​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๕๘

 

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนกันยายน ๒๕๕๓


      ถาม :  ยังหาการกำหนดจิตไม่เจอ ?
      ตอบ :  อยู่กับลมหายใจเข้าออก สภาพจิตก็จะสงบ พอสงบถึงที่สุด เราก็ตามดู ตามรู้ว่า รัก โลภ โกรธ หง เกิดขึ้นอย่างไร ให้รับรู้เฉย ๆ ไม่ไปปรุงแต่งด้วย
      ถาม :  ความรู้สึกที่กำหนดจิต ?
      ตอบ :  สำคัญอยู่ที่ลมหายใจ ถ้าไม่อยู่ที่ลมหายใจก็หาจิตไม่เจอหรอก
*************************

      ถาม :  เวลาปฏิบัติแล้วสงสัยขึ้นเรื่อย ๆ ควรจะวางกำลังใจหรือทำอย่างไรดี ?
      ตอบ :  ถ้าหากทำไปจริง ๆ ถึงระดับหนึ่งความสงสัยก็จะหายไป มีอยู่อย่างเดียวคือ พยายามรักษากำลังใจของเราให้ทรงตัว ภาวนาให้ต่อเนื่อง ถ้าต่อเนื่องกันได้แล้วจะหายสงสัยไปเอง
*************************

      ถาม :  ไปทำอะไรมาก็ไม่ได้อธิษฐานเพื่อส่วนตัว ?
      ตอบ :  วิสัยเดิมที่เป็นพุทธภูมิมา อะไร ๆ ก็ทำเพื่อส่วนรวมทั้งนั้นแหละ เรียกว่าเป็นพุทธภูมิแบบตกกะไดพลอยโจน ไม่ได้ตั้งใจจะเป็น แต่ทีนี้หัวแถวเป็น ลูกแถวตามมา จึงคล้าย ๆ กัน
      ถาม :  ถ้าชาตินี้หมดแล้ว ชาติหน้าก็มีแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ใช่ไหม ?
      ตอบ :  ใช่แล้ว...ของเก่าทำมา ทิ้งวิสัยเดิมไม่ได้หรอก พอถึงเวลาเราต้องการก็ปรากฎ พยายามเบนเข้าหาอารมณ์พระอริยเจ้าให้ได้
*************************

      ถาม :  ทางคณะจะลงใต้ไปที่วัดชัยชนะสงคราม ที่หาดใหญ่ ?
      ตอบ :  ไปแล้วต้องฝึกกรรมฐานด้วยนะ อย่าทิ้งโอกาสไปเปล่า ๆ
      ถาม :  ให้ไปฝึกด้วยหรือคะ เป็นสายของหลวงปู่สดเหมือนกันหรือคะ ?
      ตอบ :  เหมือนกัน แต่หลวงป๋าวิวัฒน์ท่านสอนมโนมยิทธิ แบบมโนยิทธิปนกับธรรมกาย สองอย่างลงท้ายคล้ายคลึงกัน จึงไปด้วยกันได้
*************************

