​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๔๓

 

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนกันยายน ๒๕๕๒


      ถาม :  เวลาไปทำบุญ จะมีอุปสรรค เจ็บไข้ได้ป่วย เช่น ปวดท้อง ไม่รู้จะแก้อย่างไร ?
      ตอบ :  ไม่ต้องแก้ อันนั้นเขาเรียกว่า ทดสอบกำลังใจ เพราะว่าการทำอะไรก็ตาม จะมีการทดสอบอยู่ตลอด แล้วลักษณะในการทดสอบก็จะทำให้เราเข้าใจผิดได้ อย่างเช่น เพราะว่าเราทำความดี...เราจึงได้เจอเหตุแบบนี้ จึงได้เป็นแบบนี้ บางคนเลิกทำความดีไปเลยก็มี
*************************

      ถาม :  สมัยหลวงพ่อฤๅษีท่านสร้างพระ ?
      ตอบ :  อันนั้นพระท่านบอก แต่ละอย่างพระท่านจะบอกว่าใช้งานในด้านไหนได้บ้าง แต่ท่านบอกไว้เสมอว่า วัตถุมงคลของท่านให้หารุ่นสุดท้ายไว้ ถ้าพระเคยสงเคราะห์เท่าไร ครั้งต่อไปจะไม่มีต่ำกว่านั้น มีแต่ว่าถ้าเพิ่มอะไรมาแล้วท่านจะบอก เพราะฉะนั้น...วัตถุมงคลสายหลวงพ่อวัดท่าซุงรุ่นสุดท้ายดีที่สุด จะว่าไปก็คือสั่งสมมาเรื่อย
              อาตมาเองเอาไม่มาก พอถึงเวลาพุทธาภิเษกก็อธิษฐานว่า สมัยหลวงพ่ออยู่ พระท่านสงเคราะห์แค่ไหน...อาตมาก็เอาแค่นั้น ขอนิดเดียวสั้น ๆ ไม่เคยอธิษฐานเยอะแยะกับเขา
*************************

              ช่วงนี้บรรดาสหายศึก เพื่อนร่วมรบเก่า ๆ เขามาช่วยงานพระศาสนากันมาก ก็คือบรรดาเพื่อนที่เคยไปรบทัพจับศึกตั้งแต่สมัยเก่า ๆ จิตซึ่งผูกพันอยู่กับหน้าที่ จะล็อกตัวเองอยู่ ทำให้ไม่สามารถไปเกิดได้ในเมื่อปลดออกมา ปล่อยออกมา ก็เลยเอามาช่วยงานกัน
      ถาม :  บนท่านท้าวมหาราชให้ได้เป็นพระโสดาบัน ?
      ตอบท้าวมหาราช...ท่านให้พรไว้ว่า บุคคลใดก็ตาม ถ้าตั้งใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบัน ท่านจะตามคุ้มครองตลอดชีวิต ดันไปกลายเป็นว่าบนท่านท้าวมหาราชให้เป็นพระโสดาบัน ถ้าเป็นอย่างนี้ดูจะรีบบนเลย
              นาน ๆ ไปก็เละได้ขนาดนั้น เขาเรียกว่าอิทธิพลสื่อที่บิดเบือน บอกเพื่อน ๆ ด้วยว่า ท่านบอกไว้อย่างนี้
*************************

              บุคคลที่เป็นพระโพธิสัตว์บารมีเข้มเท่านั้นที่ร่างกายจะมีพระรัศมี คราวนี้อย่างหลวงพ่อท่าบอกว่า ท่านมีแค่ ๔ สี ก็แสดงว่าท่านสร้างบารมีมาเยอะ
*************************

              พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้ามรรคแปดยังมีอยู่ครบถ้วน สมณะที่ ๑-๒-๓-๔ ก็จะมีอยู่ในศาสนานี้ เพราะฉะนั้น...ของเราสี่หมื่นแปดพันพระธรรมขันธ์ยังครบ ไม่ใช่แค่มรรคแปด
              ก็เลยอยู่ที่ว่าพวกเราจะมีความพยายามสักเท่าไรที่จะทำแล้วให้เกิดผลไม่ใช่ว่าเจอลำบากเสียหน่อยก็ท้อแล้ว ท้อไม่ได้ ถ้าท้อก็ห้ามท้อบ่อย
*************************

