สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม :  คืนพรุ่งนี้ประมาณตี ๒ จะลุกขึ้นนั่งทำสมาธิตลอด ตานี้ช่วงที่แบบทำสมาธิจนถึงตี ๔ คือบางครั้งเราเดินจงกรมบ้างก็ทำไปแต่ส่วนมากจะใช้ “สัมปติจฉามิ” พอภาวนาไป ๆ มันเหมือนกับตัวเองมันหายไปเลยค่ะ แล้วมันจะมีความรู้สึกว่าเราภาวนาเหมือนจิตเรามันลอยเคว้งคว้างอยู่ มันเป็นเหมือนสุญญากาศค่ะ ตานี้มันมีความรู้สึกว่า เอ๊ะ ...มันเป็นอะไร ? ที่บ้านมันไม่มีแอร์ค่ะ ทีนี้มันเย็นทั้งตัวค่ะ มันเหมือนกับมันมีแอร์ค่ะ มัน ๆ เย็นเข้ามาไอ้ความรู้สึกมันจะเย็นจากหน้าค่ะ
      ตอบ :  (หัวเราะ) ตอนนั้นเจ๊งแล้วจ้ะ ไปสนใจกับมันอารมณ์ตรงนั้นจริง ๆ ให้รู้ไว้เฉย ๆ อย่าให้ความสนใจมันมาก รู้ไว้เฉย ๆ ก็พอ ว่าตอนนี้เกิดอย่างนี้ ตอนนี้เกิดอย่างนี้ ถ้าสายหลวงปู่มั่นให้บอกว่า รู้หนอ ๆ ใช่มั้ย ? รับรู้ไว้เฉย ๆ ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวดิ่งลงไป ขั้นตอนต่อไปมันจะเกิดขึ้นของมันเอง หรือถ้าหากว่าถ้าไม่รู้จะไปไหนให้ตั้งใจว่าเราจะไปนิพพาน ไปกราบพระพุทธเจ้าเอาแค่นั้น
      ถาม :  ตรง ๆ ที่อารมณ์แบบมันเฉย มันเบาเนี่ยค่ะ ไม่ทราบว่าจะทำยังไงต่อ ?
      ตอบ :  ก็บอกแล้วว่าให้รู้ไว้เฉย ๆ กำหนดใจรู้ไว้เฉย ๆ คือจริง ๆ แล้วคือมันไม่มีแล้วลมหายใจก็ให้รู้เฉย ๆ ว่าลมหายใจมันไม่มี มันเลิกภาวนาก็ให้รู้ว่ามันเลิกภาวนา ถ้าเรากำหนดใจสบาย ๆ ลักษณะปล่อยวางอย่างนี้มันจะดิ่งลึกลงไปเรื่อยนะจนกว่าจะถึงจุดเต็มที่ของมัน ซึ่งจุดเต็มที่ของมันนี่ต้องตั้งกำลังใจไว้นิดหนึ่งว่าเราต้องการเวลาเท่าไหร่ ถ้าเผลอ ๆ บางที ๓ เดือนมันไม่เลิก (หัวเราะ) ๓ เดือนไม่เลิกนี่มันอยู่สบายซะด้วยมันรู้สึกว่าแป๊บเดียวใช่มั้ย ? ตอนนี้ีตามรู้อย่างเดียว อย่าไปให้ความสนใจมันมากเห็นอะไรก็สักแต่ว่าเห็น
      ถาม :  .......................
      ตอบ :  ลักษณะนั้นแหละ คือว่ามันสักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าเห็น คือมันสัมผัสตาเห็นรูปก็สักแต่ว่าตาเห็นรูป แต่จิตไม่ปรุงแต่งต่อ หูได้ยินเสียงก็สักแต่ว่าได้ยินไม่ไปปรุงแต่งต่อ ชอบหรือไม่ชอบ เพราะหรือไม่เพราะ จมูกได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ไม่ไปปรุงแต่งต่อว่าหอมหรือไม่หอม ชอบใจหรือไม่ชอบใจ เหล่านี้เป็นต้น
      ถาม :  แล้วมีบางคนทำแล้วเขารู้ แล้วรู้อย่างเดียวแล้วเขาก็ย้อนกลับถอยไปอีก ....(ไม่ชัด)......?
