ถาม :  การบรรลุธรรมนั้นจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องบรรลุธรรมในวัดหรือในป่า บรรลุธรรมในบ้านได้หรือไม่ ?
      ตอบ :  สถานที่ไหนก็ได้ถ้ามันเหมาะมันสม อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ว่าสถานที่สัปปายะ คือสถานที่มันเหมาะ หมายถึงอยู่ในที่สงัดไม่เกลื่อนกล่นไปด้วยผู้คน อาหารสัปปายะ หมายความว่า อาหารมันเหมาะกับธาตุขันธ์ของตัวเอง ไม่ใช่ว่าคนแพ้ข้าวเหนียวแล้วไปอยู่ภาคอีสานอย่างนี้มันก็แย่ อากาศสัปปายะ ก็คือว่าไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไปเป็นที่พอดีสบาย
              สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันมีส่วนมากสำหรับผู้ฝึกในระยะแรกเริ่ม แต่ว่าผู้ที่กำลังใจทรงตัวแล้วสถานที่ไหนก็เหมาะสำหรับท่าน ตรงจุดไหนก็ตามก็สามารถบรรลุมรรคผลได้ เพียงแต่ว่าความพยายามในการใช้มันมากน้อยต่างกัน ถ้าในสถานที่ ๆ เคยมีพระที่บรรลุมรรคผลอยู่ก่อนแล้วพลังงานของท่านจะหลงเหลืออยู่ พอเราไปตรงจุดนั้นพลังงานของท่านจะหนุนเสริม ทำให้กำลังใจของเรามันเข้าถึงธรรมได้ง่าย แต่ว่าถ้าไม่มีที่ในสถานที่นั้นต้องตะเกียกตะกายเอง เหมือนกับว่าสถานที่หนึ่งมีหนทางให้เราอาศัยขึ้นภูเขาได้ ได้รับการหักล้างถางพอมาดีแล้วมันก็จะสะดวกสำหรับเรา
              แต่ถ้าหากว่าเราต้องไปบุกป่าฝ่าหนามปีนเขาปีนห้วยเองมันก็ลำบากหน่อยแต่มันถึงเหมือนกัน ถ้าถามว่าสถานที่ไหนเหมาะ ทุกที่ก็ได้นะ แต่ถ้าหากว่าได้ที่ ๆ เป็นสัปปายะจริง ๆ ก็เป็นอันว่าอันนั้นน่ะวิเศษเลย
      ถาม :  คนในอดีตที่มาเกิดในชาติปัจจุบัน ถ้าเป็นคน ๆ เดียวกันมาเกิดแล้วเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะต้องมีหน้าเหมือนหรือคล้ายกัน ?
      ตอบ :  ไม่จำเป็น เพราะว่าเรื่องรูปร่างหน้าตานี่รูปร่างไม่เปลี่ยนจะมีรูปร่างคล้ายคลึงชาติเดิม แต่ว่าหน้าตาจะเปลี่ยนไปตามบุญตามกรรมที่ตัวเองทำ อย่างเช่นว่า ถ้าเจ้าโทสะก็จะขี้เหร่หน่อย ถ้าหากประกอบไปด้วยเมตตาหรือศีลนี่หน้าตาก็จะสวยงามเป็นที่ต้องตาต้องใจคนอื่นเขา แต่ว่าสิ่งที่ไม่ค่อยจะเปลี่ยน ต้องใช้คำว่าไม่ค่อยจะเปลี่ยนคือ
              ๑. ลักษณะรูปร่าง อาตมาเองเคยเห็นคนบางคนพอเห็นปุ๊บนี่สะดุดใจเลย พอนึกย้อนไปอ๋อ....ที่แท้เราเคยเห็นมาก่อน แต่ว่ามันไม่ใช่ชาตินี้ เคยสนิทสนมคุ้นเคยกันมาก่อน รูปร่างเขาเหมือนเดิมทุกอย่าง
              ๒. ลักษณะนิสัย เคยชอบอย่างไงก็จะเป็นอย่างนั้น กินอาหารแบบไหนถนัดเกิดมาชาตินี้มันก็จะกินแบบนั้น เพราะฉะนั้นลักษณะรูปร่างลักษณะนิสัยนี่มันไม่ค่อยเปลี่ยน แต่ลักษณะหน้าตานี่เปลี่ยนแน่
      ถาม :  ถ้าหน้าเหมือนกับชาติที่แล้ว ?
