​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๔๙

 

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนเมษายน ๒๕๕๓


              “ผู้ปกครองที่อยู่ในวรรณะกษัตริย์ บางทีเขาเรียกว่า กษัตริย์ อย่างมัลลกษัตริย์ บางทีเขาก็เรียกว่า ราชา อย่างพระเจ้าพิมพิสาร แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลเขาเรียกว่า มหาราช พระราชาผู้เป็นใหญ่กว่าเมืองอื่น เพราะว่าแคว้นของท่านกว้างใหญ่ไพศาลมาก
              ทำไมพระพุทธเจ้ากว่าจะเข้าไปประกาศพระศาสนาในแคว้นโกศลต้องรอจนผ่านไปกว่าสิบพรรษา ? เพราะแคว้นโกศลปกครองกรุงกบิลพัสดุ์อยู่ แล้วคำทำนายที่บอกว่าพระพุทธเจ้าจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ก็ต้องได้ยินเต็มสองพระกรรณของพระเจ้าปเสนทิโกศล ถ้าในตอนแรกพระพุทธเจ้าเข้าไปแคว้นโกศล อาจจะได้นอนคุกยาวหรือก็อาจถึงตาย
              ฉะนั้น...ต้องแสดงให้เห็นก่อนว่า สิ่งที่ท่านสอนมามีผลจริง ก็เลยใช้วิธีเมืองเล็กล้อมเมืองใหญ่ จะว่าเมืองเล็กล้อมเมืองใหญ่ก็ไม่ใช่ เพราะมคธก็เป็นเมืองมีขนาดใกล้เคียงกับโกศล แต่ว่าพระเจ้าพิมพิสารอยู่ในลักษณะของผู้ใหญ่ใจดี ถึงเวลาจะแบ่งราชสมบัติให้ครึ่งหนึ่งด้วย ในเมื่อโปรดพระเจ้าพิมพิสารได้ก็ถือว่ามีเกราะป้องกัน อย่างน้อย ๆ พอจะไปแสดงหลักธรรมที่เมืองอื่น คนก็ต้องเกรงใจบ้าง
              พอพระเจ้าพิมพิสารประกาศตนเป็นพุทธมามกะแล้ว พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปวังสะ วัชชี มัลละ ฯลฯ จนกระทั่งผ่านไป ๑๔ พรรษา จึงได้บรรดาเศรษฐีต่าง ๆ มาเป็นสาวกมากมาย คนยุคไหนสมัยไหนก็เกรงใจคนรวย ตอนนั้นได้เมณฑกเศรษฐี ธนัญชัยเศรษฐี นางวิสาขามหาอุบาสิกา ตระกูลมิคารเศรษฐี ราชคหกเศรษฐี สุทัตตเศรษฐีหรืออนาถปิณฑิกเศรษฐี กำลังหนุนขนาดนี้คงไม่มีใครกล้าทำอะไร พระองค์จึงได้เข้าไปที่เมืองโกศล
              ความจริงไปแล้วเขาไม่กล้าทำอะไรท่านหรอก ถึงทำก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว แต่ใครจะไปมั่นใจว่าบรรดาสาวกต่าง ๆ จะทำแทนไหม ? จึงจำเป็นต้องใช้ระยะเวลา และที่แน่นอนพระองค์รู้ว่าวาระไหนเหมาะสมที่สุด รอจน ๑๔ พรรษา จึงเข้าไปที่แคว้นโกศล แล้วจึงสามารถเอาแคว้นโกศลเข้ามาอยู่ใต้ร่มบารมีของท่านได้ เท่ากับว่าปลดแอกให้กบิลพัสดุ์ไปเลย กลายเป็นกบิลพัสดุ์ทำให้แคว้นโกศลมาขึ้นกับพระพุทธเจ้า”
*************************

              ถ้าหากเรายึดถือในพระพุทธเจ้าอย่างแน่นแฟ้น เหมือนอย่างที่ฮินดูยึดถือในพระเจ้า เรารักษาศีลทุกสิกขาบทเท่าชีวิต เหมือนย่างคนฮินดูเขายอมอดตาย ทั้ง ๆ ที่อาหารเขาเต็มบ้านเต็มเมือง ปลาก็เต็มบ่อเต็มทะเล วัวก็เต็มถนน นกอีกเยอะแยะไม่รู้เท่าไร แต่เขาไม่กิน ยอมอดตาย ถ้ากำลังใจเราได้สักขนาดนี้ น่าจะบรรลุกันเยอะนะ
*************************

