​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๖๒

 

              “การทำงานทุกอย่าง ถ้ามีสมาธิช่วย งานจะออกมาดี ถ้าไม่มีสมาธิช่วย ถึงจะมีผลงานออกมาก็ดีสู้เขาไม่ได้
              สมัยที่อาตมาเรียนบาลีอยู่ หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ให้โอวาทว่า “ท่านเล็ก...เรียนบาลีอย่างทิ้งสมาธินะ ถ้าทิ้งเมื่อไรแล้วจะท้อ...ไปไม่รอดหรอก” นี่สำหรับพระและเณรของเราด้วยนะ
              สมาธิเป็นสิ่งจำเป็น อย่าทิ้งเด็ดขาด ถ้าทิ้งพอไปเจอของยากแล้วจะถอดใจ เพราะกำลังใจไม่พอ แต่ถ้าสมาธิทรงตัว ยิ่งยากก็ยิ่งสนุก ท้ายทายดีเหลือเกิน”
*************************

      ถาม :  เวลาโกรธ ใจเราโกรธ หรือใจสั่งให้เราโกรธ ?
      ตอบ :  หลายอย่างรวมกัน อย่างแรก เขาเรียกสัญชาตญาณ คือความรู้ที่มีมาแต่กำเนิด ความรู้นี้ก็คือ กิน ถ่าย นอน สืบพันธุ์
              อย่างที่สอง ก็คือ สภาพจิตของเราที่ปรุงแต่งให้ยินดียินร้ายตามอารมณ์นั้น ๆ
              อย่างที่สาม คือ โมหะ หลงผิดคิดว่าสิ่งนั้นดีจึงได้ทำ เห็นหรือยังว่ามีตั้งหลายอย่างรวมกัน
      ถาม :  ส่วนใหญ่จะเป็นกลาง ๆ ?
      ตอบ :  ทันทีที่มีการปรุงเมื่อไร ก็จะเสียความเป็นกลาง จะเอียงไปด้านรัก ด้านโลภ ด้านโกรธ ด้านหลง
      ถาม :  (ไม่ได้ยิน)
      ตอบ :  เพราะกิเลสแรงกว่า เราจึงโดนกิเลสรั้งไว้ ก็เลยต้องเพาะสร้างกำลังใจแข็งแรง เพื่อที่จะดิ้นหลุดจากกิเลสให้ได้ พอดิ้นหลุดออกมาได้ ก็ต้องหาทางฆ่ากิเลสให้ได้ด้วย
      ถาม :  สิ่งที่เราสร้าง คือสร้างหลักธรรม หรือสร้างอะไร ​?
      ตอบ :  เราสร้างกำลังให้กับใจ กำลังของใจจะเป็นกำลังของสติ สมาธิ ปัญญา สติระลึกรู้อยู่เสมอว่าเราจะทำอะไร สมาธิกำลังความมุ่งมั่นจดจ่อที่จะทำให้สำเร็จ และปัญญาหาช่องทางที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้สำเร็จ
      ถาม :  ท่านบอกให้ใช้ปัญญาหาทางที่ง่ายที่สุดของแต่ละคน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าอันไหนเป็นทางที่ถูกสำหรับเรา ?
      ตอบ :  ทางที่เจ็บตัวน้อยที่สุด ย่อมเหมาะกับตัวเรามากที่สุด
      ถาม :  ไม่มีวิธีที่... ?
      ตอบ :  มี…แต่ไม่เหมาะสำหรับเรา แต่ละวิธีก็เหมาะกับแต่ละสภาพ แต่ละผู้คนบุคคลที่กำลังใจเข้มแข็งมาก ทางที่เขาสามารถผ่านได้โดยง่าย แต่เราลองไปดูบ้างอาจจะปางตายเลย
      ถาม :  ถ้ากำหนดใจเรา... ?
      ตอบ :  ค่อย ๆ ย่อง
      ถาม :  ย่องอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  อยู่ในศีล สมาธิ และปัญญานั่นแหละ พยายามสั่งสมความดีไว้ อย่าให้ขาดช่วง ถ้าเป็นความดีแล้ว นิดหนึ่งก็เอา หน่อยหนึ่งก็เอา ว่าไปเรื่อย
      ถาม :  การสั่งสมสร้าง ?
      ตอบ :  ถ้าทำได้ผลจะมีฉันทะมาก โดยเฉพาะถ้าปีติเกิด เราจะไม่เบื่อไม่หน่าย ทำไปได้ตลอด แต่ถ้าทำไม่ถึงตรงจุดนั้น เดี๋ยวก็ถอยแล้ว
*************************

