เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๓
ถาม : พระที่วัดบวชได้สองเดือน แล้วเห็นนั่นเห็นนี่ เห็นเทวดา เกรงว่าท่านจะพลาด ไม่รู้จะพูดกับท่านอย่างไรดี ?
ตอบ : ถามท่านว่า พรุ่งนี้มีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นบ้าง ? หรือมีโยมคนไหนจะมาวัดบ้าง ? เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ? ใส่เสื้อผ้าสีอะไร ? ขับรถสีอะไร ?
เสร็จแล้วก็จดไว้เป็นการพิสูจน์ ถ้าไม่สามารถพิสูจน์ตรงจุดนี้ได้ ก็บอกท่านว่า อย่าพูดดีกว่า เดี๋ยวเสียพระเปล่า ๆ ถ้าเตือนท่านได้บอกท่านว่าอย่าไปสนใจนิมิต เพราะหลงทางมามากแล้ว
************************* 4
ถาม : เวลานั่งมองสายน้ำ รู้สึกเหมือนตัวเองโดนดูดไป แล้วจะลืมทุกอย่างรอบข้าง เหมือนอยู่ในภวังค์ตัวเองได้ช่วงหนึ่ง ถ้าไม่มีใครมายุ่งอะไร สามารถอยู่ตรงนั้นได้ ๓- ๔ วัน ?
ตอบ : ทำบ่อย ๆ ไม่ต้องกินอะไร ๓- ๔ วัน ประหยัดดี นั่นเป็นสมาธิอย่างหนึ่ง
ถาม : ไม่ได้ตั้งใจทำ เป็นเอง ?
ตอบ : ถ้าพื้นฐานมีอยู่แล้ว หากสิ่งรอบข้างอำนวยก็จะเป็นไปเอง ไม่ต้องไปตั้งใจมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของการปฏิบัติ ถ้าเรายังตั้งใจอยู่ แปลว่าเรายังอยากอยู่ ถ้าอยากอยู่โอกาสได้มันน้อย ถ้าไม่ตั้งใจแปลว่าไม่อยากยิ่งได้ง่ายขึ้น
*************************
ถาม : บางคนถือศีลแปด บอกว่ากินน้ำเต้าหู้ หรือโอวัลตินได้ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระเขาห้าม แต่เป็นฆราวาสกินไปเถอะ เพราะว่าพระเขาให้แยกแยะว่าสิ่งไหนเป็นอาหาร สิ่งไหนเป็นปานะ
โอวัลตินมีส่วนผสมของข้าวมอลต์ มีส่วนผสมของไข่ไก่ที่เป็นอาหาร ถือว่าเป็นอาหาร ส่วนน้ำเต้าหู้ผลิตมาจากถั่วเหลืองที่เขาถือว่าเป็นอาหาร เพราะฉะนั้น...ของพวกนี้ ถึงเป็นน้ำปานะก็ไม่ควรสำหรับพระท่านห้ามเฉพาะพระ ไม่ได้ห้ามฆราวาส
ถาม : แต่ถ้าเราไม่กินเลย ก็ถือว่าได้ศีลแปดไปในตัว ?
ตอบ : ถ้าหากสามารถห้ามได้เลย ก็ถือว่าเยี่ยม
ถาม : แล้วครีมกันแดด ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วที่ท่านห้าม ก็คือ ห้ามแต่งตัวเพื่อไปยั่วเพศตรงข้าม
*************************
ถาม : ผมบวชและปฏิบัติสายพระป่า ต้องทำสามาธิแบบไหนจึงจะพอ เคยศึกษาสายหลวงพ่อฤๅษี ท่านบอกว่าเอาเฉพาะท่านที่เราทำได้ พอไปอีกทางหนึ่ง เวลาปวดขาหรือเวทนารบกวน ท่านบอกว่า แค่ตอนนั่งสมาธิเราปวดขา ก็ยังทนไม่ได้ ตอนจะตายแล้วเวทนามารบกวน เราสามารถที่จะพ้นได้หรือ ? อย่างไรจึงจะเรียกว่าพอดีสำหรับเราครับ ?
ตอบ : เราอยากทนไหมละ ?
ถาม : ไม่อยากทนครับ ?