              “ก่อนนี้ที่กรุงเทพฯ ทรุด ปัญหาใหญ่ก็คือสูบน้ำบาดาลมากเกิน ข้างใต้ดินลงไปที่เป็นชั้น ๆ จะมีโพรงที่อัดน้ำอยู่เต็ม พอเราดูดน้ำขึ้นมา น้ำหนักดินก็จะกดลงไป เมื่อไม่มีสิ่งรองรับ ก็จะยุบลงไปเรื่อย
              ระยะหลังปัญหาการสูบน้ำบาดาลคลี่คลายลง เพราะน้ำประปาพอใช้ แต่ไปหนักตรงสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตขึ้นทุกวัน น้ำหนักที่กดทับลงไปก็ยิ่งหนักหนาสาหัสกว่าเดิม เพราะฉะนั้น...เลี่ยงไม่ได้หรอก จะช้าจะเร็วกรุงเทพฯ ก็ต้องน้ำท่วม
              ที่จริงแล้วสมัยรัชกาลที่ ๑ ย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่กรุงเทพฯ เพราะต้องการสถานที่ซึ่งมีฝนฟ้าอุดมสมบูรณ์ ประชากรต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วยการปลูกข้าวเป็นหลัก บรรพบุรุษเขาเลือกสถานที่ได้ถูก แต่เราไปเปลี่ยนจากนามาเป็นตึก แต่ฝนฟ้าไม่ได้เปลี่ยนด้วย ยังคงตกตามปกติ เรื่องก็เลยสาหัสอย่างในปัจจุบัน
              โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ มีการขุดคลองระบายน้ำเป็นจำนวนมาก พอถนนหนทางขายขึ้น มีการถมคลองเพื่อสร้างถนนหนทางไปหลายสายการระบายน้ำก็ไม่สะดวกเหมือนเดิม เพราะไม่ได้ใช้คลองเป็นทางสัญจร ไม่มีการขุดลอกก็ตื้นเขินไปเรื่อย
              พื้นที่รองรับน้ำในเบื้องต้นจึงไม่พอ เพราะคลองตื้น จะระบายน้ำก็ไม่สะดวกเพราะว่าโดนถมไปเสียมาก คนโบราณเขาเก่งตรงที่ว่าคล้อยตามธรรมชาติ แต่คนในยุคปัจจุบันไม่ได้คำนึงถึงตรงนั้น ใช้วิธีขัดขวางหรือทำลายธรรมชาติ
              ถ้าเราสังเกตดูบ้านคนสมัยก่อนจะเป็นบ้านใต้ถุนสูง ชั้นล่างเขาเผื่อน้ำท่วม พอหน้าร้อนเขาก็ลงมาข้างล่าง เป็นที่ทำงานหรืออาศัยพักผ่อนเพราะว่าเย็นกว่าชั้นบน
              หน้าฝน หน้าหนาว ถ้าน้ำยังไม่ลด ยังไม่ถึงเดือนยี่ก็อยู่ชั้นบน แล้วผูกเรือไว้ใต้ถุน แต่พอเราไปเปลี่ยนรูปแบบ ไปนิยมการก่อสร้างแบบต่างประเทศ เห็นว่าเป็นความเจริญ ก็รับมาโดยไม่ได้ดูสภาพความเหมาะสมของบ้าเนราเมืองเรา ปัญหาใหญ่จึงเกิดขึ้นไปเรื่อย เพราะฉะนั้น...ถ้าใครปลูกบ้านใหม่ โปรดเผื่อน้ำท่วมเอาไว้ด้วย”
*************************

              “นักปฏิบัติที่เอาดีได้ยากในปัจจุบัน เพราะว่าไปปล่อยกำลังให้รั่วไหลหมด การที่เราฝึกปฏิบัติควบคุมกาย วาจา ใจ ของเราเพื่อสร้างให้จิตมีกำลัง แล้วนำกำลังนั้นไปใช้ในการตัดกิเลส แต่เรามักจะปล่อยให้รั่วไหลอยู่ตลอดเวลา
              ตาเห็นรูป...ชอบใจก็ไหลไปแล้ว หูได้ยินเสีย...ชอบใจไหลไปอีกแล้ว จมูกได้กลิ่น...ชอบใจไหลไปอีกแล้ว ลิ้นได้รสชอบใจ...ก็ไหลไปอีก กายสัมผัส...ชอบใจไหลไปอีก ใจครุ่นคิด...เกิดความพอใจไม่พอใจ ดีใจเสียใจไหลไปอีกแล้ว จึงทำให้กำลังของเรา รวบรวมเท่าไรก็ไม่พอสำหรับเอามาใช้ในการตัดกิเลส เพราะว่ารั่วไหลอยู่ตลอด ถ้าใครสามารถสะสมกำลังเอาไว้ได้ โดยที่ไม่รั่วไหลเลย ขอบอกว่ากำลังนั้นมหาศาลขนาดเปลี่ยนฟ้าแปลงดินได้...!”
*************************

              “ปีนี้งานมาก เหมือนกับทดสอบกำลังว่าเราป่วยแล้วจะมีแรงพอทำงานไหม ? เพราะว่าวันที่ ๒๓ ตุลาคม ที่เคยทอดกฐินเป็นประจำ เป็นวันออกพรรษา และยังเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ไม่สามารถที่จะรับกฐินได้
              ปกติจะรับกฐินต้องเป็นแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ไปจนถึงกลางเดือน ๑๒ คราวนี้โดยธรรมเนียม แรม ๑ ค่ำ จะเป็นวันตักบาตรเทโวฯ ก็แปลว่า
              วันที่ ๒๓ ตุลาคม ทำบุญออกพรรษา
              วันที่ ๒๔ ตุลาคม ตักบาตรเทโวฯ
              วันที่ ๒๕ ตุลาคม เป็นวันหยุดชดเชย ทอดกฐินสามัคคี

