​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๓๔

 

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๖ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม :  ....(ไม่ชัด)
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วที่หลวงพ่อทำอย่างนั้น เพราะสิ่งต่าง ๆใ นวัดการผิดระเบียบก็ดี การคอร์รัปชั่นในวัดก็ดี การโกงเงินสงฆ์ก็ดี ท่านแตะไม่ได้ เพราะตัวท่านเป็นคุณอนันต์เป็นโทษมหันต์ ถ้าไปแตะต้องเข้า เขาตำหนิด่าว่าท่านแม้แต่นิดเดียว จะเพิ่มโทษให้เขาอย่างมหาศาลเลย หลวงพ่อจึงต้องยกตัวเองออกมา ยกให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการสงฆ์
              แต่คณะกรรมการสงฆ์ท่านไม่จัดการ พออาตมาทนดูไม่ไหวก็ลุยกระจายไปเลย จนกระทั่ง ๔ พรรษาสุดท้ายของหลวงพ่อท่านเรียกใช้อยู่คนเดียว กลายเป็นคนโปรดไป ความจริงไม่ใช่หรอก ท่านรู้ว่าสั่งอาตมาแล้วต้องสำเร็จ ไม่ต้องเสียเวลาไปตรวจสอบ ไม่ต้องเสียเวลาไปแก้ไข แค่บอกว่าให้ทำอะไรแค่นั้น
              เมื่อครู่ที่กล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่า ถ้าอยู่ต้องเอาหลวงพี่นันต์ออก เพราะตอนนั้นความบ้าดีเดือดทำให้บรรดาพี่ ๆ น้อง ๆ ที่กล้าคิดแต่ไม่กล้าพูดเขาเห็นด้วยกันเยอะ พระในวัด ๔๐ กว่ารูปนี่ ถ้าอาตมาสั่งซ้ายหันขวาหัน ท่านจะหันตามประมาณ ๓๐ เป็นอย่างน้อย อย่างเมื่อวานหลวงน้าสัมฤทธิ์ก็มา นั่นรุ่นพี่พรรษาหนึ่ง
              ตอนที่อยู่วัดนี่อาตมามีเครดิตดีมาก ไม่ว่าจะเรื่องผี เรื่องเทวดา หรือเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าอาตมารู้จะพูดหมด...ปากสว่าง เขาก็ไปถามกับหลวงพ่อ แล้วหลวงพ่อยืนยันให้ ในเมื่ออาตมาทำอย่างนั้น แล้วเวลางานก็กล้าชนด้วยท่านก็เลยเห็นด้วยกันเยอะ ถ้าเสียงส่วนใหญ่ ๓๐ กว่ารูป บอกให้ออก ก็ไม่มีใครอยู่ได้หรอก ที่เหลือไม่ถึง ๑๐ คานไม่อยู่แน่นอน เลยคิดว่าถ้าเอาตมาอยู่ต่อต้องเป็นมาเฟียแน่ จะทำอะไรเจ้าอาวาสต้องมองหน้าก่อน ว่าอาตมาอนุญาตให้ทำไหม อย่างนี้ก็แย่...ไปดีกว่า จะได้หมดปัญหา
      ถาม :  ผมสงสัยว่าทำไมได้มโนมยิทธิกันแล้วไม่ใช้ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่เอาไปใช้ผิด ตอนที่น่าเวทนาที่สุด ไม่ทราบเหมือนกันว่าคุณเอได้ข่าวหรือเปล่า ? ช่วง ๑๐๐ วันของหลวงพ่อ มีแม่ชีคนหนึ่งเขาอ้างว่าตายแล้วฟื้น เขาไปเจอหลวงพ่อมา บอกว่า “สมเด็จองค์ปฐมกักตัวหลวงพ่อเอาไว้ ต้องสร้างพระหน้าตัก ๙ วา ศาลาครอบพระอีก ๓ หลังเป็นการไถ่ตัว ท่านถึงจะปล่อยตัวหลวงพ่อกลับมา”
              แล้วมีรายการติดป้ายที่วัดพุทธไชโยว่า จะสร้างที่โน่นองค์หนึ่งพร้อมกับศาลา สร้างที่วัดใหม่ฉายหิรัญ ที่ด่านช้างองค์หนึ่ง แล้วก็สร้างที่วัดท่าซุงอีกองค์หนึ่ง พวกเราทนดูไม่ได้เลยขอให้คณะสงฆ์ประชุม แล้วก็ช่วยกันด่ากระจายจมดินไปเลย ถามหน่อยเถอะ สมเด็จองค์ปฐมท่านเป็นใคร ถึงต้องกักตัวหลวงพ่อไว้ ? ถ้าไม่สร้างศาลากับพระขนาดนั้นไถ่ตัวจะไม่คืนให้ ท่านเป็นพระพุทธเจ้าหรือเป็นโจรเรียกค่าไถ่ ? ดันเชื่อไปได้อย่างไร ?