ตอบ : ถ้าอยากทนก็ไปฝึกอย่างนั้นต่อ ถ้าไม่อยากทนก็ไปฝึกอย่างหลวงพ่อฤๅษี
ถาม : ปลายทางเหมือนกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ค่อยเหมือน การศึกษาปฏิบัติมี ๔ แนวทางด้วยกันก็คือ ปฏิบัติยากบรรลุยาก ปฏิบัติยากบรรลุง่าย ปฏิบัติง่ายบรรลุง่าย ปฏิบัติง่ายบรรลุยาก
ถาม : ปฏิบัติง่ายบรรลุง่ายใช้แนวทางไหนครับ ?
ตอบ : ใช้สมาธิสูงสุดที่เราทำได้ ฌานสี่หรือสมาบัติแปดยิ่งดี กดกิเลสเอาไว้ก่อน แล้วบีบคอให้กิเลสตายไปเลย
ถาม : บีบคอให้ตาย ?
ตอบ : กิเลสกับเราหน้าตาเหมือนกันทุกอย่างเลย พอบีบคอเข้าก็ชักดิ้นจะเป็นจะตาย แล้วคิดว่าเป็นตัวเราเองที่จะตาย เราก็มักจะไปรามือให้ทุกที พอเห็นว่าทำหน้าตาเหมือนเราเข้าหน่อย รีบไปเมตตากิเลสเชียว
โบราณเขาจึงได้บอกว่า ให้ตั้งใจว่าตายเป็นตาย ถ้าไม่คิดอย่างนั้นแล้วกิเลสจะหลอกเราทุกครั้ง
ถาม : การบีบคอเราใช้อะไรครับ ?
ตอบ : จะใช้สมาธิอย่างเดียวก้ได้ แต่ว่าจะต้องยาวนานพอ จะใช้วิปัสสนาญาณอย่างเดียวก็ได้ แต่ต้องมั่นคงพอ
คราวนี้วิปัสสนาญาณจะให้มั่นคงก็ไม่ได้ เพราะสมาธิมีน้อย สมาธิจะให้กดกิเลสจนตายก็ยากอีกเหมือนกัน เพราะว่าขาดความแหลมคม ก็เลยต้องใช้สองอย่างรวมกัน ก็คือ ภาวนาและพิจารณา ถ้าหากกำลังสมาธิคลายตัวก็ภาวนาใหม่ สลับไปเรื่อย ถ้ากำลังพอเมื่อไร รู้เห็นตามความเป็นจริงได้ ก็จะวางได้เอง
*************************
ถาม : พ่อผมเป็นมะเร็งลำไส้ เขาให้มากราบเรียนถามว่า มียาอะไรที่พอจะรักษาโรคมะเร็งได้ ?
ตอบ : ต้องดูว่าอาการถึงระดับไหนแล้ว ถ้าหากยังไม่เกินระยะที่สอง สมุนไพรยังพอประทังได้อยู่
เอาขมิ้นชัน ๑ หัวแม่มือ และหญ้าแพรก ๑ กำมือ ล้างให้สะอาด แล้วตำให้ละเอียด ละลายน้ำปูนใส คั้นให้ได้สัก ๑ ถ้วยชา กินก่อนอาหารเช้าสักครึ่งชั่วโมง วันละถ้วย สามวันเท่านั้น
ถาม : ถ้าเกินขั้นสองก็ไม่มีผลใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเกินขั้นสองไปแล้ว ก็ทำใจเถอะ กินไปก็ช่วยบรรเทาเท่านั้น รักษาไม่หายหรอก
*************************
“จริง ๆ แล้ว พระที่ไม่ถึง ๕ พรรษา พระพุทธเจ้าท่านสั่งห้ามไว้เลยว่า ไม่ให้ไปพ้นจากครูบาอาจารย์ แต่ส่วนใหญ่พวกเรามั่นใจตัวเองจนเกินเหตุ ในเมื่อมั่นใจในตัวเองจนเกินเหตุ อยากจะไป...ผมไม่ได้ห้าม แต่ให้เข้าใจว่าเราแบกอาบัติติดตัวไปตลอดเวลา เพราะว่าเราไปฝืนในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน เท่ากับเราไม่ได้เอื้อเฟื้อ (เคารพ) ในพระวินัย
ในเมื่อเราต้องอาบัติอยู่ทุกวัน เผลอวันไหนก็ซวยวันนั้นแหละที่ไม่ได้ห้าม เพราะจะกลายเป็นว่าผมไปอิจฉาเด็ก ก็เลยปล่อยให้เด็กซวยกันเองตามอัธยาศัย ในเมื่อบวชเข้ามาแล้วไม่ศึกษากันเองว่าจะต้องทำอะไรกันบ้าง อยากจะไปก็ไป
อาตมาก่อนจะบวช ศึกษากติกาการบวชอยู่สองปี เริ่มตั้งแต่อดข้าวเย็นเลย วัดสายของหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง เขาเป็นตาผ้าขาวก่อนอยู่ ๑ หรือ ๒ ปี แล้วแต่ศรัทธา แต่ให้ปฏิบัติในศีล ๒๒๗ แบบพระเลย ทีนี้ตัวเองเป็นผ้าขาวปฏิบัติศีล ๒๒๗ ถ้าผิดก็ไม่มีโทษ ถ้าปฏิบัติจนชินมั่นใจแล้วบวชได้ ถึงเวลาเป็นพระก็จะไม่ผิด
แต่พวกเรานี่การฝึกปฏิบัติต่าง ๆ ก็ไม่มี แถมห่างไกลครูบาอาจารย์ ก็หนักเข้าไปใหญ่ แทนที่จะดีจะมีแต่เสียมากกว่า”
ถาม : บางท่านก็บอกว่ากรู้แล้ว รู้มากกว่าเราอีก เราก็ไม่อยากพูด บางทีก็เป็นเพื่อนกัน ?
