ถาม :  เวลาที่หลวงพี่เล่าเรื่องหรือว่าเล่าสถานที่ต่าง ๆ ถ้าเกิดมีคนสามารถเห็นที่หลวงพี่เล่าได้ ?
      ตอบ :  ก็อันนั้นแหละคือตัวทิพจักขุญาณ แล้วก็ตัวมโนมยิทธิละตัวเดียวกันนั่นแหละ เพราะมโนมยิทธิก็คือทิพจักขุญาณเพียงแต่เราจะใช้ทิพจักขุญาณในแง่ไหน ถ้าใช้รู้อดีตเขาเรียกอตีตังสญาณ รู้อนาคตเรียกอนาคตังสญาณไง อันนั้นมันจะเป็นปัจจุบันนังสญาณแล้วก็ขณะเดียวกันถ้าระลึกไปในเรื่องย้อนหลังไปนาน ๆ ก็เป็นอตีตังสญาณเหมือนกัน นึกตามไปได้นึกเห็นได้ละดี เพราะอันนั้นเป็นการจับโกหกกันอย่างหนึ่ง พูดไม่จริงภาพที่เราเห็นจะคนละอย่างกับที่เขาเล่า เราจะรู้ได้เลยว่าอันนั้นเขาโกหก
      ถาม :  หลวงพ่อฤๅษีท่านเล่าให้ฟังเรื่องหลวงพี่อสุ่นวัดบางปลาหมอ เวลาท่านสร้างพระอุโบสถท่านเสกใบไม้ให้เป็นปลาแล้วให้คนงานอยากจะเรียนถามว่าการเสกใบไม้ให้เป็นปลานี้ใช้กรรมฐานกองไหน
      ตอบ :  อันนี้ต้องเป็นกสิณสิบ ถ้ากสิณสิบชำนาญนี่อธิษฐานธาตุสี่เท่านั้นเอง มันจะปรับธาตุให้เป็นอะไรก็ได้ ถ้าถามว่าใช้กรรมฐานกองใด อย่างน้อย ๆ คุณต้องชำนาญกสิณแล้ว ถ้าไม่งั้นไม่ได้รับประทานแน่ ปลาตัวเดียวก็ไม่ได้หรอก
      ถาม :  พระบรมสารีริกธาตุซึ่งเป็นพระหัตถ์ข้างซ้ายของพระพุทธเจ้า
      ตอบ :  ไม่เข้าใจคำถาม คือลักษณะว่าต้องเป็นพระหัตถ์ข้างซ้ายด้วย และต้องเป็นของพระพุทธเจ้า ๕ องค์ด้วย สงสัยจะพบยากเพราะพระพุทธเจ้าท่านเพิ่งจะมี ๔ องค์เอง (หัวเราะ) พระศรีอาริยเมตไตรยยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าจ้า (หัวเราะ)
      ถาม :  คือ... ผมได้พบที่วัด ๆ หนึ่งครับ มีญาติโยมมาเขาบอกว่ามาที่บ้านแล้วคนนั้นเขาก็เลยเอามาถวายที่วัดแล้วก็ตั้งเก็บไว้ หรือบอกไว้ว่าข้างไหนของพระพุทธเจ้าองค์ไหน
      ตอบ :  อันนี้ไม่ทราบเหมือนกันนะเพราะอาตมาคงความสามารถไม่ถึง แหม.. ต้องเป็นข้างซ้ายด้วยแล้ว ๕ องค์ด้วย ลำบากจังเลยกติกาเขา
      ถาม :  แล้ว...ผม ....ไม่กล้าพูดหรือจริง ๆ แล้ว....
