​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๖๓

 

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๓


              “ใครรู้บ้างว่างูหรือพญานาคมีกี่ตระกูล ในบาลีเขาบอกว่ามี ๔ ตระกูล ได้แก่ ตระกูลวิรูปักขะ ตระกูลกัณหาโคตมะ ตระกูลฉัพพยาปุตตะ และตระกูลเอราปถะ
              ๔ ตระกูลนี้ เขาใช้กำลังรัดให้ตายบ้าง กัดแล้วตายด้วยพิษบ้าง กระทบถูกก็ตายบ้าง ตะกูลสุดท้ายแค่มองก็ตายแล้ว...! เพราะฉะนั้น...อย่าได้เจอกับพวกนี้เลย โดยเฉพาะสองตระกูลสุดท้าย
              พวกสัตว์เลือดเย็นอย่างงู เขามีอายุไม่จำกัด ลอกคราบไปได้เรื่อย ๆ ถ้าไม่ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ หรือโดนฆ่าตายไปเสียก่อนก็จะไปโตไปได้เรื่อย ๆ
              พูดถึงมองแล้วตาย ในพระวินัย ข้อภิกษุฆ่ามนุษย์ให้ตาย แล้วต้องอาบัติปาราชิก คือขาดจากความเป็นพระ มีคำอธิบายอยู่ตอนหนึ่งว่า ภิกษุผู้ที่ดวงตามีฤทธิ์ ตั้งใจถลึงตามองผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย ต้องอาบัติปาราชิก ข้อนี้ถ้าไม่เจอมากับตัวเอง คงจะคิดว่ามีด้วยหรือ ? แต่อาตมาเจอมากับตัวเองตั้งแต่ยังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยม เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง เรียนอยู่ห้องเดียวกัน เธอชื่อ นันทา วงศ์สุวรรณ เพียงแค่เหลือบมองเท่านั้น อาตมาถึงกับเข่าอ่อนเลย รู้สึกเสียวแปลบเหมือนใจจะขาด ถึงได้เข้าใจว่า คนประเภทนี้ถ้าตั้งใจมอง เราตายแน่เลย
              ถ้าดูในคาถาเทพอาวุธ จะมี สักกัสสะ วชิราวุธัง ยะมัสสะ นะ ยะนาวุธัง อาฬะวะกัสสะ ธุสาวุธัง เวสสุวัณณัสสะ คทาวุธังบอกไว้ชัดเลยว่า อาวุธของพระยายมก็คือดวงตา
              เขาน่าจะเป็นลูกเป็นหลานของท่านพระยายม ผู้หญิงประเภทนี้ไปอยู่กลางดงผู้ชาย ต่อให้หื่นขนาดไหนก็ตายหมด ตอนนั้นที่มองแล้วเข่าอ่อน ไม่ใช่เข่าอ่อนเพราะเจอเนื้อคู่นะ แต่เข่าอ่อนเพราะว่าจะตาย ตัวเขาก็รู้ ถึงเวลาก็มักจะก้มหน้าก้มตา ไม่ค่อยสบตาใคร”
*************************

              “หลังจากที่มีนิกายมูลสรวาสติวาทเกิดขึ้น ก็มีการตีความพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างไปจากของเดิม แต่ยังยึดพื้นฐานใหญ่เกือบทั้งหมดเอาไว้ มาระยะหลังนิกายต่าง ๆ เกิดขึ้นมาก ส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นเหมือนประเทศไทยในปัจจุบัน ก็คือ เป็นอาจริยวาทเสียเยอะ ถือแต่คำสอนของอาจารย์ตนเป็นใหญ่ ถ้าถือคำสอนของอาจารย์ตนเป็นใหญ่ แล้วมีการเปรียบเทียบกับตำราอย่างเช่นพระไตรปิฎก ก็นับว่าดี แต่ส่วนใหญ่ที่ปรากฎขึ้นก็คือ ถือตามแบบไม่ลืมหูลืมตา สุดยอดก็คืออาจารย์ของข้า คนอื่นไม่ใช่ทั้งนั้น...!
              นอกจากจะไม่เปรียบเทียบกับหลักฐานดั้งเดิม ที่เป็นพระพุทธวจนะในพระไตรปิฎกแล้ว ยังมีการยกเอาหลักธรรมที่อาจารย์สอนไปข่มกับสำนักอื่นต่างหาก ท้ายสุด...อาจารย์ต่างคนต่างเก่ง ก็กลายเป็นนิกายต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่ในปัจจุบันพวกเราก็กำลังจะสร้างสำนักนิกายใหม่ขึ้นมาแล้ว
              จึงอยากให้หลักการกับทุกคนว่า ในเรื่องของการปฏิบัติ ถ้าเป็นไปได้ ให้อ่านพระไตรปิฎกบ้าง จะได้รู้ว่าคำสอนของครูบาอาจารย์ก็ดี หรือที่อาตมาเอามาแนะนำก็ดี มีผิดเพี้ยนจากพระไตรปิฎกหรือเปล่า ถ้าขี้เกียจอ่านพระไตรปิฎกเพระาเห็นว่ามาก ใช้หนังสือของหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นหลักก็ได้ โดยเฉพาะคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน กับกรรมฐาน ๔๐
              ถ้ามีเวลาจะอ่านเยอะหน่อย ก็ดูในปกิณกธรรม เล่ม ๑, ๒ และมหาสติปัฏฐานสูตร เดี๋ยวจะกลายเป็นชอบของยากไปอีก สำหรับมหาสติปัฏฐานสูตร ถ้าคนไม่มีพื้นฐานการปฏิบัติจริง ๆ เมื่อเลยจากกายในกายไปแล้ว มักจะอ่านไม่เข้ากัน”
*************************