              เจองานติดกันไปสามวันรวด จะได้รู้ว่าอาตมายังไหวหรือเปล่า ?”
*************************

              “ลูกสาวทั้งเจ็ดของท้าวสามล เรามักจะรู้จักแต่นางรจนาคนเดียว อีก ๖ ท่าน ชื่ออะไร มีใครรู้บ้าง ?
              เรื่องนี้อาตมารู้ได้เพราะตลกลิเก พอท้าวสามลใช้ให้คนไปตามพี่ ๆ ทั้ง ๖ คน ให้มาเลือกบรรดาเจ้าชาย ที่มาคัดตัวเป็นราชบุตรเขย ตัวตลกก็กล่าวว่า “ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า พระพี่นางทั้ง ๖ มีพระนามว่าอย่างไรบ้างพระเจ้าข้า ?”
              ท้าวสามลบอกว่า “กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” แล้วโบ้ยไปให้นางมณฑา นางมณฑาไหวพริบดีมาก สมกับที่เป็นลิเกตัวนำ นางมณฑานับนิ้วบอกเลยว่า มีชื่อดังนี้ “มะลิวัลย์ จันทนา สารภี ยี่สุ่นเทศ เกศเมือง เรืองยศ รจนา” ปฏิภาณสุดยอดจริง ๆ
              เรื่องการเล่นลิเก บางทีก็มีการทดสอบไหวพริบปฏิภาณ บางทีก็หักมุมไปในตัว บางทีเขาเล่นกันก็เบื่อบทตัวเอง อยากจะเล่นบทอื่นบ้าง ก็แกล้งเล่นบทนั้นเสียเลย ถ้าคนดูเห็นว่าตัวเองเล่นได้ดีกว่า เดี๋ยวเขาก็ได้เล่นบทนั้นเอง
              ก่อนหน้าที่กาญจนบุรีจะมีวัดถ้ำเสือดาว ท่านอาจารย์บูรพา กับวัดเขาสามชั้น ท่านอาจารย์กระโจมทอง ท่านทั้งสองเคยเล่นลิเกวงเดียวกันมา ต่างคนต่างมาบวช ท่านอาจารย์กระโจมทองเล่นเป็นพระเอก ท่านอาจารย์บูรพาเล่นเป็นผู้ร้าย
              ไป ๆ มา ๆ รู้สึกเบื่อ ผู้ร้ายเวลาออกนอกโรงลิเก ชาวบ้านก็ด่าขว้างด้วยรองเท้า ผู้ร้ายเลยอยากเป็นพระเอกบ้าง ปรากฎว่าท่านอาจารย์กระโจมทองไม่ยอม เพราะเล่นเป็นพระเอกอยู่แล้ว ท่านอาจารย์บูรพาเลยแยกวงไป ท้ายสุดก็เจ๊งทั้งคู่ ต่างคนต่างมาบวช
              ทุกวันนี้ท่านอาจารย์บูรพายังบวชอยู่ ส่วนท่านอาจารย์กระโจมทองสึกไปแล้ว ท่านอาจารย์กระโจมทองเคยโดนอธิกรณ์อยู่ครั้งหนึ่ง อาตมาตอนนั้นทำหน้าที่เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี จึงเป็นคนไปสอบสวนเอง สวบสวนและก็รายงานไปว่าเป็นการกลั่นแกล้งกัน
              ท่านอาจารย์กระโจมทองติดลีลาลิเกเก่า พอท่านเจอหน้าอาตมาในฐานะผู้บังคับบัญชาเหนือตน ท่านเล่นถวายบังคมเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นพระ แต่ท่านติดนิสัยถวายบังคม...!
              การที่เขาเล่นลิเกได้สมบทบาท แสดงว่าเขาต้องทุ่มเทเต็มที่ ในเมื่อลิเกยังทุ่มเทให้กับบทบาท จนกระทั่งชาวบ้านคล้อยตามไปด้วย เห็นว่าเป็นตัวโกงจริง ๆ ก็แปลว่าเขาทำหน้าที่ของเขาอย่างเต็มที่แล้ว
              เมื่อมาถึงจุดนี้ พวกเราต้องทบทวนตัวเราเองดูว่า เราทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง ? ในเมื่อเราเองตั้งใจปฏิบัติอยู่ใน ศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เราเคยทุ่มเทชนิดตายเป็นตายบ้างหรือไม่ ?
              สวนใหญ่นอกจากจะไม่ทุ่มเทแล้ว เรายังไปปล่อยให้กำลังของเรารั่วไหลอีกต่างหาก เราจึงสู้กิเลสไม่ได้เสียที ลองดูสักครั้งสิ...ดูว่า...ตายเป็นตายเป็นอย่างไร แต่ส่วนใหญ่พอจะใกล้ตายหน่อยก็มืออ่อนตีนอ่อน ยอมแพ้ดีกว่า เดี๋ยวกิเลสตายเราจะเศร้าหมอง...!
*************************