      ตอบ :  อันนี้ไม่ทราบ คือกำลังใจของเราถ้ายึดมั่นแล้วไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ถ้านึกเป็นพุทธานุสสติก็ได้เหมือนกันหมดต่อให้เป็นของปลอม ถ้าเรานึกว่าจริงก็จริง พระท่านพร้อมที่จะสงเคราะห์เลยนะ
              เคยยกตัวอย่างที่ลูกชายจะไปค้าขายที่อินเดียแล้วถามแม่ว่าอยากได้อะไร แม่บอกว่าอยากได้พระธาตุเขี้ยวแก้วของพระสารีบุตร ทำอย่างกับซื้อในตลาดได้ใช่มั้ย ? ลูกชายด้วยความรักแม่มาก ไม่กล้าบอกว่ามันหายากหาเย็นเหลือคณาจะไปหาที่ไหน ก็รับปากว่าจะหามาให้ตอนขาหลับไม่รู้จะหายังไง เจอหมาตายพอดี เลยทุบเอาเขี้ยวหมามาขัดซะะขาวจ๋องเลยเอาไปให้แม่ แม่ดีใจอกดีใจใส่ผอบบูชาซะอย่างดีปรากฏว่าคืนนั้นเปล่งรัศมีสว่างไปทั้งบ้านเลย แม่เขาดีก็ใจ เออ...ลูกอุตสาห์กตัญญูหาของดีที่แม่ต้องการมาให้ ดีอกดีใจบูชาแล้วบูชาเล่า
              ขณะที่ลูกน้ำท่วมปากอกจะแตกตาย บอกไม่ได้ว่าเอาเขี้ยวหมามาให้ คือตัวศรัทธาท่านสงเคราะห์ให้มันกลายเป็นอนุสสติ คือเครื่องยึดถือของเขาไปแล้วนี่ ทีนี้การยึดในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นการยึดที่ถูกต้องอยู่แล้ว ถึงองค์ท่านไม่สงเคราะห์ เทวดารอบ ๆ ท่านก็ช่วยอยู่แล้วนะเพราะฉะนั้นถ้าเรานึกว่าใช่ก็คือใช่
      ถาม :  วิชาทำฮวงจุ้ยที่คนเขาบอกว่าทำแล้วได้ผล จริง ๆ แล้วได้ผลเพราะวิชาหรือว่าเป็นผลของกรรมครับ ?
      ตอบ :  ก็ทั้ง ๒ อย่างรวมกัน ถ้าหากว่าเป็นผลของกรรมจริง ๆ จำเป็นต้องรับนี่ต่อให้ใช้ฮวงจุ้ยขนาดไหนก็แก้ไม่ได้ แต่ว่าลักษณะฮวงจุ้ยมันเป็นการคล้อยตามธรรมชาติ เราอย่าลืมว่าโลกเรานี้มีพลังงานอยู่ไอ้ที่เขาเรียกว่า “พลังงานแม่เหล็กโลก” มันจะมีทิศทางที่แน่นอนเลยว่าประเภทขั้วบวกขั้วลบอยู่ทิศไหน จะเหนือหรือใต้ ในเมื่อมีทิศทางที่แน่นอนก็จะมีเส้นทางเดินที่แน่นอน
              คราวนี้ตำราจีนเรียก “ฮวงจุ้ย” ถ้าหากตำราของมอญเรียก “ วิชาโลกวิทู” โลกวิทู คือรู้แจ้งในโลก จะรู้หมดนะว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ บริเวณนั้นเป็นอย่างไร ต้องทำอย่างไรจึงจะอยู่ถึงจะอยู่ในเขตนั้นโดยที่ไม่ขัดกัน ลักษณะการที่ไปขัดกับพื้นที่ ขัดกับสถานที่มันจะทำให้ร่างกายเกิดไม่สบายเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาได้ แต่ว่าถ้าหากว่ามันเป็นวาระของกรรมจริง ๆ ต่อให้ทำตามทุกอย่างแล้วมันก็หนีไม่พ้นมันต้องรับไป ถ้าหากว่าไม่ใช่วาระของกรรมการคล้อยตามมันก็อาจจะอยู่สุขอยู่สบาย มีความเจริญรุ่งเรืองตามหลักวิชาเขาจริง ๆ วิชาเขาเป็นจริงแต่ขณะเดียวกันถ้าวาระกรรมที่หนักจริง ๆ เข้ามาวิชาก็ช่วยไม่ได้
      ถาม :  นักร้องนักแสดงที่มีชื่อเสียงโด่งดังในปัจจุบัน ทำให้มีคนชื่นชอบชื่นชมและสามารถทำให้คนจดจำเพลงหรือว่าผลงานได้เป็นอย่างดีและก็เป็นศิลปินอยู่เป็นระยะเวลานาน จริงหรือไม่ที่กล่าวว่าเวลาตายไปแล้วต้องตกนรกหรือถ้าเขาทำบุญบางอย่างจะพอช่วยเขาไม่ให้ลงนรกได้หรือไม่ ?
