​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๕๓

 

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๓


      ถาม :  ไปหาสำนักทรงบางแห่ง แล้วถูกเขาทำคุณไสยมา ?
      ตอบ :  เรื่องพวกนี้เราจะเห็นได้ชัดว่า พวกสำนักที่ทำคุณไสยต่าง ๆ เขาไม่ได้มีคุณธรรมเลย ถึงเวลาเขาต้องการเงิน เขาก็คุมเราเอาไว้ บางคนรู้สึกว่าตัวเองโดนคุณโดนของ ก็ไปให้เขาถอนให้ จ่ายเงินไปทีละมาก ๆ พอถึงเวลาเขาต้องการเงินอีก ก็ใส่ของกลับเข้าไปใหม่ เราก็ต้องไปหาเขาอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น..ถ้าไม่มั่นใจว่าเขามีคุณธรรมพอ ก็อย่าไปหาเขาเลย
*************************

              “พระพุทธรูปอย่าวางไว้ต่ำ ถ้าวางไว้ต่ำ เดี๋ยวตัวเราเองจะพลอยตกต่ำไปด้วย”
*************************

      ถาม :  ที่ทำงานมีคนที่หน้าตารูปร่างคล้ายผม ตอนเดินไปกินกาแฟ พนักงานแถวนั้นคิดว่าคนนี้เดินมาบ่อยจัง ?
      ตอบ :  นั่นเป็นประเภทที่ฝรั่งเขาเรียกว่า “แฝดเทียม” เกิดจากการสร้างบุญสร้างกรรมมาคล้ายคลึงกันในอดีต
              เหมือนอย่างพระมหากัจจายนะ ท่านเป็นพุทธภูมิเก่า บารมีเข้ม ท่านจึงมีมหาปุริสสลักษณะหลายอย่าง ก็แปลว่าเหมือนพระพุทธเจ้าไปโดยปริยาย
              คราวนี้ถ้ามีแค่ท่านก็ไม่มีปัญหา แต่ปรากฎว่ามีพระอานนท์และพระนันทะด้วย พระอานนท์ท่านเป็นลูกอา พระนันทะเป็นลูกน้าและพ่อเดียวกับพะพุทธเจ้า หน้าตาจึงเหมือนกับถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกัน
              พอเวลาไปบิณฑบาต คนก็เลยตำหนิว่า “สมณะรูปนี้ทำไมมักมากแท้ บิณฑบาตหลายรอบเหลือเกิน” เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าต้องบัญญัติว่า ไม่ให้พระภิกษุทำจีวรเท่ากับจีวรพระสุคต คือ อย่างน้อย ๆ พอให้มีที่สังเกตได้บ้าง พระมหากัจจายนะท่านตัดปัญหาด้วยการสละตัวเอง อธิษฐานขอให้อ้วนเสียเลย
*************************

              “เรื่องทางโลกก็เป็นอย่างโลก เรื่องทางธรรมก็เป็นไปอย่างธรรม ความจริงเรื่องทั้งสองนี้ไปด้วยกันเสมอ
              แต่ถ้าหากว่ากำลังใจเรายังไม่ถึง ก็จะเห็นว่าแยกกันโดยเด็ดขาด ขาวเป็นขาว ดำเป็นดำเลย
              แต่ถ้ากำลังใจเราถึง ทั้งหมดก็เหมือนกัน คือ ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก ไม่มีคนดี ไม่มีคนเลว มีแต่คนกำลังเป็นไปตามกรรม”
*************************

              “พวกเรามักจะเข้าใจว่า หน้าที่ในการทำฝนเป็นของพระพิรุณอย่างเดียว นั่นไม่ใช่นะ จริง ๆ แล้วมีทั้งวายุเทพบุตร วลาหกเทพบุตร สีตเทพบุตร ปชุนเทพบุตร วิรุณเทพบุตร”
      ถาม :  คนทั่วไปด่าเทวดาเวลาฝนตกหนักอย่างนี้ บาปไหมครับ ?