      ตอบ :  เป็นไปได้เหมือนกันก็แสดงว่าความดีเขาสม่ำเสมอ
      ถาม :  การที่ผู้ปกครองมีค่านิยมให้ลูกหลานให้เรียนถึงปริญญาตรีใช้เวลาเรียนถึง ๑๖ ปี ค่านิยมนี้บางครั้งเวลาจบออกมาก็ไม่มีงานทำ ขณะที่คนไม่ได้เรียนหรือเรียนน้อยกับประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน อย่างนี้ควรตั้งอารมณ์ความคิดไว้อย่างไร หรือถ้าเรียนทางโลกนั้นควรจะยึดถืออยู่ระดับใด ?
      ตอบ :  โบราณท่านบอกว่า รู้จริงแล้วสิ่งเดียวอาจมีมั่ง เลี้ยงชีพช้าอยู่ร้อยชั่วลื้อเหลนหลาน ขอให้ชำนาญจริง ๆ อย่างเดียวก็เป็นอันว่าคุณเอาตัวรอดได้แน่นอน การเรียนมากส่วนใหญ่มันจะตกลักษณะความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เพราะว่าความชำนาญจริง ๆ มันไม่มีอย่างหนึ่ง
              แล้วในขณะเดียวกันว่าอาจจะไปเรียนสิ่งที่ตัวเองไม่ได้รักไม่ได้ชอบเลย แต่ว่าโดนผู้ปกครองฝืนใจให้เรียน แล้วถามว่ารู้สึกอย่างไรในเรื่องเกี่ยวกับอันนี้ ใครก็ตามที่สามารถเอาตัวรอดได้ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้เรียน แต่ว่าเขาเรียนมหาวิทยาลัยของโลก เขาไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยของทางราชการ มหาวิทยาลัยของโลกประสบการณ์มันเยอะ ของสหรัฐเขาจัดโครงการไอสไตน์น้อย เขาจะเอาเด็กที่มีไอคิวสูงเกิน ๑๒๐ ขึ้นไปมาศึกษาเรียนรวมกัน ปรากฏว่าพังบรรลัยหมดเลย
              เพราะว่าเด็กพวกนี้มันมีแต่ไอคิว คือสมองในด้านกำหนดจดจำของเขา มันไม่มีอีคิว คือการรักษาอารมณ์ เขาเรียกว่าวุฒิภาวะ ในเมื่อวุฒิภาวะไม่พอเอาแต่ใจตัวเอง คิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองฉลาด ก็เลยเข้าสังคมกับเขาไม่ได้ พอเอาไปรวมกันก็แตกกันบรรลัยหมด
              เพราะฉะนั้นในเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราก็จะเห็นได้ว่า สิ่งที่เรียนมากฉลาดมากไม่ใช่จะประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ว่าคนที่รู้ว่าอะไรเหมาะอะไรควร รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง เอาตัวรอดได้ในสังคมในโลกกว้างนี่ถือได้ว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จน่าสรรเสริญ
      ถาม :  อย่างนี้ถ้าสมมุตเรามีลูกก็ไม่จำเป็นจะต้องตั้งเป้าว่าจะต้องจบปริญญาตรี ?
      ตอบ :  ไม่จำเป็น นั่นเป็นการบีบคั้นกดดันลูกมากเกินไป อย่างเช่น ตอนนี้อาตมาส่งเด็ก ๆ เรียนอยู่ก็บอกเขาว่าให้เรียนเต็มที่ ถ้าเราทำเต็มที่แล้วมันได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น หลวงพ่อไม่เคยตั้งความหวังอะไรกัีบหนูหรอก
      ถาม :  ถ้าฆราวาสได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วไม่ได้บวช ในวันรุ่้งขึ้นก็จะตาย ในปัจจุบันนี้ที่ผ่านมาไม่นานมีหรือไม่ครัึบ ?
