​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๕๕

 

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนสิงหาคม ๒๕๕๓


      ถาม :  พระปิดตาเนื้อเงินและเนื้อนวโลหะที่สร้าง มีมวลสารของตะกรุดมหาสะท้อนหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ถ้าเป็นพระปิดตาเนื้อเงินมีแน่นอน ไมต้องสงสัยว่าทำไมมหาลาภจึงออกไปแนวบู๊ด้วย
      ถาม :  ท่านบอกว่าเข้าห้องโออาร์ อย่าเอาตะกรุดมหาสะท้อนเข้าไป ไม่อย่างนั้นเขาจะคลอดไม่ได้ แต่วันนั้นผมเอาพระปิดตาเนื้อเงินไป แต่ไม่ได้เอามหาสะท้อนไป พอดีนึกได้ ไม่แน่ใจเลยต้องถอดออกจากตัวก่อน ?
      ตอบ :  ให้ระวังด้วย อาตมาก็ลืมไป...ด้วยความที่คิดว่ามีมวลสารอะไรที่ดีที่สุด...ก็ใส่ไป เลยเอาตะกรุดมหาสะท้อนใส่เข้าไปด้วย
      ถาม :  มีมวลสารตะกรุดมหาสะท้อน แสดงว่ามีมหาสะท้อนอยู่ในตัวด้วย ?
      ตอบ :  มีเหมือนกัน
*************************

      ถาม :  เบิกกรรมแล้วจะเป็นอย่างไร ?
      ตอบ :  ไม่เคยเรียนเลยบอกไม่ถูก ถ้าจะเบิกก็เบิกบุญดีกว่า แต่อย่าไปเบิกกรรม เบิกกรรมเดี๋ยวจะเดือดร้อน
              เคยได้ยินว่าทางสายหลวงพ่อคง วัดเขาสมโภชน์ ท่านจะสอนลักษณะเหมือนเปิดโลกดูกรรม แต่คราวนี้ถ้าเรามั่นใจในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ในเรื่องของทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ก็ไม่ต้องไปเสียเวลาดู ตั้งหน้าตั้งตาทำความดี ละความชั่วไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าดีมากกว่าชั่ว ก็พ้นกันไป
*************************

      ถาม :  มีอยู่วันหนึ่ง เหมือนฝัน เป็นนิมติ เหมือนกับสภาพจิตของเราตัวโทสะกับตัวรู้ เป็นเหมือนเล็ก ๆ ดำ ๆ พอเข้าไปยุ่ง ก็เหมือนอารมณ์เราจะวิปลาส จะบ้า เหมือนมีคนคุม บังคับเราอยู่ พอเราไปสนใจ เหมือนสภาวะร่างกายเราทนไม่ได้ ?
      ตอบ :  กำลังของเรายังน้อยอยู่ ก็ยังสู้ไม่ได้ ถ้ากำลังของเรามากขึ้นก็พอจะลุ้น เป็นปกติ ถ้าเราเห็น่าทั้งหมดเขาครอบโลกมนุษย์นี้อย่างไร จะน่ากลัวกว่านี้อีกหลายล้านเท่า
      ถาม :  เป็นพลังที่น่ากลัว ถ้าเราไปหา เราจะเป็นเขา ถ้าเขามาหาเรา เราเป็นเรา ?
      ตอบ :  อย่าไปยุ่งก็หมดเรื่อง
      ถาม :  ควรทำอย่างไรต่อไป ?
      ตอบ :  รู้ก็สักแต่ว่ารู้ก็พอ
*************************

      ถาม :  เวลาทรงอารมณ์ ถ้าใช้ลักษณะเป็นความจำ ความจำนั้นจะไปเองอัตโนมัติ โดยความเป็นจริงแล้วตัวจำ ?
      ตอบ :  จำไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้าเผลอ สติขาด ก็จะสะดุด เพราะอย่างน้อยจะต้องมีสมาธิช่วย เราต้องกำหนดสติตามไปด้วย ถ้าไปอาศัยอัตโนมัติอย่างเดียว เดี๋ยวทิ่มผิดก็ร่วงทั้งขบวน
      ถาม :  กลัวจำแล้วจะ ?
      ตอบ :  ถึงจะเป็นอัตโนมัติอยู่ แต่ว่าเราต้องอาศัยสติช่วยด้วย ลำพังให้ตัวจำทำหน้าที่ของเขาอย่างเดียว เดี๋ยวไปไม่รอด
*************************

      ถาม :  ช่วงนี้กำลังติดฟังเพลง เหมือนกับเพลงนั้นจะขึ้นมาทีละอย่าง ๆ ?
      ตอบ :  รีบดึงเข้าหาลมหายใจเข้าออกไว ๆ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเสร็จกิเลส ...!