      ตอบ :  เขากำลังสร้างวจีกรรม ในเมื่อเป็นกรรม จะมากจะน้อยก็ต้องมีโทษ
      ถาม :  ถ้าเทวดาที่ท่านทำหน้าที่เป็นพระอริยเจ้า เท่ากับว่าเราปรามาสพระรัตนตรัย ?
      ตอบ :  เจตนาในการปรามาสไม่มี เพราะเขาตั้งใจแค่ด่าคนทำฝน ในเมื่อไม่มีเจตนาด่า ถึงมีโทษก็ไม่หนักเท่าด่าพระอริยเจ้าโดยตรง
              พูดถึงตอนนี้นึกถึงยายของเจ้าแตงนวล บ้านของยายอยู่เลยโรงเรียนประถมบ้านท่าซุงไปประมาณ ๔๐๐ เมตร ยายเขาใส่บาตรทุกวัน แต่ยายใส่บาตรตอนพระท่านกลับ เราเดินสายใต้ ขากลับผ่านบ้านยาย ยายก็จะมาใส่บาตรทุกวัน
              ทีนี้มีหมาอยู่ตัวหนึ่ง ถึงเวลาเห็นพระก็วิ่งตาม เพราะคนแก่เวลาใส่บาตร มือสั่น ข้าวหก หมาก็จะเก็บกิน พอได้กินบ่อย ๆ ก็จำว่า ถ้าพระมาได้กินแน่ หมาก็ตามพระ ตามไปตามมา หมาจำได้ว่าบ้านไหนบ้างที่ใส่บาตร ก็เดินนำหน้าไปเลย เดินนำมาหลายทีก็ไม่มีปัญหาอะไร วันนั้นยายเขาอารมณ์เสียอะไรมาก็ไม่รู้ พอเดินมาจะใส่บาตร แกเห็นหมาเท่านั้นแหละ ด่าลั่นเลย “อีห่..นี่...เดินนำหน้าหมาเชียวนะมึง..!”
              ด่าเสร็จเรียบร้อยยายก็ยืนงงอยู่พักหนึ่ง “อุ๊ยตาย...ขอโทษเจ้าค่ะ ดิฉันตั้งใจด่าพระ ไม่ได้ตั้งใจด่าหมาค่ะ...!”
              ฉะนั้น...ประเภทเดียวกันกับยาย นั่นเขาตั้งใจด่าเทวดา ไม่ได้ด่าพระอริยเจ้า ถ้าจะเอาโทษปรามาสพระอริยเจ้าก็คงจะเบาหน่อย
              แต่ที่เห็นว่าด่าแล้วได้ผล ก็พระครูแสงชัย สมัยนั้นท่านยังไม่ได้บวช ด้วยความที่ท่านอยากรู้ว่าอาตมาเดินอย่างไร ทุ่งใหญ่ระยะทาง ๙๓ กิโลเมตร เดินวันเดียวไปถึงได้ ก็เลยให้เขาไปด้วย เพราะไม่มีอะไรดีกว่าการพิสูจน์ด้วยตนเอง ไปบอกหรืออธิบายให้เขาฟัง อย่างไรก็ไม่หายสงสัย
              ตอนนนั้นเดินตอนตีสามแล้วฝนก็ตก ตกตั้งแต่ก่อนตีสามอีก จึงต้องเดินตากฝนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งบ่ายโมงจะบ่ายสองอยู่แล้ว ฝนก็ยังไม่หาย แม้แต่ขณะที่เดินอยู่ก็ยังรู้สึกหนาว มือเหี่ยวซีดไปหมด
              ตอนนั้นคุณแสงชัยยังไม่ได้บวช ตกไม่เลิกสักที คงอดรนทนไม่ไหวแล้ว ด่าลั่นเลย “โคตรพ่อโคตรแม่มึง ทางอีสานเขาต้องการ มึงไม่ไปตก กูไม่ได้ต้องการ ดันตกอยู่ได้...!” ด่าจบฝนหยุดตกทันทีเลย อย่างนี้น่าจะด่าเสียตั้งแต่ตอนตีสามแล้ว...! ตามสำนวนกำลังภายในเขาว่า “พลังวัตร” ไม่พอ อุตส่าห์คุมตัวเองได้มาเป็นสิบชั่วโมง มาหลุดเอาตอนท้าย เลยก่อวจีกรรมเข้าจนได้