              “อะไรที่ไม่ใช่ความชำนาญของตัวเองแล้วไปทำ ก็เสียเวลาเขา เสียเวลาไม่ว่า ถ้าเสียงานด้วยมีหวังโดน...!
              เป็นไปโดยหลักจิตวิทยาเลยว่า แต่ละคนจะมีความภาคภูมิใจในงานของตน ในเมื่อเป็นงานในความรับผิดชอบของเขา บางทีเราเข้าไปแตะอาจมีรายการโดนงับหู...! ฉะนั้น...ถ้าไม่อยากโดนงับหูก็พยายามเลี่ยง ๆ หน่อย ยกเว้นว่าเขาออกปากบอกแขกช่วยแบกหาม”
*************************

      ถาม :  เมื่อคืนนอนภาวนาโสตัตตะภิญญา แล้วรู้สึกเหมือนโดนหินทับ ?
      ตอบ :  ไม่ไหวก็เลิก เริ่มต้นใหม่
      ถาม :  เป็นแค่อาการฌาน ?
      ตอบ :  ก็บอกแล้ววว่า เท่าที่เคยลองดู ระหว่างสัมปะจิตฉามิและโสตัตตะภิญญา โสตัตตะภิญญา จะแน่นกว่ากันมาก คราวนี้เราจะเข้าใจแล้ววว่าอาการแน่นเป็นอย่างไร
      ถาม :  แล้วถ้าเราหน้าด้านทำไปเรื่อย ๆ ?
      ตอบ :  ต้องตัดใจว่า “อย่างดีก็แค่ตาย” แล้วจะได้เร็ว
*************************

              “คนเราอายุมากขึ้น ถ้าไม่ได้ตั้งใจลดละกิเลสในส่วนของอุปาทานการยึดมั่นถือมั่น จะมีมากตามระยะที่ผ่านไป โดยเฉพาะอะไร ๆ ที่เป็นของกู จะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ”
*************************

      ถาม :  ทำไมปฏิบัติไปแล้วไม่ก้าวหน้า ?
      ตอบ :  ถ้าไม่ทำเกินก็ทำขาด แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะทำขาด เราทำประมาณวันละหนึ่งชั่วโมง อีกยี่สิบสามชั่วโมงกิเลสกินตลอด ก็ขาดทุนไปยี่สิบสามชั่วโมง ดังนั้น...ต้องรักษาอารมณ์ใจให้ได้ตลอดทั้งวัน
      ถาม :  ต้องพยายามทำให้ได้ทั้งวัน ?
      ตอบ :  ใช่…แต่ไม่ต้องนั่งทั้งวัน นั่งหนึ่งชั่วโมงก็ได้ แต่เวลานั่งแล้วกำลังใจเรานิ่งขนาดไหน ถึงเวลาให้รักษษความนิ่งให้อยู่กับเราให้ได้ ต้องลองไปซ้อม ๆ ดู ถ้าทำได้จึงจะก้าวหน้า แรก ๆ ขยับก็หล่นหาย ซ้อมบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้น
*************************

      ถาม :  ถ้าเราจะเลี้ยงกุมาร ?
      ตอบ :  ถ้าเป็นกุมารของ หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม หรือหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม ท่านทำถูกต้องตามพิธีกรรม จะเป็นเทวดา ท่านคงไม่กวนอะไร นอกจากให้ประโยชน์ แต่ถ้าไปเจอตำราที่ใช้ไสยศาสตร์อย่างเดียว ก็อาจจะได้พวกสัมภเวลสี วิญญาณเด็ก ก็จะเป็นไปตามสภาพของเขา
              อาตมาเคยเลี้ยงกุมาร แต่ไม่ไหวต้องเอาไปส่งวัด เพราะว่าเขาเล่นกับหลาน กลิ้งลงมาจากบันได ๑๒ ขั้น ปกติก็ต้องคอหักตายไปแล้ว นั่นเขาเล่นกัน แม่เขาจะหัวใจวายตาย ก็เลยต้องเอาไปส่งวัด ระวังนิดหนึ่ง ถ้าอันไหนเขาทำดี ทำถูก ก็ใช้ได้
*************************