*************************

      ถาม :  ที่บริษัทมีงานเลี้ยงลูกค้า และก็มีของเหลือ มีพนักงานแอบเอากลับบ้าน ไปถามก็ไม่มีใครเห็นว่าใครเอาไป แต่มีกล้องวงจรปิดทั่วร้าน เพราะขายเครื่องเพชร เจ้านายถามว่า จะเอาพนักงานคนนี้ไว้หรือไม่ ?
      ตอบ :  บอกเขาว่าถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่เอาไว้ เพียงแต่ว่าให้เขาหาคนใหม่มาให้เราให้ทันก็แล้วกัน
      ถาม :  ไม่บาปใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  เราทำอะไรตรงไปตรงมาจะไปบาปอะไร นั่นเขาทุจริต เท่ากับเขาทำตัวเขาเอง
      ถาม :  เขาก็สารภาพนะคะ สารภาพก่อนที่เราจะเปิดกล้องวงจรปิดดู เขาก็แอบไปบอกผู้จัดการอีกคนหนึ่งก่อน ?
      ตอบ :  บอกตอนนั้นก็ไม่ทันแล้ว ทำความชั่วไปแล้ว ...!
*************************

              “ตอนนั้นอาตมาเข้าป่าห้วยขาแข้ง เดินสวนกับพระธุดงค์ ๔ รูป ท่านห่มดองพาดสังฆาฏิ สะพายย่ามธุดงค์ หิ้วกาน้ำ แบกกลดมา ท่านตกใจมากเลย ที่เห็นพวกเราไปมีแต่อังสะตัวเดียวกับย่ามใบหนึ่ง
              เขาถามว่า “ท่านมาทำอะไร ?” ก็บอกไปว่า “มาธุงดงค์เหมือนท่านนั่นแหละ และผมมั่นใจว่าผมอยู่ได้นานกว่าด้วย” แสดงว่าเขาไปดูรูปของพระรุ่นครูบาอาจารย์ เพราะเวลาธุดงค์จะอยู่ในรูปแบบนั้น เขาไม่รู้หรอกว่า นั่นท่านไปถึงที่แล้วจึงแต่งตัวให้เขาถ่ายรูป เดินในป่าขนาดนั้นแล้วแต่งตัวเต็มยศ ไม่ต้องไปไหนไกลหรอก แค่บึงลับแลก็จีวรขาดวิ่นแล้ว เพราะหนามเยอะ
              ถ้าอ่านพระไตรปิฎกทั่วจริงๆ ก็จะเห็นว่า ถึงเวลาพระเข้าไปในหมู่บ้าน จะใช้คำว่า มีมืออันถือบาตรและจีวร เมื่อเข้าไปถึงโคจรคามแล้ว ก็ห่มจวรคลุมบ่า ซ่อนบาตรไว้ด้านใน ทำการโคจรบิณฑบาต ก็แปลว่าพระสมัยก่อนท่านก็ไปแบบพวกเรา เพราะสมัยก่อนผ้าหายาก ถ้าหนามเกี่ยวขาด จะหาใหม่ก็หาไม่ได้ง่าย ๆ เหมือนสมัยนี้ อย่างของเราไปแบบโบราณแท้เลย
              บางทีเวลาเดินไปเจอพระธุดงค์ก็รู้สึกสลดใจ พวกเราเคยเห็นย่ามธุดงค์ไหม ? ใบจะใหญ่มาก ของท่านใช้ไม้คานหาบย่ามธุดงค์ไปคนเดียว ๔ ใบ ถ้าของเราขนไปขนาดนั้นเท่ากับย้ายวัดไปแล้ว...! ยังสงสัยว่า ถ้าขนไปขนาดนั้นตกลงท่านจะไปทำอะไรกันแน่ จะไม่ยอมรับความลำบากกันเลยบ้างหรือ ?
              ปัจจุบันส่วนหนึ่งพวกป่าไม้รังเกียจการธุดงค์มาก เพราะว่าไปก่อไฟแล้วไม่ดับ โดยเฉพาะในห้วยขาแข้ง หน้าแล้งจะแล้งจริง ๆ จะมีเขียว ๆ อยู่เฉพาะริมห้วยเท่านั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็น ห้วยแม่ดี ห้วยกรึงไกร ห้วยองทั่ง ห้วยขาแข้ง ห้วยองเอี้ยง จะมีสีเขียวแต่บริเวณริมห้วยเท่านั้น นอกนั้นก็เหลืองกรอบ
              มีอยู่ครั้งหนึ่ง อาตมาเดินออกมาเจอไฟก็เลยดับให้ เห็นว่ารอยยังใหม่ ๆ อยู่ จึงเร่งเดินตามเขาไป ประมาณชั่วโมงหนึ่งไปทันคณะข้างหน้า มีอยู่ ๔-๕ รูป ก็ดึงแขนพระรูปสุดท้ายไว้ “ถามหน่อยครับ เมื่อกี้คุณเดินมาทางนั้น แล้วก่อไฟไว้ ยังไม่ได้ดับใช่ไหมครับ ? เมื่อกี้กำลังลามจะเป็นไฟป่าอยู่...” ท่านตอบว่า “ใช่ครับ...ที่จริงผมดับแล้วครับ แต่เพื่อนว่าเสียเวลายังไม่พอ เขายังเตะไม้เพิ่มเข้าไปอีก ผมก็เลยโกยซ้ำเข้าไปเลย...!”