              แล้วพระหน้าตัก ๙ วา ความสูงตั้งเท่าไร ? ความสูงอย่างน้อยก็เท่าครี่งไม่หนี ๑๕ วา มณฑปคุณต้องสร้างประมาณ ๒๐ วา ของขนานั้นราคา ๒๐ ล้านเอาไม่อยู่หรอก หมายถึงว่าหลังหนึ่งกับพระองค์หนึ่งนะ ถ้า ๑ องค์ ตั้ง ๖๐ ล้าน...ไม่ไหวหรอก ถ้าหลวงพ่อฟื้นขึ้นมาจริง ๆ ผมรับคนเดียวหลังหนึ่งก็ได้ แต่ถ้าหลวงพ่อไม่ฟื้นขึ้นมาพวกเราจะทำอย่างไร ?
              เสร็จแล้ว “แม่ชีเป็นใคร ? แม่ชีคืออุบาสิกาถือว่าเป็นฆราวาสที่ถือศีล ๘ เท่านั้น ถ้าเป็นคนที่เก่งจริงก็ตายหมดแล้ว...ใช่ไหม ? อยู่ได้ไม่เกิน ๗ วันที่ยังอยู่ได้นี่ยังไม่เก่งจริงหรอก แล้วทำไมไม่ถามผมล่ะ ?” คนไหนกล้าพูดกับคณะสงฆ์อย่างนี้บ้าง ?
              หลวงพี่..ท่านออกมาแก้ตัวแทน คือพยายามจะช่วย ท่านบอวก่า “จริง ๆ แล้วเราไม่ได้เสียหายอะไร เพราะเขาไม่ได้หลอกลวงเอาประโยชน์เข้าเขา” อาตมาว่า “ที่เสียหายมหาศาลพี่มองไม่เห็นหรือ ? ชื่อเสียงเกียรติคุณหลวงพ่อสร้างสมมาสี่ห้าสิบปี ตอนนี้ละลายไปหมดแล้ว แทนที่จะมีคนมีความสามารถอยู่เป็นหลักได้ ถึงเวลาเกิดอะไรขึ้น สามารถที่จะบอกกล่าว สามารถที่จะชี้แจง สามารถที่จะนำหมู่คณะได้ กลายเป็นเชื่อตามแม่ชีกันหมด” หลายท่านทนฟังไม่ได้ ลุกจะเดินหนีออกจากห้อง หลวงตาวัชรชัยโดดขวางประตูเลย บอกว่า “ห้ามออก...วันนี้ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่อง ก็ตีกันให้ตายห่...อยู่ในนี้แหละ...!”
              วันนั้นสรุปกันว่า ให้แม่ชีออกจากวัดไป แล้วให้รีบไปเก็บป้ายคืนมา หลวงพี่วิรัชซวยที่สุด คือไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลย เจ้าอาวาสสั่งท่านก็ต้องตะลอน ๆ ไปหัวหิน ตะลอน ๆ ไปด่านช้างเพื่อไปเก็บป้าย ตอนที่เขาสั่งเขียนป้าย เขาใช้วิธีโทรศัพท์ไปสั่งให้ติดป้าย แต่ตอนไปเก็บต้องไปชี้แจงเขาสิ เหนื่อยตายชักเลยพี่กู น่าสนุกไหม ? ตลอด ๑๐๐ วันงานศพหลวงพ่อมีแต่เรื่องมัน ๆ อย่างนี้ อาตมาถึงได้คิดว่า “กูไปดีกว่า อยู่ต่อก็ขัดคอเขา ไม่มีความสุขกันทั้งวัด ถ้าไปเขาจะสบายใจที่สุด”
      ถาม :  ....(ไม่ชัด)....
      ตอบ :  ต้องเชื่อหลวงพ่อ ตำราก็มี เทปก็มี ยึดคำสอนท่านเป็นหลัก ตรงไหนสงสัยก็เทียบในพระไตรปิฏก แต่ไม่ต้องไปเทียบหรอก อาตมาเทียบมาหมดแล้ว ยังไม่เจอที่ผิดเลย เจอผิดแค่ว่าหลวงพ่อจำผิด แล้วก็ไปเจอเทปหลวงพ่อเถียงเอาด้วย
              มีวันหนึ่งหลวงพ่อท่านเทศน์ถึงพระนางรูปนันทา ที่ว่าไม่กล้าไปหาพระพุทธเจ้าเพราะว่าตัวเองสวย กลัวพระพุทธเจ้าจะว่าเอา ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญคนสวย เห็นเป็นซากศพ อย่างนั้นก็เลยไม่กล้าไป อาตมาก็ เอ๊ะ...ไม่ใช่นี่ เคยอ่านดูในชาดกเขาบอกว่าเป็นนางโรหิณี ทำไมหลวงพ่อบอกว่าเป็นพระนางรูปนันทา ?
