ถาม :  เรื่องของไหว้เจ้า ถ้าเราเอาของพระพุทธแล้วไปถวายพระสงฆ์ได้หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ได้ แต่ไหว้เจ้าแล้วก็ถวายได้ รีบ ๆ ถวายด้วยถ้าช้าแล้วเลยเพลเดี๋ยวจะอด ถวายได้ ส่วนใหญ่เขาถือว่าผีกินแล้วไม่ควรถวายพระมันไม่เกี่ยวกัน ขอให้เป็นอาหารเท่านั้น พระรัฐบาล ท่านเป็นพระอรหันต์แท้ ๆ ท่านฉันขนมบูดหน้าตาเฉย พระพุทธเจ้าเอง นางบุญทาสี เอาโรตีเหน็บชายพกมาถึงเวลาเดินผ่าน ท่านอยากจะถวายท่านก็ควักชายพกออกมาถวาย
              พระพุทธเจ้ารับแล้วก็นั่งฉันตรงนั้นล่ะ พระที่แท้จริงท่านต้องการอาหารเพื่อยังชีพเท่านั้น ท่านไม่เลือกหรอกว่าเป็นอาหารเก่าอาหารใหม่ หรือว่ามันจะเป็นของเหลือเดนแล้ว หรือว่าอะไรขอให้มีก็พอ อย่าลืมว่าทานมันมีทั้ง ทาสทาน สิ่งที่ต่ำกว่าที่เรากินเราใช้ สหายทาน ที่เสมอเรากินเราใช้ สามีทานสิ่งที่ดีกว่าที่เรากินเราใช้อันไหนที่ให้ไปเขาเรียกว่าทานเหมือนกัน
      ถาม :  แล้วอานิสงส์เหมือนกันมั้ยครับ ?
      ตอบอานิสงส์ถ้าหากว่าทำในสิ่งที่ดีกว่า ถึงเวลารับมันก็รับในสิ่งที่ดีกว่า แต่อย่าลืมว่าขอให้เราได้ทำอานิสงส์มันจะมี อย่างอานันทเศรษฐี ท่านเป็นมหาเศรษฐีนะ อย่าลืมมหาเศรษฐีมีทรัพย์ประมาณ ๘๐ โกฎิ สมัยนี้มันน่าจะประมาณ ๘ พันล้านพอมั้ยล่ะ ? แต่ว่าท่านใช้ของใหม่ไม่ได้ เสื้อผ้านี่ก็ให้คนอื่นเขาใช้ซะหน่อยหนึ่งแล้วตัวเองถึงใช้ได้ กินข้าวก็กินข้าวเต็มเม็ดไม่ได้ต้องกินข้าวหักอย่างนี้ เพราะว่าท่านทำบุญในลักษณะ ทาสทาน คือเอาของเหลือจากตัวเองกินตัวเองใช้แล้วไปให้ทาน แต่ว่าผลของท่านมันมีอยู่แล้ว ๆ ก็ได้ทำทานใหญ่มาเป็นมหาเศรษฐี ในเมื่อเป็นมหาเศรษฐีเสร็จแต่ว่าอานิสงส์มันต่ำกว่าคนอื่นอยู่นิดหนึ่งตรงที่ว่าต้องให้คนอื่นเขาเหลือตัวเองถึงจะได้ (หัวเราะ)
      ถาม :  แล้วสมมุติว่าวันนี้ผมแกงไปหม้อใหญ่ ๆ แล้ววันนี้เรากินแล้วพอดีแกงตอนเย็นแล้วตอนเช้าเห็นพระสงฆ์มา เราตักแกงนี้ใส่บาตรได้มั้ยครับ ?
      ตอบ :  ได้ เพราะจริง ๆ ที่มันเหลือเดนเราจริง ๆ แล้วก็คือเรากินในหม้อนั้นเลย แต่ของเราเองส่วนใหญ่แล้ว ไม่มีใครกินในหม้อขนาดนั้น เราก็ตักแบ่งออกมาทั้งนั้น อันนั้นก็ถือว่าจริง ๆ แล้วมันก็ยังเป็นของใหม่อยู่เหมือนเดิม
      ถาม :  ถ้าอย่างนั้นจะถือว่าเป็นสามีทานหรือเป็นอะไร ?