ตอบ : ตอนนี้คุณเป็นเจ้าอาวาส เป็นผู้บังคับบัญชา จำเป็นต้องพูด ไม่พูดไม่ได้ ทีนี้ถ้าเราจะพูดแล้วเขาเชื่อได้ ก็ต่อเมื่อการปฏิบัติของเราต้องเคร่งครัดกว่า ก็จะซวยตรงนี้ เพราะต้องแบกภาระทั้งข้างนอกและข้างใน
*************************
“เรื่องของพระหรือฆราวาสก็ตาม ถ้าเจ้านายเรียกใช้คนไหนแล้วได้อย่างใจ เขาจะเรียกใช้แต่คนนั้น
อาตมาโดนจนเข็ด บางทีเราก็ต้องทำเป็นไร้สมรรถภาพบ้าง แต่ก็ทำใจไม่ได้อีก เราทำนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ยังรู้สึกว่าดีกว่าคนอื่นเขา แล้วจะหมดสมรรถภาพได้อย่างไร ? เพราะฉะนั้น...จงเหนื่อยต่อไปเถอะ
พวกเราอยู่ในลักษณะอาสาศึกจนตัวตาย ถ้ายังไม่ตายเขาก็ใช้ไปเรื่อย เป็นกันมาตั้งแต่โบราณแล้ว ถึงเวลาความสบายเป็นของคนอื่น เป็นผู้น้อยค่อยก้มประนมกร ลำบากก่อนแล้วก็ตายเมื่อปลายมือ...! อาตมาไม่ได้ประชดนะ พูดจากเรื่องจริงที่เจอมา”
*************************
ถาม : แม่อธิษฐานว่า ขอให้คนที่คิดร้ายแพ้ภัยตัวเอง กระแสตอนที่แม่พูดเหมือนเป็นความร้อนรน คล้าย ๆ กับแค้น ?
ตอบ : ไม่เป็นไร กำลังใจของแม่ยังแค่นั้น ปล่อยท่านไปก่อน
ถาม : เราเป็นลูกควรช่วยอย่างไร เพื่อให้จิตใจของแม่เย็นลง ?
ตอบ : จนกว่าเราเองจะเย็นจริง ๆ ถ้าเราเย็นจริงได้เมื่อไร ท่านรับได้ ท่านก็จะตามมาเอง
ถาม : ทำอย่างอื่นไม่ได้ใช่ไหม ?
ตอบ : พูดกรอกหูท่านไปเรื่อย ๆ ว่า ถ้าเราตั้งใจทำดีจริง ๆ คนชั่วก็แพ้ภัยไปเอง ไม่ต้องไปคิดไปแค้นก็ได้
*************************
ถาม : เขานั่งคุยกับผมและจับลมหายใจไปด้วย เขารู้สึกว่าคำพูดผมเหมือนกับห่างออกไปเรื่อย ๆ เขาควรจะทำอย่างไรดีครั บ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นแปลว่าสมาธิลึกลงไปเรื่อย พอสมาธิลึกลงไปเรื่อย สิ่งที่ตาได้เห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส ก็จะเบาลงไปเรื่อย
ถาม : ทันทีที่เขามาจับความสนใจที่ผมพูดต่อ ก็จะดึงกลับออกมา ?
