เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนมิถุนายน ๒๕๕๒
ก็น่าแปลก การที่พระเจ้าอชาตศัตรูส่งวัสสาการพราหมณ์ไปเป็นไส้ศึกที่แคว้นวัชชี ก็เหมือนกับที่จิวยี่ส่งอุยกายไปเป็นไส้ศึก (ในเรื่องสามก๊ก) ทำในลักษณะเดียวกัน ระยะเวลาก็ใกล้เคียงกัน
ต้องบอกว่า อัจฉริยะมักจะมีความเห็นใกล้เคียงกัน หรือไม่ก็นักปราชญ์ ความคิดหรือการกระทำจะใกล้เคียงกัน อยู่กันคนละประเทศอยู่คนละวัฒนธรรม แต่กลับมีความประพฤติที่คล้าย ๆ กัน
*************************
มาดูเรื่องของโทณพราหมณ์ เมื่อกษัตริย์ทั้ง ๗ เมือง มาล้อมกรุงสินารา ขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ มีคำพูดติดปลายนวมมาว่า “ถ้าไม่ให้...ก็รบ” ยกทัพมาลักษณะนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ ยังดีที่ว่าโทณพราหมณ์อยู่ในที่เกิดเหตุ
ชื่อเสียงของโทณพราหมณ์ก็พอเป็นที่รู้จัก และเป็นที่เคารพของบรรดากษัตริย์ทั้ง ๗ เมือง พอโทณพราหมณ์กล่าวขึ้นทุกคนก็ต้องฟัง ท่านบอกว่าการรบราฆ่าฟันกันไม่ใช่วิสัยของพุทธศาสนิกชน เพราะว่าพระพุทธเจ้าสอนพวกเราไม่ให้ทำปาณาติบาต พระบรมสารีริกธาตุก็มีมากพอที่จะแบ่งปันให้ได้
ทีนี้เขาก็สงสัยอย่างเดียวว่าใครจะเป็นคนแบ่ง ไม่เช่นนั้นเกรงว่าจะไม่ยุติธรรม โทณพราหมณ์ก็เลยรับอาสาเป็นคนแบ่ง ท้ายสุดพระบรมสารีริกธาตุก็กระจายไปทั้ง ๗ เมือง เมื่อแบ่งพระบรมสารรีริกธาตุเสร็จแล้ว โทณพราหมณ์ก็ขอทะนานทองที่ใช้ตวงพระบรมสารีริกธาตุเป็นที่ระลึก ซึ่งคณะมัลลกษัตริย์ของกรุงกุสินาราก็พระราชทานให้ โทณพราหมณ์พอรับทะนานทองไป เขากล่าวว่าเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดตัวเอง แล้วก็สร้างพระสถูปเจดีย์บรรจุทะนานที่ใช้ตวงพระบรมสารรีกธาตุ เป็นเครื่องบูชา
น่าแปลกที่ว่าประวัติศาสตร์มาอยู่ที่เมืองไทย พระประโทณเจดีย์ในเขตนครปฐม เขาเชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่โทณพราหมณ์บรรจุทะนานทองเอาไว้ ถ้าถามว่ามีเค้าความจริงที่พอเป็นไปได้หรือไม่ ก็เป็นไปได้อยู่ เพราะสมัยนั้นทางด้านชมพูทวีปก็ค้าขายกับทางสุวรรณภูมิเป็นปกติ ค้าขายมาก่อนสมมัยพุทธกาลอีก
อย่างเช่นยุคพระมหาชนก ซึ่งเป็นชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า มีมาก่อนพระพุทธเจ้านานมาก สมัยนั้นมีการค้าขายกับสุวรรณภูมิแล้ว แสดงว่ามีการติดต่อเป็นปกติ โดยเฉพาะทางเรือ สมัยนั้นนครปฐมติดชายทะเล พอมาสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระโสณเถระและพระอุตรเถระที่เดินทางมาเผยแผ่พุทธศาสนาที่สุวรรณภูมิก็มาขึ้นที่นครปฐมเช่นกัน
*************************
ถาม : ในกรณีที่เอาของ ๆ วัดมา ถ้านำไปคืนวัดจะได้หรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าคืนไม่เป็นไร หยิบจากไหนให้กลับไปคืนที่ตรงนั้น หมายความว่า ถ้าหยิบออกจากวัดไหนให้คืนวัดนั้น อย่าไปคืนคนละวัด แต่ถ้าหากเราชำระเป็นหนี้สงฆ์ ชำระวัดไหนก็ได้ ดังนั้น ...ถ้าจะคืนของ ให้เอาไปคืนวัดเดิม
*************************
คนเป็นพ่อแม่เคยสังเกตไหมว่า ตั้งแต่เช้าจนค่ำ รักษาอารมณ์ไม่ให้โกรธลูกได้นานสักกี่ชั่วโมง ?
ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าดูอารมณ์ตัวเองไม่เป็น รู้อารมณ์ตัวเองไม่ได้ก็แก้ไขไม่ได้ โดยเฉพาะในส่วนของการปฏิบัติ ท้ายสุดจะเป็นมหาสติปัฏฐาน ในส่วนของจิตในจิต ธรรมในธรรม ถ้าเราดูไม่เป็น รู้ไม่เป็น เราก็แก้ไขไม่ได้
ต้องหมั่นสังเกตอารมณ์ใจ เมื่อสังเกตแล้วก็มีวิธีเดียว ก็คือว่าทำอย่างไรเราจะยืนระยะได้นาน ? คราวนี้ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่สมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัวดี รู้ระมัดระวัง ก็ยืนระยะได้นาน ถ้าสมาธิไม่ดี ขาดสติ ก็พังเร็ว
เพราะฉะนั้น....ต้องพยายามซ้อมให้คล่องตัวและระวังไว้ตลอด โดยเฉพาะคนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องมีความมั่นคงในอารมณ์ไม่ขึ้น ๆ ลง ๆ เวลาโกรธก็อย่าอาละวาด เพราะถ้าโกรธแล้วอาละวาด เด็กจะขาดความนับถือเรา ต่อไปเขาก็จะเหมือนกับเราเลย โกรธอย่างไรเราก็ต้องว่าด้วยเหตุผล เช่น อธิบายไปตีไป
อย่าไปตั้งความหวังกับเด็ก ว่าจะต้องนั่ง จะต้องนิ่ง จริง ๆ แล้วเป็นธรรมดาของเด็ก ที่จะต้องเป็นแบบนั้น แต่เราไปคาดหวังว่าเด็กจะต้องดี จะต้องเรียบร้อย
เด็กเขาก็มีสักกายทิฏฐิและมานะ เขาต้องการให้เราสนใจ
*************************
เมื่อครู่กล่าวถึงวัสสการพราหมณ์และโทณพราหมณ์ แต่เราลืมนึกถึงโกณฑัญญะพราหมณ์
เมื่อพุทธเจ้าประสูติได้ ๗ วัน พระราชบิดาคือ พระเจ้าสุทโธทนะอัญเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ รูป มารับพระราชเลี้ยง และใน ๑๐๘ รูปนั้น คัดเหลือแค่ ๘ รูป เพื่อทำนายลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะ
พราหมณ์ ๗ รูปทำนายเป็นสองสถานว่า ถ้าหากเจ้าชายสิทธัตถะครองราชย์อยู่ จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก แต่โกณฑัญญะพราหมณ์ที่หนุ่มที่สุด อายุน้อยที่สุด ทำนายข้อเดียวว่าต้องบวชและเป็นศาสดาเอกของโลก
หลังจากนั้นโกณฑัญญะพราหมณ์ก็เฝ้ารอว่าเมื่อไรเจ้าชายสิทธัตถะจะออกบวช ก็ปรากฎว่ารอจนเจ้าชายสิทธัตถะอายุ ๒๙ ปี จึงเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ โกณฑัญญะพราหมณ์ก็ตามไปปรนนิบัติรับใช้ และชวนบรรดาลูก ๆ ของพราหมณ์ทั้ง ๘ คนไหนมีลูกก็ชวนไปปรนนิบัติรับใช้อยู่ด้วยกัน รวมได้ ๔ ท่าน คือ ท่านวัปปะ ท่านมหามานะ ท่านภัททิยะ และท่านอัสสชิ
เจ้าชายสิทธัตถะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณตอนอายุ ๓๕ ปี ท่านไปเทศน์โปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ท่านโกณฑัญญะพราหมณ์ได้ดวงตาเห็นธรรม อยากจะถามว่าท่านโกณฑัญญะพราหมณ์ท่านบวชตอนอายุเท่าไร ?
