​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๓๙

 

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๒


              สติ คือความระลึกได้ สัมปชัญญะคือความรู้ตัว
              สติทำให้เราไม่ลืม สัมปชัญญะรู้อยู่ว่าเราจะทำอะไร
ฟังดูแล้วเหมือนไม่ต่าง แต่จริง ๆ ต่างกันมากเลยในความหมายบาลี
*************************

              คำในภาษาบาลีมีจำนวนมากที่ความหมายเพี้ยน อย่างเช่นคำว่า สังขาร สังขารนี้เรามีกจะนึกถึงร่างกายของเราเลย แต่จริง ๆ ไม่ใช่ ร่างกายของเราในบาลีเรียกว่า รูป
              สังขารเป็นอารมณ์ใจนึกคิดปรุงแต่ง คอยแต่งไปเรื่อย ๆ ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ไปเรื่อย
              อีกคำหนึ่งก็คือ วิญญาณ ตามความหมายบาลีก็คือ ประสาทรับรู้ รู้สึกทุกข์ รู้สึกสุข รู็สึกเจ็บปวด รู้สึกเฉย ๆ แต่ความหมายที่พวกเราได้ยินก็คือ ผีจะมาหลอก ความหมายเพี้ยนจากบาลีไปเยอะ
              พระพุทธเจ้าเวลาตรัสธรรมะเป็นภาษาบาลีอย่างหนึ่ง พอพระเถระรุ่นหลังบันทึกพุทธวจนะเป็นบาษาบาลีอีกอย่างหนึ่ง เพราะว่าภาษาบาลีเป็นภษาที่ไม่มีการพัฒนาแล้ว พัฒนาสูงสุดไปแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้ ความหมายกี่ปี กี่ชาติก็จะไม่เปลี่ยน แต่ว่าอย่างของเราพอใช้ไป ๆ ความหมายจะเพี้ยนไปเรื่อย แล้วจะทำให้ส่วนของธรรมะที่ดีนั้นเสียไป
              ขณะที่บาลีไม่สามารถจะเปลี่ยนได้ แต่ว่าความหมายในภาษาระยะหลังที่เปลี่ยนไป ก็เลยทำให้มีผู้อธิบายพระไตรปิฎกเพี้ยน รุ่นแรกที่เขาอธิบายพระไตรปิฎกเพี้ยน รุ่นแรกที่เขาอธิบายพระไตรปิฎก เรียกอรรถกถา ขยายความจากพระไตรปิฎก คำพูดใดที่ไม่ตรงกับยุคสมัย หรือว่าใช้ในอีกยุคสมัยหนึ่งแล้ว ความหมายไม่ชัดเจน ท่านจะอธิบายในอรรถกถา พอยุคหลังจะมีอธิบายอรรถกถาเรียก ฎีกา พอยุคถัดไปมาอธิบายฎีกา เรียกอนุฎีกา ไล่ไปเรื่อย มาปัจจุบันเป็นเกจิอาจารย์ ก็คือ อธิบายอนุฎีกา บางอย่าง ความชัดเจนไม่ปรากฎ จึงต้องอธิบาย อย่างที่ว่าพอมาถึงยุคของเรา สังขารก็เปลี่ยน วิญญาณก็เปลี่ยน เราก็มาอธิบายว่าควรจะเป็นอย่างไร
*************************

              วันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าท่านแสดงปฐมเทศนา ก็คือเทศน์ครั้งแรกอย่างเป็นทางการ เนื้อหาบอกว่าคนในสมัยนั้นมีวิธีปฏิบัติอยู่ ๒ อย่าง ถ้าไม่สบายจนเกินไป ก็ลำบากจนเกินไป แล้วส่วนมากเขานิยมความลำบาก เพราะเชื่อว่าทำให้บรรลุได้ เข้าถึงโมกษะ คือความหลุดพ้นได้ เข้าถึงปรมาตมัน ลักษณะเหมือนกับไปพระนิพพานได้ เขานิยมแบบนั้น
              พระพุทธเจ้าท่านทดลองมา ๖ ปีเต็ม ๆ ท่านทำย่ิงกว่าใคร ๆ ที่เคยทำมา พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่มีใครทรมานตัวเองได้ยิ่งกว่าพระองค์ท่านอีกแล้ว...แต่ไม่บรรลุ
              ถามว่าพระพุทธเจ้าท่านเสียเวลาเปล่าหรือไม่...ไม่เสีย คนที่ลองมาขนาดนั้นแล้วมีพยานหลักฐานชัดเจน คือ ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ทำให้พระองค์เมื่อบรรลุมรรคผลแล้วไปเทศน์ สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าการทรมานร่างกายเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง ก็ท่านทำยิ่งกว่าคนอื่นแล้วไม่บรรลุ แล้วจะถูกได้อย่างไร ท่านเอาตัวเองเป็นเครื่องยืนยันได้
              ท่านก็บอกว่าสบายเกินไปก็ไม่ใช่ ต้องเป็นมัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลายพอเหมาะ พอดี ทางสายกลางของท่านมี ๘ อย่าง ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ไล่ไปจนถึงสัมมาสมาธิ
*************************