ตอบ : คลายออกมา แต่ถ้าเขาปล่อยยาวออกไป ก็จะเป็นอัปปนาสมาธิ
ถาม : เป็นการแบ่งจิตเป็นสองส่วนใช่ไหมครับคือส่วนหนึ่งจับลมหายใจ ?
ตอบ : ใช่…แต่ถ้าไม่คล่องตัวก็จะทำยาก เอาสมาธิให้แน่นไปก่อน หลังจากนั้นค่อยมาแบ่งทีหลัง
ถาม : แต่เขาขับรถอยู่ด้วย ?
ตอบ : ขับรถอยู่ด้วย คนอื่นอาจจะเดือดร้อนได้ คือตัวเองไม่เป็นไรหรอก สมาธิที่ทรงระดับฌานกำลังของฌานป้องกันเราได้ แต่ถ้าเกิดไปชนคนอื่นเพราะร่างกายเราขับรถไม่ได้ คนอื่นก็ซวยไป...!
*************************
ถาม : เวลาที่จับลมหายใจออกนั้น ยาวก็ฟุ้งซ่าน พอภาวนาว่า พุท ก็ใช้เวลาครู่เดียว แต่เวลาที่เหลือก็เยอะ ถ้าเราจับพุทไปด้วยจับลมชีพจรไปด้วยแบบนั้น ถือว่าใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเวลาเหลือ ให้เพิ่มเข้าไปอีก อาจจะเป็นพุทโธ ๆ ๆ ๆ ๓ ครั้งต่อ ๑ ลมหายใจเข้าก็ได้
ถาม : จับชีพจรด้วจะดีไหมครับ หรือเป็นการไปยุ่งกับร่างกาย ?
ตอบ : ถ้าหากไปสนใจอย่างอื่นมาก สมาธิก็จะไม่ทรงตัว นั่นใช้สำหรับคนที่เขาคล่องตัวแล้ว ทรงสมาธิได้ทุกเวลาที่ต้องการ แล้วเขาไปแบ่งกำลังใจสนใจหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้ ถ้ายังไม่คล่องเอาทีละอย่างดีกว่า
ถาม : ที่เขาพยายามไปจับอยู่ตรงปลายนิ้ว ปลายเท้า พวกนั้นสำหรับคนคล่องใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่คล่องตัวไปทำอย่างนั้นเดี๋ยวก็เพี้ยน...!
*************************
ถาม : ปฏิบัติมาค่อนข้างตึง ๆ และแน่น ?
ตอบ : อย่าไปสนใจอาการทางร่างกาย ตั้งใจว่าเรากำลังทำความดีอยู่ ถึงจะตายลงไปก็ช่าง สักแต่ว่ากำหนดรู้ไว้ว่าอาการเป็นอย่างนี้
ถาม : ปล่อยไปเรื่อย ๆ ?
ตอบ : ถ้ายังมีคำภาวนาใช้คำภาวนา ถ้ายังมีลมหายใจดูลมหายใจ ถ้าไม่มีกำหนดรู้แค่อาการที่เป็นตอนนั้น อย่าอยากให้หาย และอย่าอยากให้เป็น แล้วจะเป็นสมาธิลึกเข้าไปเอง ถ้าเราอยากให้หายจากอาการนั้น หรือภาวนาแล้วอยากให้เป็นอย่างนั้น ก็จะไม่เป็น เพราะเราไปอยาก...!
*************************
ถาม : ภาวนาแล้วสว่าง ?
ตอบ : ช่างมัน...ถ้าเราไปใส่ใจ สมาธิจะเคลื่อน
ถาม : รู้สึกว่าตัวไปตรงสว่าง ๆ ลอยไปตรงนั้น ?
ตอบ : ไปได้ก็กลับได้ ไม่มีอะไรที่เรารักยิ่งกว่าชีวิตนี้หรอก ไปไกลแค่ไหนก็กลับ ดังนั้น...ถ้าอยากไปก็ไป ไปแล้วพบเห็นอะไรก็ตั้งสติไว้ เจอพระไหว้พระ เจอเทวดาไหว้เทวดา อย่าไปขอหวยก็แล้วกัน
*************************
ถาม : พระธรรมยุตกับพระมหานิากย ต่างกันตรงไหน ?