      ถาม :  สวดมนต์ที่โหลดเอ็มพีสามเป็นเพลงสวดมนต์ แล้วร้องเป็นเพลงจะได้ไหมคะ ?
      ตอบจริง ๆ แล้วสำคัญที่ว่าใจเราเป็นสมาธิหรือเปล่า ถ้าใจเราเป็นสมาธิต่อให้ร้องเพลงก็ได้ เพียงแต่ว่าให้จดจ่ออยู่ตรงหน้า อย่าไหลตามไปอย่างเช่นเวลาเราร้องเพลง ถ้าหากว่าใจเรานิ่งอยู่ตรงหน้า ก็จะไม่ไหลตามเนื้อเพลง แต่ถ้าหากใจเราไม่นิ่งอยู่ตรงหน้า ก็จะไปคิดตามเนื้อเพลงไปด้วย
              ถ้าหากว่าจิตเป็นสมาธิอยู่ตรงหน้า ต่อให้ร้องเพลงก็เป็นกุศล แต่ถ้าหากว่าไม่เป็นสมาธิตรงหน้า จิตจะปรุงแต่งไปตามเนื้อเพลง แล้วจะไหลตามกระแสไปเรื่อย ถ้าอย่างจะเป็นโทษ
ฉะนั้น เราจะสวดมนต์ในลักษณะอย่างสรภัญญะหรืออะไรก็ได้ ทำนองเพราะ ๆ ก็ได้ไม่มีใครว่า อย่างเมืองจีนเขาก็เคาะป๊อก ๆ ๆ บางทีก็มีดนตรีประกอบ
      ถาม :  แล้วจะสวดชินบัญชร แต่จำไม่ได้ ก็เลยใช้วิธีร้องเพลงได้ใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ได้
              สวดไม่ยากหรอกนะ เพราะที่ให้ไปเป็นสิ่งที่ดี ฟังบ่อย ๆ ก็ติดหู ชินบัญชร ๙ จบ กว่าจะจบอย่างน้อยก็ต้องจำคาถาได้เป็นบรรทัดแล้ว
*************************

      ถาม :  เวลาปฏิบัติจะมีเสียงเหมือนคนมาคุยรบกวน ?
      ตอบให้สนใจอยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว จะมีเสียงคุยกัน หรือจะมีอะไรก็ตาม ไม่ต้องใส่ใจ ให้ใส่ใจว่า เราหายเข้าแล้วเรารู้ตามเข้าไปได้ไหม...จนกระทั่งสุด หายใจออกรู้ตามออกมาได้ไหม...จนกระทั่งสุด
              ให้อยู่แค่นี้ ถ้าไปอยู่ที่อื่นเมื่อไร ให้ดึงกลับมาตรงนี้ แล้วสมาธิจะก้าวหน้าไม่อย่างนั้นแล้วเรามัวแต่ไปสนใจที่อื่น สมาธิจะไม่ก้าวหน้า เป็นลักษณะที่โบราณเรียกว่า กิเลสมารหลอก ก็คือกวนเรามาก ๆ แล้วเราไม่มีเวลามาดูตรงนี้ สมาธิก็ไม่ได้สักที แต่จะรำคาญตอนต้น ๆ ยิ่งไม่สนใจจะยิ่งชัดเจน ปล่อยให้เป็นเรื่องปกติธรรมดา หากเหมือนใครมาคุยกันอยู่ใกล้ ๆ ก็ปล่อยไป เราก็ภาวนาของเราไป
      ถาม :  แล้วมาคุยอะไรกันอย่างนี้ ?
      ตอบ :  ก็ปล่อยคุยกันไปสิ เป็นเรื่องปกติของนักปฏิบัติ จะต้องเจอเรื่องพวกนี้
      ถาม :  ก็ดึงมา ?
      ตอบ :  มาอยู่กับพุทโธ มาอยู่กับลมหายใจตามเดิม อยู่กับตรงนี้ ถ้าคิดเรื่องอื่นหรือใครจะคุยกันอย่างไร ก็รีบดึงกลับมา
              แล้วจะชัดขึ้นเรื่อย ๆ เขาตั้งใจกวนเราไม่ต้องไปใส่ใจ หลังจากที่สมาธิเราทรงตัวแล้ว เรื่องพวกนี้เดี๋ยวจะหายไปเอง
*************************

