​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๔๑

 
เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์เดือนสิงหาคม ๒๕๕๒

      ถาม :  คุณแม่เป็นเจ้าหญิงนิทรามา ๒-๓ ปีแล้ว มีทางแก้ไขไหมครับ ?
      ตอบ :  บางก็ต้องยอมปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ โอากสแก้ไขไม่มี ถ้าหากเราหยุด ดีไม่ดีท่านจะไปเลย จะกลายเป็นว่าเราเสี่ยงต่ออนันตริยกรรม ถ้าไม่ทำ...ก็ต้องไม่ทำแต่แรกเลย แต่ถ้าทำแล้วต้องปล่อยเป็นหน้าที่หมอ หมอเขาจะวินิจฉัยอย่างไรก็เรื่องของหมอ เราอย่าไปออกคำสั่งก็แล้วกัน เดี๋ยวจะเฮงโดยไม่รู้ตัว อนันตริยกรรมนี่ปิดมรรคปิดผลไปเลย
      ถาม :  แล้วจิตของแม่เขาไปอยู่ไหน ?
      ตอบ :  ในลักษณะอย่างนี้ บางท่านก็ไปนานแล้ว บางท่านก็ยังอยู่ แต่อยู่ในลักษณะขาดสติ ไม่สามารถรับรู้อะไรได้ ฉะนั้น...ถ้าไม่ใช่คนรู้จริงแล้ว ไปแตะต้องตรงนี้ เสี่ยงต่ออนันตริยกรรมมาก
*************************

      ถาม :  ภาวนาคาถาเงินล้านวันละ ๑,๐๐๐ จบมาสองเดือนแล้วค่ะ เมื่อไหร่จะแสดงผล ?
      ตอบถ้าสงสัยอย่างนี้อยู่เกิดผลยาก เราต้องตัดตรงส่วนนั้นไปเลย คิดว่าเรามีหน้าที่ทำ ส่วนผลจะเกิดหรือไม่เกิดเรื่องของเขา
      ถาม :  รู้สึกว่าเกิดแล้วค่ะ เพราะว่ายอดขายเพิ่มขึ้นเยอะ มาขอความมั่นใจเพิ่มขึ้นเฉย ๆ ค่ะ ?
      ตอบ :  เดี๋ยวโบ๊ะให้เลย...!
*************************

              วัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุงในตลาดพระที่ราคายังไม่แพง เพราะเล่นกันอยู่ในหมู่ของลูกศิษย์ ออกนอกจากหมู่ลูกศิษย์ไปแล้วเขาไม่เล่นกัน เพราะสมัยนั้นหลวงพ่อท่านไม่คบกับพวกนี้เลย
*************************

              เท่าที่สังเกตมาตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียนจนถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่คนที่เรียนหนังสือเก่ง หาที่สม่ำเสมอยาก ไประยะหนึ่งมักจะตก ล่าสุดบรรดาเพื่อนที่ถือว่าเป็นคู่แข่ง คือ เรียนเก่งเหมือนกัน มีอยู่ด้วยกัน ๔-๕ รูป มาถึงเทอมท้าย ๆ นี่ตกหมดเลย ไม่รู้เกิดความประมาทหรืออย่างไร ไม่เช่นนั้นบี้ติดกันชนิดที่ว่า เราได้ a เขาก็ a เรา b เขาก็ b ก็เลยนึกถึงที่ หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ท่านบอกว่า การเรียนบาลีอย่าทิ้งกรรมฐาน ทิ้งแล้วเราจะท้อ จะไปไม่รอด อาตมาเลยมาสรุปลงตรงที่วา เรียนอะไรก็ตามอย่าทิ้งกรรมฐานเป็นอันขาด
*************************