ตอบ : ต่างกันโดยนัยของการปฏิบัติ แต่ในเรื่องของหลักศีล สมาธิ ปัญญา ไม่มีอะไรต่างกัน ที่ต่างกันอย่างเช่นว่า พระธรรมยุติท่านไม่จับเงิน ถึงเวลาท่านเดินเท้าเปล่าไม่สวมรองเท้า ท่านไม่ฉันนม ฯลฯ
จะว่าไปแล้ว เรื่องพวกนี้เป็นการปฏิบัติของศีลในส่วนของอภิสมาจาร คือเน้นใน รายละเอียด ใครสามารถทำได้ก็เป็นการดี เพราะว่าจิตยิ่งละเอียดการเข้าถึงธรรมก็ยิ่งสูง แต่ที่พบโดยส่วนใหญ่ ท่านปฏิบัติแล้วไปยึดมั่นถือมั่นว่าตัวท่านดีกว่า กลายเป็นมานะถือตัวถือตน ก็เลยเข้าใจว่าส่วนน้อยที่เข้าใจถูกแล้วปฏิบัติได้ดีเลย แต่ส่วนใหญ่ที่ไม่เข้าใจ ก็ยึดมั่นถือมั่น ตัวกูของกูหนักเข้าไปอีก
อย่างเวลาพระมหานิกายไป ท่านจะมองเราเป็นแค่เณรเท่านั้น เรามีอายุพรรษามาก เขาก็แค่ให้นั่งเหนือเณร จะไม่มีโอกาสนั่งตามพรรษาตัวเอง ขณะเดียวกัน เราไปหยิบไปจับข้าวของของท่าน บางท่านไม่เกรงใจ สั่งเณรประเคนใหม่เดี๋ยวนั้นเลย
อาตมาเองทั้ง ๆ ที่มีฎีกานิมนต์ ไปวัดเขาแล้วขึ้นวัดไม่ได้ เขาไม่ให้ขึ้นศาลาสวดมนต์ เพราะตอนนั้นไปนุ่งห่มสีเหลืองต่างจากเขา ก็เลยต้องนั่งอยู่ข้างล่าง พระที่ท่านนิมนต์เรามาก็หน้าเสีย วิ่งตาลีตาเหลือกมาบอกว่า “ผมไม่นึกเลยว่าเขาทำกับท่านอาจารย์ขนาดนี้” บอกท่านไปว่า “คุณจะไปเดือดร้อนอะไร คุณเห็นหรือเปล่าผมนั่งอยู่กับโต๊ะจีน สวดก็ไม่ต้องสวด ถึงเวลาก็รับปัจจัยเท่าเขา แถมการนั่งอยู่ที่โต๊ะจีนแบบนี้รับประกันซ่อมฟรีด้วยไม่อดแน่” แต่คนที่คิดอย่างอาตมาไม่ค่อยมี
*************************
ถาม : เขาบอกว่า เพศที่สามไม่มีโอกาสบรรลุ ?
ตอบ : ใครบอก ?
ถาม : อ่านหนังสือมา ?
ตอบ : ถ้าหากไม่ใช่พระพุทธวจนะ อย่าเพิ่งไปเชื่อ การสร้างบารมีของบุคคล ชาติแรก ๆ จะเริ่มเป็นผู้หญิงก่อน พอบารมีเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ถึงอุปบารมีขั้นปลาย ก็จะเริ่มเป้นผู้ชาย อันนี้เป็นไปตามสภาวะเลย
ก่อนที่จะเกิดเป็นผู้ชายก็จะมีนิสัยของผู้ชายปรากฎก่อน ก็จะกลายเป็นหญิงห้าวสาวหล่อ เราก็จะไปเรียกเขาว่า “ทอม” พอข้ามไปเป็นผู้ชายใหม่ ๆ นิสัยบางส่วนของผู้หญิงยังติดอยู่ เราก็ไปว่าเขาเป็น “ตุ๊ด” แต่ความจริงเป็นเรื่องปกติ จะเป็นอย่างนั้นไประยะหนึ่ง
ถามว่าก่อนหน้านั้นไม่มี แล้วทำไมสมัยนี้มี ? ก็เพราะระยะนี้พวกท่านทั้งหลายเหล่านี้มาเกิดมาก คราวนี้พอพัฒนาไปเรื่อย ๆ ถึงอุปบารมีขั้นปลาย โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคผลก็เริ่มมี ฉะนั้น...ที่บอกว่าไม่มีโอกาสเข้ามรรคผลเลย...ไม่ใช่ ต้องดูระยะเวลาและสิ่งที่เขาทำด้วย ท่านทั้งหลายเหล่านี้มีความแข็งแรงของผู้ชาย และมีความละเอียด และมีความละเอียดของผู้หญิง เพราะฉะนั้น...เขาทำงานได้ดีกว่าเราเยอะเลย
ถาม : (ไม่ได้ยิน) ?