              “เห็นดอกมะลิแล้วนึกถึงนายมาลาการ นายมาลาการเป็นคนจัดทำดอกไม้ ร้อยพวงมาลัย พอดีวันนั้นนายมาลาการกำลังจะเอาดอกไม้ ๘ กระเช้าไปส่งพระเจ้าแผ่นดิน ปรากฎว่าพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมา นายมาลาการเห็นเข้าก็เลยเกิดปีติใจ ไม่มีของจะถวาย จึงคิดว่า เราเอาดอกไม้โปรยเป็นพุทธบูชาก็แล้วกัน
              แต่คราวนี้ดอกไม้เป็นของพระเจ้าแผ่นดิน ถ้าถวายพระพุทธเจ้าไปแล้วไม่มีให้พระเจ้าแผ่นดิน พระองค์อาจพิโรธสั่งประหารชีวิตก็ได้ แต่ท่านก็คิดว่า ถึงจะโดนประหารชีวิตก็ตามที แตบุญเช่นี้หาโอกาสที่จะทำได้น้อยมาก เราตั้งใจทำบุญ ถึงโดนประหารชีวิต ตายไปก็เชื่อว่าไปสุคติ
              ท่านก็เลยเอาดอกไม้สองกระเช้า ซัดไปถวายเป็นพุทธบูชา ปรากฎว่าดอกมะลิทั้งสองกระเช้าแทนที่จะตกลงบนพื้น กลับลอยเป็นเพดานดาดอยู่ด้านบน พระพุทธเจ้าเสด็จไปไหน เพดานดอกไม้นี้ลอยตามไปด้วย ท่านก็เลยซัดไปอีกสองกระเช้า ก็ลอยเป็นเหมือนกับม่านอยู่ทางด้านหลัง ยิ่งเห็นก็ยิ่งปีติ ก็เลยซัดอีกสองกระเช้า คราวนี้ลอยไปอยู่ด้านซ้าย ซัดอีกสองกระเช้าลอยอยู่ทางด้านขวา กลายเป็นว่าพระพุทธเจ้าเสด็จไปไหน มีห้องเป็นดอกไม้ตามไปด้วยพร้อมฉัพพรรณรังสี ชาวบ้านเห็นก็โจษจันกันใหญ่ด้วยความปลื้มปีติ
              แต่ภรรยายของนายมาลาการเห็นแล้วตกใจ กลัวว่าจะโดนประหารเจ็ดชั่วโคตร จึงรีบเข้าวังไป บอกกับทหารว่า มีเรื่องด่วนจะมากราบทูลพระเจ้าแผ่นดิน ทหารก็พาเข้าไป ภรรยานายมาลาการกราบทูลว่า ตนเป็นภรรยาของนายมาลาการ ตอนนี้นายมาลาการทำการทรยศต่อแผ่นดินแล้ว แทนที่จะนำดอกไม้นั้นมาถวายพระเจ้าแผ่นดิน กลับเอาไปถวายเป็นพุทธบูชาเสีย ขอพระเจ้าแผ่นสั่งให้ตนเองหย่าขาดกับนายช่างดอกไม้นี้่ จะได้ไม่เกี่ยวข้องกัน
              พระเจ้าแผ่นดินถามว่าแน่ใจนะ ถ้าอะไรเกิดขึ้นกับเขาก็จะไม่เกี่ยวข้องกับเขานะ ภรรยานายมาลาการก็ยืนยันที่จะให้เป็นอย่างนั้น พระเจ้าแผ่นดินก็อนุญาตให้หย่าขาดกันได้ แล้วก็ให้ทหารไปคุมตัวนายมาลาการมา
              พระเจ้าแผ่นดินก็ถามว่า ตอนที่ถวายดอกไม้พระพุทธเจ้า ไม่ได้คิดเลยหรือว่าจะต้องตาย นายมาลาการก็อธิบายให้พระเจ้าแผ่นดินฟัง ปรากฎว่าพระเจ้าแผ่นดินชื่นชม บอกว่าทำดีมาก...! ก็เลยพระราชทานรางวัล นอกจากสิ่งของเงินทองแล้ว ที่น่าเจ็บใจภรรยาเก่าที่สุดก็คือ ให้หญิงงามเป็นรางวัลอีก ๘ คน
              อันนี้เป็นอานิสงส์ทันตา ในลักษณะของครุกรรมฝ่ายกุศล ทำตอนนั้นได้ตอนนั้นเลย แต่คนที่น่าเสียดายสุดก็คือภรรยา ดันหย่าขาดไปเสียก่อน
              ลองไปอ่านได้ในธรรมบท มีเรื่องสนุกเยอะแยะมากมายเลย เกี่ยวกับอานิสงส์ต่าง ๆ ที่เราทำ จะทำเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม ท้ายสุดก็กลายเป็นอานิสงส์ใหญ่
              แบบเดียวกับลาชเทวธิดาที่ถวายข้าวตอกพระมหากัปสสปะไป ๑ ขัน พอโดนงูกัดตาย ไปจุติเป็นนางฟ้ามีวิมานเป็นทองคำ และมีม่านเป็นข้าวตอก”
*************************