      ตอบ :  เรียกว่าเป็นสหายทาน ให้ในสิ่งที่เหมือนกับเรากินเราใช้
      ถาม :  แล้วอย่างตอนเช้าผมไปใส่บาตร มันจะมีร้านใส่บาตรอยู่หลายร้าน ร้านหนึ่งชุด ๒๑ ร้านหนึ่งชุด ๓๐ บาทอะไรต่าง ๆ นี่มีอานิสงส์เหมือนกันมั้ยครับ ?
      ตอบ :  อันนี้มันก็ไม่ได้ต่างกันตรงไหนหรอก ให้เลือกเอาสิ่งที่เราชอบ เลือกในสิ่งที่เราชอบ อย่างเช่น อาหารชุดนี้เราชอบใช่มั้ย ? ดอกไม้ชนิดนี้เราชอบอย่างนี้ ถ้าเราชอบอันไหนอันนั้นก็คือดีสำหรับเรา ในเมื่อดีสำหรับเรา ๆ ตั้งใจถวายไปก็เป็นสิ่งที่ดีที่เรามีอยู่
      ถาม :  แล้วเกิดบางร้านเขาไม่ถูกกับพระแล้วบอกว่า ร้านนี้ของไม่อร่อย
      ตอบ :  อันนั้นมันเรื่องของพระแล้ว ไม่ใช่เรื่องของเรา (หัวเราะ) เพราะว่าพระเขาบังคับอยู่แล้วว่าห้ามติดรส
      ถาม :  อย่างนี้ถ้าเราใส่ก็มีผลเหมือนกันใช่มั้ยครับ ?
      ตอบ :  ก็มีผลเหมือนกัน โดยเฉพาะไปซื้ออาหารเขาสบาย สมัยก่อนทำเองบางทีทำไปเหนื่อยแล้ว อารมณ์เสียแล้ว ที่ซื้อเขามามันรักษารักษาอารมณ์ได้ พอรักษาอารมณ์ได้ทำไปมันได้เปรียบคนอื่นเขา อารมณ์ใจมันดีทำบุญทำทานอะไรไปดีนะ ถ้าหากว่าวัตถุทานบริสุทธิ์ เจตนาบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์นี่ อานิสงส์มันเต็ม ๑๐๐ % ยิ่งกำลังใจของเราดีเท่าไหร่ อานิสงส์ของเราดีเท่านั้น สมัยนี้บางคนเขาบอกมันเหมือนกับได้บุญไม่เต็มที่ไปซื้อของที่เขาทำอย่างนี้ ความจริงทำอย่างงั้นน่ะดีไม่เหนื่อยด้วย ในเมื่อไม่เหนื่อยกำลังใจมันไม่เศร้าหมองใช่มั้ย ? สบายกว่าเยอะเลย
      ถาม :  แล้วอย่างนี้ อย่างผลไม้อย่างมังคุดนี่มีผลยังไงมั้ยครับ ?