      ถาม :  แม่ชีบอกว่า พวกเราใจร้อน มุทะลุ เป็นอย่างไรคะ ?
      ตอบ :  อย่างพวกเรา ถ้าอาตมาบอกว่าเสกเพี้ยงเดียวได้เป็นพระโสดาบันทันที ก็เอาเลย...ใช่ไหม ?
      ถาม :  ค่ะ ?
      ตอบ :  นั่นแหละ...ใจร้อน รอไม่ได้ ถ้าในโลกนี้มีเรื่องง่ายขนาดนั้น พระพุทธเจ้าพาเราไปพระนิพพานกันหมดแล้ว
              ทุกอย่างอยู่ที่ตัวของเรา ถ้าเราทุ่มเทมากผลก็เกิดเร็ว ถ้าทุ่มเทน้อยผลก็เกิดช้า ถ้าทุ่มเทแล้วจะให้ผลเกิดเร็ว ต้องทุ่มให้ถูกทางด้วยนะ ถ้าออกนอกลู่นอกทาง ออกนอกแนวของ ศีล สมาธิ ปัญญา ถึงทุ่มเทไปก็ไม่เกิดผล ถ้าเกิดผลก็กลายสภาพเป็นมิจฉาทิฐิไป
              ดีใจกับคุณแม่ชีด้วย ตอนนี้ท่านสอบผ่านแล้ว คนแก่ได้เปรียบ กิเลสน้อยหน่อย จะมีมากก็ตัวมานะทิฐิ อายุ ๘๐ แล้วจะไป รัก โลภ โกรธ หลงกับใครไหว ถ้าเป็นลักษณะของนักปฏิบัติ อายุมากจะได้เปรียบ ถ้าตั้งใจเอาดีจริง ๆ เท่ากับว่ากำลังของ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ จะน้อยกว่า แต่จะมีมากตรงทิฐิและตัวอติมานะ
              กูใหญ่มาก่อน กูอายุมากกว่า ถ้าอย่างนั้นเจ๊งแน่ กลายเป็นมิจฉาทิฐิและมานะ ถือตัวถือตน กลายเป็นตัวกูของกูไป
      ถาม :  ตอนที่ปฏิบัติ ท่านใจร้อนไหมครับ ?
      ตอบ :  อาตมาใจร้อนมาก จะเอาให้ได้วันนั้นเลย ในเมื่อจะเอาวันนั้นเลยก็ต้องทุ่มเทมาก ๆ แต่ผลไม่เกิดตอนนั้นหรอก ผลที่ทุ่มเทมาเกิดทีหลัง
      ถาม :  ทำมากี่ปีคะ ?
      ตอบ :  ๑๑ ปี ยังไม่ได้อะไรเลย นอกจากพื้นฐานสมาธิสมาบัติต่าง ๆ
      ถาม :  ๑๑ ปียังไม่ได้อะไรเลย ?
      ตอบ :  พวกนั้นไม่ใช่ของที่ต้องการ อาตมาต้องการจะไปพระนิพพาน ๑๑ ปียังแตะไม่ถึงเลย
      ถาม :  ๑๑ ปี ได้บวชหรือยัง ?
      ตอบ :  ยัง…เป็น ๑๑ ปีที่ไม่ได้ทำอย่างพวกเรา เป็น ๑๑ ปี ที่ทุ่มเทจนคนอื่นเขาว่าบ้านกันหมดแล้ว ทำแบบไม่ลืมหูลืมตา ไม่สนใจโลกภายนอกจะเป็นอย่างไร กูรู้ว่าทางนี้ดีกูก็ไปท่าเดียว
*************************