              “ปกติทำสมาธิบ่อยไหม ?”
              “หนูกำลังอยากจะทำ แต่ไม่มั่นใจในศีลค่ะ บางวันก็ขาด”
              “ต้องทำให้ได้ เพราะทุกวันนี้ที่เราลังเลสงสัย ตัดสินใจอะไรไม่ขาด เพราะกำลังใจไม่พอ ถ้าเราทำสมาธิ กำลังใจดีขึ้น เรื่องต่าง ๆ เราจะตัดสินใจได้เด็ดขาดแน่นอน และส่งผลดีมากด้วย”
      ถาม :  หนูยังงงกับอานาปานสติค่ะ ?
      ตอบ :  หายใจแล้วนึกตามเข้าไป ว่าเข้าไปถึงไหน ออกจากไหนตามดูอยู่แค่นั้น ถ้าคิดเรื่องอื่นก็กลับมาตรงนี้ ถ้าสามารถดูได้ตลอดสักสิบนาทีสิบห้านาที กำลังใจจะเข้มแข็งขึนเรื่อย ๆ ถ้าทำได้แล้วจะเกิดผลดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่อย่างนั้นจะลังเล ทำอะไรยาก
      ถาม :  ไม่มั่นใจ กลัวทำไม่ได้ค่ะ ?
      ตอบ :  ทำไปเถอะ ขนาดทำยังลังเลเลย ปกติเรื่องอย่างนี้อาตมาขี้เกียจแนะนำ แต่ไหน ๆ ก็หลงมาถึงนี่แล้ว จึงบอกให้หน่อย
*************************

      ถาม :  เวลาเกิดเหตุการณ์กระทบ ปกติถ้าเป็นอย่างนี้ เราจะนึกต่อว่าเขา นึกปรามาสเขา แต่ตอนนี้มีความรู้สึกว่า เหมือนเรามีสติมากขึ้น จึงตัดไม่ได้คิดต่อ ถ้าทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ?
      ตอบ :  ก็จะก้าวหน้าไปกว่านี้ ต่อไปแทนที่จะปล่อยไปเฉย ๆ ก็จะไปเมตตาสงสารเขา อาจจะหาทางช่วยเหลือเขาด้วย
      ถาม :  ต้องทำไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมคะ ? ถ้าหยุด...?
      ตอบ :  ถ้าหยุดกิเลสก็จะตีกลับ ประมาทไม่ได้ อย่าไปคิดว่าได้แล้ว ต้องคิดว่าเป็นผู้ใหม่ไว้เสมอ ถ้าเราคิดว่าเป็นคนใหม่ไว้เสมอ เราก็จะไม่ประมาท
*************************

      ถาม :  รับยันต์ไปวันที่ ๒๐ เมื่อเช้านี้ท้องไม่ค่อยดี เลยกินยาธาตุน้ำขาวแล้วรู้สึกว่าร้อน พอไปอ่านข้างขวด ปรากฎว่ามีส่วนของแอลกอฮอล์ ?
      ตอบ :  ถ้าเป็นยาไม่เป็นไร แต่ให้กินตามสูตรของเขานะ ไม่ใช่กินหมดขวดเลย
      ถาม :  ช้อนเดียวครับ สรุปว่ากินได้ ?
      ตอบ :  ถ้าผสมยากินได้ กินตามหมอสั่งหรือกินตามสูตรของเขา อย่างพวกยาดอง กินเช้าเป๊กหนึ่ง เย็นเป๊กหนึ่งได้ แต่ถ้าจะกินเอาเมา ก็ได้เรื่องแน่
      ถาม :  ข้าวหมากกินได้หรือเปล่า ?
      ตอบ :  อาตมาไม่แตะเด็ดขาด เพราะกลิ่นเหมือนเหล้า ต้องบอกว่ารังเกียจกลิ่น ฉะนั้น..ไม่จำเป็นอย่าไปกินเลย จะอร่อยอะไรกันนักหนาเชียว
*************************