      ตอบ :  อันนั้นตอนแรกมันจะอยู่ลักษณะที่ว่า เมื่อเห็นแล้วพยายามกันมันเอาไว้ก่อน จนกระทั่้งสติรู้เท่าทัน แล้วต่อไปมันต้องใช้ปัญญา เพื่อให้เห็นว่าทุกข์โทษมันเป็นอย่างไร อย่างเช่นว่า สายตาเราเมื่อเห็นรูปปุ๊บ ถ้าหากว่าเราไปคิดต่อว่ารูปนี้เป็นหญิงเป็นชาย สวยไม่สวย ชอบใจไม่ชอบใจ มันจะเกิดอารมณ์ตัวปรุงแต่งของจิตสังขารขึ้นมา ซึ่งจะสร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่เรา ในเมื่อปัญญาเห็นตัวนั้นปุ๊บก็จะหยุดความคิดคือหยุดตัวสังขารตัวปรุงแต่งลงเดี๋ยวนั้นเลย
              ถ้าหากว่าอย่างนั้นก็ไม่สามารถจะทำอันตรายท่านได้อีกอย่างนี้ มันจะมีในลักษณะที่เมื่อครู่ที่อธิบายไปก็คือว่า มันจะเป็นการข่มอารมณ์ไว้ก่อนจนถ้ามันรู้เท่าทัน พอมันรู้เท่าทันปัญญาเกิดมาเองเห็นทุกข์เห็นโทษก็ปล่อยมันไปเลย คราวนี้ไม่ต้องแบกมันแล้ว ตอนแรกยังกดมันอยู่
      ถาม :  อันนี้เรียกอารมณ์เข้าถึงอรหันต์หรือยังคะ ?
      ตอบ :  ไม่ทราบเหมือนกันจ้ะ
      ถาม :  อารมณ์อรหัตมรรคหนูยังไม่เคย ....(ไม่ชัด).....
      ตอบ :  (หัวเราะ) ไม่ทราบเหมือนกัน เขาเรียกอะไรไม่รู้ทำ ๆ ไปเถิด
      ถาม :  .................
      ตอบหลวงปู่มหาอำพันเป็นเจ้าคุณที่พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์บวชอยู่วัดเทพศิรินทราวาส เป็นรุ่นพี่ท่านเจ้าคุณนรฯ อยู่ ๘ เดือน แต่ว่าท่านเจ้าคุณนรฯ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกว่า ท่านก็เลยมอบตัวเป็นศิษย์ คือท่านเป็นพระที่ไม่มีมานะ พอรู้จักหลวงพ่อจากหนังสือประวัติหลวงปู่ปาน ท่านก็มอบตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อด้วย แล้วหลังจากนั้นท่านก็ผูกสมัครรักใคร่เป็นสหธรรมมิตรกับหลวงปู่ครูบาธรรมชัย หลวงปู่ครูชัยยวงศ์
              เวลามีงาน งานไหนงานนั้นจะเจอหลวงปู่ไปร่วมงานด้วยประจำใคร ๆ ก็ว่าหลวงปู่เป็นพระสุขวิปัสสโก แต่จากการอยู่รับใช้ใกล้ชิดแล้วเห็นว่าท่านทำได้เหมือนกับพวกได้อภิญญานะ คือว่าเรื่องของฤทธิ์นี่มันมีตั้ง ๑๐ อย่าง มันไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นอิทธิฤทธิ์คือพวกวิกุพนาฤทธิ์ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้น จะเป็นอธิษฐานฤทธิ์ บุญญฤทธิ์ ญาณฤทธิ์ อะไรได้ทั้งนั้น ก็เลยเพิ่งจะเห็นว่า อ๋อ....ที่แท้แล้วพระสุขวิปัสสโกถ้าจะเอาจริง ๆ แล้วเหลือเฟือ เพราะกำลังท่านพอ อยากให้เป็นอย่างไรก็เป็น
      ถาม :  เมื่อวานนี้ดูหมอ เขาพูดถึงเรื่องสุขวิปัสสโก...(ไม่ชัด)...?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าพระสุขวิปัสสโกปฏิบัติตามสายนั้น แต่ว่าวิสัยท่านเคยได้อภิญญา เคยได้ปฏิสัมภิทาญาณมาก่อนอย่างนี้ มีพื้นฐานสมาบัติ ๘ มาก่อน มีพื้นฐานกสิณ ๑๐ มาก่อน พอบรรลุมรรคผลท่านจะเป็นพระอภิญญา เป็นพระปฏิสัมภิทาญาณ เป็นไงฟังแล้วไม่รู้หลวงปู่มาจากไหน ท่านมรณภาพตอนอายุ ๘๘ ปีนี้ครบ ๑๐๐ ก็เท่ากับว่า ๑๒ ปีเต็ม ๆ มาแล้ว พอครบวาระสำคัญของครูบาอาจารย์ก็ทำบุญถวายท่าน
      ถาม :  มีเครื่องบินอยู่ลำหนึ่งครับ มีนักบินเป็นทหารก็ได้เดินทางไปภาคใต้ พอดีจังหวะผ่านไปที่นครศรีธรรมราช แล้วเกิดมีเมฆฝนขึ้นมา เขาบอกว่าหลังจากเกิดเมฆฝนแล้วก็ได้พบได้เห็นเมืองที่อยู่ข้างล่าง เป็นเมืองโบราณ เป็นเมืองร้าง แล้วก็ไม่มีผู้คนอยู่ในเมือง แล้วดูเลขไมล์ในเครื่องบินแล้วก็เข้าใจว่าเมืองนั้นเป็นเมืองนครศรีธรรมราช พอหลังจากนั้นก็ออกมาจากเมืองนั้นแล้วก็มาสอบถามกับผู้รู้เขาก็บอกว่าเมืองนั้นเป็นเมืองเก่าของเมืองนครศรีธรรมราช ไม่ทราบจริงหรือเท็จอย่างไร ?