              ปรากฏว่าเทปที่ฟังอยู่ดันเถียงได้ บอกว่า “ไอ้นั่นในชาดกโว้ย นี่เอามาจากธรรมบทว่ะ” เอากับท่านสิ เทปท่านแท้ ๆ ยังเถียงได้เลย ตัวไม่อยู่แล้ว ก็ไปเปิดหาในธรรมบท เออ...ใช่ ปราฏว่าจริง ๆ แล้วเรื่องบางเรื่องนี่ซ้ำกันซ้อนกัน เป็นเหตุการณ์เหมือน ๆ กัน แต่ตัวบุคคลต่างกันแค่นั้นเอง ถ้าเวลาเราอ่านเลยกลายเป็นเรื่องเดียวกัน แต่จริง ๆ แล้วเป็นคนละเรื่อง คนละตัวบุคคล แต่เนื้อหาเหมือนกัน ไม่ต้องไปเทียบให้เสียเวลาหรอก อย่างเก่งก็ผิดเรื่องชื่อคนหรือสถานที่ หรือวันเวลาแค่นั้นแหละ เนื้อหาไม่ผิดแน่นอน
      ถาม :  ยันต์เกราะเพชรอย่างเราไม่ได้ตั้งใจกินเหล้านี่ ถือว่ายันต์ยังอยู่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ท่านก็ไปเหมือนกัน ไปแบบไม่ตั้งใจ
      ถาม :  เป็นเหล้าที่เขาใส่ในขนม ?
      ตอบ :  เจ๊งเหมือนกันจ้ะ เพราะอนุญาตให้เฉพาะที่เป็นส่วนผสมของยาเท่านั้น ถ้าผสมตามสูตรอย่างพวกยาดองเหล้า หรือยาที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อะไรพวกนั้นกินได้ แต่ถ้าประเภทที่ผสมอย่างอื่นกินเข้าไปยันต์หนีหมด สังเกตดู...คนรับยันต์ไป ถ้าเหล้าเข้าปากกลืนเมื่อไรจะร้อนวาบไปทั้งตัวทันทีเลย นั่นอาการยันต์ออกจากตัวไปแล้ว ปกติถ้าคุณกินเหล้าเฉย ๆ จะไม่ร้อนวูบวาบทันทีขนาดนั้น นี่พอลงคอก็ซ่าออกผิวหนังเลย
      ถาม :  ....(ไม่ชัด)....
      ตอบ :  วางสิจ๊ะ อะไรที่เราไม่แน่ใจก็อย่าไปแตะ พระฉันอาหารยังพิจารณาเลย โยมก็พิจารณาบ้างสิ
      ถาม :  ถ้าเราพิจารณาอาหารก่อน เราไม่รู้ว่าเขาใส่อะไรเป็นส่วนผสม พอเรากินหรือเราได้กลิ่นปุ๊บแล้วเราหยุดอย่างนี้ ?
      ตอบ :  ถ้าไม่กลืนก็ไม่เป็นไรจ้ะ เอาให้แน่นอนวันที่ ๑๘ นี้ไปรับใหม่
      ถาม :  ถ้าเป็นงานล่ะคะ ? เป็นงานที่ต้องทำเกี่ยวกับพวกนี้ ?
      ตอบ :  เขาห้ามกิน ไม่ได้ห้ามทำงาน
      ถาม :  แล้วถ้าชิม ?
      ตอบ :  เราไม่ได้กินก็แล้วไป ถ้าจะชิมให้คนข้าง ๆ ชิมแทนก็ได้ ดูครูแดงโน่น กินไอศกรีมรสรัม...ใช่ไหม ? แล้วซื้อมาถวายพระอีก อาตมาเปิดออกมากลิ่นแอลกอฮอล์เข้าจมูกวูบเลย ถามว่าใส่เหล้าหรือเปล่า ? ปรากฎว่าคุณครูไม่รู้เรื่องเลย
      ถาม :  อร่อย ?
      ตอบ :  รายนั้นโจ้เป็นประจำเลย ไม่รู้ว่าเป็นเหล้า บอกว่าอร่อย พออาตมาดูข้าง ๆ ถ้วย เห็นเขียนว่ารัสรัม เรียบร้อยเลย รัมเป็นเหล้าของอเมริกา สมัยก่อนเป็นเหล้าเถื่อนด้วย
      ถาม :  แล้วเล่นหวยล่ะคะ ?