      ตอบ :  ไม่มี นี่ยังคิด ๆ อยู่นะว่าสักวันหนึ่งจะเอามังคุด เอาละมุด เอามะไฟ เอาระกำอะไรไปถวายพระซักที ส่วนใหญ่มันของอร่อยด้วยนะ พระไม่ได้ฉันเลยเพราะมันกลัว (หัวเราะ) เอาไปถวายทีพระคงชอบใจน่าดู
      ถาม :  การใส่บาตรพระกับเณรนี่อานิสงส์เหมือนกันหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ใส่พระจะอานิสงส์สูงกว่าเพราะว่าเณรศีลน้อยกว่าพระเยอะ เณรศีล ๑๐ เท่านั้น พระศีล ๒๒๗ แต่ต้องดูให้ดีนะ ถ้าหากว่าเป็นพระที่สักแต่ว่าเป็นพระคือบวชมาแล้วศีลไม่มีหรือศีลไม่ครบนี่สู้เณรไม่ได้ เณรศีลบริสุทธิ์จะมีอานิสงส์มากกว่า ก็เลยต้องบอกว่า เจตนาบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ มันก็อยู่ที่ผู้รับแล้ว ถ้าพระต้องสังฆาทิเสสหรือปาราชิกไปเรียบร้อยแล้วสู้เณรไม่ได้
      ถาม :  อย่างนี้แล้วเราก็ไม่รู้ผลที่เราทำไป อาจจะไม่ได้ผลเลยก็ได้ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วหลวงพ่อท่านถึงได้สอนให้ตั้งใจให้ถวายเป็นสังฆทาน ไม่ว่าจะเป็นพระเป็นเณรก็ตาม มีส่วนทั้งนั้น
      ถาม :  เป็นสังฆทานนี่ดี ?
      ตอบแต่ถ้าเป็นสังฆทานนี่ผู้รับถึงไม่บริสุทธิ์ก็ไม่เป็นไร เพราะอันนั้นเป็นแค่ตัวแทนเท่านั้น สังฆะ คือหมู่สงฆ์เขาเป็นตัวแทนของหมู่สงฆ์เท่านั้น อานิสงส์ของเราเต็มที่ให้ตั้งใจเป็นสังฆทาน
      ถาม :  แล้วต้องกี่องค์ครับ ?
      ตอบ :  องค์เดียวก็ได้ ทำไมสังฆทานองค์เดียวก็ได้ทั้ง ๆ ที่คนอื่นเขาว่า ๔ คือว่าเราอย่าไปเจาะจงว่าพระองค์นั้นมา หลวงตาองค์นั้นมาเณรองค์นี้มา แล้วเราจะใส่ ให้ตั้งใจว่าองค์ไหนมาเราใส่ทั้งนั้น ถ้าอย่างนั้นใส่องค์เดียวก็เป็นสังฆทาน
      ถาม :  ถ้าอย่างนั้น ไปนิมนต์หลวงพ่อฤๅษีลิงขาว ลิงเล็กมา ?
      ตอบ :  (หัวเราะ) เจ้าพระยามหากษัตริย์ท่านยังไม่ทำเลย อย่างเราขืนไปทำมันจะเวอร์เกินไป
      ถาม :  ที่เขาเเยกวิญญาณ ที่เขาเสกที่ว่าเสกหุ่ยยนต์เสก.......(ไม่ชัด).....ที่เขาบอกเนรมิตขึ้นมาได้เปรียบเสมือนโคลนนิ่งปัจจุบันหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ คนละอย่างกัน ถ้าเทียบกับทางวิทยาศาสตร์ก็คือ การเปลี่ยนโมเลกุลจัดเรียงโมเลกุลใหม่ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าได้ศึกษาฟิสิกส์พื้นฐานมาหรือเปล่า ลักษณะของการเรียงโมเลกุลของแต่ละอย่างที่ไม่เหมือนกันทำให้วัตถุธาตุมันต่างกัน อันนั้นของเขาหยิบขึ้นมาปุ๊บแค่ต้องการให้มันเป็นก็จัดการเรียงโมเลกุลใหม่กลายเป็นอีกอย่างหนึ่งไปเลย
      ถาม :  แต่ว่าจำนวนโมเลกุลหรือจำนวนอะตอม ?
      ตอบ :  มันต่างกันก็ตรงนี้แหละ มันเป็นสูตรสำเร็จเลยก็คือใจสั่งให้เปลี่ยนมันเปลี่ยนได้เลย แต่ว่าของทางวิทยาศาสตร์นี่ ถ้าหากว่าจำนวนมันต่างกันอะไรมันต่างกันไปไม่ได้ ถึงได้บอกถ้ามันจะเปรียบมันเปรียบเหมือนกับการเปลี่ยนโครงสร้างโมเลกุลซะใหม่