจนกว่าจะตาย
      ถาม :  ควายกับวัวอย่างไหนแพงกว่ากันคะ ?
      ตอบ :  ราคาไล่เลี่ยกัน ยกวเว้นว่าควายน้ำหนักเยอะกว่า ราคาจึงมักจะแพงกว่า
      ถาม :  ถ้าควายที่เกิดจากแม่ที่เขาให้ ต้องตกเป็นของธนาคารหรือของชาวนา ?
      ตอบ :  ลูกตัวแรกต้องคืนให้กับธนาคาร ตัวต่อไปเป็นของชาวนา แต่ตัวแม่ยังเป็นของธนาคารเหมือนเดิม
      ถาม :  ธงอะไรครับ ?
      ตอบ :  ธงท่านปู่พระอินทร์จ้ะ สมัยก่อนหลวงพ่อท่านทำเอาไว้แจกตำรวจชายแดนทหารชายแดนโดยเฉพาะ ท่านมีกติกาว่า ต่อให้หมดอายุขัยถึงที่ตาย ก็ต้องกลับไปตายที่บ้าน
      ถาม :  ห้ามตายโหง ?
      ตอบ :  ตายโหงได้ แต่ตายกลางทางไม่ได้ เกะกะเขา จึงต้องบังคับเลยว่า ถึงจะหมดอายุก็ให้กลับไปตายที่บ้าน
      ถาม :  ต้องสวดคาถาอะไรเวลาใช้ครับ ?
      ตอบ :  คาถาปลุกใช้ “อิทธิฤทธิ พุทธนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด” เวลาฉุกเฉินภาวนา “สุปะตะ” แค่สามคำ ขอบารมีท่านปู่พระอินทร์ช่วยสงเคราะห์ สมัยนั้นพวกคอมนิวนิสต์ยังมีเยอะ หลวงพ่อท่านบอกเอาไว้ถึงขนาดว่า ถ้าเขายกทัพเข้าเมืองไทยได้ ผ่านมาทางบ้านเรา พอถึงบริเวณใกล้เคียงแล้ว เราโบกธงไปทางไหนเขาจะเดินไปทางนั้น จะไม่มายุ่งกับเรา
      ถาม :  เหมาะที่จะพกไปพม่า จะได้สัญญากับทางบ้านว่า อย่างไรก็ต้องกลับ ?
      ตอบ :  เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าอาตมาต้องขึ้นไปพยุหะคีรี ไปรับมีดหมอก่อน เพราะเขานัดเอาไว้ ความจริงเขานัดกลางเดือน อาตมาถามว่าพยายามเร่งให้หน่อยได้ไหม ? ให้ช่างเพิ่มความเร็วในการทำหน่อย อาตมาเดินทางจากโน่น โห...ไกลลิบกว่าจะถึงพยุหะครีรี ที่มานี่เท่ากับครึ่งทางแล้ว ถ้าเขาทำเสร็จทัน เราก็เดินทางแค่ครึ่งเดียว
      ถาม :  นี่เหรียญอะไรคะ ?
      ตอบ :  เหรียญปลาช่อนซวย ความจริงเรียกว่าเหรียญเอกราช เขาเอาไปทดลองกัน ใส่ปากปลาช่อนแล้วฟันด้วยมีดปังตอ ปรากฏว่าฟันไม่เข้า แต่ปลาช่อนชักเหง็ก ๆ เพราะเท่ากับโดนทุบ เสร็จแล้วถึงจะไม่ตายเพราะโดนฟัน ท้ายสุดก็ต้องตายอยู่ดี เพราะเขาแย่งกันแหกปากจะเอาเหรียญอันนั้น นี่แหละอานุภาพเหรียญเอกราช ส่วนอาตมาที่ใช้เหรียญเอกราช เพราะช่วงนั้นต้องการจะบังคับเรื่องวาจา ลิ้นไวปากไว เผลอหน่อยถ้าไม่โกหกก็เพ้อเจ้อ ไม่เพ้อเจ้อก็ด่าเขา เลยใช้วิธีอมเหรียญไว้ ถึงเวลาจะพูดกับคนอื่น ลิ้นกระดกติดเหรียญก่อน เออ...ได้สติขึ้นมา ตั้งสติก่อนพูด
      ถาม :  พูดเพ้อเจ้อนี่เอาอะไรมาวัดถึงว่าเพ้อเจ้อคะ ?