      ถาม :  เราเคยลบหลู่ครูบาอาจารย์ตั้งแต่อดีตชาติ ด้วยความคิดว่าเราเก่ง ?
      ตอบ :  ให้ขอขมา
      ถาม :  ปัจจุบันเราไม่รู้ว่าครูบาอาจารย์ท่านไหนที่เราเคยลบหลู่มาก่อน ?
      ตอบ :  ตั้งใจว่า ไม่ว่าจะเป็นท่านใดที่เราเคยล่วงเกินมา เราก็ขอขมา
      ถาม :  อธิษฐานขอขมาต่อหน้าพระได้ใช่ไหม ?
      ตอบ :  ได้
*************************

      ถาม :  ภาวนาไปสักพักหนึ่งเผลอตัวคิดเรื่องอื่น อยากทราบวิธีแก้ครับ ?
      ตอบ :  ก็แค่เลิกคิด แล้วกลับมาภาวนาใหม่ แรก ๆ ก็ชักคะเย่อกันอย่างนี้เแหละจนกว่าอารมณ์ใจของเราจะทรงตัวจริง ๆ จึงจะอยู่กับการภาวนาตลอด หัดปฏิบัติใหม่ ๆ มักจะเป็นอย่างนั้นแหละ รู้ตัวก็รีบคืนกลับเข้ามาอยู่กับการภาวนา หัดกันสักสามปีห้าปีเดี๋ยวก็ดีไปเอง
*************************

      ถาม :  ภาวนาแล้วรู้สึกเหนื่อย เป็นเพราะอะไร ?
      ตอบ :  เกิดจากหลายสาเหตุ
              ๑. เป็นเพราะเราตั้งใจเกินไป ต้องวางกำลังใจสบาย ๆ
              ๒. ไปบังคับลมหายใจ เขาให้กำหนดรู้ลมหายใจไปเฉย ๆ ไม่ใช่ไปบังคับลม ต้องปล่อยให้ลมเข้าออกตามปกติ เราแค่เอาสติรู้ตามไปเท่านั้น
              ๓. กำลังใจรวมตัวจะไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ถ้าแบบนี้หัวใจจะเต้นเร็วขึ้นไปด้วย เหมือนคนที่ออกกำลังมาอย่างหนัก จึงรู้สึกเหนื่อยแบบนี้ต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย ถ้าไม่กลัวตายจริงๆ ก็จะไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง
*************************

      ถาม :  เวลาภาวนา สามารถนั่งภาวนาได้ใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  จะหกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ต้องภาวนาได้ ถ้ามัวแต่ไปรอนั่งภาวนา ชาตินี้ก็เอาดีไม่ได้หรอก ...!
      ถาม :  พอนั่งสมาธิ ได้ยินเสียงจะตกใจง่าย ?
      ตอบ :  แสดงว่าสติยังไม่มั่นคง ยังส่งจิตออกนอกไปคิดถึงเรื่องอื่นอยู่
      ถาม :  วิธีแก้คือทำไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ไปเรื่อย ๆ ถ้าสมาธิทรงตัวมากขึ้นเดี๋ยวก็หายไปเอง
      ถาม :  ถ้าเราตกใจ ?
      ตอบ :  ถ้าตกใจ แสดงว่ากำลังใจของเราไม่ได้อยู่กับลมหายใจเข้าออกไปคิดเรื่องอื่นอยู่ เวลาจิตกลับมาเร็วเกินไป ก็จะเป็นอาการที่เราเรียกว่าตกใจ ตรงนี้เราทำผิดเอง
      ถาม :  เวลาดูแผ่นกสิณสีขาว แล้วไฟเป็นสีอื่น จะเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องไปใส่ใจ ให้ใส่ใจแค่สีขาวเท่านั้น
      ถาม :  ถึงแม้ว่าตัวแผ่นกสิณจะเปลี่ยนไปตามสีใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ใช่…ให้สนใจเรื่องเดียว ไปสนใจหลายเรื่องแล้วเมื่อไรจะได้อะไรสักที เหมือนกับพวกหลายใจ ทำอะไรก็ทำให้ได้ไปอย่างหนึ่งเลย ถ้าเปลี่ยนไปเรื่อยชาตินี้กทำไม่สำเร็จหรอก...!
*************************