      ถาม :  เราจะปฏิบัติเจโตวิมุตติกับปัญญาวิมุตติควบคู่กันได้หรือเปล่าครับ ?
      ตอบจำเป็นต้องควบคู่กัน ถ้าหากใช้เจโตวิมุตติอย่างเดียวก็อันตราย เพราะว่าถ้าเผลอสติขาดไป ก็จะโดนตีกลับ กิเลสจะงอกงามกว่าเดิม ถ้าใช้ปัญญาวิมุตติอย่างเดียว กำลังก็ไม่พอที่จะตัดกิเลส ต้องสั่งสมเป็นระยะเวลาที่ยาวนานจนเกินไป ต้องทำสองอย่างควบกัน ก็คือเราใช้กำลังสมาธิให้ทรงตัวก่อน แล้วคค่อยไปใช้ปัญญาพิจารณา ถ้าทำอย่างใดอย่างหนึ่งจะมีจุดอ่อนทั้งคู่ ต้องประสานกันไว้
      ถาม :  จังหวะที่คิดจะทำ ก็คือ ทำพร้อมกัน หรือถ้าพร้อมจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ?
      ตอบ :  ถ้าพร้อมอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงมือได้เลย แล้วการปฏิบัติอย่างเป็นทางการ อย่างการนั่งภาวนาแล้วถอนกำลังออกมาพิจารณา ให้เอาไปไว้ตอนที่มีเวลา แต่ถ้าทั่ว ๆ ไป เห็นเมื่อไรต้องพิจารณาทันทีได้ยินเมื่อไร พิจารณาทันทีได้กลิ่นเมื่อไร พิจารณาทันที
              แรก ๆ กำลังไม่พอหรอก มักจะโดนพาไปเสียไกล แต่ถ้ากำลังเราพอมีความเข้มแข็งขึ้น ก็จะง่าย
*************************

              “เรื่องของขุนแผนโคโยตี้ จะว่าไปแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ที่ใหญ่ขึ้นมาเพระาเป็นไปในทางลามกอนาจาร แล้วคนส่วนใหญ่รับไม่ได้
              ในลักษณะของสัทธรรมปฏิรูป ยิ่งอายุพระศาสนานานไปเท่าไร ก็จะยิ่งมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจุบันนี้ก็มีมาก แต่ว่ามากแล้วคนยังไม่เฉลียวใจ
              อย่างเช่นว่า การสร้างพระพิฆเณศวร์ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เป็นวัดพุทธ การสร้างตรีมูรติ การตั้งศาลพระพรหม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มาจากศาสนาพราหมณ์ฮินดูทั้งนั้น หรือการสร้างเจ้าแม่กวนอิม ไฉ่ซิงเอี้ย เหล่านี้ก็เป็นของทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน
              เรื่องเหล่านี้มีแทรกเข้ามามากขึ้น ๆ แล้วกลายเป็นว่าสับสนปนเป จนกระทั่งคนที่เขาไม่เข้าใจจะแยกแยะไม่ออก แม้แต่การสร้างหลวงปู่ทวดใหญ่ที่สุดในโลก หลวงปู่โตใหญ่ที่สุดในโลก เป็นต้น ก็สร้างในลักษณะที่ทำให้บุคคลไปยึดติดองค์ท่าน ในลักษณะเทพเจ้าของศาสนาฮินดู ไม่ได้ยึดเพราะเห็นความดีของสังฆคุณ ไม่ได้ยึดว่าคำสอนของท่านสอนให้ปฏิบัติอย่างไร แต่ให้ไปกราบไหว้บูชาอย่างเดียว ออกไปแบบฮินดูแท้เลย
              เพราะฉะนั้น...เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะมีแทรกขึ้นมาเรื่อย ๆ ตามสภาพและระยะเวลาของอายุพระศาสนาที่มากขึ้น แต่บุคคลที่แยกแยะออกจะน้อย ผู้ที่สร้างส่วนใหญ่ก็กลายเป็นวัดของพุทธศาสนา แล้วของเราเป็นพุทธศาสนาเถรวาท ซึ่งถือหลักพระวินัยเป็นใหญ่ แต่ทางด้านพุทธศาสนามหายานจะถือหลักธรรมเป็นใหญ่ พูดง่าย ๆ สำหรับเขาก็คือ ถ้าตั้งใจปฏิบัติหลักธรรมแล้ว ศีลจะเป็นอย่างไรก็ช่าง
              คราวนี้เรามาลองคิดว่า ศีลเป็นรากแก้วของพระศาสนา ต้นไม้ถ้าไม่มีรากจะอยู่ได้ไหม ? ถึงมีรากฝอย โดนลมแรงก็โค่น ถ้ามีรากแก้วก็พอจะยืนยงคงทนได้นาน
              แต่คนส่วนใหญ่ด้วยความมักง่าย ถ้าอะไรร้องขอได้ง่ายโดยไม่ต้องทำเอง ยิ่งเสกเพี้ยงให้เป็นอย่างตัวเองต้องการได้...ยิ่งดี จะวิ่งเข้าไปหาในสิ่งนั้นเลย ถ้าเราไปที่อินเดียก็จะเห็นว่า บรรดาเทวาลัยต่าง ๆ ของศาสนาฮินดู คนแห่กันไปมืดฟ้ามัวดินเลย แต่ละคนล้วนแล้วแต่ไปถวายเครื่องบูชา ขอนั่นขอนี่ไปเรื่อย
              เพราะฉะนั้น...เรื่องของขุนแผนโคโยตี้ เป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ เท่านั้นเองที่แทรกเข้ามา เพียงแต่ว่าสภาพไม่เหมาะกับสังคมไทย ออกแนวอนาจารเกินไป ก็เลยเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา”
*************************