      ตอบถ้าไม่มีบุญส่วนใดหนุนเสริมเลย ลงอเวจีมหานรกแน่นอน แต่ถ้าหากว่ามีบุญอื่นหนุนเสริมแล้วเกาะบุญนั้นได้ ก็ไปรับผลความดีก่อน เหตุที่เขาต้องลงอเวจีมหานรกเพราะว่าสิ่งที่เขาแสดงออกมัน “ มายาการ” มันทำให้คนไปยึดติด ก็เลยกลายเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้าท่านสอน พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ละ อันนี้กลายเป็นสอนให้ยึดทั้ง ๆ ที่เขาเองเขาก็ไม่เจตนาหรอก แต่ว่าเขารู้ว่าการที่เขาทำอย่างนั้นแล้วคนมันจะกรี๊ด ทำอย่างนั้นแล้วคนมันจะชอบใช่มั้ย ? ถ้าไม่ได้ทำบุญอื่นเอาไว้แล้วจิตใจไม่หนักแน่นพอในบุญนั้นไม่ได้ยึดเอาไว้แน่นอนนี่เสร็จ ตัวอย่างในพระไตรปิฎกก็มี พระตาลปุตตคามิณีเถระไง อันนั้นท่านเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงมาก
              คราวนี้ได้ไปแสดงที่เมืองสาวัตถีได้ยินว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้รู้ เป็นสัพพัญญูรู้ทุกอย่าง ท่านเองท่านก็ต้องการที่จะไปถามพระพุทธเจ้าว่าตามที่พระกูลของท่านยึดถือกันสืบ ๆ มาว่าบุคคลที่สร้างความรื่นเริงบังเทิงใจให้แก่ผู้อื่น หากตายไปแล้วจะได้เป็นสหายของเทวดาชั้วดาวดึงส์ คำว่าเป็นสหาย คือไปเกิดร่วมกัน หมายความว่าจะได้ไปเกิดที่ชั้นดาวดึงส์จริงมั้ย ?
              พระพุทธเจ้าท่านก็ตอบบอกว่า มานะเว ดูก่อนมานพ อย่าให้เราตอบคำถามนี้เลย ท่านก็พยายามตื๊อถามจนวาระที่ ๓ ท่านถึงได้บอกว่า ลงนรกอเวจีมหานรก ท่านนั่งร้องไห้เลยถามว่าจะแก้ยังไง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าต้องบวชแล้วตั้งใจปฎิบัติท่านก็เลยกลายเป็นพระอรหันต์ไป คือถ้าไม่มีบุญอื่นเสริมนี่เสร็จแหง ๆ แต่ถ้าหากว่ามีบุญอื่นแล้วยึดเกาะในบุญนั้นได้ก็ไม่ได้ลงนรกหรอก แต่ว่าตัวกรรมที่ทำก็ไม่ได้หมายความว่าหมดไป มันถึงวาระใดวาระหนึ่งกรรมนั้นมันก็สนองเหมือนกัน เพราะฉะนั้นตะกายไปนิพพานให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นั่นแหละปลอดภัยที่สุด ถามว่าลงนรกจริงมั้ย ? จริงมั่ง ไม่จริงมั่ง (หัวเราะ) ท่านที่ไม่มีบุญเลยก็จริง แต่ถ้าหากว่าท่านที่เกาะบุญแน่นแฟ้นก็ไปตามบุญก่อน

      ถาม :  ถ้าเกิดว่าเราไปเล่นละครแบบว่าของห้างอะไรแบบนี้ ?