      ถาม :  การรักษาศีลแปดมีผลต่อสมาธิหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ถ้ารักษาศีลแปดได้ ก็จะปฏิบัติได้ดีกว่า
      ถาม :  ข้อที่ห้ามฟังเพลง ห้ามเพลงทุกชนิดเลยหรือครับ ?
      ตอบ :  ทุกชนิด
      ถาม :  ถ้าเราฟังแล้วไม่ได้คิดอะไร ได้หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ไม่ได้คิดแล้วจะฟังทำซากอะไร...!
      ถาม :  เปิดเฉย ๆ ครับ ?
      ตอบ :  หาเรื่องเดือดร้อน...! พอเสียงมาเข้าหู กำลังของเราก็รั่วไหล เราต้องสะสมกำลังจิตของเราให้มากพอ จึงจะสามารถปราบกิเลสได้ แต่มักจะรั่วออกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่ตลอดเวลา ส่วนใหญ่ก็เลยกลายเป็นทาสกิเลสไปตลอดปีตลอดชาติ...!
*************************

      ถาม :  เวลาบวช เขาใช้สบู่อะไรกันครับ ?
      ตอบ :  มีอะไรก็ใช้ไป สักแต่ว่าใช้ ไม่มีก็ไม่ใช้ อย่าไปเลือกว่าต้องสบู่หอม ยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้ก็แล้วกัน
*************************

      ถาม :  อสุรกาย หน้าตาเหมือนผีทั่วไปหรือเปล่า ?
      ตอบ :  เขาแสดงให้เป็นแบบไหนก็ได้ แต่ของจริงมักจะผอม ๆ ดำ ๆ จะมีก็พวกที่ตั้งตัวเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ มีเครื่องเซ่นมากก็อ้วนหน่อย
      ถาม :  เขาหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ตามต้นไม้หรือเปล่า ?
      ตอบ :  เขาอยู่ได้หลายที่ แต่ชอบที่ซึ่งหลบซ่อนได้ง่าย อย่างในป่าทึบหรือตามป่าช้า เราอาจจะเจอมาหลายทีแล้วก็ได้ แต่ไม่รู้จักเขาเอง...!
*************************