      ตอบ :  เราเล่นหวยไม่ผิดศีลหรอกจำไว้ แต่หวยเป็นอบายมุข ธรรมะพังทั้งแถบเลย พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า “อบายมุข มุขะคือปากทาง อบายคือที่ต่ำ ปากทางให้ลงที่ต่ำ ลงยันนรกเลยไ ระวังไว้ให้ดี อบายมุขท่านว่าประกอบด้วย เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน เป็นนักเลงสุรา เป็นนักเลงหญิง คบคนชั่วเป็นมิตร เกลียดคร้านไม่ทำการงาน
              สมัยที่เป็นฆราวาสอยู่เคยซื้อหวย แม้จะซื้อไม่มากก็ตาม คราวนี้ดันถูก เกิดสงสัยขึ้นมาจึงไปถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ เล่นหวยนี่ผิดศีลไหมครับ ?” ท่านว่า “ไม่ผิดหรอกลูก แต่มันร้อน” พอได้ยินนี่สะดุ้งเลยนะ ร้อนจริง ๆ ก่อนหวยออกนี่คิดให้พล่านไปหมด ถ้าได้เงินมาจะทำอย่างไร พอได้ยินอย่างนั้นเลยตั้งใจเลิกเดี๋ยวนั้นเลย ทั้งหมดยกถวายหลวงพ่อไปเลย เลิกเล่นกันที ก็เลยจบแค่นั้น
      ถาม :  เลิกไม่ได้ ชอบค่ะ ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไรจ้ะ ถ้ายังมีที่ให้ชอบให้ติด ก็ยังเกิดอีกเยอะ
      ถาม :  ....................
      ตอบ :  ชีไม่ใช่ภิกษุณีจ้ะ แม่ชีจัดเป็นอุบาสิกา คือฆราวาสธรรมดาเท่านั้น เพียงแต่ว่าระยะหลังนี้นิยมสร้างรูปแบบขึ้นมา คือมีการโกนหัวนุ่งขาวห่มขาว ยิ่งในประเทศไทยของเราแล้ว แม่ชีได้รับการยอมรับน้อยมาก มีแม่ชีแค่ไม่กี่ท่านเท่านั้นที่ชาวบ้านให้ความเกรงใจ นอกนั้นเขาว่าบวชเพราะอกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารเสื่อม เอือมเจ้านาย ยายให้บวชแก้บน...!
      ถาม :  ......(ไม่ชัด)..............
      ตอบ :  เรื่องของแรงบุญนี่ตัวอย่างชัด ๆ มเหสีพระเจ้าอโศกมหาราช พระเจ้าอโศกมหาราชท่านมีนางแก้ว คือเทวดาเอาจากอุตรกุรุทวีปมาถวายให้ คราวนี้นางแก้วนี่บุญท่านมาก พระเจ้าอโศกมหาราชมีสนมอยู่ตั้งห้าพัน ทุกคนอิจฉามารศรีเป็นที่ยิ่ง ทำไมถึงโปรดคนนี้เป็นพิเศษ
              พระเจ้าอโศกมหาราชท่านคงรำคาญ เลยสั่งพวกวิเสทหลวงคือพวกพ่อครัวไปปั้นขนมมาเท่าจำนวนคน ไม่รู้เหมือนกันเป็นพวกขนมต้มขนมโคอะไรหรือเปล่า ? ต้องไปทำมาห้าพันกับอีกหนึ่งลูก ท่านถอดธำมรงค์ให้กับพ่อครัว บอกว่า “ซุกไว้กับขนมลูกใดลูกหนึ่ง แล้วไปนึ่งให้สุก”
              เมื่อนึ่งให้สุกแล้วยกออกมา พระเจ้าอโศกมหาราชประกาศต่อพระมเหสีและพระสนมกำนัลทั้งหมดว่า “ใครก็ตามหยิบขนมลูกที่มีพระธำมรงค์ของเราได้ จะตั้งให้เป็นมเหสีเอก” พูดง่าย ๆ คือ ใครสามารถล้วงขนมลูกที่มีแหวนขึ้นมาได้ จะให้เป็นมเหสีเอก คราวนี้ก็แร้งลง...ห้าพันกว่าคน มึงอยากได้กูก็อยากได้ แต่เมหสีท่านนั่งรอ รอจนเขาหยิบไปหมดเหลืออยู่ลูกเดียวแล้วท่านก็ไปหยิบมา พระธำมรงค์ก็อยู่ในลูกนั้นนั่นแหละ
              เพราะฉะนั้น...เรื่องบุญนี่แข่งกันไม่ได้ ถึงวาระที่สมควรจะได้ก็ได้ขึ้นมาเอง ที่ท่านต้องทำอย่างนั้นเพราะอยากจะประกาศบุญให้รู้ว่า ที่ตั้งองค์นี้เป็นมเหสี เพราะบุญเขาดีกว่าพวกเธอหลายเท่า แต่ไปบอกตรง ๆ เขาก็ไม่ยอมรับ จึงต้องแสดงออกอย่างนี้ คนเลือกก่อนมีโอกาสจะได้ไปตั้งห้าพันครั้งยังไม่ได้เลย