              เวลาเดินทาง มีวิธีประกันความเสี่ยงอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ ให้เราอุทิศส่วนกุศลทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ให้แก่เจ้าที่ทั้งหลายที่รักษาตลอดเส้นทางที่เราเดินทาง อากาศเทวดา รุกขเทวดา ภูมิเทวดาก็ดี หรือจะเป็นเหล่าสัมภเวสี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ขอให้เขาอนุโมทนา
              หลักจากนั้นเราก็ขอความสะดวกคล่องตัวในการเดินทางและความปลอดภัย

*************************

              ทุกอย่างต้องพัฒนา มีใครเขากล่าวคำพูดว่า “โลกหมุนไปข้างหน้าทุกวัน ถ้าเรายืนอยู่กับที่เท่ากับเราถอยหลัง”
              เราอยู่กับที่เท่ากับเราถอยหลัง เพราะคนอื่นเขาไปข้างหน้ากัน จึงต้องมีการตาม แต่ทิ้งหลักการเดิมไม่ได้ ที่ทิ้งหลักการเดิมไม่ได้ เพราะว่าโลกก้าวหน้าแค่ไหนก็ตาม คนเราก็ยังรักโลภโกรธหลงเหมือนเดิม
*************************

      ถาม :  เรื่องอายตนะนิพพาน ?
      ตอบ :  เราเชื่อหรือไม่ว่าพระนิพพานมีจริง ?
      ถาม :  เชื่อค่ะ
      ตอบ :  ถ้าเชื่อ อายตนะนิพพาน ก็คือพระนิพพานที่เป็นสถานที่ พูดนี้จะได้ชัด ๆ
              แต่ทีนี้คนเขาก็บอกว่า ถ้าเป็นสถานที่ก็เป็นอัตตาสิ...ไม่ใช่ ถามว่าเป็นอนัตตาหรือไม่ ? ก็ไม่ใช่อีก ในเมื่อไม่เกิดแล้วจะตายได้อย่างไร แต่ว่าไม่เกิดแล้วมีได้อย่างไร นี่อัศจรรย์
              ไปให้ได้แล้วจะรู้ให้อธิบายนั้นยาก อย่าไปเถียงกับใครว่ามี อย่าไปเถียงกับใครว่าเป็นตัวตน เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้
              พระนิพพานเป็นสถานที่พิเศษ แยกออกไปต่างหาก เป็นส่วนของอสังขตธรรม ธรรมะที่ไร้การปรุงแต่ง ไม่สามารถจะใช้คำพูดหรือตัวหนังสืออธิบายได้อย่างแท้จริง เป็นส่วนพิเศษนอกเหตุเหนือผล
              เพราะฉะนั้นคำว่าพระนิพพานเราจะไปใช้คำว่า คาดว่า แสดงว่า ไม่ได้สักอย่าง คำใดที่ประกอบด้วยการปรุงแต่งยังอธิบายพระนิพพานได้ไม่ชัดเจน
*************************

