มีอยู่สมัยหนึ่งหลวงปู่มหาอำพันท่านป่วย อาตมาลาหลวงพ่อเพื่อไปดูแลปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่ เพราะคนอื่นทำแล้วไม่ถูกใจท่าน ด้วยเหตุหลายประการ
ประการแรก ขาดความศรัทธาในตัวท่าน เห็นท่านเป็นคนแก่และเป็นคนแก่ที่ป่วยด้วย คนทั่ว ๆ ไปจะรู้สึกว่าน่ารำคาญ น่าเบื่อหน่าย
ประการที่สอง ขาดความละเอียดลออ ทำอะไรขาดตกบกพร่อง ไม่สามารถที่จะดูแลปรนนิบัติคนไข้ได้ดี
ประการสุดท้าย ใจไม่สงบ บางทีก็เดินพล่านเป็นชะมดติดจั่น เวลาอาตมาเคาะประตูเข้าไปหา พอหลวงปู่เห็นหน้าก็จะยิ้มชนิดอย่างที่น้อยคนได้เห็น แล้วจะรีบบอกกับพระที่เฝ้าว่า “นิมนต์ท่านกลับได้เลยครับ ท่านเล็กมาแล้ว” ซึ่งเขาจะรีบตะเกียกตะกายกลับเลย เพราะว่าทนหงุดหงิดรำคาญใจไม่ได้
บางทีหลวงปู่ก็บอกว่า ท่านก็รำคาญเหมือนกัน เขาเดินรอบห้องก๊อก ๆ เหมือนอย่างกับนกเลาะกรง
อาตมาลามาดูแลหลวงปู่อยู่ช่วงหนึ่งติดกันหลาย ๆ ครั้ง ทั้ง ๆ ที่ทางวัดมระเบียบว่า ให้ลาได้ครั้งละไม่เกิน ๑๐ วัน เพราะไม่อย่างนั้นจะเอาเปรียบคนอื่นที่เขาทำงาน อย่างวัดท่าขนุนก็ให้ลาได้เดือนละไม่เกิน ๗ วัน ถ้าไม่ได้ลาติดกันสองเดือนขึ้นไป สามารถลาได้ ๑๕ วัน
พออาตมาลาติดกันมากเกินกำหนด หลวงตาวัชรชัยท่านรู้ว่าความดีของอาตมาเยอะ มีคนจ้องจะฟันหัวอยู่ ท่านก็เลยเตือนว่า
“สิ่งที่เอ็งทำนั้นดี แต่เอ็งต้องคิดดูว่า ถ้าจะอาผลตอบแทนชาติปัจจุบันนี้ น่าจะประมาณเอ็งแก่ ๆ แล้ว เจ็บไข้ได้ป่วย ไปไหนไม่ไหว จะมีพระลูกพระหลานหรือไม่ก็ญาติโยมมาปรนนิบติรับใช้เหมือนกับที่เอ็งไปดูแลหลวงปู่
แต่ถ้าเอ็งยังทำผิดระเบียบด้วยการลาเกิน แล้วโดนไล่ออกจากวัด เอ็งจะเสียเวลาในการปฏิบัติไปเลย”
หลวงตาท่านให้อาตมาชั่งน้ำหนักดูว่า ระหว่างมรรคผลของตัวเอง กับในเรื่องของการปรนนิบัติครูบาอาจารย์ ควรจะเลือกเรื่องไหน ?
ตอนนั้นอาตมาหูอื้อตาลาย เหมือนกับฟังไม่เข้าหู จึงยังคงลาไปปรนนิบัติหลวงปู่ต่อไป และโดนเข้าจริง ๆ มติกรรมการสงฆ์สรุปว่าผิดระเบียบ ต้องขับออกจากวัด ผิดระเบียบเพราะลาเกินกำหนดไว้ รวมแล้วมากกว่า ๔๕ วัน ต่อให้ลาได้ ๑๕ วันก็ยังเกินไปมาก
จากนั้น เขาก็แจ้งผลการประชุมและมติที่ประชุมให้แก่หลวงพ่อ พูดง่าย ๆ ว่าขออนุญาตเชือด...! หลวงพ่อตอบหนังสือลงมาว่า “การไปปรนนิบัติดูแลครูอาจารย์ถือว่าเป็นเรื่องสมควร เป็นการที่ทำไปโดยกตัญญู ให้ปรับโทษโดยตัดวันลาเหลือเพียง ๗ วัน” เพราะฉะนั้น...อาตมาจะเป็นพระรูปเดียวในวัด ที่ลาได้ไม่เกิน ๗ วัน...!