ตอบ : มีเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่บางส่วนนั้นมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ผู้หญิงบางท่านถึงแม้จะเป็นปรมัตถบารมี แต่ก็ยังต้องเกิดเป็นผู้หญิง ก็เพราะว่าอธิษฐานมาเป็นพุทธมารดาหรือเนื้อคู่ของพระโพธิสัตว์
อีกประเภทหนึ่ง ผู้ชายเกิดเป็นผู้หญิงนั้นเพราะเจ้าชู้ เขาต้องการให้เกิดเป็นผู้หญิง จะได้รู้ว่าช้ำใจอย่างไร ถ้าอย่างนั้นก็คือเป็นหญิงเลย แม้จะมีนิสัยใจคอรวบรัดเหมือนผู้ชาย แต่ก็เป็นผู้หญิงอยู่ดี ไม่ใช่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ
*************************
ถาม : คนที่เกิดมาบำเพ็ญเพื่อเข้าพระนิพพาน ทำไมใช้ระยะเวลาไม่เท่ากัน ?
ตอบ : ระยะเวลายาวสั้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสามัญสำนึกของตน ถ้าสมัญสำนึกรู้สึกว่าพอแล้วก็จะไปเร็ว แต่ถ้ารู้สึกว่ายังไม่พอก็ไปต่ออีกเรื่อย โดยเฉพาะแต่ะลอย่างที่เข้ามาในชีวิต มักจะเป็นสิ่งที่เราชอบ
ถ้าเป็นส่ิงที่เราไม่ชอบ เราจะตั้งหน้าตั้งตาผลักไสไปตั้งแต่แรก ก็จะผ่านได้ง่ายกว่า แต่สิ่งที่เราชอบ เราไม่อยากจะผลักไส ก็กลายเป็นว่าต้องใช้ สติ สมาธิ ปัญญา ที่สูงกว่ามาก ไม่อย่างนั้นก็หลุดพ้นไม่ได้
เพราะฉะนั้น...แต่ละอย่างที่กิเลสเอามาเป็นตัวถ่วงเรา เป็นของที่เราชอบทั้งนั้น แต่เราชอบแค่ไหนก็ต้องตัดใจ เช่น ไม่กิน ถ้าไม่กินได้อย่างอื่นก็เลิกได้เหมือนกัน เพราะใช้กำลังใจเท่ากัน
*************************
ถาม : (ไม่ได้ยิน) ?
ตอบ : การปฏิบัติไม่มีทางลัด มีแต่ทางตรงและลำบากทุกอย่าง เพียงแต่ว่าถ้าหากเราต่อสู้ ก็ไม่มีอะไรเกินความสามารถ ยกเว้นว่าเราไม่สู้เท่านั้น
ในเมื่อเราเห็นว่านี่เป็นทางเดียวที่จะหลุดพ้นได้ ก็ต้องทุ่มเทจริงจัง รักษาศีลก็ต้องรักษาจริง ๆ ทำสมาธิก็ต้องทำสมาธิจริง ๆ ใช้ปัญญาพิจารณาก็ต้องพิจารณาจริง ๆ ฉะนั้น...ต้องทุ่มเทจริงจัง ทำเล่น ๆ ไม่ได้ อันนี้เป็นการศึกการสงคราม ทำเล่นเมื่อไรก็ตายฟรี...!
*************************
ถาม : เคยฝึกมโนฯ ครึ่งกำลังที่ซอยสายลม ตอนนี้ปฏิบัติภาวนาพุทโธ แต่ว่าภาวนาพุทโธแล้วมีแสงสว่างอะไรมา ท่านก็ให้ทิ้ง ให้ภาวนาพุทโธแบบเร็ว ๆ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าเราจะเอาแบบไหน ถ้าพุทโธต้องเอาพุทโธ แต่ถ้านะมะพะธะ แล้วเห็นแสงสว่างมาก็ต้องไปกับแสง ขึ้นอยู่ที่เรา เราต้องเลือกให้แน่นอนสักอย่าง
ถ้าทำกรรมฐานหลายอย่าง แล้วยังไม่ถึงที่สุดจริง ๆ มักจะไม่ได้ผล ต้องทำให้ได้ผลไปทีละอย่าง
*************************
ถาม : นั่งสมาธิแล้วบังเอิญเกิดนิมิตกสิณ จะจับนิมิตนั้นต่อไปหรือว่าต้องทิ้ง ?