      ถาม :  วันที่กลับจากวัด ได้ยินคนในรถเอ่ยคำว่า อรูปฌาน เท่านั้นแหละเหมือนตัวเองวืดไปเลยค่ะ แล้วได้ยินคนในรถเตือนว่า ไฟแดง ๆ แต่ตอนได้ยินเบามากเลยเหมือนออกจากขอบโลก ตาเห็นไฟแดงนะคะ แต่บังคับร่างกายไม่ได้ เลยเหยียบเบรกไม่ทัน ดิฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ?
      ตอบ :  สมาธิลึกเกิน ต่อไปพยายามหัดอย่าให้ลึกขนาดนั้น ซ้อมเข้าออกให้ชำนาญ
      ถาม :  แล้วดิฉันจะต้องแก้อย่างไรคะ ?
      ตอบ :  พยายามทำสมาธิในลักษณะใช้งานให้มากขึ้น อย่างเช่นเดินจงกรมภาวนา เพื่อให้เคยชินกับการทรงสมาธิด้วยและทำงานด้วยในเวลาเดียวกัน ไม่อย่างนั้น ถ้าเผลอเข้าลึกเกินไป แล้วจะบังคับร่างกายไม่ได้ ก็จะเป็นอย่างนั้น ยังดีของอาตมาไม่เจอในลักษณะบังคับรถ แต่เจอในเวลาอื่น
      ถาม :  ไม่รู้ตัวค่ะ ?
      ตอบ :  พอสมาธิทรงตัว พรึ่บเดียวก็ไปเลย พอไปเต็มที่นี่เราแย่เลย ตอนนั้นถ้ารถชน เราไม่เป็นไรหรอก เพราะตอนนั้นสมาธิคุ้มเราได้ แต่คนในรถจะน่วม
*************************

      ถาม :  เวลานอนภาวนาคาถาเงินล้าน ดิฉันใช้เครื่องกดนับ ภาวนาอยู่สองชั่วโมงกดได้แค่ ๕๐ ครั้งเองค่ะ เพราะไม่มีความรู้สึกที่นิ้ว แต่เมื่อเราต้องกด กลายเป็นว่าเราต้องส่งกำลังใจไปอย่างมากในการที่จะไปบังคับนิ้ว ?
      ตอบ :  เพราะสมาธิมันลึกไป เมื่อสมาธิลึกไปจิตกับประสาทก็แยกกันในตอนนั้นความแหลมคมมีเยอะ นับในใจก็ได้ เมื่อคลายสมาธิออกมา แล้วค่อยมากดไล่ตามที่เรานับได้
      ถาม :  ดิฉันอ่านหนังสือกระโถนฯ ที่หลวงพ่อบอกว่า การใช้มโนฯ เป็นการใช้งานอยู่แล้ว แต่ว่าการหัดทรงฌานก็ต้องทำควบคู่กันไปด้วยใช่หรือไม่คะ ?
      ตอบ :  ต้องซ้อมจนชิน
      ถาม :  นึกว่าสมาธิอ่อนไปค่ะ ?
      ตอบ :  อันนี้ไม่ได้อ่อน แต่เยอะเกิน ไม่พอใช้งานแต่เยอะเกินสภาพปกติกำลังไม่พอใช้งาน ก็คือ เราจะเอากำลังไปใช้ในการตัดกิเลสบางส่วนก็ยังไม่พอ
*************************

      ถาม :  นั่งรถไปกับพี่คนหนึ่ง แล้วเขาทำน้ำหกใส่เกียร์ ดิฉันก็โทสะขึ้นเห็นเหมือนเป็นควันขึ้นมา ?
      ตอบ :  ก็อย่าให้เป็นเปลว
      ถาม :  เป็นควันแล้วก็หายไปในอากาศค่ะ ?
      ตอบ :  ถ้าเป็นเปลว คราวนี้จะไหม้ท่วมฟ้า ลักษณะเป็นอย่างนั้นแหละ เขาถึงได้บอกว่า โทสัคคิ ไฟคือโทสะ ราคัคคิ ไฟคือราคะ
*************************