      ถาม :  ถ้ารู้สึกว่าตอนนี้ใช่แล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่อีก จะรู้ได้อย่างไรว่าใช่แล้วจริง ๆ ?
      ตอบอย่าเชื่อว่าใช่จริง ๆ เพราะทันที่จิตละเอียดกว่าเดิมขึ้นไป ก็จะรู้ว่ายังไม่ใช่นี่หว่า ...แล้วเราก็จะไปยึดตรงจุดที่ปัจจุบันว่าตรงนี้ใช่อีก
              เพราะฉะนั้น...อย่าเพิ่งไปยึดว่าใช่ จนกว่าจะเข้าพระนิพพานจริง ๆ แล้วค่อยใช่ ถ้ายังมีร่างกายนี้อยู่อย่าเพิ่งไปเชื่อ
*************************

      ถาม :  แต่ละคนมีวิธีการใช้สมาธิแตกต่างกันไป จะรู้ได้อย่างไรว่าแต่ละตัว ควรจะใช้ตอนไหน ?
      ตอบเอาอานาปานสติเป็นหลัก แล้วขณะเดียวกันก็พยายามที่จะระงับเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง ด้วยศีล และกรรมฐานคู่ศึกของแต่ละอารมณ์นั้น
              พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเห็นผู้หญิงสวย ก็เอาอสุภกรรมฐานแทรกเข้าไปทันที ซึ่งจะต้องมีความคล่องตัวในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ แต่ถ้าหากมีความคล่องตัวในเรื่องเดียว ก็ต้องวิ่งกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกทันที
*************************

      ถาม :  เรื่องของอรูปพรหม ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเป็นอรูปพรหมก็ไปตามบุญของเขา หมดบุญเมื่อไรก็จะไปเสวยกรรมตามที่ตัวเองทำมา อรูปพรหมนี่อันตรายที่สุด เพราะว่าหมดบุญแล้วมีแต่จะลงต่ำ ไม่มีขึ้นสูงอีกเลย
*************************

      ถาม :  สติเป็นตัวระลึกหรือเป็นตัวตัด ?
      ตอบ :  การตัดต้องใช้กำลังสมาธิช่วย สติเพียงรู้เท่าทัน แต่กำลังไม่พอที่จะไปตัดหรอก ต้องอาศัยกำลังจากสมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัว สติก็จะมั่นคง ว่องไวไปด้วย
      ถาม :  ถ้าตัดได้ เกิดจากสติ หรือเกิดจากสมาธิ ?
      ตอบ :  สติ สมาธิ ปัญญา จะต้องไปด้วยกัน ปัญญาเห็นว่าสิ่งนี้เป็นโทษ สติจึงบอกให้หยุด โดยใช้สมาธิเป็นตัวรั้ง เมื่อรั้งอยู่ก้หาทางละให้ได้
*************************

      ถาม :  การเห็นว่าไม่ดี เห็นว่าเป็นตัวนำมาซึ่งความทุกข์จริง ๆ จะถือว่าเป็นปัญญา ?
      ตอบ :  ตัวที่เห็นว่าเป็นโทษ เป็นตัวปัญญา
*************************