      ตอบ :  ก็เล่นไปซิ ถึงเวลาก็มาตั้งหน้าตั้งตา ทาน ศีล ภาวนาของเราต่อไป แล้วเราเล่นเราก็ไม่ได้เจตนาให้เขามายึดมาเกาะอะไรกับเรานั่นเล่นเพราะเสียไม่ได้ไม่ใช่เหรอ ไม่อยากไปเต้นแร้งเต้นกาซักกะหน่อยเขาบังคับ
      ถาม :  การที่มีแม่ชีท่านหนึ่งได้เล่าเรื่องว่า เรื่องพิธีกรรมที่ว่า ได้นำข้าวและภัตตาหารไปถวายแก่พระพุทธเจ้าที่พระนิพพานทำได้จริงหรือครับ ?
      ตอบ :  อันนี้ใครที่ได้มโนมยิทธิทำได้ทุกคน แต่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ฉันจริง ๆ คือลักษณะของความเป็นทิพย์เรานึกจะให้เป็นยังไงก็เป็นยังงั้น นึกให้มีภัตตาหารที่เป็นทิพย์ขึ้นมาก็มีขึ้นมา นึกจะถวายเป็นพุทธบูชาก็ถวายไป ท่านไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้ว เพราะว่ามันเป็นพุทธานุสสติ
              ขณะเดียวกันถ้าหากว่า จิตไปที่นิพพานจริง ๆ มันก็เป็นการตัดกิเลสในตัวอยู่แล้วด้วย บุคคลที่ได้มโนมยิทธิสามารถทำอย่างนี้ได้ทั้งนั้นเพียงแต่ว่าที่ท่านบอกเอาไว้ในลักษณะที่ว่า ถ้าทำอย่างนั้นแล้วจะได้บุญมหาศาล ไม่มีบุญอะไรเปรียบเทียบได้อีกแล้วอะไรอย่างนั้น ถ้าหากว่าในลักษณะอย่างนั้นมันก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะว่าบุญอื่นที่เหนือกว่านั้นยังมีอยู่ อย่างเช่นว่าท่านบอกว่า สัพพะทานังธรรมทานัง ชินาตัง “การให้ธรรมเป็นทานชนะทานทั้งปวง” ลักษณะนั้นมันเป็นโปรโมตอย่างหนึ่ง เจตนาประชาสัมพันธ์เพื่อให้คนเชื่อถือแล้วก็ขณะเดียวกันก็เพื่อตัวเอง ก็ดูเจตนาเขาด้วย แต่ว่าถ้าถามว่าลักษณะอย่างนั้นทำได้มั้ย ? คนที่ได้มโนมยิทธิทำได้ทุกคน
      ถาม :  การที่มีคนกล่าวว่าการประพรมน้ำพระพุทธมนต์เป็นเรื่องของไสยศาสตร์วิชา เป็นความเชื่อที่ไม่มีเหตุผล ถือเป็นการปรามาสคุณของพระพุทธเจ้าหรือไม่ ถ้าตกนรกจะลงไปอเวจีมหานรกหรือไม่ ?