      ถาม :  เวลารัก โลภ โกรธ หลงเกิดขึ้นมา เราจับได้ แต่ว่าเป็นกิเลสหยาบกว่าตัวยินดียินร้ายหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วตัวยินดียินร้าย เป็นสาเหตุที่ลึกเข้าไปกว่านั้น ถ้าหากเราไม่ยินดียินร้าย รัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่เกิด ฉะนั้น...ถ้าตอบก็คือบางกว่า แต่ยังมีที่บางกว่านั้นอีก สาวไป ๆ มองอะไรไม่เห็นเลย แต่รู้ว่านี่คือต้นเหตุ ละเอียดขึ้นไปเรื่อย ๆ
      ถาม :  เหมือนเป็นควันเบา ๆ หรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  เปรียบเทียบกับคำพูดมนุษย์ไม่ได้หรอก เอาเป็นว่ารู้ว่าละเอียดแล้วก็พอ
      ถาม :  ไม่รู้จะวางกำลังใจอย่างไร ?
      ตอบ :  บอกแล้วว่าทนเอา พิจารณาไปเลยว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ สภาพที่ต้องมาทนทั้งหลายเหล่านี้คือความทุกข์ ในเมื่อเป็นความทุกข์อย่างนี้แล้วเรายังต้องการอีกไหม ?
      ถาม :  พิจารณาอยู่แต่ก็ทุกข์ค่ะ แล้วเราอุเบกขาได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้าหากทรงสังขารุเปกขาญาณ จะเป็นตอไม้ไปเอง กระทบอะไรก็เฉย
      ถาม :  แล้วอย่างนี้จะปรับสมาธิอย่างไรให้แก้ได้ ?
      ตอบ :  ไม่ยินดี พยายามทำอย่างไรไม่ให้ยินดียินร้ายและปรุงแต่งตาม คือในแง่ที่ว่าสภาพจิตตอนนั้นอย่าให้อยู่ในร่างกายได้ยิ่งดี ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่คนอื่นไม่มี เพราะว่าเราจะได้ฝึกในการแยกกาย แยกจิต เราอาจจะไปสนใจอย่างอื่นก็ได้ ไม่ต้องอยู่ตรงนั้น หรือว่าเราจะมาพิจารณาตรงนั้นก็ได้ แต่ว่าใหม่ ๆ ก็คงทำยากหน่อย ประสาทร่างกายก็ทำงานอัตโนมัติเหมือนกัน
      ถาม :  ถ้าวิญญาณเกิดแล้วเราไม่ปรุง ก็จะอยู่นิ่งใช่ไหม ? อย่างนี้ถ้าเราปล่อย ?
      ตอบ :  ปล่อยได้ ไม่รู้ไม่ชี้ ถือว่าเป็นโอกาสอันดีได้ฝึกในสิ่งที่คนอื่นฝึกได้ยาก
      ถาม :  ไม่ต้องฝึกก็ได้ ?
      ตอบ :  อ้าว...ไม่ฝึกแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสู้ได้หรือเปล่า ?
*************************

      ถาม :  ช่วงนี้จะมีอารมณ์อย่างหนึ่งคือ มองเข้าไปในจิตตัวเอง เห็นเป็นอารมณ์ว่าง ลงตรงนี้ตลอด และก็พอใจที่จะจับอารมณ์ตรงนี้ด้วย ไม่รู้ว่าจะทำอย่างนี้ต่อไปดีหรือเปล่า ?
      ตอบ :  พอเราไปถึงตรงนั้นแล้วให้ตั้งใจว่า เราตายเมื่อไรเราจะไปพระนิพพาน บวกไปอีกนิด เพราะในส่วนสมาธิไม่ว่าจะอยู่ระดับไหนก็ตาม จะมีกำลังแค่ไม่เกินพรหมเท่านั้น
      ถาม :  อารมณ์ว่างในจิต เป็นการดูจิต หรือเป็นความว่างกันแน่ ?
      ตอบ :  เป็นสมาธิ แต่ขณะเดียวกันก็มีปัญญาในสมาธิ ในเมื่อมีปัญญาในสมาธิ ก็ย่อมมีความรู้รอบอยู่ เพียงแต่ว่าจำกัด ต้องคิดพิจารณาช่วยเขาด้วย
      ถาม :  ปกติก็ทำในส่วนที่เป็นธาตุ ๔ ตลอด แต่ก็ต้องย้ำธาตุ ๔ ของเราไปด้วยตลอด ?
      ตอบ :  อย่าลืมปิดท้ายด้วยเพชรยอดมงกุฎ คืออารมณ์พระนิพพาน
*************************