              พวกนั้นแหละที่ทำให้พวกป่าไม้เวลาเจอพระธุดงค์ เขาจะรีบพาตัวเอาออกไปเลย เพราะว่าไฟป่าไหม้ทีหนึ่งเสียหายหนักมาก ความเสียหายที่เราเห็น ๆ ก็คือ ต้นไม้ตาย สัตว์ป่าหนีไม่ทัน โดยเฉพาะเต่า และพวกสัตว์เล็ก ๆ จะตายกันเยอะ แล้วส่วนเสียหานที่เราไม่เห็นก็คือดิน
              ถ้าดินโดนไฟเผาร้อนมาก ๆ เข้าก็กลายเป็นอิฐ พอหน้าดินกลายเป็นอิฐก็ไม่ซับน้ำแล้ว น้ำมาเท่าไรคราวนี้ก็ป่าถล่มไปเลย ตรงจุดนี้คนส่วนใหญ่จะไม่รู้
              เวลาเข้าป่าปัจจุบันนี้ นอกจากความประพฤติที่ไม่เหมาะสมแล้ว ยังมีอีกหลายประเภท บางประเภทอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ ก็เลยต้องธุดงค์ ฟัง ๆ ดูแล้วก็น่าจะคาดได้ว่าความประพฤติของท่านเป็นอย่างไร
              อีกประเภทหนึ่งคือ เข้าป่าเพื่อไปดูดยาบ้า พวกนี้ถึงเวลาแล้วคึกมาก วิ่งแข่งกันขึ้นเขา บางทีก็คว้ามีดสปาตาร์คนละอัน เฉาะหัวกัน ก็กลายเป็นว่าการธุดงค์สมัยนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างที่หลวงปู่บุดดาท่านว่า คือไม่ใช่ “ธุดงค์” แต่เป็น “ถูดง” ธุตะ+อังคะ แปลว่า องค์ในการเผากิเลสของตน แต่อันนี้เขาไปถูดงอย่างที่หลวงปู่ท่านว่า
              ช่วงที่อาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลชะแลอยู่ เป็นตำบลที่อยู่ปากทางทุ่งใหญ่ จะมีพระธุดงค์มาขอหนังสือเพื่อผ่านเข้าทุ่งใหญ่เยอะมาก ปีหนึ่งต้องเซ็นให้เป็นร้อยเลย อาตมาก็มองว่าพวกนี้เขาซื่อดีนะ ตอนอาตมาเข้าไปไม่ว่าจะทุ่งใหญ่หรือห้วยขาแข้ง ไม่เคยมีใบอนุญาตเลย เพราะว่าเขาตั้งเป็นด่านให้เห็นชัด ๆ
              เดินไปก็มีป้าย “อีกสามร้อยเมตรจะถึงด่านตรวจ” อีกห้าร้อยเมตรจะถึงด่านตรวจ” แล้วจะเดินไปทำไม ? ก็อ้อมเข้าป่าไปเลยสิ ผ่านไปแล้วค่อยออกมาใหม่ พวกนี้เขาซื่อมาก จะต้องผ่านด่านให้ได้ คือหน่วยป่าไม้ทุกแห่ง เขากลัวว่าเราจะไม่รู้ว่าเขาอยู่ตรงไหน เขาจะมีป้ายบอกเป็นระยะ ๆ ไป พอใกล้ถึงด่านเราก็แวบเข้าป่าไป อ้อมไปอีกทางพ้นไปไกลค่อยโผล่ขึ้นมาบนถนนใหม่
              หนทางในป่านั้น บริเวณที่พวกป่าไม้เดินไปไม่ถึง ก็ไม่ได้แปลว่าพรานจะเดินไปไม่ถึงด้วย ในเส้นทางระหว่างทุ่งใหญ่กับห้วยขาแข้ง จะมีด่านใหญ่อยู่เส้นหนึ่ง เป็นทางช้างเดิน ความกว้างน่าจะถึงสามเตร ลึกประมาณหน้าแข้ง