      ถาม :  การถวายพระพุทธรูปแล้วเอามาเป็นสังฆทาน เรียกว่าถวายทานธรรมหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ก็ถวายพระพุทธรูป ส่วนคนรับจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของเขาเราก็ได้อานิสงส์สร้างพระ ถ้าเขาเอามาทำเป็นสังฆทานอย่างที่เขาทำกัน กี่ครั้งก็มีส่วนของเราด้วย
      ถาม :  แล้วผมจะเช่าพระพุทธรูปมาทำอย่างนี้ได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  ไม่สมควร
      ถาม :  ทำไมครับ ?
      ตอบพระเช่าบูชา...เทวดาเขารักษาเป็นการเฉพาะเจาะจงไปยกขึ้น ๆ ลง ๆ ข้ามไปข้ามมาท่านไม่ชอบใจ
*************************

              ให้สังเกตไว้อย่างหนึ่งว่า ช่างคนไหนปั้นพระ เค้าหน้าก็จะเป็นของช่างคนนั้น อาจจะเป็นการหลงตัวเองอยู่ลึก ๆ ก็ได้ ถึงเวลาปั้นเสร็จก็ออกเค้าหน้าตัวเองว่าสวยที่สุด
              ฉะนั้น...ที่เขาให้สังเกตว่าผู้หญิงผู้ชายที่เป็นเนื้อคู่กัน หน้าตามักจะคล้าย ๆ กัน อาตมาฟันธงว่าเป็นการหลงตัวเอง คือพอเห็นหน้าคล้ายตัวเอง ด้วยความไม่รู้ตัวก็ชอบไว้ก่อน เรื่องนี้ไม่รู้ว่าจะฟันธงผิดหรือถูก แต่พูดไปแล้ว ฉะนั้น...เวลาเห็นหน้าคนไหนที่มาเป็นคู่ ๆ หน้าคล้าย ๆ กัน แล้วเราก็ว่าสองคนนี่เป็นคู่กันแน่เลย จริง ๆ ก็คืออาการหลงตัวเองของคนใดคนหนึ่ง
*************************

              “ท่านที่จับภาพพุทธานุสติเป็นปกติ นาน ๆ ไป เค้าหน้าจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นเค้าของพระ”
              “มีอยู่ครั้งหนึ่งออกจากโบสถ์หลังจากปาฏิโมกข์แล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเดินนำ พวกเราก็เดินตาม มีโยมจากบ้านแพน จังหวัดอยุธยา แห่กันมา ๓ คันรถ พอลงจากรถมาเจอหลวงพ่อ ก็กราบกัน บางคนร้องไห้โฮเลย เขาบอกว่าทำไมเหมือนหลวงปู่ปานอย่างนี้ อาตมาดูอย่างไรหลวงพ่อกับหลวงปู่ปานก็ไม่เหมือนกัน แต่คนที่นาน ๆ เห็นที จับเค้าหน้าท่านว่าเหมือนเค้าหน้าของพระ พอไปมองตรงจุดนั้นแล้วมองอย่างไรก็เหมือน แต่ถ้าหากจับมาคู่กันจริง ๆ เราจะเห็นว่าไม่เหมือนหรอก จะเห็นลักษณะเค้าบางส่วนที่จับภาพพระอยู่เป็นปกติ
              ก่อนหน้านี้สมัยหนุ่ม ๆ เค้าหน้าของหลวงพ่อคล้าย ๆ กับหลวงพ่อสมปองของพวกเรา ขอยืนยันนะ แล้วท่านจับภาพพระไปเรื่อย ๆ เค้าหน้าแปรเป็นภาพพระได้ หน้าเป็นคนละทรงไปจากของเดิมเลย สมัยอายุ ๕๐ กว่า เค้าหน้าท่านก็ยังออกมาทางด้านนี้อยู่ พอยิ่งอยู่ไป ๆ ก็เปลี่ยนไปใกล้พระท่านไปเรื่อย ๆ”
      ถาม :  หนูอยากเป็นเด็กดีที่โรงเรียน ?
      ตอบ :  ต้องเชื่อฟังคุณครู อย่าดื้อกับพ่อกับแม่ แล้วถ้าเป็นไปได้รักษาศีลให้ได้ด้วย ก็คือเราต้องไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมยใคร ของที่เขารักเราก็ไม่ไปแย่ง แล้วก็ไม่พูดโกหก ไม่กินเหล้าเมายา ถ้าทำอย่างนี้ได้เป็นเด็กดีแน่ ๆ อย่าลืมท่องพุทโธ ๆ ไว้ทุกวันด้วยนะจ๊ะ
*************************