              มีเด็กบางคนมาคุยกับอาตมา แล้วเขาก็ชอบใจเหลือเกิน แม่ก็ถามว่าหลวงพ่อคุยอะไรให้ฟัง อาตมาก็บอกแม่เด็กไปว่า อย่าไปถามลูกเลย ลูกบอกไม่ได้หรอก เพระาส่ิงที่คุยกับเขา เขาเข้าใจ แต่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ ในเมื่อเข้าใจก็ไม่ได้อยู่ข้างนอก เอาออกมาโชว์คนอื่นยาก
              ถ้าไม่ได้มีวิสัยที่เกิดมาเพื่อนำไปแสดงต่อคนอื่นเขา ก็จะอยู่ในใจเท่านั้น รับรู้ไว้เต็ม ๆ คำพูดหรือตัวหนังสือไม่สามารถที่จะอธิบายได้
*************************

      ถาม :  เป็นไปได้ไหมที่ละสักกายทิฏฐิได้ แต่ว่ายังตัดอวิชชาไม่ได้ ?
      ตอบ :  ถ้าขาด จะไม่มีความยินดีในร่างกายเลย ในเมื่อไม่มีความยินดีความอยากได้ อยากมีในร่างกายก็ไม่มี แล้วจะเอาอวิชชาที่ไหน ยกเว้นเสียว่าขาดในความเข้าใจของเรา แต่ไม่ใช่ขาดจริง ๆ
      ถาม :  ถ้าจิตกับกายแยกกันชัดเจนมาก ๆ แล้วยังเหลืออะไรที่จะต้องตัด ?
      ตอบ :  โห...บานเบิกเลย จิตกับกายแยกออกจากกัน เพิ่งจะป. ๑
      ถาม :  แล้วต้องทำอะไรต่อ ?
      ตอบ :  ก็พิจารณาให้เห็นจริงสิ ว่าสภาพจิตของเรากับกายของเราเป็นอย่างเดียวกันหรือเปล่า หรือว่ามีอะไรที่เป็นเราเป็นของเราบ้างไหม หรือสักแต่เป็นรูปเป็นธาตุที่อาศัยอยู่เพียงชั่วคราว ตามบุญตามกรรมที่เราสร้างมา และท้ายสุดเรายังมีความยินดีอยากมีอยากได้หรือเปล่า ถ้าหากจิตยอมรับเห็นชัดเจน ก็ปลดได้เลย แต่ถ้าจิตไม่ยอมรับ ต่อให้กายกับจิตแยกออกจากกัน ท้ายสุดก็กลับเป็นเหมือนเดิม มาปรุงแต่งกันใหม่
*************************

              “นักปฏิบัติพอทำถึงระดับหนึ่งจริง ๆ เขาจะพูดน้อยโดยอัตโนมัติ เพราะจะต้องรักษาอารมณ์ตัวเองไว้ แต่ว่าการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วไปยังต้องมีอยู่ เพียงแต่ว่าจะมีอยู่ในลักษณะที่ประกอบไปด้วยสติ เพื่อไม่ให้หลุดจากอารมณ์เฉพาะหน้าของตน”
*************************