              พระเจ้าอโศกมหาราชทำเอาคนรุ่นหลัง ๆ หน้าแตกยับเยิน พระองค์ท่านสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเป็นพุทธบูชา เสร็จแล้ววางแก้วมณี รู้จักแก้วมณีไหม ? โคตรเพชร...เอาไว้ตรงประตูทางเข้าแล้วจารึกไว้เลยว่า การต่อไปข้างหน้าพระราชาองค์ใดที่มีฐานะยากจน ไม่มีสิ่งใดที่จะถวายบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สมพระเกียรติยศ จงถือเอาแก้วมณีนี้ไปถวายบูชา คราวนี้หายสงสัยหรือยังว่า ทำไมโคตรเพชรสารพัดถึงได้มีแต่ที่อินเดีย พระเจ้าอโศกมหาราชท่านทิ้ง ๆ ไว้ให้ แต่แทนที่จะเอาไปบูชาพระบรมสารีริกธาต โน่น...อังกฤษครองเมืองยึดส่งเจ้านายหมด
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ :  พระเจ้าอโศกมหาราชถึงแม้ว่าจะฆ่าพี่ฆ่าน้อง เพราะถ้าไม่สู้ตัวเองก็ตาย ท่านเป็นคนโปรดของพระราชบิดา ในพี่ ๆ น้อง ๆ เจ็ดแปดสิบคน เขาเห็นว่าถ้ารายนี้ยังอยู่ ตัวเองไม่มีสิทธิ์ได้ราชสมบัติแน่ เลยยกทัพมาจะจับฆ่าเสีย ท่านเองไม่ได้เจตนาอะไรหรอก ตั้งใจสู้แค่ตาย แต่ปรากฏว่าสู้แล้วชนะ
              พอปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านรู้ว่าท่านฆ่าคนเอาไว้เอยะ เพราะตอนที่ไปรบที่กลิงครัฐ ชนะแล้วได้ยินเสียงร้องก็ไปดู ปรากฏว่าทหารได้รับบาดเจ็บจากอาวุธโดนทอดทิ้งอยู่กลางสนามรบ ท่านก็สลดใจว่า เออ...ทุกคนล้วนแล้วแต่มีลูกมีเมียเหมือนกัน ทุกคนรักสุขเกลียดทุกข์ กลัวความเจ็บปวดเหมือน ๆ กัน แล้วเราฆ่าไปนับไม่ได้เลย เฉพาะพี่น้องต่างแม่นี่ก็ฆ่าไปตั้งเกือบร้อย ท่านสลดใจขึ้นมาว่า เออ...ทำอย่างไรเราจะล้างบาปอันหนักนี้ได้
              พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระแนะนำว่า ต้องทำการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ปรากฎว่าการทำนุบำรุงพุทธศาสนานี่ท่านก็ฆ่าไปอีกบานเบิก สมัยนั้นเดียรถีย์ปลอมบวชมาเยอะ พอเห็นพระเจ้าอโศกมหาราชทำนุบำรุงพุทธศาสนา พระกินดีอยู่ดีนี่ นักบวชนิกายอื่นผอมกะหร่องไปตาม ๆ กัน ก็ปลอมเป็นพระเข้ามา
              ชาวบ้านเขาเห็นห่มจีวรก็ให้ทานจนอ้วนไปตาม ๆ กัน แล้วก็ไปทำชั่ว พอมีการร้องเรียนมากขึ้น ๆ เลยมีการทำสังคายนาพระวินัย กวาดพระทั้งหมดมารวมกันไว้ เรียกออกมาครั้งละรูป เอาพระที่มั่นใจว่ารู้ธรรมแน่ ๆ มาเป็นพยาน ถามเรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้า รูปไหนตอบได้ก็รอดใครตอบไม่ได้ก็หัวขาดอยู่ตรงนั้นแหละ เขาบอกจีวรที่จับถอดออกนี่กองเป็นภูเขาเลย คราวนี้พอเห็นท่านเอาจริง พวกที่ยอมถอดจีวรเผ่นหนีก็เยอะเพราะกลัวตาย
              พอสังคายนาพระไตรปิฎกเสร็จเรียบร้อย ท่านยังสืบหาทั่วชมพูทวีป ขุดหาพระบรมสารีริกธาตุเก่าทั้งหมดขึ้นมา แล้วสร้างเจดีย์ทั่วชมพูทวีป ๘๔,๐๐ องค์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุถวายเป็นพุทธบูชา แล้วพระองค์ท่านก็เอาสำลีพันตัว เอาน้ำมันราดแล้วก็จุดไฟเผาถวายเป็นพุทธบูชา สายตาเพ่งจดจ่อที่เจดีย์ที่สร้างถวายด้วยความปีติ ตลอด ๗ วันกว่าไฟจะดับ ปรากฏว่าไม่เป็นอะไรเลย อำนาจบุญรักษาเอาไว้ได้ นั่นแสดงว่าท่านต้องได้ฌานสมาบัติด้วย ถาไม่ได้ฌานสมาบัตินี่ไหม้หมดแน่ ๆ กำลังของฌานจะป้องกันอันตรายต่าง ๆ ได้ทั้งหมด
      ถาม :  ต้องฌานระดับไหนคะหลวงพ่อ ?