              พาเขาไปจนถึงบ้านคลิตี้บน (บ้านทุ่งเสือโทน) ตอนบ่ายสามโมงพอดีเลย คุณแสงชัยไปถึงก็หัวไถพื้น นอนแผ่หลา อาตมาถามว่า “เฮ้ย...ไม่ไปอาบน้ำ กินข้าวกินปลาก่อนหรือ ?” เขาก็บอกว่าไม่ จะนอนท่าเดียว อาตมาไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยเอายาแก้ไข้ยัดปากให้ไปสองเม็ด กรอกน้ำให้แล้วก็ปล่อยให้หลับไปเลย
              ส่วนอาตมาออกไปโบกรถ นั่นรถออกมาอีก ๘๐ กว่ากิโลเมตร กว่าจะถึงตลาดทองผาภูมิก็ค่ำ ไปทุบประตูเขาขอซื้อแกลลอนสองใบ ใบละ ๓๐ ลิตร แล้วก็วิ่งไปปั๊มน้ำมัน ขอซื้อน้ำมันเบนซินมา ๖๐ ลิตร ไปนอนค้างที่เกาะพระฤๅษีคืนหนึ่งก็วิ่งกลับเข้าไปใหม่ ไปช่วยรถที่ติดอยู่ข้างใน
              รถสองแถวเขามาได้แค่บ้านทุ่งเสือโทน อาตมาก็ต้องแบกน้ำมันสองถัง ๖๐ ลิตร เดินเข้าทุ่งใหญ่อีกรอบ ผลปรากฎว่า...ความที่คิดจะช่วยคนอื่นเขาโดยไม่นึกถึงความยากลำบาก เทวดาท่านอาจจะเห็นใจ
              พอดีไปเจอคณะนักศึกษาธรณีวิทยา หัวหน้าคณะคือ ท่านอาจารย์บุญส่ง โยกาศ ท่านแปลกใจว่า พระแบกน้ำมันสองถังเดินมาทำอะไร ? ตอนนั้นท่านกำลังคุมนักศึกษาให้เก็บตัวอย่างแร่อยู่ในป่าข้างทาง ยังอุตส่าห์เดินขึ้นมาถาม ก็เลยบอกกับท่านว่า มีโยมที่เพิ่งจะรู้จักกัน รถเขาไปน้ำมันหมดอยู่ในทุ่งใหญ่ ก็เลยต้องแบกน้ำมันไปให้เขา
              อาจารย์บุญส่งท่านคงจะเห็นความบ้า ก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นไปรถผมก็แล้วกัน” ถามท่านว่า “แล้วงานของอาจารย์ล่ะ ?” ท่านก็บอกว่า “ไม่เป็นไร ปล่อยนักศึกษาเก็บตัวอย่างไป เดี๋ญวผมค่อยกลับมารับเขาก็ได้”
              ท่านก็ขับรถพาไปส่ง ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ ยังไม่ได้เจอหน้าท่านอาจารย์บุญส่งอีกเลย คาดว่าคงจะเกษียณไปนานแล้ว ถ้าจำไม่ผิด ช่วงนั้นปรมาณปี ๒๕๓๖ หรือ ๒๕๓๗ นี่แหละ
              เรื่องนี้เกิดจากความห้าว ประเภทไม่รู้จักเสือเอาเรือมาจอด เรื่องมีอยู่ว่า เด็กหนุ่มสี่คนเอนทรานซ์ติด คิดจะไปฉลองกัน เขาตกลงกันว่าไปทุ่งใหญ่
              เด็กทั้งสี่คนรู้จักทุ่งใหญ่แต่ชื่อ เห็นระยะทางไม่ถึงร้อยกิโลเมตร ก็คิดว่าาสบายมาก ว่าแล้วก็ลุยเข้าไปเลย คณะของอาตมาเดินธุดงค์ผ่านไปพอดี พอได้ยินเสียงรถ คุณแสงชัยกับคุณเต้ย เขาก็เกิดจินตนาการบรรเจิดว่า ไม่ต้องเดินแล้ว โบกรถดีกว่า ถึงเร็วดี
              ความเฮงจึงมาเยือน ปรากฎว่าขึ้นรถเขาได้ไม่นาน รถเขาก็เจ๊ง ไหน ๆ อาศัยเขามาแล้วก็ช่วยกันเข็น คลุกโคลนคลุกเลนชนิดท่วมตั้งแต่หัวจรดเท้า เจ้าของรถก็ถอดใจ ตัดสินใจที่จะทิ้งรถ อาตมาบอกว่า “ไม่ได้ ...เอ็งไม่ต้องเข็น ถือพวงมาลัยอย่างเดียว อย่าเสือกออกความเห็น...!”