              พยายามสู้กิเลสให้ได้ มีอยู่สองวิธี วิธีแรกก็ตั้งหน้าตั้งตาประจัญบาน วิธีที่สองก็นอนเฉย ๆ ไม่สู้ ไม่หนี ไม่มี ไม่จ่าย บางอย่างกำลังใจถ้าดิ้นรนจนถึงที่สุดแล้ว จะรู้ว่าดิ้นไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะวาระยังไม่ถึง ศีล สมาธิ ปัญญาที่เราสั่งสมยังไม่เพียงพอ เมื่อหยุดดิ้นทีนี้จะสบายขึ้นเยอะ แต่ว่าหยุดแล้วอย่าประมาท มีโอกาสก็สร้างต่อ
*************************

      ถาม :  ขณะที่อ่านหนังสือก็รู้สึกว่าเรามีการภาวนาไปด้วย ไม่แน่ใจว่าจะเป็นการฟุ้งซ่านหรือเปล่า เป็นการปรามาสพระรัตนตรัยหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ถ้าสามารถทำพร้อมกันได้เป็นสิ่งที่สมควรทำ เพราะว่าเวลาเราทำสิ่งอื่น ๆ เราจะได้รักษาอารมณ์ใจของเราได้
      ถาม :  สวดมนต์ภาวนา แล้วไปอ่านการ์ตูนก็ยังจับคำภาวนาไปด้วย เราทำอะไรไม่ถูกหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ไม่ต้องไปกังวล เราควรจะทำเพื่อเวลาที่เราทำกิริยาอาการอย่างอื่น ที่นอกเหนือจากการกำหนดภาวนา เราจะได้รักษากำลังใจได้อีกทางต้องทำให้ได้
*************************

              ก่อนงานพุทธาภิเษกพระขรรค์โสฬส อาตมาโทรไปบอกแม่ชีชื่นว่าให้สั่งน้ำมาเข้าพิธีด้วย จะได้ทำเป็นน้ำมนต์ แม่ชีก็บอกว่าตอนงานเป่ายันต์ก็มีเป็นคันรถแล้ว จะมีใครที่ไหนเอาน้ำมนต์อีก สรุปแล้วหลังงานโสฬสแม่ชีไม่ไ้ด้สักขวด รถที่เขาเอาน้ำมาส่งเรานั้น มากกว่าที่เขาส่งให้ทั้งอำเภอเสียอีก
*************************

              สมัยก่อนทำบุญกับหลวงพ่อวัดท่าซุงครั้งหนึ่งก็ได้สมเด็จคำข้าว สมเด็จหางหมาก ทีละร้อยองค์ สองร้อยงอค์ ห้าร้อยองค์ เพื่อนพระเขาว่าบ้า เก็บไปทำไมเยอะแยะ ?
              ตอนนั้นองค์ละสิบบาท ทำบุญ ๑๐๐ บาท หลวงพ่อให้สิบองค์ พอสิ้นหลวงพ่อ เขาขึ้นรามคาพรวด องค์ละร้อยบาท สองร้อยบาท สี่ร้อยบาท พวกที่ว่าอาตมาบ้า มาเอาไปองค์ละสิบบาท กำไรสักบาทยังไม่ให้เลย ตอนนั้นก็มาว่า แต่พอราคาแพงก็มาขนกันใหญ่
*************************

      ถาม :  แสงสว่างเมื่อก่อนเกิดเป็นตาข่ายเหมือนตาข่ายแมงมุม สักพักก็เกิดเป็นประกายที่ตาข่ายด้วย แล้วตอนนี้ตาข่ายเริ่มหมุน เราควรจะกำหนดจิตอย่างไร หรือทำอย่างไรคะ ?
      ตอบถ้ามีลมหายใจให้ดูลมหายใจ ถ้ามีคำภาวนาให้อยู่ที่คำภาวนา ไม่ต้องไปใส่ใจตรงนั้น แต่ก็แปลก พอเราไม่ใส่ใจก็ยิ่งชัดเจน เขายั่วให้เราสนใจผิดทิศ
      ถาม :  แล้วสามารถบริกรรมได้หรือคะ ?
      ตอบถ้าไม่บริกรรมก็ให้รับรู้ไว้เฉย ๆ ถ้าไม่มีลมหายใจก็รับรู้ไว้เฉย กำหนดใจให้รู้ว่าอาการเป็นอย่างนั้น อยากจะหมุนก็ให้หมุนก็แค่รู้ว่าหมุน
*************************