      ถาม :  การรักษาพรหมจรรย์ระหว่างที่ครองเรือนอยู่ มีขอบเขตอย่างไรครับ ?
      ตอบถ้าหากว่าจะเอาเป็นศีลพรหมจรรย์จริง ๆ ก็ต้องรักษาศีล ๘ แต่ถ้าหากว่าไม่ใช่ศีลพรหมจรรย์ เราไม่ละเมิดศีล ๕ ก็ถือว่าไม่ผิด
      ถาม :  แล้วแสดงความรัก กอดหอมอะไรอย่างนี้ ?
      ตอบ :  เรื่องปกติ
      ถาม :  ทำได้ใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ทำได้
      ถาม :  ไม่ถือว่าทำให้ผิด ?
      ตอบถ้าหากว่าทำให้กามราคะกำเริบถือว่าผิด แต่ถ้าหากไม่มีส่วนที่ทำให้กามราคะกำเริบถือว่าไม่ผิดหรอก อยู่ที่ว่าเราระวังใจตัวเองได้ไหม
*************************

      ถาม :  ทำอย่างไรจะทรงบารมี ๑๐ ได้ดี ต้องพิจารณาเข้าไปทั้ง ๑๐ ข้อหรือเปล่า ?
      ตอบ :  จริง ๆ สำคัญที่สุดอยู่ตรงสมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัว จะรู้ระมัดระวังแล้วทบทวนอยู่เสมอ
              บารมี ๑๐ จับข้อใดข้อหนึ่งก็ได้ขึ้นมา
อย่างเช่นว่า เราจับเมตตาบารมีขึ้นมา ตั้งใจแผ่เมตตา หวังสงเคราะห์คนให้มีความสุขความเจริญอยู่ตลอดเวลา ตัวอื่นอีก ๙ ตัวก็จะตามมาเอง แล้วคนจะมีเมตตาบารมีได้ ศีลจะต้องทรงตัวอัตโนมัติ ศีลบารมีก็ได้ คนที่จะรู้ว่าเมตตาบารมีดี ...ปัญญาต้องมีปัญญาบารมีก็ได้ ไล่ไปจะมีครบทุกตัว เพราะฉะนั้นเลือกเอาตัวเดียวมาเน้น ๆ อีก ๙ ตัวจะตามมาเอง
      ถาม :  คนที่ทำอารมณ์ได้ระดับพระโสดาบัน เขาต้องมีบารมีพวกนี้มาครบ ?
      ตอบพวกนี้เขาทำมาเยอะแล้ว ถ้าหากมาไม่ถึงนี่ไม่มีทางหรอกที่คิดจะภาวนา ถ้าหากว่ารู้จักภาวนานี่กำลังพอแล้วทั้งนั้น เพียงแต่ว่าทำถูกวิธีหรือเปล่า
      ถาม :  คนที่ปฏิบัติแล้วได้รู้ในข้อธรรมบางข้อธรรม แล้วยึดอยู่กับข้อธรรมนั้นในสิ่งที่ตนรู้ ตรงนี้เป็นเหตุที่ทำให้เขาไม่ก้าวหน้าในการปฏิบัติได้หรือเปล่าคะ ?
      ตอบถ้าไปยึดอยู่ตรงนั้นโดยไม่ปล่อยก็เสร็จเหมือนกัน ยกเว้นว่าตรงนั้นเป็นทางที่ต้องผ่านจริง ๆ ก็พยายามตะเกียกตะกายผ่านไปให้ได้เท่านั้นเอง
      ถาม :  พิจารณาทุกข์ตลอดเวลา พอพิจารณาทุกข์ก็รู้สึกว่าจิตเป็นทุกข์ ทำไมเห็นทุกข์แล้วยังทุกข์อยู่ แล้วก็ทุกข์อยู่ร่ำไปอย่างนั้น พิจารณาแล้วถึงรู้ว่าเป็นเวทนา เลยเข้าใจว่าเขาพิจารณากันอย่างนี้ ?
      ตอบ :  ยังอุตส่าห์...กำหนดรู้ ยอมรับว่าปกติธรรมดาเป็นอย่างนั้น แล้วก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมันก็จบแล้ว อันนี้รู้แล้วก็ไปแบกไว้แล้วก็สงสัยทำไมหนักแท้