              ถึงเวลาช้างจะเดินผ่านเส้นนั้น พวกบรรดาสัตว์ต่าง ๆ ก็พลอยอาศัยไปด้วย อย่างพวกกระทิง พวกเก้ง พวกกวาง ฯลฯ สัตว์พวกนี้ไม่เคยได้กินของอร่อยข้างบน พอเดินตามช้าง ก็ได้อาศัยกินต้นไม้ใบไม้หรือไผ่ที่ช้างดึงลงมาไปด้วย
              พวกพรานก็ไปดักรออยู่แถวนั้น พรานบ้านช่องแป๊ะ บ้านแม่จันทะแต่ละปีล่ากระทิงประมาณ ๒๐๐ ตัว อาวุธส่วนใหญ่เป็นไรเฟิลทันสมัยตูมเดียวอยู่ทั้งนั้น เขาขนใส่เฮลิปคอปเตอร์มาให้พร้อมกระสุน เฮลิคอปเตอร์ที่เข้าออกปกติเป็นของราชการหน่วยหนึ่ง
              เขายิงกระทิงตัวหนึ่งหนักเป็นตัน แต่ตัดไปแค่หัว ขายให้กับพวกราชการ ราคา ๕๐ บาทเท่านั้น ส่วนเนื้อที่เหลือเป็นตันก็ทิ้งให้เน่าเฉย ๆ แล้วหัวนั้นก็ไปขายให้พวกข้าราชการเหล่านั้น ถึงเวลาก็เอาเครื่องบินขนออกมา รู้ ๆ อยู่ว่าใครทำ แต่ป่าไม้เขาเข้าไม่ถึง และก็ไม่อยากไปแตะต้องคนมีสี ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย
              ที่โป่งจงโคร่ง รอยต่อระหว่างอุ้มผางและห้วยขาแข้ง เป็นโป่งน้ำสัตว์จะชอบมาก เพราะนอกจากจะได้กินเกลือแล้วยังได้กินน้ำด้วย ไม่ต้องเสียเวลาไปแทะดินแล้วหาน้ำกินอีก ดูดน้ำเกลือเข้าปากสบายไปเลย เวลาสัตว์เขาขาดเกลือก็จะไปหาดินโป่ง (ดินเค็ม) พวกนี้กิน
              พวกพรานเขาไปข้ดห้างไว้ ความสูงประมาณมือเราเอื้อมมือถึง อาตมาเดินเลยโป่งไป ๒๐๐-๓๐๐ กว่าเมตรแล้วจึงหาที่พัก ยังไม่ทันจะทุ่มเลย ก็มีเสียงตูม...! พอสี่ทุ่มก็ตูม...! ตีสองก็ตูม...! ใกล้สว่างก็ตูม...! สรุปว่าคืนเดียวโป่งเดียวสี่ตูมเลย บางทีเขาก็หิ้วสัตว์ห้อยร่องแร่งมา พอเจอพระก็ทำเป็นเขิน...! แต่ว่าพวกนี้ส่วนใหญ่จะร้ายมาก ถ้าไปเจอพวกป่าไม้เขาจะยิงก่อนเลย เจ้าหน้าที่ของเราน่าสงสารตรงที่ว่าจะยิงก่อนก็ไม่ได้ เขาถือว่าปฏิบัติหน้าที่เกินกว่าเหตุ ติดคุกหัวโต...! เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่า ที่ห้วยขาแข้งเดี๋ยวก็มีหลักมาปักเพิ่มอีกแล้ว หลักหนึ่งก็คือเจ้าหน้าที่หนึ่งศพ เป็นเรื่องปกติ
              แล้วเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ เพราะพรานเขาชำนาญพื้นที่มากกว่า โดยเฉพาะพรานที่ท่านโมเช่เคยกล่าวถึง อย่างอาตมาเดินแล้วพวกเราวิ่งตามใช่ไหม ? แต่อาตมาต้องวิ่งตามท่านโมเช่ แล้วท่านโมเช่ต้องไปวิ่งตามพรานคนนั้น นึกเอาก็แล้วกันว่าฝีเท้าต่างกันขนาดไหน ?