      ถาม :  ฌานสี่ได้ตลอดเวลา กับทรงฌานสี่ได้ตามที่เรานึกอยากจะทำอย่างไหนดีกว่ากัน ?
      ตอบถ้าหากว่าไม่ทรงตลอดเวลา อรมณ์ก็ยังขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ แต่ว่าถ้าทรงได้ในเวลาที่เราต้องการนี่ ถือว่าสุดยอดแล้ว อยากได้เมื่อไรก็ทำได้ แสดงว่าเก่งใช้ได้ ถ้ากิเลสกินเรา ทรงฌานไม่ได้หรอก
      ถาม :  เขาทรงฌานสี่ตลอดเวลาได้อย่างไร เพราะต้องมีบ้างที่ว่าอารมณ์ถอยลงมา ?
      ตอบต้องบอวก่า กำลังสมาธิ...ถ้าหากว่าเราทำถึงที่สุดของแล้ว ซักซ้อมจนคล่องตัว ก็จะสามารถทรงกำลังอัตโนมัติเอง แล้วลักษณะของอัตโนมัตินี้ สามารถที่จะแบ่งกำลังใจทำอย่างอื่น ขณะนั้นความนิ่ง ความสงบภายในเท่ากับฌานสี่ แต่การเคลื่อนไหว การพูด การทำต่าง ๆ เท่ากับอุปจารสมาธิ หรือปฐมฌาน เขาถึงได้เรียกว่าฌานใช้งาน
              คราวนี้เรื่องของสมาธิก็ขึ้นอยู่กับอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สามารถเสื่อมไปได้ตามสภาพ แต่ถ้าทำไปถึงระดับหนึ่งแล้ว กำลังใจจะทรงตัวอยู่ บางทีกำลังสมาธิลดแต่กำลังใจไม่ได้ลดตามเลย โดยเฉพาะถ้าเป็นพระอริยเจ้าแล้ว กำลังใจในการกดกิเลสไม่ได้ลดตาม

              แบบเดียวกับที่พระอัสสชิท่านป่วย แล้วอาการเวทนามันเกิดมาก ขนาดร้องครวญครางด้วย ท่านก็เลยขอพระที่อุปฏฐากอยู่ไปทูลถามพระพุทธเจ้า สงสัยว่าความดีที่ทำได้จะสูญเสียแล้ว เพราะว่าเจ็บเหลือเกิน พระพุทธเจ้าถามว่า อัสสชิ เธอเห็นร่างกายนี้เป็นของเธอหรือ พระอัสสชิทูลว่าไม่เคยเห็นเป็นของตัวเองเลยพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นความดีของเธอ ไม่ได้ลดลง ที่ลดลงคือกำลังสมาธิที่เป็นฌาน คราวนี้ร่างกายที่ป่วยมาก ๆ ฌานก็เสื่อมได้เป็นธรรมดา
*************************

              การก่อไฟในป่า ถ้าฝนกำลังตกอยู่ ให้ใช้ไม้ไผ่แห้ง ไม้ไผ่นั้นก็หาได้ในป่า เจอกระบอกไม้ไผ่ก็ให้เหยียบจนแตก จุดไฟใส่ลงไปข้างใต้ ไม้ไผ่หรือใบไผ่จะติดไฟเร็วมาก ๆ และให้ความร้อนร้อนมาก ๆ ถ้าหากอยู่ในป่าจะหุงข้าวแล้วใช้ไม้ไผ่จะหุงได้เร็ว แต่ต้องขยันใส่เข้าไปเยอะ ๆ
              ประสบการณ์อีกเรื่องหนึ่งที่ได้มาจากพวกกะเหรี่ยง ก็คือเขาใช้รองเท้าฟองน้ำเก่า ๆ หั่นบาง ๆ ชิ้นเดียวเท่านั้น ถึงเวลาก็ไม้ขีดไฟจุด หย่อนลงตรงไหนก็ติดตรงนั้น ประกันได้เลยว่า ก่อไฟด้วยรองเท้าฟองน้ำเก่า ไฟกองนั้นติดแน่ ในป่าฝนมักจะตก หน้าแล้งขนาดไหนฝนก็ตก แล้วตกแบบชนิดที่ว่าหนีไม่ทัน ดังนั้น เข้าป่าถุงพลาสติกจำเป็นมาก เพราะถ้าพลาดเมื่อไรก็แปลว่าเปียก มีอยู่ระยะหนึ่งที่อาตมาเข้าป่าแล้วใช้ถุงดำเป็นประจำ ใช้ถุงดำใส่ของ ม้วนปากสามสี่รอบชนิดที่วาตกน้ำก็ไม่เปียก ช่วยได้เยอะมหาศาล สมัยนั้นไปไหนก็ชอบพกกล้องไป ก็อาศัยถุงพลาสติก ม้วนใส่กระเป๋าไป ฝนจะตกเมื่อไรก็ช่าง
              คนที่ไม่เคยชินกับการเดินป่าระยะทางไกล ๆ เท้าจะพองเร็วมาก รองเท้าที่ดีที่สุดก็คือรองเท้าฟองนำ้ธรรมดา (อีแตะคีบ) โดยเฉพาะยี่ห้องต.ช.ด. ตราช้างดาว ทนมาก ๆ ถึงเวลาตรงไหนไม่สะดวกก็หิ้วไปหรือไม่ก็ผูกเชือกห้องคอไป ถ้าหากใช้รองเท้าพวกหุ้มข้อ หุ้มส้นนี่จะกัด บางทีเดินป่าอยู่เป็นอาทิตย์ ออกมาเล็บหลุดเกลี้ยงเลย การหานำ้กินในป่าตามลำห้วยต่าง ๆ แม้ว่าจะแห้งแล้ว แต่ถ้ามีความชื้นอยู่ ลึกลงไปจะมีน้ำอยู่ข้างใต้ เมื่อขุดลงไป ๆ จะเปียกมากขึ้น รอสักพักน้ำจะไหลลงมารวมกันในที่เราขุด เหมือนกับน้ำซึมบ่อทรายแล้วค่อย ๆ ตัก โดยเฉพาะเรื่องของเท้าพอง ถ้าดื่มน้ำเยอะเกินไป เท้าจะพองง่าย ถ้าเดินทางยังไม่ถึงที่พัก รู้สึกหิวน้ำ ก็ให้ดื่มสักคำสองคำ...อย่าเยอะ พอถึงที่พักค่อยดื่มให้เต็มที่
              เมื่อถึงที่พักแล้วยกเท้าให้สูงกว่าหัวไ้ว้ก่อน เอาเท้าพาดก้อนหินหรือท่อนไม้ไว้ก็ได้ ถ้าเจอน้ำระหว่างทางรีบลงไปแช่เท้าให้เร็วที่สุด เพราะจะทำให้เดินทนไปอีกเยอะ ถ้าไม่แช่เท้าตัวเอง จะเดินไปไม่ไหว พอได้แช่เท้าเข้าหน่อย จะเดินตัวปลิวเลย
*************************