      ถาม :  อารมณ์ที่เหมือนพ้นจากตรงนั้นแล้ว คือไม่มีความวิตกกังวลใคร่ครวญในสิ่งใด สิ่งนั้นทำอเะไรเราไม่ได้แล้ว เราอยู่เหนือกว่าแล้ว ?
      ตอบอย่าเพิ่งไปเชื่อ กติกาใดที่ทำให้เราก้าวเข้าไปสู่จุดนั้น ต้องทำแล้วทำอีก ทิ้งไม่ได้ เพราะถ้าเราทิ้ง กำลังอาจจะตกลงมา ถ้าตกลงมาคราวนี้ก็จะชอกช้ำอยู่คนเดียว
*************************

      ถาม :  นั่งกรรมฐานก่อนนอน พอจะนอนได้กลิ่นธูปหอมเย็น ๆ ลอยมาทั้งที่ไม่ได้จุดธูปเทียนอะไรเลย ?
      ตอบ :  พวกกลิ่นธูปส่วนใหญ่จะเป็นพรหม จริง ๆ แล้ว กลิ่นจะคล้ายพวกกระแจะจันทน์ แต่เราไปเข้าใจว่าคล้ายกลิ่นธูป ถ้าเป็นเทวดากลิ่นจะหอมสดชื่นเหมือนดอกไม้ แต่ไม่เหมือนดอกไม้ใดบนโลก
*************************

              “มีสิ่งหนึ่งที่อยากเตือนพวกเราไว้ บางทีพวกเราอาจจะไม่รู้กันก็คือ พยายามเลี่ยง อย่าไปนอนหน้าหิ้งพระ หรือนอนหน้าพระประธาน เพราะเวลาดึก ๆ เทวดานางฟ้าท่านลงมาไหว้พระ ถ้าเราไปนอนขวางก็ไปเกะกะท่าน ท่านไหว้พระไม่ได้
              อาตมาเองชอบนอนหน้าหิ้งพระ เวลานอนยังต้องหลบมาด้านข้าง ไม่นอนตรงกับพระพุทธรูป”
      ถาม :  เว้นช่วงแล้วปูผ้าให้ท่านได้ไหม ?
      ตอบ :  ได้…อาตมาใช้วิธีนอนตะแคงข้างให้ เพราะชอบนอนหน้าหิ้งพระมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พอได้รับคำเตือนก็เลยใช้วิธีนี้ คือหลบออกข้างไป
*************************

              “กฐินปลดหนี้ ปี ๒๕๕๔ จะลงไปที่วัดรัตนานุภาพ ของ พระครูประโชติรัตนานุรักษ์(สว่าง จนฺทวํโส) เป็นเพื่อนรุ่นน้องของอาตมาเอง อยู่อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส วันทอดกฐินตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๔
              ถ้าไปถึงนราธิวาสแล้ว อย่าลืมแวะวัดโกลกเทพวิมล ที่สุไหงโกลก หลวงพ่อเอียด ท่านมรณภาพแล้วสังขารไม่เน่า ท่านนอนพนมมือมรณภาพ แต่สังขารท่านเขาเผาไปแล้ว เขาเลยสร้างรูปหล่อไว้ในลักษณะนอนพนมมือแทน
              นอกจากนี้ควรแวะไปกราบสังขารของ หลวงพ่อแดง วัดทองดีประชาราม ท่านนั่งมรณภาพ เขายังเก็บสังขารท่านไว้ในลักษณะท่านั่ง วัดอยู่ใกล้ ๆ กันไม่ไกลมาก ไหน ๆ จะไปเสี่ยงตายที่นราธิวาสทั้งทีก็เอาให้คุ้ม
              ขากลับถ้าเราวิ่งผ่านสงขลา มีวัดโคกสูงของหลวงพ่อใบ ภทฺทิโย ท่านมรณภาพแล้วไม่เน่า มีโอกาสก็แวะด้วย ไปทั้งทีไปด้วยความยากลำบากก็ไปให้คุ้ม เอาให้พวกทหารคุ้มกันประสาทกลับไปเลย
              จะต้องอออกวัตถุมงคลเพื่อปักษ์ใต้โดยเฉพาะหรือเปล่า ? ถ้าออกจะต้องไปรับที่นราธิวาสเลยนะ มีเคล็ดลับตอนขับรถก็คือ ควรขับกลาง ๆ ถนน จะปลอดภัยกว่า เพราะว่าส่วนใหญ่เขาจะเจาะถนนฝังระเบิดเข้ามาแค่เลนเดียว
              รู้ไหมว่าพวกคุณเลือกวัดที่นราธิวาส อาตมาชอบมากเลย เพระาเป็นคนชอบทำอะไรเสี่ยง ๆ ถ้าเลือกวัดที่ง่าย ๆ แล้วจะน่าเบื่อมาก ถ้าเลือกวัดของหลวงปู่อำนวย อาตมาคงจะต้องไปเครื่องบินแล้วโดดร่มลงไปเองเพื่อความมันในชีวิต...! เพราะว่าวัดอยู่ข้างสนามบิน ออกจากสนามบินไม่กี่ก้าวก็ถึงวัดแล้ว
              เริ่มเก็บสตางค์บูชาวัตถุมงคลเพื่อกฐินปักษ์ใต้ เตรียมประมูลวัตถุมงคล เพื่อกฐินปักษ์ใต้กันได้แล้ว กฐินงวดนี้เขาจะเอาไปสร้างโบสถ์วัดรัตนานุภาพ”
*************************