              เส้นทางระหว่างอุ้มผางลงไปห้วยขาแข้ง เราต้องไปค้างกลางทางคืนหนึ่ง แต่พรานคนนั้นลงจากช่องแป๊ะแล้วไปหุงข้าวเย็นกินที่ห้วยขาแข้ง เดินเร็วกว่าเราเป็นเท่าตัวเลย
              พวกบรรดาสัตว์ป่าจะกลัวคนพิเศษ เพราะโดนล่าเป็นประจำ ขนาดกระทิงฝูง ๘-๑๐ ตัว แค่ได้กลิ่นเราหรือได้ยินเสียงเราเหยียบใบไม้ก็วิ่งป่าแตกเป็นทางไปทั้งฝูงแล้ว
              ถ้าเดินเข้าป่าลึกไปสัก ๘ วัน สัตว์จะไม่ค่อยได้เห็นคน เจอหน้าคนก็จะล้าละลังว่า จะหนีดีหรือไม่หนีดี พอเดินลึกเข้าไปสัก ๑๐ กว่าวัน คราวนี้เจอหน้า สัตว์เขาก็ยืนมอง มีคนเขาถามว่า อาตมายื่นมือให้วัวแดงทั้งฝูงดมได้อย่างไร ก็สัตว์เขาไม่หนี และเราต้องอาศัยผ่านไปทางนั้น วิธีดีที่สุด ก็คือยื่นมือให้เขาดม
              พวกนี้ความรู้สึกไว ถ้าว่าตามด้านจิตศาสตร์ พวกนี้เขารับความรู้สึกของเราได้ แต่ถ้าว่ากันตามวิทยาศาสตร์ ในแต่ละอารมณ์คนเราจะหลั่งสารเคมีออกมาไม่เหมือนกัน แล้วพวกนี้เขาสามารถที่จะสัมผัสได้
              พอยื่นมือให้เขาดม เขาเห็นว่าไม่มีอันตรายเขาก็ไป ยื่นมือให้ตัวแรกดม เขาดมจนพอใจแล้วก็ไป ตัวที่สองก็มาดมต่อ จนกว่าจะหมดฝูง พวกนี้เขาแปลก...ถ้าไม่กลัวเรา เขาจะต้องสอดรู้สอดเห็นให้หมดทุกตัว
              บางทีไปปักกลด เสียงโครมครามมาแต่ไกลเลย ถ้าคนไม่เคยได้ยินอาจจะตกใจ นกเงือกเขาบินมาฝูงหนึ่ง ๒๐ กว่าตัว เวลานกเงือกบินมาแค่ ๑-๒ ตัว ก็เสียงดังเหมือนเฮลิคอปเตอร์แล้ว นี่ ๒๐ กว่าตัวมาพร้อม ๆ กันเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พอมาถึงก็จับยอดไม้ เล่นกันบ้าง ตีกันบ้าง เสียงเกรียวกราวไปหมด
              อาตมาปักกลดนั่งกรรมฐานอยู่ข้างล่าง ไป ๆ มา ๆ มีนกเงือกตาไวมองเห็นเข้า เขาก็เอียงคอมอง แล้วกระโดดลงมา ทีละกิ่ง...ทีละกิ่ง ลงมาพอดูจนพอใจแล้วก็บินไป ตัวต่อไปก็กระโดดลงมาอีก ครั้งนั้นนับได้ ๒๒ ตัว
              บางทีประมาณสัก ๔ - ๕ โมงเย็น กระทิงก็ลงกินน้ำแล้ว อาตมาจะไปสรงน้ำก็ต้องนั่งดูเขากินน้ำก่อน ปกติแล้วในที่ที่คนเข้าถึง พวกสัตว์จะลงกินน้ำดึกมาก ประมาณห้าทุ่มหรือเที่ยงคืนไปแล้ว แต่ถ้าในที่ที่คนเข้าไม่ถึง ๔ - ๕ โมงเย็นก็มาแล้ว สัตว์เขาไม่อดทนอดกลั้นถึงขนาดนั้นหรอก เพราะรู้ว่าที่นั้นไม่อันตราย
              บางทีเดินเลาะชายห้วยไป ปลากระสูบตัวยาวเป็นแขน แต่ละตัวรูปร่างเหมือนตอร์ปิโด นึก ๆ ดู ตาข่ายอะไรจะไปดักอยู่ ปลาตัวขนาดนั้นและเป็นร้อย ๆ ตัว ต่อให้ตายข่ายไนล่อนก็คงขาดกระจาย ไม่เหลือหรอก แล้วอีกอย่างถ้าใครใจใหญ่ไปตีอวนดักได้ ก็ไม่รู้จะแบกมาอย่างไร เพราะว่าหนักเหลือเกิน
              เวลาเดินในป่าไม่มีอะไรจะกิน เจอแต่ใบไม้ใบหญ้า ยี่สิบกว่าวันไปแล้ว ทีนี้เจอสัตว์อะไรก็อยากกินหมด เหลืออยู่อย่างเดียวว่า เมื่อไรสัตว์นั้นจะเป็นลมตายเสียที แต่ดูไปดูมา ที่จะเป็นลมตายน่าจะเป็นเรามากกว่า...!