      ตอบ :  อัปปนาสมาบัติ ตีว่าฌานสี่แล้วกัน มีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งชื่อสมเด็จพระมังคลสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านมีพระรัศมีกายแผ่ไปในหมื่นโลกธาตุ พระพุทธเจ้าองค์โน้นแผ่พระรัศมีสิบวา องค์นี่ยิสิบวา องค์นั้นครึ่งโยชน์ องค์โน้นหนึ่งโยชน์ แต่องค์นี้แผ่ไปทั้งหมื่นโลกธาตุ สัตว์โลกทั้งหมื่นโลกธาตุไม่จำเป็นต้องอาศัยแสงเดือนแสงตะวัน อาศัยพระรัศมีอย่างเดียวกำหนดเวลากลางวันกลางคืนด้วยการหากินของสัตว์ ด้วยการบานขอดอกไม้ ดอกไม้บานสัตว์ออกหกินก็เช้าแล้ว ถึงเวลาสัตว์กลับรัง ดอกไม้หุบก็ค่ำแล้ว แต่สว่างเหมือนกันหมด แล้วไม่ใช่สว่างแค่ชั่วครั้งชั่วคราวแบบองค์อื่น ของพระองค์ท่านสว่างตลอดเป็นนิจ
              ในอดีตพระองค์ท่านสร้างบุญลักษณะเดียวกับพระเจ้าอโศกมหาราช ใช้ตัวเองเป็นไส้ประทีป คือเอาพวกผ้าพวกสำลีพันตัวเอง แล้วราดน้ำมันจุดไฟเผาถวายเป็นพุทธบูชา พระองค์ท่านไม่ได้ยืนเฉย ๆ แบบพระเจ้าอโศกมหาราช แต่เดินจงกรมรอบเจดีย์ด้วย กะว่าล้มตายลงตรงไหนก็เอาตรงนั้น แต่ปรากฏว่าตลอด ๗ วันไม่เป็นไรเลยเหมือนกัน อานิสงส์ตัวนี้ ทำให้เวลาท่านสำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วพระรัศมีแผ่ไปทั้งหมื่นโลกธาตุ ยังกลางวันและกลางคืนว่างเสมอกันหมด น่าเล่นนะเอาบ้างไหม ? ใครจะลองเผาไหม ? เอานิ้วหนึ่งก่อนก็ได้
              ถวายบูชาด้วยแสงสว่าง จะมีส่วนบุญในทิพจักขุญาณด้วย แสดงว่าทิพจักขุญาณขององค์สมเด็จพระมังคลสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านนี่ รู้แจ้งแทงตลอดไม่มีอะไรปิดบังได้เลย เล่นเผาตัวเองเลยนี่ พระพุทธเจ้าจะต่างด้วยประมาณ คือขนาดร่างกาย ต่างกันด้วยพระรัศมี ต่างกันด้วยตระกูล ต่างกันด้วยยานพาหนะที่ออกบวช ต่างกันด้วยประมาณของบัลลังก์ ต่างกันด้วยต้นไม้ตรัสรู้ นอกนั้นแล้วความสามารถคือรู้แจ้งเจนจบเหมือนกัน
      ถาม :  หลวงพี่โอบอกว่าจะตรัสรู้ใต้ต้นกาแฟ ?