      ถาม :  ครูบาเหนือชัยท่านใส่รองเท้าแบบมีสายรัด ?
      ตอบ :  ท่านจำเป็น ขี่ม้าไม่มีสายรัด รองเท้าก็หล่นหาย
      ถาม :  แล้วไม่ผิดพระธรรมวินัยหรือครับ ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไรหรอก เพราะที่ท่านขี่นั่นก็ผิดอยู่แล้ว เรามาดูว่า พระพุทธเจ้าท่านมอบการตัดสินพระธรรมวินัยให้ เรียกว่า มหาปเทส ท่านบอกว่า สิ่งที่ไม่สมควร...ถ้าพิจารณาแล้วว่าไม่สมควร...สิ่งนั้นย่อมไม่สมควร สิ่งที่ไม่สมควร...ถ้าพิจารณาแล้วว่าสมควร...สิ่งนั้นย่อมสมควร
              อันนี้เราก็มาดู การขี่ม้าไม่สมควร เขามีการห้ามไว้สมัยก่อน ถือว่าทรมานสัตว์ แต่ว่าของครูบาเหนือชัยท่านลำบาก เดินป่าเดินเขาอาศัยฝีเท้าอย่างเดียวไม่ทันกิน ก็ต้องอาศัยการขี่ม้า ในเมื่ออาศัยการขี่ม้าแล้ว เครื่องมือเครื่องใช้ทุกอย่าง ก็ต้องปรับตาม ถ้าไม่ปรับตามก็ไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ไม่สมควร...ถ้าพิจารณาแล้วว่าสมควร...ก็สมควร
              คราวนี้ข้อที่สามท่านบอกว่า
              สิ่งที่สมควร...พิจารณาแล้วว่าสมควร....สิ่งนั้นย่อมสมควร ตรงนี้ชัด
              สิ่งที่สมควร...แต่พิจารณาแล้วว่าไม่สมควร.. สิ่งนั้นย่อมไม่สมควร
              อย่างเช่นเราไปอ้างว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้ามสูบฝิ่น เฮโรอีน กัญชาไว้ แล้วเราจะบอกว่าสิ่งนี้สมควรก็ไม่ได้หรอก เพราะพิจารณาแล้วว่าไม่สมควร
              วิธีการตัดสินเหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านให้เราไว้ใช้ในการตัดสินพระธรรมวินัย ว่าจะทำอย่างไรกับพระธรรมวินัยที่บัญญัติตายตัวในสมัยนั้น แต่ว่าไม่เหมาะกับสมัยปัจจุบัน เพียงแต่ว่า บุคคลที่จะตัดสินพระวินัยตามมหาปเทส ๔ ต้องมีความรู้ในพระธรรมวินัยและต้องมีความยุติธรรมด้วย ไม่อย่างนั้นจะตัดสินเข้าข้างตัวเอง
*************************