              เส้นทางระหว่างทุ่งใหญ่ขึ้นไปอุ้มผาง จะมีป่าใหญ่อยู่ผืนหนึ่ง เป็นป่าทึบมากเลย ท่านโมเช่เคยเดิน ๗ วันกว่าจะพ้นได้
              คราวนี้เขาไปกับอาตมา วันแรกก็หลงทางแล้ว ทานโมเช่เดินฟันป่าไป ปากก็บ่นไป “ไปกะอาจางที่ไหนก็หลงที่นั่ง” พอถามไปถามมา ได้ยินว่า เดินตั้ง ๗ วันจึงจะพ้น เลยตัดสินใจว่าไม่เอาดีกว่า ชุมนุมเทวดาขอให้เดินผ่านได้เร็ว ๆ
              เดินไปเรื่อย ๆ สักสี่โมงเย็นเห็นฟ้าขาว ๆ บอกท่านโมเช่ให้ไปทางนั้น ท่านโมเช่ก็พูดว่า “ฮื้อ...ยังไม่ถึงหรอก” อาตมาก็ชี้ให้ดู พอเดิน ๆ ไปปรากฎว่าทะลุป่า จากที่ท่านโมเช่เคยเดิน ๗ วัน นี่เดินแค่ครึ่งวันเท่านั้นเอง”
*************************

      ถาม :  คาถารักษาโรคมะเร็งของหลวงพ่อฤๅษี ?
      ตอบ :  ไม่เคยได้ยินว่ามีคาถา เคยได้ยินว่ามีแต่ยา คาถาว่าอย่างไร ?
      ถาม :  ไม่ได้จดมา ไปเจอในเว็บ แล้วก็พิมพ์ออกมา เขาบอกว่าให้รักษาศีลแปดทุกวันพระ แล้วให้ท่องคาถานี้ ?
      ตอบ :  ไม่เคยได้ยินมาก่อนถ้าหลวงพ่อท่านเคยบอก ก็คงจะบอกก่อนที่อาตมาจะเจอหลวงพ่อ เพราะว่าอะไรที่หลวงพ่อบอกอาตมาจะจดไว้หมด
              ถ้าจะรักษาโรคมะเร็งตามที่หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้ อาการต้องไม่เกินระยะที่สอง ก็คือ ใช้ขมิ้นชันสักหัวแม่มือ ขมิ้นที่เขาใช้แกง ไม่ใช่ที่เขาเอาไว้จิ้มน้ำพริก และหญ้าแพรกกำมือหนึ่ง สองอย่างล้างให้สะอาดแล้วตำให้ละเอียด ละลายด้วยน้ำปูนใสสัก ๓๐ ซีซี. กรองเอาแต่น้ำ กินก่อนอาหารเช้าสักครึ่งชั่วโมง วันละครั้ง สามวันติดกัน ถ้าเป็นมะเร็งหรือมีอาการอักเสบภายในจะรักษาได้ กินสามวันติดกัน วันละถ้วยเดียว อย่างที่สอง ถ้าอาการหนักเกินระยะที่สองไปแล้ว ท่านให้ใช้น้ำมันชาตรีอธิษฐานช่วยรักษา กินเข้าไปแล้วถ้าถ่ายโอกาสหายก็มีสูง แต่ถ้ากินแล้วไม่ถ่ายก็ตัวใครตัวมัน ท่านให้กินประมาณครึ่งแก้ว
      ถาม :  กินกี่ครั้ง ?