      ถาม :  ช่วงนี้รู้สึกว่าจะมีวิบากเข้ามา มีคำแนะนำหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  เร่งทาน ศีล ภาวนาให้มากไว้ โดยเฉพาะตัวภาวนา
      ถาม :  ตัวภาวนานี่คือสวดมนต์หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  นั่งสมาธิ ถ้าทรงฌานได้เมื่อไร วิบากก็ไปคนละทิศเลย
*************************

              “ตะกรุดมหาสะท้อนที่รับตั้งแต่งวดนี้ขึ้นไป ได้เปรียบตรงที่วาอาตมาเอาไปเข้าพิธีโสฬสมาด้วย ที่จริงแผ่นเงินมีอยู่แล้ว แต่ไม่มีเวลาเขียน ไม่มีเวลาม้วน ใครที่เห็นเมื่อเช้าก็พอจะรู้ได้ว่ากว่าจะม้วนได้แต่ละอันทำยากแค่ไหน”
*************************

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๒


              ปัจจุบันในเรื่องการศึกษา เท่าที่มองเห็นส่วนใหญ่สักแต่ว่าเรียนให้ผ่านไปเฉย ๆ ไม่ได้คิดจะเอาความรู้อะไรเลยจริง ๆ ในเมื่อสักแต่เรียนให้ผ่านไปเฉย ๆ พวกวิชาการต่าง ๆ ก็จะอ่อนลงไปทุกวัน ถ้าหากจะเปรียบเทียบสถิติในเรื่องการศึกษา เราสู้ใครไม่ได้หรอก พวกที่ได้เหรียญทองวิชาการโอลิมปิกมา ถือว่าเป็นอัจฉริยภาพเฉพาะตัวของเขา ภาพรวมนี่ห่างไกลประเทศอื่นมากเหลือเกิน
              ตั้งแต่ใช้ระบบสอบซ่อมขึ้นมา เด็กไม่ให้ความสนใจในการสอบเลย เพราะว่าตกก็ซ่อมได้ เขาก็เลยไปสนใจเรื่องอื่นแทน ในเมื่อไม่ให้ความสนใจ ไม่ให้ความสำคัญ แล้วจะเอาความสามารถที่แท้จริงมาจากไหน
*************************