              ปีนี้เป็นปีโหดมาก ที่ว่าเป็นปีโหดมากเพระาว่ามีงานใหญ่ที่ต้องทำเยอะ ช่วงที่ผ่านมาก็เป่ายันต์เกราะเพชร แล้วก็พิธีเสกพระขรรค์โสฬส ตามด้วยงานวันเกิดเจ้าคณะจังหวัด ถัดไปเดือนสิงหาคม ก็ทำบุญให้พ่อให้แม่ เดือนกันยายนทำบุญถวายหลวงปู่สาย ปลายเดือนก็งานนิโรธกรรมครูบาวิฑูรย์ เดือนตุลาคมกฐินที่วัด เดือนพฤศจิกายน...ต้นเดือนก่อนจะมาบ้านอนุสาวรีย์ไปงานกฐินของหลวงพ่อสิงห์ วัดถ้ำป่าไก่ ตกลงว่าแต่ละเดือนอย่างน้อย ๆ ต้องวิ่งงานใหญ่
              วันที่ ๑ พฤศจิกายน เจอกันที่ถ้ำป่าไผ่นะ ไปช่วยหลวงพ่อสิงห์ท่านหน่อย เพราะว่าท่านเป็นหนี้เขาอยู่เป็นล้านเลย โดนเขาหลอก คนก็หลอกคนแก่ได้ลงคอ เขาปลอมหนังสือของสำนักพระราชวังไปขอรับเงินบริจาคท่านล้านหนึ่ง ท่านก็อุตส่าห์ไปหามาให้เขา ตัวเองเป็นหนี้เขาก็ยอมเพราะว่าคิดว่าช่วยในหลวง จริง ๆ แล้วโดนหลอก ก็เลยเป็นภาระว่าต้องใช้หนี้
              หลวงพ่อสิงห์เป็นพระที่น่ารักมาก เวลาท่านมีงานจะโทรมานิมนต์ แต่อาตมามักจะไม่ว่าง ท่านบอกว่าถ้าพระน้องไม่ว่าง ก็มาแบบนั้น ตัวไม่ต้องมาก็ได้
              คราวนี้ท่านโทรมาบอกให้ช่วยทำหน่อย “ตุ๊ป้อบ่อไหวแล้ว อายุ ๗๒ ปีนี้” พี่สิงห์เป็นพระที่เย็นโดยธรรมชาติ อาจเป็นเพราะว่าท่านเกิดภาคเหนือก็ได้ คนเหนือจริตนิสัยจะเป็นคนเยือกเย็น ใจเย็น พูดช้า ทำช้า ถ้านับแล้วท่านเป็นศิษย์ท่าซุงรุ่นแรก ๆ เลยที่ออกจากวัด หลวงพี่สิงห์ท่านออกจากวัดปี ๒๕๒๓ ปีที่หลวงตาชลอบวช หลวงตาชลอบวชนี่พี่สิงห์ออกไปผจญภัยแล้ว ท่านว่าอย่างไรรู้ไหม “ตุ๊ป้อบารมีน้อย...บ่เหมือนน้องดอก ทำอะไรก็ยากไปหมด” ท่านอายุ ๗๒ ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ให้อาตมาช่วยไปเป็นประธานกฐินให้สักงานหนึ่ง ท่านหวังว่าก่อนตายใช้หนี้หมดก็พอ ก็เลยรับปากท่านไป
              ดังนั้น ขอแรงพวกเราไปช่วยงานกฐิน วันที่ ๑ ไปช่วยปลดหนี้ให้พระ ถึงเวลาเราจะได้หมดหนี้ไปด้วย ให้พวกเราวางโปรแกรมช่วงนั้นให้ดี ๆ “ไปช่วยท่านหน่อย ถึงแม้ช่วยได้ไม่มาก ก็ไปช่วยให้ท่านได้ปลื้มใจหน่อย ว่าลูกหลานหลวงพ่อวัดท่าซุงด้วยกันไม่ได้ทิ้งกันหรอก”
*************************