      ตอบ :  จริงเท็จยังไง ต้องถามเขาซิ
      ถาม :  เป็นเรื่องที่ลงในหนังสือ
      ตอบ :  ถามอาตมานี่ตอบยาก เขาเห็นน่ะ เขาเห็นจริง ๆ แล้วก็อย่าลืมว่าทุกพื้นที่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า ไม่มีที่ใดในโลกที่ซากคนจะไม่เคยตายทับถมกัน เพราะฉะนั้นทุกสถานที่มันก็ควรที่จะเป็นบ้านเก่าเมืองเก่าแล้วทั้งนั้น แล้วเพียงแต่ว่าจังหวะที่เขาเห็นนั่นเป็นจังหวะช่วงไหน ถ้ามันถอยหลังมากเกินไป มันก็อาจไม่ใช่ช่วงเก่า ตอนนี้มันอาจจะเป็นช่วงเก่ามากกว่านั้นก็ได้
      ถาม :  คือผมไม่เข้าใจว่าถ้าเป็นเรื่องจริง ทำไมเขาถึงเห็นเป็นเพราะอะไร ?
      ตอบ :  ทำไมเขาถึงเห็น.....มันหลายอย่างด้วยกัน อาจจะเคยมีความผูกพันสถานที่นั้นมาพรรคพวกเก่า ๆ ก็เลยทำให้เห็น หรือไม่ก็ตอนนั้นสติ สมาธิ มันลงอุปจารพอดีมันก็เลยเห็น เป็นไปได้หลายรูปแบบด้วยกัน
      ถาม :  ครับ เพราะว่าผมเข้าใจว่าไม่มีไทม์แมชชีนมันคงจะมองไม่เห็น
      ตอบ :  ถ้าไม่มีไทม์แมชีนแล้วเห็นไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านคงระลึกชาติไม่ได้ทีละเป็นแสน ๆ กัปหรอกนะ

      ถาม :  ภาพยนต์เรื่องอุลตร้าแมนครับ ?
      ตอบ :  อุลตร้าแมนไม่เคยดู (หัวเราะ)
      ถาม :  คืออย่างนี้ครับ ผู้สร้างเขาบอกว่าหน้าของอุลตร้าแมนมีต้นแบบมาจากใบหน้าของพระพุทธรูป แล้วก็ไปต่อเติมหู ไปต่อเติมเขาอะไรอย่างนี้ครับ อยากจะเรียนถามว่าอย่างนี้เป็นการปรามาสพระพุทธเจ้าหรือไม่ ?
      ตอบ :  เขาออกแบบนี้ขึ้นมาโดยอาศัยแบบจากนั้นนะ เขาไม่ได้ไปเติมให้พระพุทธรูป ถ้าหากว่าเขาไม่ได้อยู่ในเจตนาที่จะมุ่งร้ายมันก็ไม่เป็นไร ถ้าเขาไปเติมให้พระพุทธรูปแล้วเจตนาหรือไม่เจตนาก็โดนแหง ๆ
      ถาม :  แล้วภาพยนต์ที่มีภาพการตัดเศียรพระน่ะครับ โดยที่ให้เหตุผลว่าเพื่อให้เกิดความสมจริง คนที่ตัดบาปไหมครับ ?