เรื่องที่เล่ามานี้ ถ้าเป็นพวกเรา เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ ก็จะขึ้นอยู่กับกำลังใจของตัวเอง ถ้าอาตมาเห็นแก่ตัวเองมากว่า ก็จะทิ้งหลวงปู่แล้วก็ปฏิบัติตามระเบียบวัด
แต่ตัวอาตมาเองนั้น มีสันดานอยู่อย่างหนึ่งว่า เป็นคนที่เกิดที่ไหนก็ไม่ได้หวังว่าโตที่นั่น พร้อมที่จะไปที่อื่นได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ไปไกลบ้านได้มากเท่าไรก็มีความสุขเท่านั้น ก็เลยไม่ได้เกรงว่าจะโดนไล่ออกเพราะผิดระเบียบวัด
อาจจะเป็นผลพวงที่ปฏิบัติตามหลวงพ่อท่านมาหลายชาติ ในเมื่อหลวงพ่อตั้งความปรารถนาที่จะตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพื่อสงเคราะห์สรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ แม้ว่าอาตมาจะไม่ได้ตั้งความปรารถนาเช่นนั้น แต่อธิษฐานตามกันมา จึงรับเอาจริยานี้ไปโดยปริยาย
ทำให้เห็นความสุขของคนอื่นเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าความสุขส่วนตัว และเชื่อว่าลูกศิษย์สายหลวงพ่อร้อยละ ๙๙ ก็มีความรู้สึกแบบนี้ทั้งนั้น
เรื่องที่เล่ามานี้ เอาไว้เป็นข้อเปรียบเทียบสำหรับพวกเราในการตัดสินใจ เพราะการตัดสินใจแต่ละครั้งนั้น จะแสดงออกซึ่งกำลังใจของเราตอนนั้นอย่างชัดเจน เราจะมีสักกายทิฐิ มีมานะ มีอติมานะขนาดไหนก็ตาม ตอนนั้นจะออกมากหมด รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ก็จะออกมาหมด
จริง ๆ แล้วต้องขอบคุณหลวงตาเป็นอย่างยิ่ง อาตมาเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ ถ้าหากผลงานนี้ ๑๐ ส่วน เป็นของหลวงตาไปเสีย ๓ ส่วน ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ ๓๐ เปอร์เซ็นต์เลย เพราะสมัยนั้นเห็นหลวงตาเป็นต้นแบบ เป็นต้นแบบในการงับคนอื่น...! ดูแล้วเท่มากเลย
เวลาปฏิบัติติดขัดอะไร พี่เลี้ยงคนแรกที่นึกถึงก็คือหลวงตา แต่วันนั้นเป็นเรื่องแปลก กำลังใจอาตมาท่วมตัวเองสิ่งที่หลวงตาเตือนกลายเป็นผ่านหูไปเฉย ๆ ไม่ได้รับไว้พิจารณาเหมือนทุกครั้ง เพราะอาตมาตัดสินใจตั้งแต่แรกแล้วว่าจะต้องไปดูแลหลวงปู่
ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วจึงไม่ฟังคำเตือน แล้วก็เป็นไปตามที่หลวงตาท่านคาดจริง ๆ ว่า “เอ็งโดนแน่...!” แต่ด้วยความเมตตาของหลวงพ่อโดยเฉพาะการวิเคราะห์ว่าอาตมาทำผิดด้วยสาเหตุใด ตรงนี้สำคัญที่สุด
คนเราทุกคนที่ทำผิด ไม่ว่าจะผิดระเบียบ ผิดศีล ผิดกฎหมาย จะมีเหตุผลในตัวเองอยู่แล้ว เราต้องพยายามเข้าใจเหตุผลนั้นให้ได้ การที่เราตัดสินก็จะไม่ผิดพลาด ถ้าเราไม่เข้าใจในเหตุผลนั้น ว่าตามกฎหมายตรง ๆ ว่าตามระเบียบตรง ๆ บางทีเราอาจจะทำลายคนบางคนโดยไม่รู้ตัว ทำให้เขาเสียอนาคตไปเลย
*************************
“หลักการสวดมนต์ ถ้าอยากจะเป็นเร็ว อย่าฝึกสวดทีเดียวทั้งบท
อาตมาจะแยกทีละสองบรรทะด ให้สองบรรทัดเท่ากับ ๑ บท เขียนเลข ๑ กำกับว้ สองบรรทัดต่อมาก็เขียนเลข ๒ กำกับไว้ อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ถึงเวลาก็ตั้งใจท่องสองบรรทัดแรก พอท่องไป ๓ - ๔ รอบ ก็จะอ่านยาวให้จบบทไปทีเดียว