ถ้าตีเสียว่าโกณฑัญญะพราหมณ์ท่านเป็นอัจฉริยะ เรียนจบไตรเพทตอนอายุ ๑๖ ปี รอพระพุทธเจ้าอีก ๓๕ ปี ก็แปลว่าอายุ ๕๑ ปี จึงได้บวช นี่เป็นการประมาณขั้นต่ำสุดนะ แต่ท่านก็อายุยืน ท่านอยู่จนถึงอายุ ๑๒๐ ปีจึงมรณภาพ ก็แปลว่าท่านอยู่มาอีก ๖๙ ปี ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพดุทธเจ้าบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว บำเพ็ญพุทธกิจอยู่ ๔๕ พรรษา แล้วจึงเสด็จปรินิพพาน แปลว่าท่านโกณฑัญญะพราหมณ์น่าจะมรณภาพหลังพระพุทธเจ้าหลายปี
พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นพระอรหันต์องค์แรกของโลก ถ้านับพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์องค์แรกของโลก พระอัญญาโกณฑัญญะท่านก็เป็นองค์ที่สอง ท่านเป็นสักขีพยานในการบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้าบรรลุธรรมไม่มีใครเป็นพยานได้ จนกว่าจะมีผู้บรรลุตามและยืนยันความจริงนั้น
พระอัญญาโกณฑัญญะ แรก ๆ ก็ออกประกาศพระศาสนาตามคำสั่งของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าหลังจากโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ แล้วก็ไปโปรดพระยสะและสหายอีก ๕๕ คน
พระยสะและสหาย ๕๕ ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ พระพุทธเจ้า ๑ รวมเป็น ๖๑ รูป ตรงนี้เป็นกองทัพธรรมกองแรกที่ส่งออกประกาศพระศาสนา
ท่านใช้ จรถ ภิกฺขเว จาริกํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขอจงเดินเที่ยวไปพหุชนหิตาย พหุชนสุขาย เพื่อประโยชน์ของชนหมู่มาก เพื่อความสุขของชนหมู่มาก โลกานุกมฺปาย เพื่ออนุเคาาะห์แก่โลก อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย นั่นคือท่านออกประกาศศาสนาเป็นครั้งแรก
พอภายหลังมีพระสงฆ์บวชในพุทธศาสนาเป็นจำนวนมากขึ้น มีผู้บรรลุธรรมจำนวนมากขึ้น พระอัญญาโกณฑัญญะท่านก็ชราภาพ ท่านจึงไปอยู่ที่สระฉัททันต์ในป่าหิมพานต์ มีฝูงช้างคอยปรนนิบัติรับใช้ เวลาที่ท่านคิดถึงพระพุทธเจ้า ท่านก็ออกมาถวายบังคมพระพุทธเจ้า แล้วหลังจากนั้นก็กลับไปที่เดิม
คราวนี้เมื่อท่านมาอยู่ที่สระฉันทันต์ ก็เลยหาต้นไม้ที่มีแก่นมาต้มย้อมน้ำฝาดไม่ได้ มีแต่ไม้ชนิดอื่น ท่านก็เลยเอาลูกรังมาต้มแล้วก็ย้อมจีวร จีวรท่านก็เลยออกสีแดงลูกรัง เวลามาเยี่ยมพระพุทธเจ้า บรรดาพระทั้งหลายที่มาทีหลังไม่รู้จัก ก็ปากมากว่า “หลวงตารูปนั้นเป็นใครก็ไม่รู้ ห่มจีวรสีแดงเหมือนเลือด น่ากลัวจริง ๆ” อะไรประมาณนี้
พระพุทธเจ้าได้ยิน จึงเสด็จไปถามว่า “ภิกขเว ดูก่อน...ภิกษุทั้งหลาย เธอไม่รู้จักพี่ชายใหญ่ของเธอหรือ ?” พระเหล่านั้นกราบทูลว่า “ไม่รู้จักพระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “นั่นแหละ พระอัญญาโกณฑัญญะ พี่ชายใหญ่ของเธอ เป็นผู้บรรลุธรรมในศาสนาของตถาคตเป็นรูปแรก”