      ตอบ :  ดูว่าสิ่งที่พูดไปมีประโยชน์ไหม ? ถ้าว่าไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้ชักชวนให้สงัดจากหมู่ ชักชวนให้ทำทาน ชักชวนให้รักษาศีล ชักชวนให้ภาวนา ชักชวนให้ออกจากกาม ท่านถือว่าเพ้อเจ้อทั้งนั้น...(หัวเราะ)...สรุปแล้วเกือบทั้งนั้นใช่ไหม ? จริงแล้วในบาลีเรียก “กถาวัตถุ ๑๐ ประการ” พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ทั้งสำหรับฆราวาสและสำหรับพระ อย่าลืมว่าการเว้นพูดจาส่อเสียดเพ้อเจ้อ เป็นคุณสมบัติของพระสกทาคามี ต้องพระสกทาคามีขึ้นไปเท่านั้นที่จะละพวกนี้ได้
      ถาม :  แสดงว่าพวกที่ได้วัน ๆ จะไม่พูดอะไรเลย นอกจากวาจาประเภทนี้ ?
      ตอบ :  พูดแค่จำเป็นจ้ะ อย่างสมัยก่อนหลวงพ่อเล็ก วัดบางนมโค หลวงพ่อวัดท่าซุงไปถึงก็พูดไปเถอะ ท่านก็แค่ยิ้ม ไม่ขัดคอสักคำ อยากจะพูดก็พูดไป เรื่องนั้นท่านไม่อยากพูด มีปัญญาคุณก็พูดไปฝ่ายเดียว อาตมาระยะก่อนก็ใช้กับคุณแดง อยากพูดก็พูดไป อาตมานั่งฟังอย่างเดียว
      ถาม :  บางครั้งเราอยู่กับเพื่อนฝูง อย่างนี้ก็เป็นวาจาเพ้อเจ้อแทบทั้งหมด ?
      ตอบ :  ถ้าเกรงใจเพื่อนอยู่ก็จงเพ้อเจ้อต่อไป...!
      ถาม :  อย่างนั้นต้องไปบวช อย่างในเรื่องกิจการงานนี่ค่ะ พูดหมดเลย ?
      ตอบ :  พูดไปไม่มีใครเขาว่าก็เอาแค่นั้นสิ เรื่องทำมาหากินถือว่าจำเป็น พอเลิกพูดเราก็ตั้งสติอยู่ในธรรมของเราต่อไป
      ถาม :  ถ้าเราเป็นนักขายเราพูดยกยอลูกค้า ถือว่าผิดไหม ?
      ตอบ :  พูดในสิ่งที่เขาชอบหรือเปล่า ?
      ถาม :  พูดในสิ่งที่เขาชอบ ?
      ตอบ :  ในเมื่อพูดในสิ่งที่เขาชอบก็พูดไปสิ
      ถาม :  เป็นการเพ้อเจ้อไหมคะ ?
      ตอบ :  เป็น
      ถาม :  อย่างนี้เมื่อไรจะได้เป็นพระสกทาคามี ยังห่างไกล ?
      ตอบ :  เราเพ้อ ๒๔ ชั่วโมงหรือเปล่า ? เวลาว่างก็มี ว่างเมื่อไรให้ดึงใจกลับมาอยู่กับองค์ภาวนาของเรา ดึงใจกลับมาอยู่กับหลักปฏิบัติของเราสิ
      ถาม :  เหมือนกับว่า ?
      ตอบ :  จะพยายามเพ้อให้ได้...!
      ถาม :  ผิดกรรมบถ ๑๐ ไปแล้ว คนที่ถือกรรบถ ๑๐ มิน่าเขาต้องนุ่งขาวห่มขาวแล้วอยู่แต่ในวัด ?
      ตอบ :  ไม่ต้องหรอก อยู่บ้านก็ได้ อย่ายุ่งกับคนมากก็แล้วกัน ถ้ายุ่งกับคนมากก็อดไม่ได้ เดี๋ยวหลุดปากอีก คราวนี้ไม่ใช่เพ้อเฉย ๆ ด่าเช็ดเลย ไม่ได้แก้ตรงสัมปลัปปรวาทแล้ว กลายเป็นผรุสวาทา แล้วด่าผรุสวาทกล่าวคำหยาบ กล่าวคำสบถ สัมปลัปปรวาทากล่าคำเพ้อเจ้อ ปิสุณาวาท กล่าวคำส่อเสียดยุเขาให้แตกกัน มุสาวาท กล่าวคำที่ไม่เป็นจริง เรียกวจีกรรมสี่ประการ
      ถาม :  ถ้าเราบอกความจริงเขาไม่หมด ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไร ?
      ถาม :  ไม่ถือเป็นการโกหก ?
      ตอบ :  จะโกหกอย่างไร ? แค่บอกไม่หมดเท่านั้น