      ตอบ :  ครั้งเดียว แต่จะให้ดีก็กินวันละครึ่งแก้วสักหนึ่งอาทิตย์ แต่หลังจากที่มะเร็งหายคงอ้วนน่าดู เพราะเป็นน้ำมันล้วน ๆ
*************************

              “การธุดงค์ที่ผ่านมา มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าตัวเองเจอตัวอะไร เสียงเหมือนกับนกใหญ่บิน แต่มองไม่เห็นตัว
              เวลาประมาณห้าโมงเย็น ปักกลดพักกัน มีกลดของอาตมา ของท่านโมเช่ และฤๅษีบุญทรง มีเสียงเหมืนอกับนกบินรอบกลด เหมือนกับเขามาสำรวจว่าใครมาปักกลด พยายามเพ่งอย่างไรก็มองไม่เห็น ได้ยินแต่เสียงบิน และเส้นทางบินของเขาใบไม้จะไหวตามไปเลย
              ตอนหลังไปพยายามค้นคว้าดู ไปได้ยินว่าน่าจะเป็นนกชนิดหนึ่งที่เขาเรียกว่า กาสัก เป็นนกที่ประหลาดมาก คือ ไม่มีใครที่สามารถเห็นตัวเขาได้ ลักษณะเหมือนนกลึกลับแบบนกการเวกอะไรทำนองนั้น
              แต่นกกาสักนั้น ถ้าขนเขาหลุดออกจากตัว เราจะเห็นขนเส้นนั้นได้ แต่ถ้าคนหรือสัตว์ที่มีชีวิตเอาขนเส้นนั้นไป ก็จะมองไม่เห็นคนหรือสัตว์ตัวนั้นไปด้วย ก็แปลว่าขนของเขามีอำนาจบังตาได้
              เป็นเรื่องอัศจรรย์ดีเหมือนกัน ไม่นึกว่าในชีวิตจะเจอเรื่องอะไรแปลก ๆ อย่างนั้น อย่างนกอินทรีใหญ่ที่พม่า ตัวขนาดเท่าคนเลย ถึงเวลาพวกเรากำลังนั่งรถไปที่พุกาม สองข้างทางเป็นพื้นที่กึ่งทะเลทราย
              ตอนตีห้า อาตมาก็ว่าตัวอะไรสีขาว ๆ แวบไปแวบมาอยู่ข้างถนน ปรากฎว่าเป็นหนู หนูหริ่งตัวเล็ก ๆ มีเยอะขนาดวิ่งจนเราตาลาย แล้วก็จะโดนรถทับแบนเป็นประจำ พอรถวิ่งจนฟ้าเกือบสว่าง เห็นคนก้ม ๆ เงย ๆ อยู่บนถนนสามคน อาตมาก็ว่าสามคนนี้เขามาทำอะไรกันวะ ? พอรถจี้เข้าไปใกล้ เขาบินพรึ่บขึ้นไปจึงรู้ว่าเป็นนกที่ใหญ่มาก กางปีกยาวเป็นวาเลย เขากำลังเก็บซากหนูที่รถวิ่งทับกินกันอยู่ เลยเห็นว่าเป็นคนมาก้ม ๆ เงย ๆ อยู่”
      ถาม :  แปลกใจเรื่องนกกาสัก ที่ขนร่วงไปแล้วได้มาคนอื่นจะมองไม่เห็นใครเล่าเรื่องนี้ให้ฟังครับ ?
      ตอบ :  บรรดาผู้ที่มีประสบการณ์เรื่องนี้ “เขาเล่าว่า” กันต่อ ๆ มาแม้กระทั่งที่เกาะพระฤๅษีก็มีตัวประหลาด อาตมาเรียกว่า ปลาไหลบก เพราะไม่รู้จัก ลักษณะเหมือนปลาไหลทุกประการ
              ครั้งแรกที่เจอ ออกจากกุฎิมาเข้าห้องน้ำตอนประมาณห้าทุ่มหรือเที่ยงคืน เห็นเข้าก็ว่าน่าจะเป็นงู เลยวิ่งขึ้นกุฎิไปเอาไฟฉายมา กว่าจะย้อนกลับมาดูที่เดิม ระยะเวลานานเป็นนาที ปรากฎว่าเจ้านั่นไปได้แค่ศอกเดียว เลื้อยช้ามาก
              พอส่องไฟดูหน้าตาเหมือนกับปลาไหล ตอนที่เข้าไปเอาไฟฉายอีเห็นที่เลี้ยงไว้กระโดดเกาะไหล่มาด้วย พอเห็นเจ้าปลาไหลบกนั้นอีเห็นก็พุ่งใส่กัดเลือดสาดเลย อาตมาต้องรีบกระชากตัวเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเจ้าปลาไหลบกตาย
              ตอนหลังไปค้นหนังสือเกี่ยวกับงูในประเทศไทย พบรูปจึงรู้ว่าเขาเรียกว่า เขียดงู เขียดงูของเขาสีออกดำ ๆ แต่ที่เกาะพระฤๅษีสีเหลืองอร่ามเป็นปลาไหลเลย ยังนึกสงสัยอยู่ว่าจะเป็นพันธุ์ใหม่หรือเปล่า ?