ตอบ : ลองไปบังเอิญใหม่อีกที ถ้าทำได้เลยเราก็จับนิมิตต่อไป แต่คราวนี้จะยากตรงที่เราไปอยากได้ ถ้าเราทำแล้วเราไม่อยากได้...เดี๋ยวก็มาอีก ถ้าเราทำแล้วไปอยากได้อย่างนั้อีก ก็จะไม่มา ไปลองบังเอิญอีกสักทีก็แล้วกัน ถ้าได้อีกก็ให้จับนิมิตนั้นต่อไปเลย
ถาม : ต้องไปอยู่วัดหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปที่ไหนหรอก เพราะไม่ว่าที่ไหนเราก็ต้องทำด้วยตัวเราเอง มีอย่างเดียวก็คือ ตั้งหน้าตั้งตาทำให้จริงจัง ไปที่ไหนก็ตาม ครูบาอาจารย์ก็มีหน้าที่บอกเท่านั้น แต่ที่ต้องฝึกก็คือเราเอง สำคัญที่ว่าเราจะทำจริงไหม ?
ถ้าทุ่มเทให้จริง ๆ ก็ได้ผล ถ้าไม่ทุ่มเทเดี๋ยวก็สลายตัว เพราะกระแสโลกแรงกว่า
*************************
ถาม : ภาวนาโดยดูองค์พระ คำภาวนาจะเป็นอะไรก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นภาพพระ ใช้คำภาวนาที่เป็นพุทธานุสติก็จะตรงกว่า ใช้พุทโธก็ได้ หรือจะเป็น อิติปิโสฯ ทั้งบทก็ได้ สัมมาอะระหังก็ได้
ถาม : เคยได้ยินว่า ถ้าสนใจอภิญญาให้ภาวนาว่า สัมปะจิตฉามิ ใชไ่หมครับ ?
ตอบ : สัมปะจิตฉามิก็ได้ แต่ว่าต้องทำจริง ๆ อย่างน้อย ๆ ต้องภาวนาต่อเนื่องเช้าชั่วโมงหนึ่ง...เย็นชั่วโมงหนึ่ง เรื่องของอภิญญาต้องสม่ำเสมอ และจริง ถ้าไม่สม่ำเสมอแล้วเกิดยาก
ถาม : ถ้าจับองค์พระแล้ว ไม่ต้องกลับไปกสิณกองอื่นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าจับภาพพระ สมมติว่าเป็นพระแก้วก็เป็นอาโลกสิณอยู่แล้ว ถ้าเป็นพระสีเหลืองหรือสีทองก็เป็นปีตกสิณ สีเขียวก็นีลกสิณ สีแดงก็เป็นโลหิตกสิณ ถ้าหากเป็นพระหยกหรือพระสีขาวก็เป็นโอทาตกสิณ ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกสิณอยู่แล้ว แต่เป็นกสิณควบพุทธานุสติ ถ้าอยากได้หลายอย่างก็จำเป็นต้องทำในลักษณะนี้
*************************
ถาม : การปฏิบัติที่เข้มข้น ถือศีลภาวนา จะบรรเทาทุกข์ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันนี้ได้อย่างไร ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว เรื่องของการภาวนาสามารถแก้กรรมได้ดีที่สุด เพียงแต่เราต้องทำจริงจังสม่ำเสมอ วิธีบรรเทาทุกข์ที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องหยุดคิดให้เป็น
การจะหยุดคิดก็คือ ต้องให้ความรู้สึกทั้งหมดอยู่กับปัจจุบัน คืออยู่กับลมหายใจเข้าออกตรงหน้า เราจะสังเกตว่าทุกครั้งที่เราเกิดความรู้สึกทุกข์ขึ้นมา เพราะเราไปคิดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้ว หรือฟุ้งซ่านในเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ฉะนั้น...หยุดคิดให้เป็นแล้วจะทุกข์น้อยลง อยู่กับการภาวนาดีที่สุด
*************************
|