              “วัดก่อนที่พุทธาภิเษกพระกริ่งสมปรารถนา ที่วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ หลวงพ่อมนัสท่านขีดเส้นแบ่งสมบัติกัน ท่านบอกว่าของท่านรับผิดชอบด้านตะวันออก เหนือ ใต้ ส่วนอาตมาให้รับผิดชอบด้านตะวันตก เหนือ ใต้ แบ่งกันดูแลประเทศไทยคนละซีก พูดง่าย ๆ ว่าให้เอาภาคตัวเองเป็นหลัก ส่วนเหนือกับใต้ถือว่าเป็นของแถม ตกลงกันว่าสามเดือนเป็นอย่างน้อยต่อครั้ง จะต้องสร้างบุญใหญ่เพื่อส่วนรวม ปีหน้าวัดท่าขนุนก็จะมีปฏิบัติธรรม ๕ รุ่น ขณะเดียวกันก็ยังมีบวชพระอีก ๔ รุ่น ก็น่าจะแทบมีการสร้างบุญใหญ่ทุกเดือน
              วันนั้นไม่ได้คุยอะไรกันมากมายหรอก คุยกันแค่นี้ นับเป็นเรื่องแปลก พี่น้องสองคนนั่งจ้องหน้ากันอยู่คนละฝั่งประเทศ อาตมาผ่านไปวัดของท่านก็เข้าไป เพราะกลัวว่าท่านจะโยนงานให้
              วันหนึ่งผ่านไป ท่านฝากโน้ตมาว่า “คราวหน้าถ้าผ่านมาแล้วไม่แวะวัดกู มึงไม่ต้องมาเลย...!” ในที่สุดก็หนีไม่พ้น ไปเจอกันในงานนั้น
              พยายามเลี่ยงแล้วเลี่ยงอีก ตัวจริงก็ใจเย็นเหลือเกิน ไม่ขยับสักที ขอให้โยมทั้งหลายทราบว่า เรื่องของการปฏิบัติหน้าที่พระโพธิสัตว์ ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของอาตมา เพราะว่าอาตมาเองไม่ใช่พระโพธิสัตว์ แต่เป็นการติดตามหลวงพ่อวัดท่าซุงมาระยะยาวนาน การสร้างบารมีก็เลยคล้ายกับเป็นพระโพธิสัตว์
              ฉะนั้น..ต้องรอตัวจริงเขามาทำหน้าที่ แต่ตัวจริงก็สมกับเป็นพระโพธิสัตว์ เวลาท่านเยอะเหลือเกิน ก็เลยยืดเวลาไปเรื่อย พวกนี้ท่านจะต้องเกิดอีกนาน ในเมื่อเกิดอีกนาน เวลาของพวกท่านจึงมีเยอะ หรือว่าท่านเห็นอาตมาทำหน้าที่แทนอยู่ ท่านจึงฉวยโอกาสอู้ก็ไม่รู้ อาตมาได้ยืนยันกับทุกคนว่า อาตมาไม่ใช่ตัวจริง แค่ทำหน้าที่แทนเท่านั้น เหมือนกับรักษาราชการแทน
              ตอนนี้ที่ดู ๆ อยู่ ท่านที่มาสายพระโพธิสัตว์จะไปหนักอยู่ทางภาคเหนือ ในเมื่อหนักอยู่ทางภาคเหนือ จะลงมาภาคนี้ก็ไกลเกิน ขณะเดียวกันหลวงพ่อคูณท่านก็อายุมากเหลือเกินแล้ว กลายเป็นว่า ของที่มีอยู่ก็มีแต่จะหลุดมือไป ส่วนของใหม่ก็ยังโตไม่ทันเสียที