พระอัญญาโกณฑัญญะนี่แหละ ที่ทำให้พระพุทธเจ้าท่านผ่อนผันให้ภิกษุห่มจีวรสีเหลืองเจือแดงได้ ในท้องถิ่นไม่มีแก่นขนุนสำหรับย้อมจริง ๆ ให้ใช้ลูกรังย้อมได้ เพราะฉะนั้น...จีวรพระสีเหลืองย้อมด้วยขมิ้น สีกรักย้อมด้วยแก่นขนุน สีแดงเข้มย้อมด้วยลูกรัง
ที่ถามเพราะส่วนใหญ่พอพูดถึงพราหมณ์แล้วเราจะมองข้ามท่านไป ความจริงในสมัยนั้นต้องบอกว่าท่านเป็นพระอัจฉริยะ เรียนจบไตรเพทตั้งแต่อายุยังน้อยมาก และเก่งขนาดเป็นที่ยอมรับของพราหมณ์ทั้งหมด
เขาคัดเลือกไปทั้งหมด ๑๐๘ คน และคัดในจำนวนนั้นเหลือ ๘ คน ก็แปลว่าอีก ๑๐๐ คนที่เป็นหัวกะทิยอมรับว่าพระอัญญาโกณฑัญญะท่านเก่ง เรียนจบตอนอายุ ๑๖ แล้วให้บรรดาพราหมณ์เฒ่าทั้งหลายยอมรับว่าเก่ง แสดงว่าต้องเป็นยอดฝีมือ
ดังนั้น...ถ้านับอย่างต่ำ ท่านต้องบวชอายุอย่างน้อย ๕๑ ปี ถ้าหากต่อไปถามว่า พราหมณ์ในพุทธศาสนาเอ่ยชื่อมาแล้วเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือใคร รับรองว่าชื่อนี้รู้จักมาก แต่เราลืมไปว่าท่านเป็นพราหมณ์
*************************
ถาม : พระอัญญาโกณฑัญญะ ท่านได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นเอตทัคคะในด้านรัตตัญญู อยากถามว่ารัตตัญญูคืออะไรคะ ?
ตอบ : รัตตัญญู แปลตรง ๆ ว่า รู้ราตรีนาน มีประสบการณ์มาก เพราะว่าท่านเป็นพราหมณ์มาก่อน ศึกษาไตรเพทมาก่อน ท่านอยู่ปรนนิบัติรับใช้พระพุทธเจ้าจนอายุมากขนาดนั้น แบบแผนประเพณีทุกอย่างรู้หมด และบวชเป็นพระสงฆ์รูปแรกในพุทธศาสนา ไม่มีใครรู้มากกว่าท่านอีกแล้ว
ถาม : ก็แสดงว่าความหมายคนละอย่างกับผู้มีราตรีอันเดียวเจริญ ?
ตอบ : ไม่ใช่ ราตรีเดียวอันเจริญ ท่านหมายถึงบุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติ คนที่ตั้งใจปฏิบัติจะไม่เห็นแก่นอน
อันนั้นท่านเรียก ภทฺเทกรตฺโต โหมิ ผู้มีราตรีอันเจริญ
*************************
ถาม : มีผู้หญิงคนหนึ่งมาชอบ เนื่องมาจากการช่วยเหลือสงเคราะห์ระหว่างกัน ?
ตอบ : การสงเคราะห์กันระหว่างผู้หญิงผู้ชาย ระวังไว้จุดหนึ่ง คือการคิดเข้าข้างตัวเอง เขาเห็นเราตั้งหน้าตั้งตาสงเคราะห์เขา เขาจะเหมาว่าเรารักเราชอบเขา ถ้าเขาคิดอย่างเดียวไม่เป็นไร ยังไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าเรามีใจตอบมาด้วยคราวนี้เสร็จ
ถาม : ควรจะทำอย่างไรดี ?
ตอบ : มีทางเดียวคือต้องใจแข็งอย่าไปยุ่งกับเขา ท่องไว้อย่างเดียวว่า “เมียเขา ๆ” เจอหน้าผู้หญิงที่หน้าตาใช้ได้ ท่องไว้เลย “เมียเขา” แล้วจะปลอดภัย แต่ตอนที่หน้ามืดนี่ เมียเขาก็เมียเขาละวะ...!
ถาม : พยายามจะคุยกับฝ่ายหญิง จะเคลียร์กับเขา ?