      ตอบ :  มันน่าจะมีอยู่้ แต่ว่าของเราเองนี่เนื่องจากการพยากรณ์มรรคผลเป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ก็เลยไม่มีใครที่จะไปชี้ว่าคนนั้นเป็นพระอรหันต์ คนนี้บรรลุมรรคแล้วตาย แต่ขอยืนยันว่ายังมีอยู่ มีเป็นปกติด้วย ทำถึงเมื่อไหร่ถ้าหากว่าเป็นฆราวาสอยู่ก็ตายเมื่อนั้น
      ถาม :  การที่เราจะรู้ว่าของเก่าทุนเดิมของเราได้ฝึกในวิชชา ๓ หรือฝึกอภิญญามาอันนี้เราจะสังเกตดูได้จากไหน ?
      ตอบ :  อันนี้ดูจากจริต นิสัยเฉพาะตนโบราณใช้คำว่า อัชฌาสัย คือความรักชอบเป็นส่วนตัว ตัวเองชอบแบบไหน อย่างเช่น หลวงพ่อท่านเปรียบเทียบว่า เขาเอาของวางไว้ เราอยากรู้อยากเห็นว่ามันเป็นอะไรแล้วเราเปิดดู นี่ก็เป็นลักษณะของวิชชา ๓ ของเขา แต่ถ้าเปิดดูยังไม่พอเอาของเขามารื้อด้วยอย่างนี้เป็นอภิญญา ๖ ไอ้รื้อด้วยไม่พอมันจับวิจัยแยกธาตุเลยว่ามีสารประกอบอะไรบ้างพวกนี้ปฏิสัมภิทาญาณ
              เพราะฉะนั้นจริตของแต่ละคนดูออกได้เลยโบราณเรียกว่าอัชฌาสัย ถ้าพวกประเภทวางลงไปแล้วเขาบอกว่าเออแก้วน้ำนะอยู่ในกล่องนี้ เขาก็เชื่อว่าแก้ว แล้ววางลงไปที่เดิมนี่สุกขวิปัสสโกแน่นอน
      ถาม :  คนกล่าวกันว่าคนสมัยนี้อายุยืนขึ้นเพราะว่าการแพทย์สารธารณสุขดี จริง ๆ แล้วมีส่วนหรือไม่ หรือเป็นการทำปาณาติบาตน้อย ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าอายุยืนขึ้นนี่อานิสงส์ของการเว้นจากปาณาติบาตแน่นอน พระพุทธเจ้าตรัสอะไรไม่เคยเป็น ๒ สิ่งที่ท่านพูดต้องถูกต้องแน่นอน อย่าลืมว่าการแพทย์สมัยนี้ถึงมันจะเจริญขึ้นก็จริง แต่ถ้าบุญคนมันไม่เหมาะสมมันก็จะไม่ได้มาเกิด ในเมื่อเขามาแล้วอายุเขายืนขึ้น สามารถอยู่ต่อได้นานขึ้นก็แปลว่าตัวบุญที่เขาทำมามันส่งให้มาตอนช่วงนี้
      ถาม :  ก็ไม่เกี่ยวเรื่องแพทย์น่ะซิ ?
      ตอบ :  มันมีส่วนเกี่ยวอยู่ เรื่องการแพทย์ที่มันช่วยได้เพราะบุญเก่ามันเสริม มันต่างคนต่างเสริมกัน ถ้าไม่มีบุญเก่าก็ไม่มีโอกาสมาเกิดในยุคที่การแพทย์มันดี ๆ
      ถาม :  อ๋อ เขามาสรุปที่ว่าอายุยืนขึ้น......
      ตอบ :  ใช่ นั่นมันสรุปแค่ที่มันเห็นไง

      ถาม :  การจัดงานฉลองวันเกิดจริง ๆ แล้วจัดได้หรือไม่ เพราะว่ามีคนเขาบอกว่าจัดงานวันเกิดแล้วเป่าเค้กไม่มีผล ?