              สมัยอาตมาเรียน เวลาที่จะเรียนจะทุ่มให้สุดตัว ชนิดที่ว่าถ้าอาจารย์ความรู้ไม่แน่จริง โดนซักขึ้นมาแทบจะหอบผ้าหนีไปเลย และด้วยความเคยชิน งานทุกอย่างทำออกมาแล้วต้องดี ยิ่งอาจารย์ท่านใดมีการตำหนิแล้วให้แก้ไข จะชอบมาก เพราะจะได้รู้ว่าตนมีข้อบกพร่องตรงไหน
              ตอนเรียนปริญญาตรีเทอมแรก พวกรุ่นน้องเดินถือแฟล็ชไดร์ฟมาเป็นแถว มาขอก๊อปปี้ตัวอย่างรายงาน (อาจารย์สั่งให้ทำ) รายงานที่ทำไปยังคิดว่ายังไม่ดีด้วยซ้ำ แต่กลายเป็นว่าดีที่สุดจนอาจารย์ต้องให้เขามาลอกแบบ
              เมื่อย้อนกลับไปอ่านก็เห็นข้อบกพร่องในรายงานเยอะแยะ แต่กลายเป็นดีที่สุดให้เขามาลอกแบบ เพราะตอนที่เรียนไม่ว่าอยู่ในระดับใดก็ตาม มุมมองเราจะไม่กว้างพอ ในเมื่อมุมมองไม่กว้างพอ ความคิดไม่เป็นระบบพอ งานถึงจะออกมาดีแค่ไหน ก็ดีแค่ระดับนั้น พอเราก้าวพ้นแล้วมาตรวจดู ก็จะมาคิดว่าก่อนหน้านั้นเราทำงานห่วย ๆ แบบนั้นไปได้อย่างไร
              ถ้าถามว่าการเรียนที่ผ่านมามีประโยชน์หรือเปล่า ...? มีประโยชน์มาก แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นประโยชน์ทางโลก แต่ถ้าจะเอาประโยชน์จากการปฏิบัติ เป็นเฉพาะตัวของใครของมัน ก็คือ ใครสามารถรักษาอารมณ์ได้ขณะที่เรียน ก็เท่ากับว่ากำลังปฏิบัติในตัวอยู่แล้ว
              จากที่เรียนมาด้วยกันสี่ปี เพื่อนจะเห็นข้อต่างไปเรื่อย ๆ เพราะอาตมาเสมอต้นเสมอปลาย แต่ของเขานี่ถอยไปเรื่อย กลายเป็นว่าต่อให้ไม่มีอะไรก้าวหน้าเลยก็ตาม ระยะทางจะทิ้งห่างไปเรื่อย เพราะเพื่อนเขาถอยหลัง ฉะนั้น...การเรียนนี่ประโยชน์ทางธรรมมีน้อย ยกเว้นว่าสามารถรักษากำลังใจตัวเองเอาไว้ได้
*************************

      ถาม :  เรื่องการสึก จะสึกตามฤกษ์สะดวกได้ไหม ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้ว ถ้าบวชไม่ต้องมีฤกษ์ เพราะจากที่ร้อนมาสู่ที่เย็นยิ่งเร็วเท่าไรก็ดีเท่านั้น แต่สึกควรจะต้องมี เพราะว่าการสึก คือการจากที่เย็นไปสู่ที่ร้อน ควรที่จะดูจังหวะให้ดีสักหน่อย
*************************

      ถาม :  กิจการงานที่ทำไม่ดีเลย มีปัญหาอุปสรรคเยอะมาก ?
      ตอบ :  ท่องคาถาเงินล้านเยอะ ๆ คาถาเงินล้านจะมีคาถาปัดอุปสรรคด้วย ช่วยให้สำเร็จด้วย และเกี่ยวข้องกับเรื่องลาภผลโดยตรง ท่องให้ได้วันละ ๑๐๘ จบ หรือมากกว่านั้นก็ได้ แต่ต้องสม่ำเสมอทุกวัน อย่างเช่นถ้าเราทำ ๑๐๘ จบ ก็ต้อง ๑๐๘ จบทุกวัน ถ้าทำสักสองเดือนติดกันแล้วทุกอย่างจะคล่องตัว แต่ว่าต้องท่องแบบคุณภาพนะ ไม่ใช่เร่งให้จบ ทำเป็นกรรมฐานไป เช้าสัก ๓๖ จบ กลางวัน ๓๖ จบ เย็น ๓๖ จบ จะได้ไม่หนักเกินไป
      ถาม :  แล้วที่อยู่ที่เดิม ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่ามีความคล่องตัว อยู่ที่ไหนเราก็อยู่ได้
*************************