      ถาม :  ทำไมพิจารณาทุกข์ใจก็เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าบอกเห็นทุกข์แล้วต้องหายทุกข์สิ ?
      ตอบ :  รู้ว่าแบกอยู่แล้วจะหายหนักไหมเล่า ทุกข์จะหายหนักก็ต่อเมื่อเลิกแบก
      ถาม :  คนที่กำลังทุกข์อยู่ แล้วพยายามหาทางจะปล่อยวางในทุกข์นั้น แต่ทำเท่าไรก็ปล่อยไม่ได้สักที ตรงนี้เป็นเพราะอะไร ?
      ตอบกำลังของสมาธิและปัญญายังไม่พอ ถ้าหากว่ากำลังของสมาธิและปัญญาเพียงพอ ก็จะก้าวข้ามไปได้ อันนี้เหมือนอย่างกับประเภทขายาวไม่พอจะก้าวข้ามรั้ว
*************************

      ถาม :  ไสยขาวกับพุทธศาสตร์ คืออย่างเดียวกันหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ไสยศาสตร์คือไสยศาสตร์ แต่ไสยขาวเป็นไสยศาสตร์ที่ใช้ในการแก้ใช้ในการช่วย แต่ถ้าไสยดำนี่ก็คือเอาไว้ทำอันตรายคนอื่น
      ถาม :  พุทธศาสตร์นี่เน้นไปเพื่อการหลุดพ้น เพื่อสมาธิ ปัญญา ?
      ตอบ :  ไสยศาสตร์แต่ละอย่างนี่อาตมาเคยลองไปดู ๆ คาถาหัวใจธรรมะทั้งนั้นเลย มีไม่มากเท่าไรหรอกที่ออกไปด้านนั้นตรง ๆ คราวนี้ก็เลยเป็นที่ยอมรับว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสอะไรไม่ผิดจริง ๆ กำลังใจที่มุ่งมั่น สิ่งดีก็กลายเป็นสิ่งไม่ดี เพราะมุ่งมั่นที่ใช้ในทางที่ไม่ดี กลายเป็นดาบสองคม
      ถาม :  ที่เขาเรียกว่ามิจฉาสมาธิใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ใช่…ถึงเวลาได้อาวุธไป แทนที่จะเอาไปใช้งาน ก็ดันเอาไปจี้ ไปปล้นไปฆ่าเขา
      ถาม :  นึกถึงคนฝึกกรรมฐาน แรก ๆ ก็คงจะไม่น่ากลัวหรอก ?
      ตอบ :  พวกคุณไม่น่ากลัวหรอก เพราะเขาจ้องจะเด็ดแต่หัว ๆ เตือน ๆ ให้ระวัง ไม่แน่หรอก ถ้าเกิดเด็ดหัวไม่ได้ เดี๋ยวก็ย้อนกลับไปเล่นข้างท้าย
      ถาม :  บางสำนักอาจารย์เขาไม่เป็นอะไรเลย แต่คนเชื่อถือเยอะ มาทำบุญเยอะ ตายไปเขาได้อานิสงส์เยอะไหมครับ ?
      ตอบถ้าหากว่าสอนตามพระพุทธวจนะได้ แต่ถ้าแหกคอกพระพุทธวจนะเป็นอัตโนมัติของตนเอง เตรียมตัวลงนรกได้
      ถาม :  สอนถูก แต่ตั้งใจไม่ถูก ?
      ตอบ :  สอนถูก ตั้งใจไม่ถูกไม่เป็นไร เสียหายไม่มาก แค่ว่าตัวเองเลี้ยงวัวทั้งฝูง แต่ไม่เคยไม่ได้ชิมเลยว่ารสชาติของวัวมีอะไรบ้าง พระพุทธเจ้าเปรียบว่า ไม่เคยรู้ในปัญจโครสเลย ก็คือสิ่งที่เป็นประโยชน์ ๕ ประการ จากวัว นม นมส้ม เนยใส เนยข้น น้ำมันเปรียง
              หมายเหตุ : อัตโนมัติ = อัตโน+มติ คือ ความคิดเห็นของผู้พูดผู้แสดงธรรมในพระพุทธศาสนา ซึ่งอาจจะตรงหรือผิดกับคำของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้
*************************