พอท่องสองบรรทัดแรกได้ บางทีบรรทัดที่ ๓ - ๔ ก็จำได้แล้ว ฉะนั้น...เราทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ พักเดียวก็จะได้ทั้งบทเลย
โดยเฉพาะว่าจะจำแม่ เพราะจะนึกได้ว่าถึงบทที่ ๑, ๒, ๓, ๔ แล้ว เลขบทต่อไปจะอยู่ในใจของเรา เวลาสวดมนต์จะผิดยาก เพราะว่าจำลำดับได้แม่น”
*************************
“พระกริ่ง..ของบริษัท ….ซึ่งเราก็รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ เหลือแทบจะครบทุกองค์ เพราะคนรู้เสียแล้วว่า เจ้าเดิมเป็นคนสร้าง
รายนี้เขาจะมีการจัดพิธีให้ยิ่งใหญ่ เพื่อเรียกศรัทธาญาติโยม ขณะเดียวกันก็จะออกข่าวในลักษณะว่าของมีน้อยมาก โดยเฉพาะจะให้ไปรษณีย์แต่ละสาขาจำหน่ายประมาณ ๑-๒ องค์ เพื่อให้เกิดเป็นกระแสขาดแคลน ลักษณะคนแย่งกัน จะได้ไปตีข่าวโฆษณาซ้ำอีก
โบราณเขาบอกว่า ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน เป็นเรื่องจริง ถ้าเขาทำตรงไปตรงมาตั้งแต่แรก ป่านนี้คาดว่านอกจากจะไม่มีคดีแล้ว คงจะรวยซับรวยซ้อน ไม่ใช่ซวยซับซวยซ้อนอย่างในปัจจุบัน
เขาเป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถมาก เสียดายอย่างเดียวว่าไปใช้ความสามารถในทางที่ผิด
ตอนช่วงที่เขารุ่ง ๆ เงิน ๔๐๐ - ๕๐๐ ล้านบาท เขาหาได้ในงวดเดียว ในการออกวัตถุมงคล เพราะฉะนั้น...ทุกวันนี้ถึงแม้จะต้องคดีอยู่ในเรือนจำ แต่ก็อยู่แบบสบาย”
“เคยสงสัยกับคำว่า “กรรมติดจรวด” อยู่เหมือนกัน ปรากฎว่าผู้เฉลยคือ หลวงพ่อรัตน์ รตนญาโณ สำนักปฏิบัติธรรมรัตนประทีป ที่อำเภอแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน เจ้าของวิชาสมาธิหมุน
ลองมานึกถึงลักษณะของดินฟ้าอากาศที่แปรปรวน เกิดเป็นสภาพของเรือนกระจก กลุ่มเมฆที่เกิดจากคาร์บอนจะคลุมรอบโลกอยู่ ทำให้ความร้อนที่ตกมาถึงโลกสะท้อนกลับออกไปไม่ได้ เพราะมีกำแพงกั้นอยู่ชั้นหนึ่ง
หลวงพ่อรัตน์บอกว่ากำแพงชั้นนี้แหละ แรงกรรมที่เราทำมาจะสะท้อนกลับลงมา ทำให้เกิดเหตุการณ์กรรมติดจรวด อาตมาจึงมาคิดว่า ถ้าเป็นอย่างที่หลวงพ่อรัตน์ว่าจริง ๆ เราทำดีก็ต้องติดจรวดบ้าง เพราะฉะนั้น...ต้องเร่งทำความดีให้เยอะไว้ ถึงเวลาถ้ากรรมดีติดจรวด จะสบายไปตาม ๆ กัน
ไปนั่งคุยกับท่านครึ่งค่อนวัน ได้ความรู้มากเลย โดยเฉพาะการที่ท่านสร้างเครื่องมือต่าง ๆ ได้จากสมาธิทั้่งนั้น ท่านจะทำแหล่งพลังงานใหม่ที่ไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าหรือนิวเคลียร์”
*************************
“เราควรจะศึกษาเรื่องของคนอื่นเขาบ้าง เพื่อจะได้รู้เขารู้เรา แต่ไม่ใช่ศึกษาแล้วเอาไปฟุ้งซ่าน ไม่อย่างนั้นแล้วเดี๋ยวจะเหมือนกับพระที่ศูนย์ฏิบัติธรรมปากช่อง
พออาตมาไปถึง บรรดาพระและแม่ชีของวัดท่าขนุนก็มากราบ และพระจากที่อื่นที่ไปปฏิบัติสมทบ มีส่วนหนึ่งเห็นอาตมาแล้วดีอกดีใจก็มากราบ มีพระเจ้าถิ่นรูปหนึ่ง ท่านมาถามว่า “ท่านอาจารย์เป็นใคร มาจากไหนครับ ทำไมพระและแม่ชีรู้จักอาจารย์กันเยอะจังเลย ?”