              “พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว ว่าอย่าไปถือมงคลตื่นข่าว เมื่อครู่โยมโทรมาบอกว่าป่วย ไม่ค่อยสบายอยู่เรื่อย มีคนแนะนำให้ไปหาร่างทรง แล้วร่างทรงบอกว่า ต้องรับขันธ์จึงจะหาย เขาก็เลยสงสัยว่าเทวดามีหน้าที่ทำให้คนป่วยหรือ ? เขายังฉลาดที่รู้จักสงสัย แต่ใจก็เชื่อไปตั้งครึ่งแล้ว
              สำนักทรงต่าง ๆ หาของแท้ยาก คำว่า “ของแท้” ก็คือ เป็นเทวดา เป็นพรหม ที่มาสร้างบารมี หรือเป็นพระมาสงเคราะห์ ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะถูกจำกัดไว้ด้วยเวลา ไม่ได้มาเปะปะ พวกประเภทที่ไปเมื่อไรทรงได้ทันที ขอให้ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า “ปลอม” ไว้ก่อน
              ของแท้ท่านมาตามเวลา มีข้อสังเกตง่าย ๆ ว่า
              ๑. มาตามเวลา ไม่ใช่มาเปะปะทั่วไป บางรายก็มาเฉพาะวันพฤหัสบดีหรือวันเสาร์ บางรายมาเฉพาะวันพระ บางรายมาเดือนละครั้ง มีอยู่รายหนึ่ง เป็นร่างทรงพระเจ้าตากสิน มาปีละครั้ง
              ๒. ถ้าหากว่าเป็นของแท้ ส่วนใหญ่แล้วไม่เรียกร้องผลประโยชน์จากเรา นอกจากดอกไม้ธูปเทียนและเงินบูชาครูเล็ก ๆ น้อย ๆ สัก ๓ บาท ๙ บาท เพื่อแสดงว่าเราเคารพท่าน เคยเจอมากที่สุดคือ ๑๐๘ บาท แต่มีหลายสำนักเหมือนกัน ที่เราไปตัวเปล่าแล้วเขาจัดให้หมดทุกอย่าง นั่นแปลว่าเขาตั้งมาเพื่อสงเคราะห์จริง ๆ
              ๓. สิ่งที่เขารับปากช่วยเรานั้นจะมีผล
              ดังนั้น...ถ้าทิพจักขุญาณไม่ดี ก็ให้สังเกตสามข้อนี้ไว้ ข้อแรกคือมาเป็นเวลา ไม่ใช่ทรงได้ทุกเวลา ข้อที่สองคือไม่ได้ต้องการผลประโยชน์ มาเพื่อสร้างบารมี ส่วนใหญ่ต้องการแค่ความเคารพ มีเครื่องบูชาครู เล็ก ๆ น้อย ๆ ข้อสุดท้ายคือ ส่ิงที่เขารับปากช่วยจะมีผลตามนั้น
              ส่วนใหญ่แล้วพวกนี้จะอ้างของสูง เป็นเจ้าพ่อนั้น เป็นเจ้าแม่นี้ ที่ขำที่สุดก็คือ สมัยที่หลวงพ่อฤๅษีท่านยังมีชีวิตอยู่ วันหนึ่งท่านปรารภว่า “เล็กเว้ย...ข้ายังไม่ทันจะตายเลย มีสำนักทรงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ๖๐ กว่าสำนักแล้วว่ะ...!” นี่เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า การถือมงคลตื่นข่าวบางทีก็ทำให้เราเดือดร้อน เพราะพวกนี้มักจะใช้หลักจิตวิทยา บอกว่ามีเคราะห์กรรมหนักบ้าง มีองค์มีร่างบ้าง และท้ายสุดก็อาจจะต้องเสียเงินเสียทองไปสะเดาะเคราะห์หรือไปรับขันธ์
              และการรับขันธ์เท่ากับยอมรับเขา บางทีเขาก็ใช้ผีบ้าง ใช้ไสยศาสตร์บ้าง คุมเราเอาไว้ ถึงเวลาก็ต้องหาเงินไปให้เขา ถ้าเป็นไปได้ อย่าไปยุ่งได้ก็จะปลอดภัย อันนี้เป็นการถือมงคลตื่นข่าวเรื่องที่หนึ่ง
              เรื่องที่สอง เมื่อครู่โยมเขาเอาข่าวที่ไหนมาก็ไม่รู้ เขาตกใจกันใหญ่บอกว่าอาตมาพูดว่า น้ำจะท่วมบ้าง ภัยพิบัติจะเกิดบ้าง ประเทศไทยคนจะตายเหลือ ๕ - ๖ ล้าน เอามาจากไหน ? ตูยังสงสัยว่าพูดไปตอนไหน ?
              เหลือตั้ง ๕ - ๖ ล้านคน ยังกลัวอีก ก็เราแค่คนเดียว หมดจากเราแล้วยังเหลืออีกตั้ง ๔ - ๕ ล้าน อย่างไรจำนวนแค่หนึ่งคน เราจะแย่งมาไม่ได้เลยหรือ ?
              พระพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่า บุคคลที่มั่นคงในคุณพระรัตนตรัย ภัยอันตรายใด ๆ ก็ทำอันตรายไม่ได้ ดังนั้น...ขอให้เราเคารพมั่นคงในคุณพระรัตนตรัยจริง ๆ ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ไปหวั่นไหว เรื่องร้ายก็กลายเป็นดีเอง
              เคยเจอบ้างไหม ? ประเภทเรือล่มเพราะคนตกใจ คนแห่กันพรวดไปข้างเดียว แล้วเรือก็เอียงกะเท่เร่ ในที่สุดก็ล่มไป ลักษณะเดียวกัน ถ้าเราไปแตกตื่น ก็จะทำให้สถานการณ์ดี ๆ กลายเป็นเสียไปได้
              มีอยู่วันหนึ่ง คนทั้งเมืองกาญจนบุรีพากันแตกตื่น แย่งกันขึ้นยอดเขา เพราะลือว่าเขื่อนแตกแล้ว...! ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด คุณรุ่งฤทธิ์ มกรพงษ์ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด
              ชาวบ้านแตกตื่นหนีกันขึ้นยอดเขา ไปจับจองที่กางเต็นท์ หรือไม่ก็ไปหาที่นอนของตัวเอง แย่งที่จนถึงขนาดวางมวยกันก็มี ท่านผู้ว่าฯ ต้องใช้โทรโข่งไปประกาศ บอกว่า “ตรวจสอบข่าวทั้งหมดแล้ว เขื่อนยังไม่แตก ไม่ต้องกลัวหรอก ลงมาเถอะ” ก็ไม่มีใครลง เพราะมีพวกที่บอกว่า ตนมีญาติอยู่ที่นั่นเขาบอกว่าเขื่อนแตกแล้วจริง ๆ พอไล่ไปไล่มา เอาเข้าจริง ๆ ก็มีแต่ “ฟังเขาเล่าว่า” มาทั้งนั้น
              ประมาณปี ๒๕๔๕ มีข่าวลือว่า พวกที่รับขนคนมอญต่างด้าวเข้าประเทศ เอาคนมอญไปฆ่าทิ้ง ๓๐ กว่าคน อยู่ในเกาะที่เป็นพื้นที่เหนือเขื่อนเขาแหลม ข่าวลือหนักขึ้น ๆ ท้ายสุดอาตมาก็เลยเดือดร้อน เพราะว่าเป็นหัวหน้าหน่วยกู้ภัย
              ในเมื่อเรื่องลือกันหนักขนาดนั้น ก็ต้องออกไปพิสูจน์ทราบ เขาบอกว่าพวกที่ขนต่างด้าวเข้าเมืองไม่สามารถจะผ่านด่านได้ เลยเอาไปซ่อนไว้ในเกาะ หลายวันเข้าไปส่งอาหารให้ไม่ไหว ก็เลยเอาข้าวคลุกยาฆ่าแมลง (แลนเนต) ให้กิน คนจึงตายหมด เขาบอกว่ากลิ่นศพเหม็นตลบไปเป็นกิโล ๆ ขนาดเรือผ่านไกล ๆ ยังได้กลิ่นเลย...!
              อาตมาเลยให้เขาไปสืบว่ามีใครรู้บ้าง พอไปได้ตัวคน ๆ หนึ่งเขาบอกว่า “ได้ยินอีกคนหนึ่งพูด” คน ๆ นั้นมีเรือนแพอยู่ในพื้นที่เขื่อน มีอาชีพหาปลา อาตมาเลยพาคณะไปพิสูจน์กัน เช่าเรือ ๒,๕๐๐ บาท เติมน้ำมันต่างหาก วิ่งตั้งแต่สังขละบุรีลงมา เลาะมาเรื่อย ๆ จนเกือบจะถึงวังปะโท่ของทองผาภูมิ คือวิ่งมาเกือบร้อยกิโลเมตร ไม่พบอะไรเลย พอไปเจอบุคคลคนนั้น เขาก็ว่า “อีกคนหนึ่งเล่ามา” ตามไปเจอก็มีแต่ “เขาเล่าว่า” มาตลอด เรารู้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่จริง เพราะถ้ามีคนมอญตายขนาดนั้น หลวงพ่ออุตตมะท่านไม่อยู่เฉย ๆ หรอก นี่เป็นข้อสังเกตที่หนึ่ง ข้อสังเกตที่สองก็คือ คนเราโง่ขนาดไหนก็ตาม ข้าวคลุกยาฆ่าแมลงใครจะกิน ?
              ยาฆ่าแมลงกลิ่นแรงขนาดนั้น ลองถามซิ...ว่าถ้าเป็นเราจะกินไหม ? ต่อให้หิวแทบตายก็ไม่กินแน่ แต่คราวนี้ที่อาตมาไป ไปทำไม ? ก็ไปเพื่อกลับมายืนยันกับพวกที่ลือกันว่า “กูไปมาแล้วเรื่องไม่จริงโว้ย...พวกมึงเลิกลือกันได้แล้ว...!” ต้องเสียเงินขนาดนั้น และต้องลำบากตากแดดจนหนังลอก เพราะว่าเรือไม่มีหลังคา ตากแดดอยู่ครึ่งค่อนวัน