              วันก่อนมีเด็กจะมาขอบวช บอกว่าตื่นขึ้นทำวัตรเช้าตอนตีสามครึ่งทำกรรมฐานและทำวัตรเช้าเสร็จแล้ว เตรียมตัวตามพระออกบิณฑบาตกลับมาฉันอาหารเสร็จแล้ว ล้างเก็บถ้วยชาม จัดสถานที่เตรียมไว้มื้อเพล
              หลังเพลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ล้างถ้วยล้างชาม ปัดกวาดสถานที่แล้วก็เตรียมทำความสะอาดวัด พอตอนเย็นก็มาทำวัตรเย็น ๒ รอบ รอบแรกก็ ๖ โมงเย็น รอบ ๒ ก็ทุ่มหนึ่ง จะได้นอนก็เมื่อเปิดเสียงตามสายสองทุ่มไปแล้ว
              ถ้าขาดเวลาใดเวลาหนึ่งเจอสายไฟ ขาดครั้งแรก ๑ ที ครั้งที่สอง ๒ ที ครั้งที่สาม ๓ ที บวกเพิ่มไปเรื่อย ครบ ๑๐๘ เมื่อไรตี ๑๐๘ ยืนพื้น...! วันรุ่งขึ้นหายจากวัดไปเลย
              จากที่เขาบอกทุกคนว่าจะต้องบวชให้ได้ หายจากวัดไปเลย อาตมาบอกว่าถ้าไม่เชื่อถามเณรที่อยู่ในวัดนี้ดูว่าโดนจริงไหม
      ถาม :  แค่ไปถามใช่ไหม ?
      ตอบ :  แค่ไปถามก็รู้แล้ว เพราะเณรโดนทุกคนแหละ ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง งวดนี้โดนข้อหาจับหมาไปเขียนคิ้วเขียนตา กลับไปมีการชำระ คือหมาไม่ได้ดมกลิ่นอย่างเดียวนะ ตาก็ดูด้วย แล้วเวลาเห็นหน้าแปลก ๆ ไป บางทีก็กัดเลย
*************************