อาตมาจึงบอกให้ทราบว่าเป็นใครมาจากไหน ท่านยิ่งมึนหนักเข้าไปใหญ่ เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน ตรงนี้เป็นการวัดได้เลยว่าอาตมายังไม่ดัง ถ้าดังแล้วท่านต้องรู้จัก...!
เพราะฉะนั้น...ที่อาตมาบอกว่าให้รู้เขารู้เราเอาไว้บ้าง ถึงเวลาเขาพูดจะได้รู้ว่าที่ไหน ไม่ใช่ถึงเวลาก็เอ๋อ เป็นน้องเอ๋อจะน่ารักก็ตอนเรื่องที่ไม่สำคัญ ถ้าเป็นน้องเอ๋อตอนเรื่งอสำคัญ เดี๋ยวก็เจอน้องโบ๊ะเข้าให้...!”
*************************
“อาตมาไปพม่า หลวงปู่วัดคะแลบ้านน้อย อยากเจอหน้าอาตมาเป็นที่สุด จะขอให้ช่วยสร้างศาลาสักหลังหนึ่ง อาตมาเคยช่วยท่านสร้างพระเจดีย์ให้อิฐเขาไปหมื่นก้อนและเงินอีกสามหมื่น ปรากฎว่าครั้งนั้นเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ไปโดนพวกกะเหรี่ยงคริสต์ปิดถนนและซ้อมคน ขับรถเสียปางตาย ทำให้เดินทางไม่ถึงจุดหมาย
อาตมาจึงต้องไปค้างคืนที่วัดหลวงปู่ และบอกกับครูบาน้อยไปว่า “คุณบอกท่านว่าผมเป็นแค่เพื่อนที่มาจากเมืองไทยก็พอ ไม่ต้องบอกว่าผมเป็นใคร” เพราะหลวงปู่อยากเจออาตมามาก
พอถึงเวลาหลวงปู่ถาม ครูบาน้อยก็บอกว่าเป็นเพื่อนมาจากมืองไทย จะมาเที่ยวหนองบัว อาตมาก็ไม่ยอมเจรจาด้วย เพราะพูดพม่าไม่ได้ หลวงปู่ไม่รู้จะคุยอย่างไร ท่านก็ไป
รุ่งเช้า อาตมาฉันเช้าเสร็จก็เผ่นจากวัดไป พอออกมาพ้นวัดจึงบอกครูบาน้อยว่า “ถ้าหลวงปู่ท่านรู้ว่าผมเคยมากินมานอนอยู่ที่วัดท่าน ต่อไปจะมีสองอย่าง อย่างแรกอาจจะเลิกคบคุณไปเลย อย่างที่สองสถานเบาก็คงสรรเสริญความดีของคุณไปอีกนาน”
อีกรายหนึ่งเป็นโชเฟอร์ขับรสองแถว ชื่อ ปะลิ รายนี้ศรัทธาอาจารย์เล็กเหลือเกิน อาตมาไปสร้างวัดที่นั่น เป็นเงินสองสามร้อยแสนแล้ว จึงอยากพบอาจารย์เล็กเหลือเกิน
อาตมาก็นั่งฟังเขาคุยกันว่าอยากพบอาจารย์เล็กไปเรื่อย ๆ. เขากำชับกับครูบาน้อยว่า “ถ้ามาแล้วช่วยบอกด้วย จะรับส่งฟรี” ครูบาน้อยก็รับปากไปตามเรื่อง