              ตอนนั้นลำบากขนาดเจ้าของรถเขาถอดใจแล้ว เพราะไม่ใช่ทางราบ ใครเคยไปทุ่งใหญ่จะรู้ ถนนเป็นร่องลึกขนาดรถโฟร์วีลยังติด แล้วช่วงเนินสูงอย่างกับขึ้นลิฟต์เลย เวลาขึ้นเนินก็ช่วยกันดับรถขึ้นไปทีละนิ้ว ๆ แล้วก็เอาไม้รองขยับไปเรื่อยจนกว่าจะถึง
              พอถึงยอดเนินแต่ละครั้งก็กระโดดขึ้นรถ แล้วก็ปล่อยให้ไหลลง สนุกอย่าบอกใคร...! งานนั้นไม่ได้ตั้งใจเป็นพระเอก แต่ต้องเล่นบทพระเอกตลอด ตอนแรกที่รถสตาร์ทไม่ติด คิดว่าแบตเตอรี่อ่อน อาตมาก็แบกแบตเตอรี่ เดินจากเหมืองพุจือ ออกมาบ้านจะแก จำไม่ได้ว่ากี่กิโลเมตร
              นายปราโมทย์ นักศึกษาที่เพิ่งเอนทรานซ์ติด ตัวใหญ่ขนาดหนุ่มชินเชาวน์ แบกหม้อแบตเตอรี่ไหว แต่เขาเดินไม่ได้ เพราะพื้นเป็นโคลนเละเทะ พอก้าวทีก็หงายท้อง อาตมากลัวแบตเตอรี่จะพังเสียก่อน ก็เลยต้องแบกแทน
              แบกมาจนถึงบ้านจะแก ไปขอชาร์ตที่แผลโซล่าเซลล์ ตอนนั้นเป็นเวลากลางคืน ต้องรอจนกว่าจะสว่าง พอสว่างแล้วฝนดันตกอีก แทบจะไม่มีแดด สรุปว่า พอเอาแบตเตอรี่เข้าที่ชาร์ตได้ นายปราโมทย์เขาก็นอน ส่วนอาตมาต้องเดินกลับมาเพื่อเฝ้ารถ ปล่ยอให้พวกที่นอนนั้น หาข้าวหาปลากินกันในหมู่บ้านจะแก
              สมัยนั้นข้างนอกน้ำมันลิตรละ ๖ บาท ข้างในนั้นลิตรละ ๒๕ บาท...! คราวนี้รถที่ไปเป็นรถเบนซิน เขาไม่รู้ว่าในป่ามีแต่ดีเซล หาเบนซินเติมไม่ได้ แล้วรถต้องใช้เกียร์ต่ำตลอด ก็เลยกะผิด กะว่าน้ำมันถังเดียว ๙๐ กว่ากิโลผ่านได้แน่ ปรากฎว่าหมดเกลี้ยง...!
              อาตมาเดินลุยโคลนกลับไปนอนเฝ้ารถ ปรากฎว่าพอนอนลง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็มา ท่านมาสั่งงาน...! ไม่มีเลยที่จะเอ่ยว่า ที่อาตมาลำบากควรจะแก้ไขอย่างไร หรือมาปลอบใจเป็นกำลังใจ มาสั่งงานอย่างเดียวจริง ๆ....!