      ตอบถ้าหากว่าสร้างเป็นองค์พระขึ้นมาแล้วมีโทษนะ สร้างเป็นองค์พระขึ้นมาเขาถือเป็นพระพุทธรูปแล้ว โทษทำลายพระพุทธรูปก็รีบขอขมาพระรัตนตรัยซะโดยด่วนจี๋เลย
      ถาม :  มีพระภิษุสงฆ์รูปหนึ่งกำลังให้ศีลอยู่ เมื่อให้ศีลข้อที่ ๓ เสร็จแล้วก็ได้ถามพระข้าง ๆ ว่าเมื่อตะกี้ถึงข้อไหนแล้ว พระก็บอกมา แล้วก็ให้ศีลข้อ ๔ ต่อ อยากถามว่าถ้าเกิดพระผู้นั้นเป็นพระอริยเจ้าจะเป็นไปได้หรือไม่ที่มีอาการลืมเช่นนี้ ?
      ตอบ :  เป็นไปได้ เพราะว่ายิ่งท่านที่ได้ทิพจักขุญาณได้มโนมยิทธิหรือว่าอะไรนี่ บางทีการติดต่อกับพระกับพรหมกับเทวดาอะไรของท่านจะมีเป็นปกติอยู่ บางทีจะอาจจะเบนความสนใจไปทางด้านนั้นมากเกินไป ก็เลยทำให้ลืมไปว่าร่างกายมันทำงานไปถึงไหนแล้ว แล้วก็เป็นไปได้ เป็นบ่อยด้วย เคยเจออยู่
      ถาม :  ในหนังสือพระมหาชนก ในหลวงท่านทรงทำแผนที่ในหนังสือเพื่อที่จะแสดงเมืองต่าง ๆ ตามท้องเรื่องโดยมีระยะทางชัดเจน รวมถึงทะเลที่พระมหาชนกเดินทาง ไม่ทราบว่าในหลวงท่านใช้วิชาอะไร ?
      ตอบ :  (หัวเราะ) อันนี้ต้องกราบทูล.......
      ถาม :  หรือใช้ญาณ ท่านใช้ญาณอะไร ?
      ตอบ :  (หัวเราะ) กราบทูลถามโดยตรงจะง่ายกว่า ในหลวงได้ทิพจักขุญาณตั้งแต่ ๗ ขวบนะ เพราะฉะนั้นเรื่องอื่น ๆ ของท่านนี่ ถึงท่านจะอิงหลักวิชาการอิงอะไร แต่ว่าความสามารถพิเศษที่ทำมาได้ยาวนานขนาดนั้น นับว่าหลายสิบปีอยู่ ก็คงจะไม่ทิ้งหรอก เพราะฉะนั้นก็น่าจะมีส่วนของทิพจักขุญาณอยู่ด้วย
      ถาม :  ผมเข้าใจว่าทำยากครับ เพราะว่าของมันผ่านมานาน
      ตอบ :  มันไม่ใช่ ๒๕๐๐ กว่าปีนะ พระมหาชนกนี่ก่อนเป็นพระพุทธเจ้า นานมากนะ
      ถาม :  แล้วในแผนที่มีพื้นที่เป็นประเทศไทยเก่าด้วยก็เลยงง ๆ
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วโน่น กราบบังคมทูล ทรงทำอย่างไรพระเจ้าข้า ?
      ถาม :  มีคนกล่าวว่า คำว่า “ธรรมะ” คือหน้า ที่ แล้วก็ความหมายของคำว่า ธรรมะ จริง ๆ หมายถึงการทำหน้าที่ต่าง ๆ ของเราให้ดี ความหมายนี้ถูกต้องตามความประสงค์ของพระพุทธเจ้าหรือไม่ครับ ?
      ตอบ :  อ๋อ นึกว่าถูกหรือไม่ ถ้าถูกนี่ถูกของเขา แต่ถ้าถูกต้องตามความประสงค์ของพระพุทธเจ้าหรือไม่นั้น ถูกนิดเดียว
      ถาม :  ถ้าเกิดนำคำสอนเป็นคำสอนหลัก ๆ อย่างนี้ ?
      ตอบ :  ก็เจ๊งไปเลย (หัวเราะ) ที่เรียกว่าถูกนิดเดียวเพราะว่าเขาทำไปแค่นั้น ในเมื่อเขาทำไปแค่นั้นแล้วเขาเข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำนั้นก็คือธรรมะของพระพุทธเจ้า
      ถาม :  สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งเอาข่าวไม่ดีในวงการพระสงฆ์มาออกอากาศอยู่เป็นประจำ แต่ก็ยังมีพระดี ๆ อยู่มากแต่ไม่นำมาเสนอข่าวอย่างนี้ เป็นการทำลายศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพระศาสนาหรือไม่ และคนที่เสนอข่าวนี้มีอานิสงส์อย่างไรครับ
      ตอบ :  ดูว่าเขามีเจตนามั้ย ? ถ้าเขาเจตนาทำลายนี่อานิสงส์ลึกมาก (หัวเราะ) ถ้าหากว่าเขาไม่มีเจตนาเป็นการนำเสนอตามข้อเท็จจริงไม่เป็นไร เพราะเขาทำตามหน้าที่ของเขา แล้วอีกอย่างที่ทำไม่ดี เขาไม่เรียกว่าพระนะ มันขาดความเป็นพระไปแล้วซะส่วนใหญ่ใช่มั้ย ?