              “ในมงคลสูตร ที่ประกอบไปด้วยมงคล ๓๘ อย่าง บรรดาพรหมเทวดาตลอดจนมนุษย์ เขาถกเถียงกันว่า อะไรเป็นมงคลที่แท้ เถียงอยู่ ๑๒ ปีเต็ม ๆ ตกลงกันไม่ได้ จึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
              พระพุทธเจ้าจึงตรัสมงคลให้ทราบ ตั้งแต่ อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตา นญฺจ เสวนา จนกระทั่งไปลงท้ายสุด ผุฏฐสฺสโลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส นกมฺปติ อโสกํ วิรชํ เขมํ เมตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
              ท่านให้มงคลตั้งแต่ต้นสุดไปจนกระทั่งสูงสุด ยันพระนิพพานเลย และมงคลของท่านเป็นมงคลที่คนอื่นเถียงไม่ได้ เพราะว่าถ้าปฏิบัติตามเมื่อไร ก็ดีเมื่อนั้น แต่ว่ามงคลของพรหมเทวดา ตลอดจนมนุษย์ที่เขาว่ากันมาเถียงได้ทั้งนั้น อย่างเช่นว่า บางคนบอกว่า เวลาเช้าเป็นมงคล สีนี้เป็นมงคล สีนี้ไม่เป็นมงคล เถียงกันแทบตาย ๑๒ ปีผ่านไปไม่ได้อะไรเลย
              เพราะฉะนั้น...ไม่ว่าจะสีเหลือง สีแดง ก็ไม่เป็นมงคล...!”
      ถาม :  อ้าว…ทำไมลงอย่างนี้ ?
      ตอบจะเป็นมงคลได้ ก็ต่อเมื่อเราตั้งใจปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าท่านสอน ท่านบอกว่า อยาคบคนพาล คบแต่บัณฑิต ให้บูชาคนที่ควรบูชา บุคคลที่ควรบูชาก็ต้องประกอบไปด้วยกาย วาจา ใจที่บริสุทธิ์
              ฉะนั้น...บรรดาไม้มงคลที่เขาเอามา ขอให้ช่วยอธิษฐานให้ ก็แค่ชื่อดี ถ้าหากเราไม่ได้ทำดี ชื่อดีแค่ไหนก็ช่วยไม่ได้
*************************