              สมัยอาตมาอยู่วัดท่าซุง ส่วนใหญ่ก็มุดอยู่ใต้สวนไผ่ ๖ ไร่ ไม่ต้องยุ่งกับใคร ยกเว้นบรรดางูเหลือม หรือพวกเหี้ย พวกตะกวด จะมายุ่งกับเราก็ต้องไล่ไปไกล ๆ
      ถาม :  จริง ๆ แล้วสัตว์พวกนี้กลัวเราไหมคะ ?
      ตอบ :  กลัว เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ทำอะไรเขา แล้วคนที่นั่งกรรมฐานนี่คล้าย ๆ กับว่าเราไม่ได้มุ่งร้าย ในเมื่อเราไม่ได้มุ่งร้ายเขาไม่กลัวเขาก็ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้วท้ายสุดก็มานอนตักบ้าง มานอนบนอกบ้าง
      ถาม :  แล้วเขารู้หรือคะ ว่าเรารักเขา ?
      ตอบถ้าว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ในแต่ละอารมณ์ใจร่างกายของเราจะหลั่งสารเคมีแบบต่าง ๆ กันออกไป สัตว์สามารถรับสัมผัสได้ แต่ถ้าว่ากันตามหลักของศาสนา หลักของการปฏิบัติทางจิต ต้องบอกว่า สัตว์สามารถรับรู้ได้ว่าใครมีความเมตตา หรือใครไม่เมตตา คือพวกนี้เขาเป็นสัตว์เลือดเย็น ถึงเวลาต้องหาที่อุ่นนอน แล้วไอ้ที่อุ่นที่สุดก็อยู่ตรงนั้นแหละ นอนตักก็ยังดี อาตมาโดนนอนทับอก ตัวอะไรวะ ? เบ้อเริ่มเลย ต้องค่อย ๆ ลากออกไป
      ถาม :  ตัวใหญ่แค่ไหน ?
      ตอบ :  ก็มีตั้งแต่ประเภทเล็ก ๆ จนถึงใหญ่กว่าขาอ่อน
      ถาม :  คุยได้ไหม ?
      ตอบ :  ก็คงได้ แต่เราฟังไม่รู้เรื่อง ถึงเวลาก็มาแลบลิ้นแผล็บ ๆ ก็คงอยากจะคุยด้วย ได้แต่บอกเขาว่า ไม่อร่อยหรอก อย่ากินเลย
      ถาม :  สนิทกันขนาดนี้ทำไมบอกไม่ค่อยอยากจะเจองู ?
      ตอบ :  เพราะเจอทีไรแล้วชอบจับเล่น
*************************

      ถาม :  ถ้าเขาเรียกให้เป็นกรรมการ แล้วเราใส่ซองไป ๒๐ บาท นี่ผิดไหมคะ ?
      ตอบ :  ก็ไม่ผิดหรอก อยู่ที่ศรัทธา
      ถาม :  เขาไม่บอกให้เราทราบ แต่ใส่ชื่อเราเป็นกรรมการไปเฉยเลย กรรมการก็หนึ่งร้อยบาท แต่เราใส่ ๒๐ บาท ?
      ตอบ :  ก็บอกเขาสิว่ามีศรัทธาแค่นี้ การทำบุญไม่ได้อยู่ที่จำนวน สำคัญตรงใจสละออก อย่างเจ้าเต้ย ติดกัณฑ์เทศน์ตรงนี้บาทหนึ่ง หลายคนอาจจะเห็นว่าเหลวไหล แต่คุณรู้ไหมว่า เขาอาจจะมีแค่ ๒๐ แต่ติดกัณฑ์เทศน์บาทหนึ่ง เท่ากับ ๕% ที่มี แต่ถ้าหากว่าใครมีพันล้าน แล้วติดกัณฑ์เทศน์ตรงนี้ล้านหนึ่ง ลองเทียบเปอร์เซ็นต์ดูสิ...ต่างกันแค่ไหน อันนี้ต้องเรียกว่าอย่างไร บาทหนึ่งเท่ากับหนึ่งในยี่สิบ แต่อันนั้นเป็นหนึ่งในพันจำนวนเปอร์เซ็นต์ห่างกันมากเลย
      ถาม :  ถ้าไม่มีแล้วต้องไปกู้หนี้ยืมสินละครับ ?
      ตอบทำแล้วต้องไม่ให้ตนเองและบุคคลรอบข้างเดือดร้อน ถ้าถึงขนาดกู้หนี้ยืมสินมาทำนั่น ขาดปัญญาในทานบารมี
*************************