              จึงสรุปได้ว่า การที่อาตมาเดินสายพระโพธิสัตว์มาก่อน เรื่องที่คนอื่นว่ายาก สำหรับอาตมาแล้วยังไม่ยากที่สุด ยังดื้อต่อไปได้ ขนาดเจ้าของรถคิดจะทิ้งรถ อาตมายังไม่ยอมเลย อย่างไรก็ต้องเอาออกมา ถ้าเป็นพวกเรา จะยอมร่วมเป้นร่วมตายกับเขาขนาดนั้นไหม ?
              พอเอารถผ่านบ้านพุจือ ผ่านบ้านจะแก ผ่านแม่กะสะ ผ่านเซซาโว่ออกมาถึงห้วยซ่งไท้ และได้ฝากหน่วยป่าไม้เอาไว้ รุ่งขึ้นนัดแนะเป็นอย่างดี
              ตอนนั้นคุณวีรวัธน์ เป็นหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ หัวหน้าวีรวัธน์บอกว่า พรุ่งนี้มีรถออก ถามว่าออกกี่โมง ? ท่านว่าประมาณ ๗ โมงครึ่ง อาตมาก็นัดแนะทุกคนตั้งแต่ ๖ โมงเช้า บอกว่าในป่าไม่มีอะไรแน่นอน ฉะนั้น...อย่าไปเชื่อที่เขานัด
              พอตีห้าครึ่งก็หุงข้าว หกโมงเช้าให้พวกเขาประเคน ฉันเรียบร้อยภายใน ๑๐ นาที พอไปถึงรถกำลังจะออก อาตมาก็กระโดดขึ้นรถพร้อมกับฤๅษีบุญทรง ส่วนพวกคณะสี่คนยังนอนอยู่เลย เขามั่นใจว่า ๗ โมงครึ่งแน่ ในเมื่ออาตมาเตือนแล้ว เขายังนอนกลิ้งกันอยู่ ก็ปล่อยให้เขารับผิดชอบชีวิตตัวเองบ้าง
              ปรากฎว่าช่วงที่หารถเพื่อเข้าทุ่งใหญ่ ตลอดจนเอาน้ำมันเข้าไป มีเหตุการณ์หลายอย่าง คือ ไปขอความช่วยเหลือใครก็ตาม เขามักจะบ่ายเบี่ยงหรือปฏิเสธ เพราะเห็นว่าธุระไม่ใช่ ก็ตามเคย คุณแสงชัยด่าเขาโขมงโฉงเฉง จนกระทั่งต้องบอกเขาว่า หน้าที่ขอความช่วยเหลือเป็นหน้าที่ของเรา ส่วนจะช่วยหรือไม่ช่วยเป็นน้ำใจของเขา อย่าจำในสิ่งที่ไม่ดีที่คนอื่นทำกับเรา แต่ถ้าใครทำดีกับเราให้จำเอาไว้ และรอเวลาทดแทน นี่เป็นแนวปฏิบัติประจำตัวของอาตมาแต่แรกเลย ฉะนั้น...ใครเคยทำไม่ดีกับอาตมา อาจจะรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ แต่พอเจอหน้า อาตมาก็สบาย ไม่เคยจำเลย จนกระทั่งคนทองผาภูมิเขาสงสัยว่า อาจารย์เล็กโกรธใครไม่เป็นเลยหรือ ?
              นึกถึงหลวงปู่อุบาลีคุณูปมาจารย์ วัดไร่ขิง คนเขามาถาม “หลวงปู่ คนด่าหลววปู่ขนาดนั้น หลวงปู่ไม่โกรธหรือ ?” หลวงปู่ตอบว่า “มีหรือจะไม่โกรธ อยากจะมองให้มันหายวับไปตรงนั้นเลย แต่หลวงปู่เป็นพระ หลวงปู่จะทำอย่างไรได้ ก็ได้แต่ยิ้ม” นั่นนักเลงจริง ท่านยอมรับว่าโกรธ
*************************

      ถาม :  นิมิตกสิณต้องกำหนดนึกตลอดไปหรือเปล่า หรือว่าติดตาติดใจมองไปที่ไหนก็เห็นตลอด ?