      ตอบ :  อันนี้ไม่ต้องห่วง จริง ๆ แล้วที่โบราณใช้คำว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” นั่นชัดเลย เพราะว่าบางสิ่งบางอย่างโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณอนันต์แล้วก็โทษมหันต์ แตะผิดข้างมันก็เหมือนกับมีด ๒ คม ไปแตะด้านคมเข้ามันก็หวังว่ามือขาด จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าของเราไม่เชื่อแล้วเงียบ ๆ ไว้มันยังปลอดภัยกว่า เพราะเรา ๆ ก็รู้อยู่จริง ๆ แล้วที่เขาพูดเขาหมายเอาว่าต้องการตัวธรรมะที่บริสุทธิ์ไปเลย แล้วจำไว้เลยว่า ธรรมะบริสุทธิ์มันเหมือนกระดูกทั้งแท่ง แทะกันไม่เข้าหรอกมันต้องใส่เนื้อใส่น้ำมั่ง ตัวคนพูดเองมันเองมันก็ไม่ได้ต้องการอย่างนั้นหรอก
              เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็คือดีแต่ติคนอื่น ปราศจากการเตือนตัวเอง กล่าวโทษโจทย์ตัวเองไม่เป็นรู้จักแต่ว่าคนอื่นเขา รังแต่จะสร้างโทษให้แก่ตนเองมากขึ้น ถ้าสิ่งเหล่านั้นไม่ดีจริง พระพุทธเจ้าท่านคงไม่สั่งให้พระอานนท์ทำ ในรัตนสูตรบทนั้นเขาเอาไว้ทำน้ำมนต์โดยเฉพาะที่ขึ้น “ยานีธะภูตานิ สมาคะตานิ” เพราะว่า ตอนนั้นเมืองไพสาลีเกิดโรคระบาดขึ้นก็ทูลเชิญพระพุทธเจ้าไป พระพุทธเจ้าให้พระอานนท์ไปทำน้ำมนต์ไปพรม พวกอมนุษย์ต่าง ๆ หนีกันชนิดที่ว่ากำแพงเมืองพังไปแถบ ถ้าไม่มีผลจริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านไม่สั่งให้ทำ ทีนี้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นศึกษาไม่ครบยังไม่พอใจคอยังคับแคบอีกต่างหาก เจออะไรที่ไม่ตรงกับกิเลสตัวเองว่าไว้ก่อน ใช้คำพูดหนักไปมั้ย ?
      ถาม :  เมืองโบราณหรือสถานที่ต่าง ๆ เมื่อเวลาผ่านไประยะเวลานาน ๆ มีพื้นดินปกคลุม
      ตอบ :  ทำไมล่ะ ? ก็เป็นความปกติของเขา อย่าลืมว่าพวกบรรดาต้นไม้ใบหญ้าก็ดี ซากพืช ซากสัตว์เหล่านี้มันทับถมกันไปมันก็กลับกลายเป็นดินไปเรื่อย ๆ มันก็หนาขึ้นเรื่อย ๆ ที่ท่านบอกว่า ๑ พุทธันดร แผ่นดินจะหนาขึ้นโยชน์หนึ่ง ช่วงระยะพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งถึงอีกองค์หนึ่งน่ะ แผ่นดินจะหนาขึ้น ๑๖ กิโลเมตร มันนานขนาดนั้น
      ถาม :  งั้นมันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เหรอคะ ?
      ตอบ :  มันก็ใหญ่ขึ้นมา แต่ขณะเดียวกันมันเองมันก็สึกหรอทรุดโทรมไปเหมือนกัน อย่าลืมว่าตอนไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลกมันก็บรรลัยไปพักหนึ่ง แล้วเดี๋ยวมันก็ค่อย ๆ กินอ้วนขึ้นมาใหม่ ยังดีนะ มันอ้วนได้ผอมได้
      ถาม :  แล้วโลกมันจะไม่เป็นอย่างที่เขาบอกเหรอคะ ที่ดาวเก่า ๆ อยู่ไปกลายเป็นดาวแคระขาว ?
      ตอบ :  นั่นเขาว่า เราต้องเอาตามพระพุทธเจ้าว่า ที่เขาว่ามันเป็นแค่ทฤษฏี มันเป็นการคิดว่า คาดว่า ควรจะเป็นอย่างนั้น เขาเองเขาก็ไม่กล้ายืนยันว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นใช่มั้ย ? มันเป็นทฤษฏีเฉย ๆ ทฤษฏีบิ๊กแบง ก็ดีอะไรเหล่านั้น อ่านเอามันก็พออย่าเพิ่งเชื่อมัน ถ้าจะเชื่อ เชื่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่ามันไม่ต้องสลายมันอยู่แน่ ๆ แต่ขณะเดียวกันท่านก็ไม่ยืนยันว่ามันไม่ต้องสลายไปเลย มันก็สลายตัวของมันอยู่ตลอดเวลา แต่มันสลายไม่หมดถึงเวลามันก็ก่อตัวขึ้นใหม่ สภาพมันอนิจจัง คือไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
      ถาม :  การตั้งอารมณ์มโนมยิทธิอยู่ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าเกิดบรรลุธรรมเป็นไปได้หรือไม่ว่าเวลาบรรลุธรรมแล้วจะได้อภิญญาเลย ?