      ถาม :  ก็คือ.....จนเดี๋ยวนี้เขาก็ทำให้คนหลาย ๆ คนเขาคิดไปว่าไปทำบุญบ้านเด็กสงเคราะห์อะไรพวกนั้นยังดีกว่าทำกับพระครับ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าดีกว่าพระคงไม่ใช่หรอก แต่ว่าดีกว่านักบวชประเภทนั้นน่ะใช่ เพราะว่าต้องเลือกเนื้อนานี่ ในเมื่อเลือกเนื้อนาเขาก็ถือว่าเด็กอย่างน้อย ๆ มันก็ดีกว่าเพราะว่าคนที่ล่วงความผิดขนาดนั้นแล้วมันก็เป็นสัตว์นรกไปแล้ว นี่ยังเป็นมนุษย์อยู่ จากสัตว์นรกมาเป็นเปรต เปรตมาเป็นอสุรกาย จากอสุรกายเป็นสัตว์เดรัจฉาน จากสัตว์เดรัจฉานถึงเป็นคนได้ เป็นคนถ้าไม่มีศีล ถ้ามาเป็นคนมีศีลขาด เป็นคนมีศีลสมบูรณ์อย่างนี้ ถ้าเกิดเด็ก ๆ พวกนั้นมีศีลสมบูรณ์ขึ้นมานี่ อานิสงส์มีมากกว่าหลายเท่า
      ถาม :  เวลาออกโทรทัศน์ของพระสงฆ์ที่มีการนั่งอยู่ในโต๊ะระดับเดียวกัน คนที่นั่งเสมอกันบาปมั้ยครับ ?
      ตอบ :  หมายถึงฆราวาสหรือพระ ?
      ถาม :  ฆราวาสครับ
      ตอบ :  เอาอย่างนี้แล้วกันนะ สำหรับพระ พระถ้าหากว่าพรรษาห่างกันเกินกัน ๓ พรรษานั่งอาสนะเดียวกันนะ เขาปรับเป็น “สมานาสนิก” ก็คือว่านั่งอาสนะเดียวกับผู้ใหญ่ถือว่าเป็นการไม่เคารพกัน ของพระเขาปรับโทษ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าฆราวาสซึ่งถือเป็น “อนุปสัมบัน” คือผู้ที่ศีลไม่เท่ากันไปทำอย่างนั้นโทษมันจะมากกว่า แต่ถ้าหากว่านั่งเสมอกันโดยคนละอาสนะกัน คนละที่นั่งกันอันนั้นไม่เป็นไรคือจริง ๆ แล้วเจตนาของเขาไม่มีแต่ว่าสภาพมันบังคับ ถ้าไม่นั่งในลักษณะนั้นการถ่ายทอดการออกอากาศมันก็ลำบากหน่อย
      ถาม :  แต่จริง ๆ ในฐานะของพระสงฆ์น่าจะสูงกว่า ?
      ตอบ :  ใช่ในฐานะนั้นน่าจะสูงกว่า ก็จะไปยากอะไรล่ะ ก็จัดอาสนะในลักษณะที่....ถ้านั่งโซฟาใช่มั้ย ? โซฟาเหมือนกัน คนละตัวของพระก็ปูผ้าไปอีกซักผืนหนึ่งก็สูงกว่าแล้ว
      ถาม :  จริง ๆ แล้วเวลาที่ดีใจหรือซาบซึ้งใจในความดีของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ควรร้องไห้หรือไม่ถ้าตั้งอยู่ในอารมณ์ของกรรมฐาน ?
      ตอบ :  ถ้าตั้งอยู่ในอารมณ์ของกรรมฐานเขาไม่ร้องให้เสียเวลาหรอก (หัวเราะ) โดยเฉพาะถ้าอารมณ์ใจตั้งมั่นตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปเขาก็ไม่ร้องแล้ว เพียงแต่ว่าถ้าคลายมานี่แล้วอาจจะแงใหม่