      ถาม :  ตู้บริจาคตามวัด หยอดไปเป็นสังฆทานหรือเปล่าครับ ?
      ตอบถ้าเขาระบุอะไรก็ได้อย่างนั้น ยกเว้นว่าถ้าเขาไม่ได้ระบุ เราตั้งใจเป็นสังฆทานก็ได้เลย
      ถาม :  แล้วที่ช่วยค่าน้ำค่าไฟล่ะครับ ?
      ตอบค่าน้ำค่าไฟทั้งวัดหรือเปล่า ถ้าทั้งวัดก็เป็นสังฆทานอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ใช่...ค่าน้ำค่าไฟเฉพาะกุฏิ (ของฉัน) ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นสังฆทาน
*************************

      ถาม :  มีแผ่นทอง ตั้งใจหล่อพระที่หนึ่งแต่ไม่ได้ไปหล่อ แล้วไปหล่ออีกที่หนึ่ง แต่เป็นพระเหมือนกัน ใช้ได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้ว ถ้าตั้งเจตนาไว้ที่ไหน ควรจะเป็นที่นั่น
*************************

              “มีใครอ่านมังกรคู่สู้สิบทิศบ้าง พระเอกมันพัฒนาตัวเองด้วยการสู้แล้วแพ้ จากครั้งแรกที่แพ้ยับเยิน ครั้งต่อไปก็พอที่จะสูสี รู้ว่าไม่ไหวก็เผ่นก่อน แล้วก็กลับมาใหม่ เขาใช้คำว่า ใช้การต่อสู้หล่อเลี้ยงการต่อสู้ ก็คือเหมือนกับว่า เอาอุปสรรคเป็นกำลังใจในการที่จะเอาชนะให้ได้ ถ้าไม่มีอุปสรรคมาขวางอยู่ตรงหน้า อาจจะไม่มีกำลังใจที่จะทำอะไร
              อย่างที่พูดมาก็อยู่ในลักษณะเดียวกันว่า เขาฝึกฝนตัวเองจากสิ่งต่าง ๆ ที่พบในชีวิตจริง แล้วพัฒนาตัวเองไปเรื่อ ยๆ อย่างเราก็ใช้ปัญหาต่า งๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต พัฒนาตัวของเราเองให้ก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ อย่างที่พระท่านพิจารณาว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำการ วาจา ใจ เหล่านั้นให้ได้”
*************************

              “ตอนนี้พวกเรารู้สึกว่า รังเกียจความแก่ แต่พอไปอีกนิดหนึ่งจะรู้สึกว่าแก่ไม่พอ แล้วถึงเวลานั้นก็จะดัดจริตแก่ คอยดูแล้วกันว่าจะเป็นอย่างนั้น ตอนนี้ใครถามจะบอกอายุให้น้อยที่สุด แต่พอก้าวพ้นจุดนี้ไป ใครถามจะบอกให้มากที่สุด เป็นอย่างนั้นจริ งๆ
*************************

      ถาม :  มีแบบฝึกหัดสำหรับฝึกเลื่อนฌานขึ้น ๆ ลง ๆ แบบง่าย ๆ ไหมคะ ?
      ตอบ :  เอาอย่างนี้สิ ถ้าจับภาพพระคล่อง ก็กำหนดภาพพระขึ้น ๔ องค์ แต่ละองค์ความสว่างอยู่คนละระดับกัน แล้วก็เลื่อนขึ้นเลื่อนลงตามระดับนั้น
              อย่างเช่นว่า องค์นี้เป็นพระแก้วใสตามปกติ องค์นี้เป็นพระแก้วใสมีความสว่างเท่านี้ องค์นี้สว่างเท่านี้ องค์นี้สว่างเท่านี้ แล้วก็กำหนดใจเลื่อนขึ้นลง จะไปทางไหนก็ไป กำลังใจขอเงราถ้าจับภาพพระในแต่ละระดับ จะเห็นชัดว่าภาพพระท่านจะแจ่มใสชัดเจนแค่ไหน ก็เป็นไปตามระดับสมาธิของเรา ก็จะซ้อมได้ เห็นพร้อมกันได้ แต่ให้เลื่อน จับจดจ่อเฉพาะแต่ละองค์
*************************