              หลังจากนั้นอีกเดือนหนึ่ง คนงานของหน่วยจัดการต้นน้ำตีตายไปอีกตัวหนึ่ง นั่นตัวเท่าหัวแม่มือ เล็กกว่าตัวที่อาตมาเจอเยอะเลย เขาไปร่ำลือกันว่าเป็นงูที่กัดแล้วรักษาไม่ได้ ตายลูกเดียว...! แต่อาตมาดูแล้วน่าสงสารมากกว่า เวลาตั้งนานเลื้อยไปได้ศอกเดียว สุดยอดความเชื่องช้าเลย มิน่า...ว่าถึงต้องออกหากินตอนกลางคืน
              อีกอย่างหนึ่งก็คือ เขียดแลว แถว ๆ ป่าองธิ หลังหมู่บ้านสะพานลาว เขาทำสถิติยิงด้วยปืน ได้ตัวมาน้ำหนัก ๔๐ กิโลกรัม พอมาอีก ๔-๕ ปี ได้อีกตัวหนึ่งหนัก ๓๒ กิโลกรัม
              พวกนี้น่าสงสารเพราะตัวใหญ่มาก เวลาตกใจกลัวคนจะพุ่งพรวดเดียวไป ๕๐-๖๐ เมตรเลย เนื่องจากตัวใหญ่ ชาวบ้านเลยต้องใช้ปืนแก๊ปยิงเอา ที่เกาะพระฤๅษีเคยเจอก็สักประมาณสองฝ่ามือ แต่ที่เขาเจอกันน่าจะเป็นตัวปู่ตัวย่าของเขาเลย ถึงได้ใหญ่ขนาดนั้น
              ตอนแรกไปที่บ้านซองกาเลีย ในหน้าหนาวชาวบ้านเขาเอาอาหารมาเลี้ยง อาตมาก็เห็นว่ามีน่องไก่ทอดกระเทียมด้วย ที่ไหนได้ ไม่ใช่น่องไก่ทอด แต่เป็นขาเขียดแลวทอดกระเทียมพริกไทย พอเขาบอกว่าเป็นกบอาตมาก็งง ปกติแถวบ้านเราพอหน้าหนาวแล้วกบไม่มี แต่เขาบอกว่าที่นั่นพอหน้าหนาวแล้วกบจะเริ่มออกหากิน อาตมานึกถึงตัวที่เขากินทั่ว ๆ ไป เราเห็นเขายังนึกว่าเป็นน่องไก่ แล้วถ้าตัวใหญ่ ๆ จะขนาดไหนหนอ ? ตอนแรกแปลกใจอยู่ว่าไก่แถวนี้ ทำไมกระดูกใส ๆ
*************************

              “ตอนที่อยู่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ บิณฑบาตมักจะได้พวกอาหารป่าเป็นประจำ จะมีอาหารชนิดหนึ่งผัดเผ็ดมา อาตมาคิดว่าน่าจะเป็นปลา เพราะเขาหั่นมาเป็นท่อน ๆ ยาวสักประมาณข้อนิ้ว
              แต่พอกินไปแล้วรู้สึกแปลก ๆ ดูแล้วไม่ใช่กระดูกหรือก้างปลาอย่างที่เคยกิน กระดูกเป็นข้อแล้วมีครีบเป็นแฉก ก็เลยสงสัยว่าเป็นตัวอะไร ? พอสงสัยเขาก็โผล่มา...ตัวเบ้อเริ่มเลย โผล่มาให้เห็น เป็นตัวเงินตัวทอง นั่นเป็นอาหารชั้นดีของชาวบ้านเขา สุดยอดความอร่อยเลย ชาวบ้านเขาสละของดีที่สุดใส่บาตรให้พระ อยู่ที่นั่นใหม่ ๆ บิณฑบาตอาทิตย์หนึ่งได้เจ้าตัวนี้มา ๕-๖ วัน กินมากไปเลยนิสัยชักคล้าย ๆ กับตัวเงินตัวทอง ...!
              ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจะติดเป็นนิสัยเลยว่า ก่อนจะกินอาหารก็ตั้งใจว่า บุญกุศลทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขออุทิศให้แก่ท่านทั้งหลายที่เป็นเจ้าของเลือดเนื้อร่างกายที่โดนเขาทำอาหาร เพราะเจ้าตัวนั้นแหละที่โผล่มาแล้วอาตมาอุทิศส่วนกุศลไปให้ ตั้งแต่นั้นมาก็เลยเคยชิน ถึงเวลาก่อนจะกินต้องอุทิศให้พวกเขาก่อน”
*************************

              “สมัยก่อนไปหาหลวงปู่โง่น โสรโย วัดพระพุทธบาทเขารวก จังหวัดพิจิตร หลวงปู่โง่นท่านปวดท้อง นั่งคลำท้องอยู่ ถามว่า “เป็นอะไรครับ หลวงปู่ ?” ท่านบอกว่า “วันนี้เผลอไปว่ะ”
              ปกติหลวงปู่โง่นท่านจะฉันเจ วันนั้นโยมเอาข้าวต้มมาให้แล้วมีปลาสลิดปิ้งมาด้วย เนื่องจากร่างกายขาดสารอาหารมานาน ก็เลยฉันปลาสลิดไปสองซีก หลวงปู่โง่นบอกว่า ปลามันไปอยู่ในท้อง แล้วมันก็โวยวายว่า “กินกูทำไม ?” แต่อาการของท่านที่คนอื่นเห็นก็คือ กำลังปวดท้อง ถ้าเป็นเราได้ยินเสียงอย่างนั้นคงกินอะไรไม่ลงหรอก”
*************************