พวกนี้ถ้ามารู้ทีหลังว่าอาตมานั่งรถเขาจนก้นด้าน เขาคงจะงงมากเลย แต่ระยะหลังหลอกเขาไม่ค่อยได้ มีอยู่เที่ยวหนึ่งโยมเขามา อาตมาก็แกล้งถามว่ามีธุระอะไร โยมเขาบอกว่าจะมากราบอาจารย์เล็ก อาตมาจึงชี้ไปที่ท่านมหาปิง บอกว่า “ท่านนั้นแหละ”
โยมเขาบอกว่า “ผมดูรูปจากในเว็บมาแล้วครับ” อาตมาหมดท่าเลย ตอนหลังนี่ชักจะหลอกใครไม่ค่อยได้
บางทีโยมเขาไปวัด เดินตรงรี่เข้ามาหาอาตมา “หลวงพี่ครับ กุฏิหลวงพ่อเล็กอยู่ที่ไหน ?” ตกลงว่าอาตมาจะเป็นหลวงพี่หรือหลวงพ่อดีวะ...! ก็เลยชี้ไปที่กุฏิ บอกว่ากุฏิท่านอยู่หลังนั้น แล้วก็กวาดวัดของเราต่อไป
อีกครั้งหนึ่ง ผู้พันติ่งเอาวัตถุมงคลไปให้พี่ชายที่สุราษฎร์ธานี พี่ชายเขาเจออาวุธสงครามไป ๔๐ กว่านัดแล้วไม่เป็นอะไรเลย เรื่องราวจึงฮือฮา ทหารยกมาล้อมกุฏิอาตมา อยากได้วัตถุมงคลกัน
อาตมาเปิดประตูอกมา และเดินไปทำนั่นทำนี่ แม้แต่หางตาทหารเขายังไม่มองเลย เขาวาดภาพหลวงพ่อเล็กไว้อย่างไรไม่รู้ ? แต่ไม่ใช่คนนี้แน่นอน ทำเอาอาตมารู้สึกปลื้ม ๆ อย่างไรก็ไม่รู้
*************************
“วันนี้ที่บ้านสายลมเขาจัดงานครบรอบวันเกิดหลวงพ่อวัดท่าซุง
ความจริงหลวงพ่อท่านไม่ได้เกิดเดือนตุลาคม ท่านเกิดเดือนมิถุนายน แต่ตอนที่ท่านหมดอายุแล้วพระต่ออายุให้ คือเดือนตุลาคม ท่านก็เลยถือว่าเดือนตุลาคมเป็นเดือนเกิดของท่าน
ถ้าใครไปศึกษาประวัติท่านแล้วจะแปลกใจ ว่าทำไมหลวงพ่อเกิดเดืนหนึ่ง แล้วไปทำบุญวันเกิดอีกเดือนหนึ่ง โปรดทราบตามนี้ว่า ท่านถือว่าการที่พระต่ออายุให้คือการเกิดใหม่ จึงเอาเดือนตุลาคมเป็นเดือนเกิด”
*************************
ถาม : ถ้าอยากรู้สึกว่าเราเคารพพระจริง ๆ ไม่ได้มองที่ความสวยงามของท่าน ต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ต้องมองที่เห็นคุณของท่านจริง ๆ ให้ไปพิจารณาว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มีคุณความดีอย่างไรบ้าง ถ้าเห็นความดีองท่านจริง ๆ จะเกิดความเคารพมาจากใจจริงเอง
*************************
ถาม : เวลาทำกรรมฐาน ทำไมอยากกลับไปที่บ้านเก่า ?