      ตอบ :  อันนั้นมันแล้วแต่เขา ถ้าเขาชอบอย่างนั้นแล้วสบายใจก็ให้เขาทำไป จริง ๆ แล้วลักษณะของงานวันเกิดนี่ของอาตมาเอง วันเกิดตัวเองนี่มันน่าจะนึกถึงพ่อแม่ของตัวเอง โดยเฉพาะแม่วันที่เราเกิดนั่นเป็นวันที่แม่เกือบจะตายใช่มั้ย ? บุญคุณของพ่อแม่ที่ทำให้เราเกิดมาได้พบพระพุทธศาสนาได้ปฏิบัติธรรมได้ถึงทุกวันนี้ พ่อแม่ให้ร่างกายเรามาแล้ว เรามาพบพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เกิดใหม่ทางใจอีกครั้งหนึ่ง พ่อแม่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
              ในแต่ละชาติที่เกิดมาบางชาติเราได้พบพระพุทธเจ้า บางชาติเราได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้าทีเป็นแสนองค์ บางชาิติเราได้พบพระอรหันต์ทีละหลาย ๆ องค์ แต่ว่าไม่ว่าชาติใดชาติหนึ่งเราก็มีพ่อหนึ่งองค์แม่หนึ่งองค์ เพราะฉะนั้นพ่อแม่น่ะพระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเป็นพระอรหันต์ในเรือน เป็นพระอรหันต์ในบ้านของตัวเอง
              เพราะฉะนั้นวันเกิดของตัวเองควรจะเป็นวันที่นึกถึงพ่อนึกถึงแม่ เป็นวันที่ควรจะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบพ่อกราบแม่ขอพรจะดีกว่า เสร็จแล้วเราจะทำบุญตักบาตรสร้างความดีในจิตใจของเราก็ทำไป แต่ว่าถ้าโดยในจริง ๆ แล้วสมัยนี้มันเฝือเกินไป โบราณเขานิยมทำบุญอายุครบ ๖๐ ปี ครั้งเดียวหลังจากนั้นแล้วก็จะทำลักษณะว่าครบ ๑๐ ปีทำทีหนึ่ง หรือครบรอบ ๑๒ ปีทำทีหนึ่ง จากนั้นก็จะเป็นครบ ๖๐ ๗๐ ๘๐ ๙๐ หรือไม่ก็จะเป็นครบ ๖๐ ๗๒ ๘๔ ๙๖ เขาจะไม่ทำกันพร่ำเพรื่อเหมือนสมัยนี้
              เพราะว่าสมัยโบราณเขาถือกันเหมือนกัน ยิ่งถ้าหากว่าคนที่เป็นคนที่นับถือของคนจำนวนมากแล้ว เวลาจัดงานลักษณะอย่างนั้้นคนก็จะแห่กันไปเอาของไปช่วยเอาเงินไปช่วยอะไรอย่างนี้ เขากลัวว่าการจัดงานมันจะเป็นการเบียดเบียนคนอื่นเขา ทำให้คนอื่นเขาลำบากเขาก็เลยไม่พยายามจัด แต่สมัยนี้ยิ่งพวกข้าราชการบิ๊ก ๆ นี่ขยันจัดกันทุกปี เพราะจัดแล้วได้ตังค์แน่ ๆ
      ถาม :  เขาเป่าเค้กก็ไม่บาปนะครับ ?
      ตอบ :  ก็ไม่เป็นไรหรอก ทำไปเถอะ
      ถาม :  .........(ไม่ชัด)............. ๗๙% การใช้พลังจิตคือการนำจิตใต้สำนึกของคนมาใช้ การสะกดจิตคนที่นอนหลับให้พูดหรือทำสิ่งต่าง ๆ หรือการใช้พลังจิต เช่น การใช้กระดาษตัดตะเกียบหรือการสะกดจิตให้คนสามารถยกของหนัก ๆ ได้ อย่างนี้เป็นอารมณ์ของสมาธิหรือไม่ และอยู่ในการใช้อารมณ์ของฌานหรือไม่ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเป็นอารมณ์ของสมาธิหรือไม่ มันเป็นสมาธิที่โดนชักจูงด้วยพลังงานภายนอก อย่างเช่นว่า พลังจิตของคนที่เขาสะกดนี่แล้ว ก็ไปดึงเอาพลังงานแฝงในร่างกายของเขาออกมา ทำให้เขาสามารถทำในสิ่งที่ปกติแล้วทำไม่ได้ออกมา แล้วถามว่าเป็นสมาธิหรือไม่ เป็นเหมือนกัน แต่ว่าเป็นโดยลักษณะชักจูงของเขาโดยเกิดการกระตุ้นจากภายนอก การกระตุ้นจากภายนอกนี่พวกสารเสพติดต่าง ๆ ก็จะกระตุ้นได้ อย่างเช่น กินยาม้าเข้าไปแล้วก็แข็งแรงผิดปกติอย่างนี้ เป็นต้น
              เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาบอกมามันใช่ของเขาตามหลักการค้นคว้าของเขา แต่ว่าสภาพของมันจริง ๆ แล้วจิตมีพลังงานมากกว่านั้นมากอย่างมหาศาลเลย พวกที่วิทยาศาสตร์เขาสามารถทำได้นั่นมันแค่ผิว ๆ อยากจะเรียกว่ายังไม่เข้าสู่หมายเลขหนึ่งซะด้วยซ้ำ ขณะที่จริง ๆ มีเป็นพันล้าน
      ถาม :  มันแค่เปลือก ๆ
      ตอบ :  แค่สะเก็ดด้วยซ้ำ ไม่ถึงเปลือกเลย อย่าว่าแต่กระพี้หรือแก่นเลย
      ถาม :  หลวงพ่อท่านเล่าว่าตอนที่ไปเทวสภาพบเทวดาเป็นสิบล้าน จริง ๆ แล้วเทวดาที่อยู่บนสวรรค์มีมากกว่านี้หรือไม่ และถ้ามากกว่าสิบล้านทำไมท่านถึงไม่ได้มาฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า หรือว่าท่่านมีภารกิจอย่างอื่นด้วย ?
      ตอบ :  สวรรค์ชั้นเดียวเทวดาก็เกินสิบล้านแล้ว มีตั้ง ๑๖ ชั้น แล้วเหตุที่ไม่มาฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าทั้งหมดก็เพราะว่า อันดับแรกที่ติดภารกิจ อย่างเช่นว่าต้องดูแลรักษาสถานที่สำคัญในพระพุทธศาสนา หรือว่าสิ่งที่เป็นทรัพย์ในแผ่นดินเป็นอะไร หรือไม่ก็อีกอย่างหนึ่งก็คือมัวแต่เพลินเพลินกับกามสุขจนไม่ได้้ใส่ใจกับการปฏิบัิติเพื่อความก้าวหน้าของตนเอง
              ส่วนหลังนี่มากนะ เพลินอย่างมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร อากาศจารีเทพบุตร ไปแงะออกจากวิมานยังไม่ค่อยอยากจะมา กว่าจะรู้ว่าตัวเองหมดอายุแล้วมีอายุขัยแค่ ๗ วัน ตกใจซะเหงื่อโทรมเลย นั่นน่ะขนาดนั้นยังเพลินยังไม่รู้ตัว
      ถาม :  ท่านพระโสดาบันที่ต้องมาเกิดอีก ถ้าเกิดมาในชาติต่อไปท่านจะเป็นพระโสดาบันโดยกำเนิดเลยหรือไม่ หรือต้องมาบรรลุธรรมใหม่อีกครั้งหนึ่ง ?
      ตอบ :  มันเป็นโดยกำเนิด สภาพจิตที่เป็นพระอริยะ อริยะแปลว่า มีแต่เจริญขึ้นไม่มีการเสื่อมถอย ของท่าน ๆ จะรักษาความเป็นโสดาบันโดยอัตโนมัติเลย แต่ว่าท่านก็ไม่รู้ตัวเองเป็นโสดาบัน ไม่รู้....แต่ว่ารักษาคุณสมบัติได้ครบถ้วนจนกว่าจะมีผู้รู้มาบอกว่าลักษณะอย่าง ๆ เป็นคุณสมบัติของโสดาบัน ท่านก็อ๋อ....ความจริงเราก็ทำได้นี่นา (หัวเราะ) เหมือนกับคนที่มีเงินอยู่ในกระเป๋า โห....เงินเต็มไปหมดถึงเวลาเอาเงินเอาทองออกมาตรวจมานับอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่รู้ว่าไอ้นั่นน่ะเป็นเงินเป็นทองของตัวเอง จนกระทั่งเขาบอกว่า เฮ้ย ! ไอ้ลักษณะนี้มันเป็นเงินเป็นทองนะ เอาไปใช้ได้ ก็ โถ....เรามีอยู่เยอะแยะไป