              “ทุกวันนี้เรามักจะไปคิดว่า คูณก็คือชัยพฤกษ์ แต่ไม่ใช่
              คูณ คือ ราชพฤกษ์ ที่ชื่อว่าราชพฤกษ์ ต้นไม้ของพระราชา เพราะว่าดอกสีเหลือง สีเหลืองเป็นสีประจำองค์พระราชา
              ชัยพฤกษ์ เป็นสีชมพู ดอกเล็ก ๆ หลายคนอาจจะเคยเห็นแต่ไม่รู้จัก
              แต่ว่า กัลปพฤกษ์ จะเป็นสีชมพูอมขาว ถ้าหากว่าดอกแก่ไปก็จะออกเป็นดอกสีเกือบจะขาวเลย
              ต้องแยะแยกให้ออก แยกไม่ออกเดี๋ยวปนกันมั่ว คนรุ่นหลังก็จะมั่วตามไปด้วย”
*************************

      ถาม :  การที่ไปปิดถนน มีผลกระทบเป็นวงกว้าง จะทำให้เกิดกรรม ?
      ตอบ :  ถึงเวลาถ้าจะได้อะไร ก็คงโดนขวางตลอด
      ถาม :  แล้วเกิดเฉพาะกับคนที่เป็นเสื้อแดง หรือกับคนที่สนับสนุนด้วย ?
      ตอบ :  ก็ต้องดูว่าใครร่วมมือบ้าง ยิ่งถ้าเผลอไปปิดขบวนเสด็จเข้าด้วยก็ซวยหนักเลย...!
*************************

      ถาม :  เพื่อนเปิดบริษัท เราไม่ได้ทำงานกับเขา แต่เขาเอาชื่อเราไปเสียภาษีเพื่อประโยชน์ของบริษัทเขา เราให้เขาใช้ชื่อเรา ?
      ตอบ :  ระวังเอาไว้ว่า ถ้าเรื่องภาษีไม่ตรงไปตรงมา เราก็จะซวยไปด้วย เพราะเดี๋ยวนี้กรมสรรพากรเขาตรวจสอบเข้มกว่าเดิม
      ถาม :  ผิดศีลไหมครับ ?
      ตอบ :  ศีลเราไม่ผิดหรอก เพราะเราไม่ได้ทำตั้งแต่ต้น แต่ผิดกฎหมาย เพราะเราไม่เสียภาษีตรงไปตรงมา และเขาก็ไม่ฟังหรอกว่าของใคร เพราะหลักฐานระบุชัดว่าเรา ก็แปลว่าอาจจะได้คุกเป็นของแถม...!
              “ช่วงที่ไม่ได้อยู่ในป่า เคยได้ลงไปในถ้ำใหญ่ พื้่นที่ในถ้ำกว้างเป็นไร่ แต่เป็นน้ำไปเกือบทั้งถ้ำ
              ด้วยความอยากรู้ว่าลึกแค่ไหน ก็เลยเอาเชือกผูกเอว แล้วก็ให้ฤๅษีบุญทรงเขาจับเชือกไว้ แล้วอาตมาก็ลุยลงไป ทันทีที่ดำลงไปพร้อมกับเอาไฟฉายส่อง เหมือนกับเกิดควันใต้น้ำ พรึ่บขึ้นมามืดไปหมดเลย ก็เลยค่อนข้างมั่นใจว่าเขาคงจะไม่ให้ลง จำเป็นต้องกลับ
              เขตแดนบางอย่างเราลงไปส่งเดชไม่ได้ ต้องรอเขาอนุญาต จะเรียกว่าเป็นมิติซ้อนมิติก็ใช่ แต่ขณะเดียวกัน ถ้าเขาไม่เปิดให้ อย่างไรเราก็เข้าไม่ได้
              วันนั้นถึงลงไปได้ ก็ไม่แน่ใจว่าจะไปได้สักเท่าไรเพราะว่าทันทีที่พุ่งลงไป ส่องไฟลงไป เห็นเป็นเหวลึกไปจนสุดแสงไฟเลย อยู่ ๆ เป็นเหมือนตะกอนใต้นำ้หรือควัน พรึ่บขึ้นมาเฉย ๆ ลักษณะเหมือนกับว่ามีสัตว์ตัวใหญ่มาก ๆ สะบัดหางกวนน้ำขึ้นมาพอดี ก็เลยมองอะไรไม่เห็น ลงต่อไม่ได้ ต้องตัดสินใจกลับ”
*************************