      ตอบ :  เลิกกำหนดเมื่อไรก็หายเมื่อนั้น ยกเว้นว่าเราจะคล่องตัวจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นเวลาเราเผลอก็อาจจะยังอยู่ได้
      ถาม :  เวลาเผลอก็ยังอยู่ได้ แปลว่า ติดตาตลอด ?
      ตอบ :  แปลว่า สมาธิไม่เคลื่อน ถ้าเผลอแล้วไม่เคลื่อนก็ยังอยู่ได้ แต่ถ้าเผลอแล้วเคลื่อนก็หายหมด
*************************

      ถาม :  บริษัทกำหนดว่า จะต้องเขียนว่าหน้าที่การงานในอนาคตที่เราจะไปคืออะไร ? ตอนนี้ผมคิดไม่ออก เพราะพอใจจะอยู่ตรงนี้แล้ว แต่ว่าเหมือนกับเป็นกฎบังคับว่าเราจะต้องเขียน ?
      ตอบ :  เขียนว่า “ไปพระนิพพาน” ดูซิว่าเขาจะว่าบ้าไหม ?
      ถาม :  จะใช้หลักอะไรในการพิจารณาดี ?
      ตอบ :  ก็ต้องมีการคาดการณ์ในอนาคตว่าจะไปทางไหน แต่คาดการณ์เป็นได้ทั้ง “ใช่” และ “ไม่ใช่” โอกาสผิดกับถูก ๕๐: ๕๐ เราลองคาดการณ์ดูว่าอนาคตจะไปทางด้านด้านไหน แล้ววางเป็นแผนขึ้นมา
              เพราะการวางแผนนโยบายต่าง ๆ เราต้อง “คิดว่า” หรือ “คาดว่า” เราเองก็ถือว่าภายในสองชั่วโมงนี้ยอมให้ฟุ้ง แล้วก็นั่งคิดไป ถ้าเราไม่ยอมปล่อยให้ฟุ้ง เราจะคิดไม่ออกหรอก กำหนดเวลาไว้ ขอฟุ้งซ่านหน่อย พอเขียนแผนเสร็จเรียบร้อย เราก็เลิก กลับมาอยู่กับปัจจุบันของเราตามเดิม
      ถาม :  เพราะมัวแต่ฟุ้ง เลยไม่อยากจะเขียน ?
      ตอบ :  ในเมื่อเป็นงานก็จำเป็นต้องคิด
      ถาม :  มีวิธีการคิด ที่พอจะเดาได้ว่า อย่างน้อยเราจะหลีกไม่ต้องคิดไปตรงนั้น แล้วเราก็เขียน อย่างนั้นก็ได้ใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ได้…เขาให้อิสระเราอยู่แล้ว ต้องการแค่ว่าให้เราเขียนออกมาให้ได้แค่นั้น
*************************

      ถาม :  กติกาของความเป็นพระโสดาบัน คือรักษาศีล ๕ เคารพพระรัตนตรัย นึกถึงความตายและรักพระนิพพาน ทีนี้การทรงอารมณ์เหล่านั้น พอเราคุยหรือเราเรียนหนังสือ ลมหายใจเราหลุดออกจากอารมณ์นั้น ?
      ตอบ :  เรื่องของลมหายใจเป็นเครื่องช่วยในการตัดกิเลสเท่านั้นถ้าเวลาทำงานให้สมาธิของเราอยู่กับงาน ถ้าว่างจากงานแล้วให้มาจับภาวนา ยกเว้นถ้าเรามีความคล่องตัวจริง ๆ เราจะภาวนาพร้อมกับทำงานได้
              แต่ถ้ายังทำอย่างนั้นไม่ได้ ก็ให้สมาธิทั้งหมดอยู่กับงาน จะได้ไม่ฟุ้งซ่านไปอย่างอื่น เลิกงานแล้วค่อยมาอยู่กับกรรมฐาน