      ตอบ :  นั่นแหละ...มีใครรู้เรื่องนี้บ้าง ? อันนี้พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโรกล่าวเอง เรียกท่านพระครูไม่มีใครรู้ เรียกหลวงพี่โอร้องอ๋อกันทั้งเมือง ตอนช่วงนั้นอาตมาออกธุดงค์บ่อย จริง ๆ แล้วคนอื่นขอหลวงพ่อก็ให้ไป แต่เขาใช้คำพูดผิด อาตมามอบความไว้วางใจที่ให้หลวงพ่ออยู่แล้ว จะไปที่ไหนหลวงพ่อท่านรู้อยู่แล้ว แค่บอกว่า “หลวงพ่อครับ ขออนุญาตไปเมืองกาญจน์ ๑๐ วันครับ” “หลวงพ่อครับ ขออนุญาตไปสุโขทัย ๑๐ วันครับ” ท่านก็ “เออ...ไปเถอะ” อาตมาก็แบกกลดสะพายบาตรไป
              พระพี่พระน้องเขาเห็นก็ “หลวงพ่อครับ ผมขออนุญาตไปธุดงค์ครับ” “แกแน่ใจแล้วหรือ ?” เจอถามแบบนี้เข้าก็ถอยหลังกรูด ต่างกันตรงคำพูดนิดเดียว มาตอนหลังท่านบอกว่า พวกคุณทุกคนอยากธุงดงค์ทั้งนั้น ถ้ามีใครบอกว่าขอไปธุดงค์แล้วข้าอนุญาต จะไม่เหลือพระติดวัดให้ใช้ เพราะไปกันหมด อาตมาเพียงแต่บอกว่าไปไหนแค่นั้น ไม่ได้บอกว่าไปธุดงค์ บังเอิญไปตรงกับที่หลวงพ่อท่านต้องการพอดีก็เลยได้ไป
              คราวนี้ตอนไปธุดงค์ก็ต้องถือธุงดงควัตร ประเภทฉันมื้อเดียว ฉันในบาตร นั่งอาสนะเดียว ลุกแล้วเลิกเลย ถือผ้าสามผืนเป็นวัตร แล้วแต่จะเอาข้อไหนบ้าง ตอนนี้ไป ๆ มา ๆ หลายเที่ยวเข้า หลวงพี่โอท่านก็ว่า “ไปธุดงค์อย่างท่านผมก็อยากไปหรอก แต่ในป่าไม่มีกาแฟว่ะ...” ท่านติดกาแฟ แล้วบอกต่อไปว่า “ถ้าผมปรารถนาโพธิญาณนะ ผมจะอธิษฐานตรัสรู้ใต้ต้นกาแฟ ดีไหม ?”
              ปรากฏว่าเพราะกาแฟนั่นแหละ เลยเจอเม็ดลำโพงเข้าไป เรื่องหลวงพี่โอฉันลำโพงมีใครรู้บ้าง ? เป็นเรื่องกรรมบังจริง ๆ ตอนช่วงนั้นทางวัดเขายังทำยาพระประธานอยู่ จะมีส่วนประกอบส่วนหนึ่งคือลำโพงกาสลักหนักหนึ่งชั่ง ลำโพงกาสลักนี่ไม่เหมือนดอกลำโพงทั่ว ๆ ไป ดอกจะเป็นสีม่วงและซ้อนกัน คราวนี้โยมเขาเห็นพระไปเสาะแสวงหาลำบาก บ้านเขามีลำโพงกาสลัก ก็เลยแกะเอาเมล็ดใส่ขวดมาให้ แหม...เหมือนเมล็ดพริกเปี๊ยบเลย
              พอเอามาถวายหลวงพี่โอก็เอาวางไว้ข้างตัว มาถวายวันงานนี่ ก็วางไว้ข้างตัว พอถึงเวลาฉันเพล อย่าลืมนะวัดท่าซุงนี่ก๋วยเตี๋ยวเป็นหลัก ถึงเวลาฉันเพลก็ยกก๋วยเตี๋ยวมาประเคน หลวงพี่โอมองซ้ายมองขวาเห็นเมล็ดลำโพงเป็นพริกป่น เปิดขวดเทใส่เลย ท่านว่าแปลกใจเหมือนกัน ทำไมพริกมีแต่เมล็ดวะ ? แต่ก็ไม่ได้แปลกใจมาก ฉันเรียบ...!
              ไปรู้ตัวอีกทีก็ตอนอยู่โรงพยาบาลแล้ว เพื่อนพระล้อมอยู่เต็มไปหมด ถามว่า “เป็นอะไร ?” ก็หลวงพี่ฉันลำโพงเข้าไป เอ๋อไปเลย ไม่รู้เรื่องอะไรเลย นั่นยังดีนะ ถ้าไม่ใช่ว่าอยู่กับหลวงพ่อมา รับรองได้ว่าบ้าแน่ ๆ เพราะหมาที่เผลอไปกินเมล็ดลำโพงเข้าไป กลายเป็นหมาบ้าหมดนะ คนไปกินลำโพงเข้าก็บ้าบ้าง แต่อันนั้นนี่สารพัดของที่หลวงพ่อท่านทำให้ ทั้งกันทั้งแก้มีอยู่แล้วก็เลยรอดไปได้
      ถาม :  หมอคงเวียนหัวกันน่าดู ?