ตอบ : ไม่มีประโยชน์ ถ้าเขาหมายมั่นปั้นมือว่าเราเป็นผู้ชายในฝันร้ายของเขา เขาไม่เลิกง่าย ๆ หรอก ต้องใจแข็งเข้าไว้
ตั้งกำแพงส่วนตัวไว้ อย่าให้เขารุกเข้ามาในเขตเราได้ ถ้าตราบใดที่ยังกั้นเขาอยู่นอกเขตก็ปลอดภัย ถ้าปล่อยให้เขารุกเข้ามาในเขตได้ก็เดือดร้อน
*************************
ถาม : ถ้าลาพุทธภูมิแล้ว จะทำให้เจ้ากรรมนายเวรเล่นงานมากขึ้นหลายเท่า ?
ตอบ : ไม่เกี่ยวหรอก ตอนอยู่ต่อนั่นแหละที่จะมากขึ้น เพราะอย่างน้อย ๆ เราอยู่ชาติหนึ่ง เราก็สร้างกรรมไว้ชาติหนึ่ง เกิดชาติหนึ่งก็สร้างกรรมไว้เรื่อย ๆ
ถ้าพุทธภูมิยังกลัวเจ้ากรรมนายเวรอยู่ยังไม่ใช่ของแท้หรอก พุทธภูมิต้องบ้าเลือดกว่าชาวบานเขาหลายเท่า เรื่องความกลัวหรือเรื่องความย่อท้อไม่มี มีแต่มุ่งไปข้างหน้า ถ้าไม่ถึงที่ก็ให้ตายไปเลย นั่นแหละพุทธภูมิ
*************************
ในเรื่องของวัตถุที่ลงอาคมต่าง ๆ เช่น กุมารทอง มันมีอยู่สองอย่าง ถ้าหากสำนักที่เขาทำตามแบบพุทธศาสตร์เขาจะมีเทวดารักษา แต่ถ้าไสยศาสตร์นี่ ถ้าไม่ใช่สัมภเวสีก็เป็นเปรต อสุรกาย
*************************
พระปิลินทวัจฉะ ท่านเคยเกิดในพราหมณ์ตระกูลสูงมาหลายร้อยชาติ เกิดในชาติไหน ๆ ก็มักจะเรียกบุคคลอื่น ๆ ว่าไอ้ถ่อย ๆ มาในชาติสุดท้าย แม้บรรลุความเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ความเคยชินนิสัยเดิมยังไม่เปลี่ยน จนเกิดเรื่องว่า
วันหนึ่งมีพ่อค้าขนดีปลีขึ้นเกวียนมาแล้วเอาผ้าคลุมไว้ พอเดินผ่านพระปิลินวัจฉะ ท่านจึงทักว่า “ไอ้ถ่อย...นั่นขนอะไรมาหรือ ?” พ่อค้าโกรธจึงตอบกลับไปว่า “ก็ขนขี้หนูมาน่ะสิ..สมณะโล้น” ปรากฎว่า พอพ่อค้าเข็นของไปถึงตลาด เปิดผ้าออกมา ดีปลีทั้งคันรถกลายเป็นขี้หนูไปหมด
พ่อค้าที่เป็นเพื่อนกันจึงถามว่า ระหว่างทางท่านไปพบกับผู้ใดมาบ้าง พ่อค้าคนนั้นจึงเล่าให้ฟังว่าพบพระ แล้วมีการทักทายกันอย่างนี้ พ่อค้าเพื่อนกันจึงออกอุบายว่า ท่านจงเอาขี้หนูห่อผ้าไปแล้วไปในทางที่ท่านมา หากพบภิกษุท่านนั้นอีก แล้วท่านถามว่าขนอะไรมา ให้ตอบกลับไปว่าดีปลีขอรับพระคุณเจ้า แล้วค่อยกลับมาดูผลอีกครั้ง
พ่อค้าคนนั้นก็ปฏิบัติตาม ก็เข็นขี้หนูกลับไป พอไปพบพระปิลินทวัจฉะท่านก็ทักอีก “ไอ้ถ่อย...นั่นขนอะไรมา ?” ทีนี้พ่อค้ารู้แกว แล้วจึงตอบกลับไปว่า “ดีปลีขอรับ พระคุณเจ้า” ท่านรับคำว่า “อ้อ..ของนั้นเป็นดีปลี” ก็ปรากฏว่าขี้หนูทั้งหมดก็กลับกลายมาเป็นดีปลีดังเดิม เป็นผมจะกราบเรียนท่านไปว่า เป้นเพชร เป็นพลอย เป็นทอง ขอรับพระคุณเจ้า สิ้นเรื่องสิ้นราวไม่ต้องไปนั่งขายดีปลี