      ถาม :  สอนหนังสือเด็กแล้วเด็กไม่สนใจเรียน ?
      ตอบ :  เข้าใจคำว่าสอนกระดานดำไหม ? ว่าของเราไปเรื่อยตั้งแต่ต้นจนจบ เขาจะคุย จะเล่นอะไรเรื่องของเขา ถึงเวลาข้อสอบออกมาแล้ว เขาจะรู้เองว่าต้องเจออะไรบ้าง
      ถาม :  คือทางโรงเรียนให้เราช่วยเหลือด้วย ?
      ตอบ :  ช่วย...แต่ช่วยด้วยการซ่อมสัก ๔ รอบ แล้วเด็กจะจำเราไปจนวันตาย สอนเหมือนกับว่าไม่มีพวกเขาอยู่ด้วย ให้ทำแบบนั้น
      ถาม :  แต่คนที่ตั้งใจเรียนเขาก็ตั้งใจค่ะ ?
      ตอบ :  ใช่...คนที่เขาสนใจเขาก็จะได้ ส่วนคนที่ไม่สนใจ ต่อไปก็เกิดโทษแก่ตัวเขาเอง ไม่ใช่เรา
      ถาม :  แต่คนที่ไม่สนใจ เขาก็จะไม่สนใจเลย ?
      ตอบ :  เขาจะทำอะไรเรื่องของเขา คะแนนออกมาแล้วเขาจะได้รับบทเรียนเอง
      ถาม :  ถ้าบังคับ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องบังคับ เขาจะทำอย่างไรก็เรื่องของเขา ก็บอกแล้วว่าเราสอนกระดานดำของเราไป แต่ถ้าเขาสอบตก ก็ให้เขาซ่อมไปเรื่อย ติดร. ไปเรื่อย อย่างน้อยให้ซ่อมสัก ๔ ครั้ง แล้วค่อยปล่อยผ่าน แล้วจะเข็ดไปเอง
      ถาม :  แล้วอย่างนี้ทางโรงเรียนเขารู้ ก็จะมองว่าเราสอนไม่มีประสิทธิภาพ ?
      ตอบ :  เราสอนมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าเขาไม่ต้องการคนอย่างเรา เราก็ไปหาที่อื่นต่อ
      ถาม :  ใจหนูอยากจะข่วยพวกเขาค่ะ อย่างคนที่เขาตั้งใจ ?
      ตอบ :  ก็ถ้าเราสอนของเราไปอย่างเต็มที่ คนดีก็จะได้ของเขาไปเอง ไม่ต้องไปกังวลกับเขา ทำแค่ที่ทำได้ ไม่ใช่ว่าไปแบกโลกทั้งโลก ประเภทป้อนอาหารถึงปากแล้วบ้วนทิ้ง แถมยังพ่นใส่หน้าเราด้วย แล้วยังจะไปป้อนอีกหรือ ? ก็ต้องเอาคนที่เขากินสิ พูดง่าย ๆ ว่าทั้งห้องถ้ามีคนสนใจเรียนเพียงแค่ ๑ คน เราก็พอใจแล้ว
      ถาม :  แต่อาจารย์ที่นั่นเขาบอกว่าอย่าไปซีเรียสกับเด็กนัก ก็คือ...?
      ตอบ :  ก็ใช่...ถึงได้บอกว่าไม่ต้องซีเรียส
      ถาม :  เขาบอกว่าสอนแค่ครึ่งชั่วโมงก็พอแล้ว อย่าไปยัดให้เต็มเวลา แล้วคนที่ดี ๆ ?
      ตอบ :  เราสอนของเราไป เอาสักครึ่ง อย่างเช่นว่าชั่วโมงครึ่งเป็นอย่างน้อย แล้วค่อยปล่อย อาตมาเองก็สอนครึ่งเวลาแล้วค่อยปล่อย
      ถาม :  แต่หนูโดนผู้ใหญ่ตักเตือนมาว่า อย่าปล่อยก่อนเวลา ?
      ตอบ :  ถ้าเด็กต่อรองก็บอกว่า อาจารย์โดนมาแล้ว เขาด่ามา เพราะฉะนั้นปล่อยก่อนไม่ได้หรอก พวกเธอจะทำอะไรก็เชิญ แต่ให้ทำอยู่ในห้องนี้
*************************