      ตอบ :  เป็นตัวอย่างที่ต้องศึกษา ของอาตมาเองไปโดนอีกแบบหนึ่ง ตอนนั้นเป็นมาลาเรียอยู่ ได้ยาตัวใหม่มาชื่อเมฟาควิน เคยได้ยินไหม ? ยาตัวใหม่ออกมา หมอนพพรรีบวิ่งโร่มาเลย “หลวงพี่ ตัวนี้เจ๋งมาก ฉันแล้วอยู่หมัดเลย” โอเค...เจ๋งก็เจ๋งวะ คราวนี้เขาบอกว่า ถ้าน้ำหนักไม่ถึง ๖๐ กิโลกรัมให้กิน ๑ เม็ด เม็ดเดียวครั้งเดียว ไม่ใช่ครูปราณีนะ นั่นเล่นวันละเม็ด วันละเม็ดล่อไป ๑๐ กว่าเม็ด แล้วบอกว่า “หลวงพ่อ...หนูเดินไม่ตรงทางเลย เป็นอะไรก็ไม่รู้ ?” นั่นไม่ตายก็บุญแล้ว พาซื่อขนาดนั้น
              ถ้าน้ำหนักเกิน ๖๐ กิโลกรัมให้กิน ๓ เม็ด หมอนพพรมาถึงก็เท ๓ เม็ดให้เลย อาตมาเองจะส่งยาเข้าปาก เสียงท่านย่าบอกชัด ๆ เลย “กินไม่ได้นะลูก” อาตมาก็ เอ๊ะ…ทำไมกินไม่ได้วะ หมอเขาให้มา แล้วเขาก็ยืนอยู่ตรงหน้า กินไปเถอะ คุณเอ๊ย…อาเจียนเป็นถังเลย เหมือนกับเมารถเมาเรือ แผ่นดินหมุนไม่รู้จักจบ แล้วแสบที่สุดคือว่า ตัวยาแตกตัวแบบ Half life ทุกเวลาที่บรรจบเข้ามา จะออกฤทธิ์เท่าเดิมตลอด ๓๓ วัน โอ้โฮ...เหลือเชื่อเลย กรรมเก่าสามารถเฉ่งให้หงิกไปได้รวดเดียว ๓๓ วัน
      ถาม :  ถ้ากินพอเหมาะน่าจะเป็นยาที่ดีนะครับ ?
      ตอบ :  ขนาดคนยังจะตาย แล้วเชื้อโรคจะไม่ตายได้อย่างไร คราวนี้หมอบอกว่ากะผิด เห็นอาตมาสูงขนาดนี้ น้ำหนักน่าจะถึง ๖๐ กิโลกรัม หมอไม่รู้หรอกว่าอาตมาหนักแค่ ๕๔ กิโลกรัม ก็เทมา ๓ เม็ดเลย ปรากฏว่างานนั้นนี่ ทั้งยาฉีดยากินแก้อาเจียนสารพัด หมอระดมเข้าไปน่วมสนิทเลย
              พอตอนหายแล้วไปดูกรรมเก่าว่า ไปทำอะไรมาถึงเจออย่างนี้ ปรากฏเอาเหล้าไปให้ช้างกิน ต้องกรอกให้ครื้ม ๆ หน่อยจะได้กล้าออกไปรบ ไม่อย่างนั้นเวลาเสียงปืนเสียงโห่เสียแห่อะไรดัง ๆ เข้านี่ช้างจะกลัว กรอกไปตัวหนึ่งไม่กี่ไหเอง เจอเข้าไปเต็ม ๆ เมาไป ๓๓ วัน โอ้โฮ...เจ้าประคุณรุนช่อง ตอนนั้นดีที่สุด รู้เลยตัวเองมีสติแค่ไหน ขนาดบังคับร่างกายไม่ได้นี่สติทรงเปรี๊ยะเลยนะ ถึงเวลาค่อย ๆ คลำไปจะไปห้องน้ำ บางทีเกาะข้างฝาก็เซรูดจะล้มกับพื้น
              เดิน ๆ ไปหน้ามืดนี่รู้ตัวรีบนั่งก่อน แหม...สติดีจริง ๆ เลย คนใกล้ตายน่าจะเป็นอย่างนั้นทุคน สติดีมากเลย ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งแล้วนี่ จะตายเกาะพระไว้ก่อน ลองดูไหม ? ยาชื่อเมฟาควิน ลองไปหามากินดู อะไรที่อยู่ในท้องนี่อาเจียนออกมาเกลี้ยงเลย น้ำเพิ่งจะดื่มเข้าไปก็ออกมาเดี๋ยวนั้นเลย