พระปิลินทวัจฉะท่านเห็นภัยอันนี้จะเกิดแก่บุคคลอื่น ท่านจึงเข้าไปอยู่ในป่า ปรากฏว่า เหล่าเทวดาที่เคยทำบุญร่วมกับท่านมาในอดึตชาติ แห่กันมาขอรับธรรมจากท่าน ท่านเทศน์แล้วเป็นที่ชอบใจของเทวดามาก พระปิลินทวัจฉะท่านจึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นเอตทัคคะทางด้านเป็นที่รักใคร่ของเทวดา
*************************
พระควัมปติ ท่านเป็นเพื่อนกันกับพระยสะ ท่านมีปกติชอบเข้านิโรธสมาบัติ ดังนั้น คนจึงนิยมสร้างรูปท่านเป็นพระปิดตา เป็นเครื่องหมายแสดงว่าท่านปิดหมด หมายถึงการเข้านิโรธสมาบัติ เพราะเชื่อกันว่าหากใครบูชาท่านจะมีลาภมาก เพราะท่านเข้านิโรธสมาบัติตลอด
*************************
ที่เขาบูชาชูชก เพราะมีความเชื่อกันว่า ชูชกเป็นขอทานที่ไม่เคยขออะไรแล้วไม่ได้ ขนาดไปขอลูกที่ขึ้นชื่อว่าเป็นของรักที่สุดแล้วจากพระเวสสันดร ยังได้มาเลย ดังนั้น ที่เขาบูชากันก็เพราะเชื่อว่า บูชาแล้วไปขอะไรจากใครก็จะได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา
แต่ถ้าเราคิดว่าชูชก เป็นชาติหนึ่งของพระเทวทัต หากคิดไปถึงขนาดนั้นก็ไม่ต้องไปเอาแล้ว
*************************
เก็บตกบ้านอนุสาวีรีย์ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๒
พระเจ้าจันทรคุปต์ตอนทำศึก แพ้เขาอยู่หลายครั้ง วันหนึ่งเลาะไปตามชายป่า ย่องไปขออาหารเขากิน เจอหญิงชาวบ้านคนหนึ่งทำขนมทอด เวลาทอดขนมขึ้นมาใหม่ ๆ ก็ร้อนมาก เมื่อลูกเห็นขนมเข้าก็ร้องอยากกิน กินไปเข้าก็ร้องออกมาเพราะว่าร้อนมาก แม่ก็เลยด่าว่า “เอ็งนี่โง่เหมือนจันทรคุปต์ใครเขาไปกินคำโต ๆ เล่า เล็มเอาทีละน้อย ๆ สิ”
จันทรคุปต์ได้ยินก็สะดุดใจ คิดว่าที่เราแพ้เพราะเราโง่อย่างนี้นี่เอง เนื่องจากตนใช้วิธีไปปะทะกับเขาตรง ๆ ก็เลยเปลี่ยนไปใช้วิธีใหม่ โดยรวบรวมกำลังพลมา ใช้ยุทธวิธีกองโจร ตอดเล็กตอดน้อยตัดกำลังเขาไปเรื่อย ตัวเองก็ค่อย ๆ สั่งสมกำลังเยอะขึ้น ๆ พออีกฝ่ายหนึ่งอ่อนแอก็ทุ่มกำลังใส่ทีเดียว คราวนี้ชนะได้บ้านเมืองเขามา
จันทรคุปต์ต้องไปขอบพระคุณหญิงชาวบ้านคนนั้นที่ช่วยด่าให้หายโง่
อย่างพวกเราก็ต้องมียุทธวิธีในการรบกับกิเลส ระวังจะเจอแบบนี้...โง่เหมือนจันทรคุปต์...!
ต้องไปท่องยุทธวิธีตามตำราพิชัยสงครามของเรามี ฤทธี สีหจักร ลักษณ์ซ่อนเงื่อน เถื่อนกำบัง พังภูผา ม้ากินสวน พวนเรือโยง โพงน้ำบ่อ ล่อช้างป่า ฟ้างำดิน อินทร์พิมาน ผลาญศัตรู ฯลฯ
วิธีของจันทรคุปต์เป็นวิธีม้ากินสวน ก็คือ ค่อย ๆ เล็ม
*************************
|