      ตอบ :  ของเก่ามีอะไรจะได้ตามเดิม ถ้าของเก่าคุณมีวิชาสามมาคุณก็จะได้อย่างนั้น ถ้าได้อภิญญามาก็ได้อภิญญาหกไป ถ้าหากว่าเคยมีพื้นฐานของสมาบัติ ๘ มาก็จะได้ปฎิสัมภิทาญาณไป ถ้าหากว่าบรรลุปุ๊บของเก่ามันตามมาหมด เหตุที่ต้องตามมาตอนนั้นเพราะว่าส่วนใหญ่เหล่านี้จะเป็นความสามารถพิเศษที่มันเกินมนุษย์ทั่ว ๆ ไป จำเป็นต้องให้เรายอมรับกฏของกรรมจริง ๆ
              ถ้าเรายังไม่ยอมรับกฏของกรรมนี่ความสามารถพิเศษเหล่านี้มันช่วยคนได้มาก เราจะไปฝืนกฎของกรรมช่วยเขา ในเมื่อถ้าเราไปฝืนกฏของกรรมมันก็วุ่นวาย ก็เลยต้องบังคับว่าต้องยอมรับกฏของกรรมแล้วถึงจะได้ความสามารถนี้ไป
      ถาม :  พระเจ้าพิมพิสารมีภรรยาชื่อพระนางเทวีได้ตั้งครรภ์เมื่อแพ้ท้องพระเจ้าพิมพ์สารถามว่าอยากกินอะไร แต่นางไม่ยอมบอกจนร่างกายผ่ายผอม สุดท้ายจึงยอมบอกว่าอยากกินโลหิตของพระเจ้าพิมพิสาร อยากจะถามว่าทำไมแพ้ท้องจึงอยากกินโลหิตของพระเจ้าพิมพิสาร เพราะอะไร ?
      ตอบ :  มันกินพิลึกพิลั่นมากกว่านั้นอีก ลักษณะอาการแพ้ท้องมันเป็นปกติของเขา แต่ละคนแพ้แล้วมันอยากของไม่เหมือนกัน ในเมื่อเขาอยากกินอย่างนั้นหาให้เขากินเป็นอันหายอยากไป ถ้าถามว่าทำไม ต้องไปถามคนแพ้ว่าทำไมถึงอยากกินอย่างนั้น แต่เขาให้สังเกตว่าถ้าหากว่าอยากกินดินนะบางคนนี่ฟาดดินสอพองหมดเป็นถ้วย ๆ เลยเขาบอกว่าถ้าหากว่าอยากกินดินส่วนใหญ่เป็นพรหมมาเกิด ถ้าหากว่าอยากกินพวกผลไม้ส่วนใหญ่เป็นเทวดามาเกิด ถ้าหากอยากกินของสดของคาวหรือพวกเลือด ส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์นรกมาเกิดสะใจมั้ย ? (หัวเราะ) อันนี้ร้ายมากนะ มันจะมากินเลือดพ่อเลย (หัวเราะ)
      ถาม :  ถามว่าจริง ๆ แล้วเด็กที่เกิดนี่เป็น....?
      ตอบ :  หมายความว่าไง
      ถาม :  เป็น เป็นใครครับ ?
      ตอบ :  พระเจ้าอชาติศัตรูฆ่าพ่อเลยล่ะ (หัวเราะ) ตอนกินเลือดนั่นยังดี (หัวเราะ) โตขึ้นมันฆ่าพ่อเลย (หัวเราะ)