              จะดูว่ากฐินปักษ์ใต้จะมีนิมิตไปทางไหน เพราะว่าวันงานกฐินที่วัดหนองหญ้าปล้อง นกอินทรีใหญ่คู่นั้นบินลงทางทิศใต้ ทันทีที่ยกพระเกศมาลาสมเด็จองค์ปฐมขึ้น แล้วพระสวดชยันโต อินทรีใหญ่คู่นั้นมาจากไหนไม่รู้บินวนทักษิณาวรรต พอพระชยันโตเสร็จเขาก็บินลงทิศใต้ไป ขอยืนยันว่าเป็นนกอินทรี เพราะว่าตัวใหญ่มาก ๆ แต่ถ่ายรูปติดมานิดเดียว
              ที่อาตมาขึ้นลงสลิง ถามว่ากลัวไหม ? ต้องบอกว่าเคยกลัว แต่หลังจากที่เข้าใจว่า ความตายเป็นของที่ต้องมาถึงสัตว์ทุกรูปทุกนามเป็นปกติอยู่แล้ว ความกลัวก็ห่างไป แล้วถ้าเรามั่นใจว่าตอนนี้เราทำความดีอยู่ ถึงตายไปเราไปดีแน่ ก็ยิ่งกลัวน้อยไปอีก แค่โหนสลิงขึ้นไป ๓๗ เมตร ประมาณตึก ๑๒ ชั้นกว่าเท่านั้น เรื่องเล็ก...! บางทีการเป็นคนดี ก็ไปขัดผลประโยชน์ของคนอื่น จึงจำเป็นต้องมีคนดีประเภทพระโพธิสัตว์ เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเพื่อความสุขของคนส่วนรวมแล้ว ท่านสละได้แม้แต่ชีวิตของตนเอง
              เพื่อความสุขของส่วนรวม ท่านยอมแม้กระทั่งต้องลงนรก อย่างเช่น การที่ต้องออกศึกออกสงคราม ไปรบราฆ่าฟันเพื่อป้องกันประเทศและประชาชนของตัวเอง ทำไปแล้วถ้าตนเองกำลังใจไม่ดี จิตเศร้าหมองก็ลงนรกแน่นอน
              ท่านทั้งหลายเหล่านี้ รู้อยู่ว่าทำแล้วผลเป็นอย่างไรแต่ก็จะทำ ทำเพื่อความสุของคนอื่นมากกว่า อย่างปัจจุบันนี้ก็ต้องดูในหลวงของเรา ต้องบอกว่าถ้าพระองค์ท่านนอนสบาย อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องลำบากตรากตรำก็ได้ แต่พระองค์ท่านก็ทุ่มเท เหน็ดเหนื่อยให้กับประชาชนมาตลอดระยะเวลากว่า ๖๐ ปี พูดง่าย ๆ ว่าเวลาจะพักสักนิดหนึ่งก็ไม่มี กลอนที่เขาแต่งถวายตอนงานกาญจนาภิเษกว่า
              พระเอย...พระผ่านภพ       คุณขจบ ขจรขจาย
        ดุจฟ้า ดาราฉาย                   ดุจคืนผ่อง ด้วยเดือนเพ็ญ
              หัตถ์ทิพย์ แห่งท่านไท้       กำจัดไข้ กำจัดเข็ญ
             ร้อนทุกข์ ขุกลำเค็ญ           เย็นทั่วหน้า มาทุกฉนำ