ตอบ : อยากกลับก็กลับสิ ใครจะไปว่าอะไร ไปวนดูให้สะใจ
อย่าลืมว่าเราไปตอนนั้นจิตเป็นสมาธิอยู่แล้ว ในเมื่อจิตเป็นสมาธิอยู่แล้ว เราก็ไปสำรวจให้ทุกซอกทุกมุม เพราะสภาพจิตของเราอาจจะมีความผูกพันอยู่กับสถานที่ จึงต้องการจะไป
แต่บางทีก็ไม่แน่เหมือนกัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง อาตมาตั้งใจจะไปกราบพระ แต่พอออกจากร่างแล้วไปตกอยู่ที่หน้าบ้านของใครก็ไม่รู้ มารู้ทีหลังว่าครอบครัวนั้นเป็นกระสือ จึงไปสอบถาม รับรู้รายละเอียดของเขามา
หลังจากนั้นประมาณสองวันก็มีคนมาถามเรื่องนี้ จึงพูดคุยกับเขาได้ ฉะนั้น...บางอย่างอาจจะมีเหตุ ต้องรอจนเกิดแล้ว เราถึงจะรู้ว่าเพราะอะไร เราไปลักษณะอย่างนั้นไม่ขาดทุนหรอก อย่างน้อยเราก็ทรงสมาธิอยู่ กิเลสกินไม่ได้ เราก็แค่ไปเที่ยวบ้านเก่าของเรา
*************************
ถาม : ถ้าเราเป็นเจ้ากรรมนายเวรเขา แต่ไม่อยากไปยุ่งกับเขา ?
ตอบ : ให้ตั้งใจอโหสิกรรมให้กับทุกคน
ถาม : อโหสิกรรมให้ฝั่งเราด้วย ฝั่งเขาด้วย ?
ตอบ : อโหสิกรรมเฉพาะฝั่งเรา เพราะเขาคงไม่รับรู้ด้วย แต่นี่เป็นการปลดตัวเราออกจากสิ่งนั้นมา เวรกรรมจะไม่สามารถเบียดเบียนเราในชาติต่อ ๆ ไปได้ ส่วนเขาจะจองเวรหรือให้อภัยก็แล้วแต่เขา
*************************
ถาม : สอนให้ลูกภาวนาพุทโธ บอกเขาว่าถ้าจำภาพได้ก็ให้จำไปด้วย เขาฟังแล้วเข้าใจผิด จำแต่ภาพพระอย่างเดียวค่ะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไร ขอให้ได้สักอย่างหนึ่งก็ใช้ได้
ถาม : ไปเปลี่ยนให้เขาภาวนาแทน ภาพพระเอาไว้ทีหลัง ?
ตอบ : อย่าลืมว่าภาพพระจำได้ยากกว่า
ถาม : นึกว่าคำภาวนาสำคัญกว่า ?
ตอบ : จริงๆ แล้วจะสำคัญก็ต่อเมื่อรู้จักเรื่องของสมาธิอย่างแท้จริง คำภาวนาเป็นเครื่องโยงจิตใจให้เป็นสมาธิที่แน่นขึ้นไป ระหว่างการจำภาพพระกับการจับลมหายใจ การจับภาพพระจะยากกว่ามาก
*************************
“ผู้หญิงพออายุมากแล้วจะขาดความมั่นใจในตัวเอง มีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า ถ้าเราอยู่คนเดียว เกิดเป็นอะไรไปแล้วใครจะดูแล ก็เลยมีจำนวนมากกระโดดลงเหวไปอย่างเต็มใจ เพราะอยากได้คนดูแล ท้ายสุดก็ซวยหนักเข้าไปอีก เพราะต้องไปดูแลเขา
ฉะนั้น...ความรู้สึกที่กลัวว่าจะไม่มีคนดูแลนี่เลิกคิดไปเลย แต่ถ้าคิดว่าเดี๋ยวไม่มีใครเอาไว้ข่มเหงรังแกก็ว่าไปอย่าง ถ้ารู้สึกอย่างนั้นก็พยายามหามาสักคน มาข่มเหงรังแกเราได้...!
จากที่กล่าวมา เรื่องสำคัญก็คือ กำลังใจยังไม่มั่นคง ก็เลยต้องการที่พึ่ง เราจึงต้องเร่งกำลังใจให้มั่นคง ถึงเวลาแล้วเราจะได้ไม่ต้องพึ่งใคร และจะได้ไม่ต้องไปกระโดดลงเหว”
*************************
“อาตมาอ่านเจอศีลข้อหนึ่ง ในโภชนปฏิสังยุต ของเสขิยวัตร ข้อที่ว่าภิกษุห้ามฉันเลียบาตร
อาตมาก็สงสัยว่าพระจะเลียได้อย่างไร จะมุดเข้าไปในบาตรได้อย่างไร พอไปเจอบาตรพม่าจึงรู้ว่า เพราะว่าบาตรพม่าตื้นนิดเดียว ลักษณะเหมือนกับชามตื้น ๆ จึงเลียได้”
*************************
|