      ถาม :  เวลาเข้าฌานสี่ เมื่อคลายกำลังออกมา อารมณ์ยังเป็นฌานสี่อยู่หรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่ากำลังของฌานสี่ยังคุมอยู่ ถ้าหากเราทรงอยู่ปฐมฌาน ความนิ่งของใจก็เท่ากับฌานสี่ แต่ถ้าไม่ใช่ฌานใช้งาน คลายออกมาเท่าไรก็เหลือแค่นั้น
      ถาม :  แล้วเป็นไปได้ไหมว่า ถ้าเรารักษาอารมณ์ฌาน ไม่ว่าจะเป็นฌานใดก็ตามให้อยู่นาน ๆ แล้วจะทำให้ครั้งต่อ ๆ ไปเราเข้าฌานนั้นได้ง่ายขึ้น
      ตอบ :  ถ้ารักษาต่อเนื่องได้จะเข้าได้ง่ายขึ้น ถ้ารักษาต่อเนื่องไม่ได้ก็ลำบาก
      ถาม :  เวลาที่พิจารณาไปลงตรงไตรลักษณ์ อย่างอนิจจังซึ่งเป็นตัววิปัสสนา พอพิจารณาไปแล้วกลายเป็นอารมณ์ฌาน ตรงนี้เป็นได้หรือคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วเป็นกำลังฌานเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าสมาธิจิตของเราที่ใช้ในด้านวิปัสสนา...ถ้าเห็นแล้วยอมรับ...กำลังฌานจะช่วยในการตัดกิเลสได้ แล้วขณะเดียวกันถ้าหากพิจารณาไปเรื่อย ๆ แล้ว ถ้าจิตทรงตัวจริง ๆ ก็สามารถกลายเป็นฌานได้
*************************

      ถาม :  เรื่องของกิเลส ?
      ตอบอยู่ที่สติ สมาธิ และปัญญาเรา ถ้ากำลังพอ...ก็หมุนเกลียวขาดเลย กำลังไม่พอก็ปล้ำไปเถอะา จนกว่ากิเลสจะอ่อนแรง แล้วค่อย ๆ ไปบีบคอให้ตายทีหลัง
*************************

      ถาม :  (ไม่ได้ยิน) ?
      ตอบอย่างน้อย ๆ ก็จัดเป็นอนุสติ ถ้าเราไม่มั่นใจก็นึกถึงครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ ถ้าครูบาอาจารย์ที่นึกถึงเราไม่มั่นใจว่าท่านเป็นพระอรหันต์ก็นึกถึงพระพุทธเจ้า ก็เท่ากับเป็นอนุสติระลึกถึงในคุณพระรัตนตรัยเหมือนกัน
              ถ้าใจเกาะอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหนเสีย กิเลสก็กินไม่ได้ และท้ายสุด ถ้ารู้จักน้อมเข้าหาวิปัสสนาว่า แม้แต่จอมอรหันต์อย่างพระพุทธเจ้าก็ยังดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน แต่เราไม่ได้เก่งขนาดนั้น อย่างไรก็ต้องตาย ในเมื่อท้ายสุดเราเองก็ตายแน่นอน แล้วเราจะไปไหน ? เกิดใหม่ก็ทุกข์ ขึ้นชื่อว่าการเกิดไม่สมควรแล้วเราก็หาที่ไปคือพระนิพพาน และท้ายสุดคือเอาใจเกาะพระนิพพาน พระนิพพานอยู่ที่ไหนพระพุทธเจ้าก็อยู่ที่นั่น เราก็ไปพระนิพพานดีกว่า
*************************

      ถาม :  ขอความเมตตาช่วยอธิบายความต่างระหว่างบารมี ๑๐ กับสังโยชน์ ?
      ตอบ :  ไม่เห็นจำเป็นต้องอธิบาย เพราะต่างกันแน่ ๆ สังโยชน์กับบารมี ๑๐ ไม่มีอะไรที่เหมือนกันอยู่แล้ว ทำไมต้องอธิบายความต่างอีก ?
      ถาม :  ทำไมเขาถึงบอกว่า บารมี ๑๐ เต็ม แล้วสังโยชน์จึงจะตัดได้ ?
      ตอบ :  เพราะเป็นข้าศึกต่อกัน สังโยชน์คือเครื่องร้อยรัดให้เราติดอยู่กับวัฏฏะ ไม่สามารถจะหลุดพ้นได้ บารมี ๑๐ เป็นเครื่องช่วยให้เราหลุดพ้นจากวัฏฏะ
*************************