              แผ่นดิน ที่ทรงครอง         แผ่นดินทอง แผ่นดินธรรม
        ขุกเข็ญ ทุกคราวความ             ธ ดับเข็ญ ทุกคราวครัน
              เหน็ดเหนื่อย นั้นหนักนัก     ธ ทรงงาน อเนกอนันต์
        จักพัก เพียงสักวัน                 ก็หายาก ลำบากเกิน
              พิมานทิพย์ คือท้องทุ่ง       ม่านราวรุ้ง คือเขาเขิน
        ร้อนหนาว ในราวเนิน             มาลูบไล้ ต่างสุคนธ์
              รอยพระบาท ที่ยาตรา       แทบทั่วหล้า ฟ้าสกล
        พระเสโท ที่ถั่งท้น                 ถ้าไหลรวม คงท่วมไทย..ฯ
              นั่นแหละ...พระโพธิสัตว์แท้ ท่านทำกันอย่างนี้ เพื่อความสุขของส่วนรวม ถึงตนเองจะเหนื่อยแค่ไหนก็จะทำ เป็นสิ่งที่ออกมาจากน้ำใสใจจริงของพระองค์ท่าน ไม่ต้องไปเสียเวลาดัดแปลงเพื่อให้คนเขาคิดว่าเราเป็นคนดีแล้วก็ทำ คนจะเห็นหรือไม่เห็นก็ทำ
              อย่างที่ทรงตรัสกับ พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร ตอนที่ยังเป็นพันตำรวจเอกอยู่ได้รับพระราชทานพระสมเด็จจิตรลดา ในหลวงทรงตรัสว่าให้ไปปิดทองไว้ข้างหลังองค์พระ จะได้เป็นเครื่องเตือนใจในการทำความดีโดยไม่หวังอะไร
              พล.ต.อ.วสิษฐ กราบทูลว่า “มัวแต่ปิดทองหลังพระอยู่ แล้วเมื่อไรคนถึงจะเห็น...”
              พระองค์ตรัสว่า “ถ้าปิดมาก ๆ เข้า เดี๋ยวล้นมาข้างหน้า คนก็จะเห็นเอง...”
              แล้วพวกเราเห็นไหม ? ไม่ว่าจะน้ำท่วม ฝนแล้ง เดือดร้อนในหลวงตลอด
              เรื่องของการทำความดีนั้น เราอยู่ในสายตาของคนอื่นตลอดเวลา แต่ต้องบอกว่าเป็นวิสัยของมนุษย์ ทำดีสักร้อยครั้ง เขาจะชมให้กำลังใจสักครั้งก็แสนยาก แต่ถ้าทำอะไรพลาดครั้งเดียว จะโดนเขาสับเละไปตลอดชีวิตเลย ตายแล้วก็อาจจะยังพูดถึงต่อไปอีก
              ดังนั้น...การที่จะเป็นผู้นำคนจึงต้องจิตใจหนักแน่น หวั่นไหวไม่ได้ ถ้าผิดแล้วก็แก้ไขไปเรื่อย เดี๋ยวก็ถูกมากกว่าผิด ท้ายสุดก็จะไม่ผิดอีก เรื่องของการบริหารประเทศชาตินั้นต้องหนักแน่นจริง ๆ”
*************************