              “การศึกษาเล่าเรียนของเราในปัจจุบันไม่เหมือนกับสมัยโบราณตำราต่าง ๆ โดยเฉพาะพระไตรปิฎกอยู่ในวัด ถ้าไม่ได้บวชเรียนเข้าไป โอกาสที่จะศึกษาก็ไม่มี ถ้าบวชเป็นระยะที่ไม่มากพอ โอกาสศึกษาให้เจนจบก็ยาก แต่สมัยนี้วิ่งเข้าไปถามกูเกิ้ลอย่างเดียวก็สบายแล้ว ต้องการอะไรเขาบอกให้หมด เราสามารถที่จะเปรียบเทียบได้ว่า มาจากไหน ? ใช่หรือไม่ ? มีจุดใดที่ผิดเพี้ยนบ้าง ?
              พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ในเกสปุตตสูตร หรือพวกเราเคยชินในชื่อ กาลามสูตร ว่า อย่าเชื่อด้วยเหตุ ๑๐ ประการด้วยกัน
              มา ปิฎกสมฺปทาเนน อย่าเชื่อแม้ว่ามีจารึกไว้ในพระไตรปิฎก
              มา สมโณ โน ครูติ อย่าเชื่อแม้ว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา
              เพราะเรื่องของหลักธรรม ถ้าพลาดแล้วเราไม่ได้พลาดแค่ชีวิตนี้ แต่พลาดไปนับชาติไม่ถ้วน เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เราต้องถือคติว่า ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงามดีกว่า ถ้าเร่งมาก ๆ ก็อาจจะได้แค่มีดตัดฟืนหั่นผักเท่านั้น
              ในส่วนของกำลังใจของพวกเรา มีวิธีตรวจสอบง่าย ๆ ใน สัมมัปปธาน ๔ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเอาไว้แล้ว คือ
              สังวรปธาน เพียรระมัดระวังไม่ให้อกุศลเกิดขึ้น
              ปหานปธาน เพียรขับไล่อกุศลในใจออกไปเสียให้พ้น
              ภาวนาปธาน เพียรสร้างความดีให้เกิดขึ้นในใจของเรา
              อนุรักขนาปธาน รักษาความดีที่เกิดขึ้นแล้วให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป หลักการใหญ่ ๆ จริง ๆ พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ ๓๗ ประการด้วยกัน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ สติปัฏฐาน ๔ อิทธิบาท ๔ สัมมัปปธาน ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรค ๘ ธรรมะทั้งหลายเหล่านี้ หมวดใดหมวดหนึ่ง ถ้าเราตั้งใจเอาเป็นหลักในการปฏิบัติจริง ๆ ก็เหลือเฟือเกินพอแล้ว
              ถ้าอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงสรุปให้ ก็คือ สร้างบารมี ๑๐ ให้เต็ม กับ ละสังโยชน์ ๑๐ ให้ได้ แต่การสร้างบารมี ๑๐ ให้เต็มหรือละสังโยชน์ให้ได้ ก็อยู่ในโพธิปักขิยธรรมทั้ง ๓๗ นั่นแหละ แล้วแต่ว่าเราจะเอาข้อไหนมาดัดแปลงใช้ในการสร้างบารมี ๑๐ ให้เต็ม หรือเอาส่วนไหนที่เราจะไปดัดแปลงใช้ในการตัดทำลายสังโยชน์ ๑๐ ให้ขาด”
*************************

              “ในเรื่องของการปฏิบัติ ขอย้ำอีกทีว่า ถ้าพลาดไม่ใช่แค่ชาติเดียว แต่เป็นหลายชาติ ถ้าพลาดลงข้างล่างก็นับชาติไม่ถ้วน ลงไปข้างล่างก็เท่ากับเราเสียไปหลายชาติ เพราะฉะนั้น...ต้องคอยระมัดระวังทบทวนให้ดี
              พระพุทธเจ้าทรงมอบ อิทธิบาท ๔ ไว้ให้แก่พวกเรา โดยเฉพาะวิมังสา หมั่นไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดในการปฏิบัติ บุคคลที่ปัญญาไม่เพียงพอ จะใช้วิมังสาไม่เป็น
              เราต้องระลึกอยู่เสมอว่าเราทำอะไร ? เพื่ออะไร ?
              ตอนนี้สิ่งที่เราทำนั้นยังตรงกับที่เราตั้งเป้าไว้หรือไม่ ?
              ตอนนี้เราก้าวมาใกล้ไกลแค่ไหนแล้ว ?
              ยังเหลือระยะทางหรือเหลือสิ่งที่ต้องทำอีกเท่าไร ?
              เราใช้ความเพียรพยายามเต็มที่แล้วหรือไม่ ?
              เรื่องพวกนี้ถ้าไม่มีอยู่ในใจ โอกาสที่จะก้าวหน้าก็น้อย ถึงเวลาก็เหมือนกับไฟไหม้ฟาง ได้รับการกระตุ้นก็ลุกฮือขึ้นมาหน่อย พอห่างสิ่งปลุกเร้าก็เงียบฉี่”
*************************

      ถาม :  ถ้าเราจะลงในธรรมความไม่ประมาท ได้หรือไม่ครับ ?
      ตอบ :  ทั้งหมดลงตรงนี้แหละ แต่ว่าส่วนใหญ่ดีแต่จำ ถ้าจำแล้วทำก็ยังดี ส่วนใหญ่จำแล้วเอาไปทำไม่เป็น...!
      ถาม :  ตอนจะทำก็นึกไม่ออกครับ ?
      ตอบ :  แสดงว่ายังไม่สามารถที่จะเอาไปประยุกต์ใช้งานจริงได้ แปลว่าสิ่งที่ทำไปยังไม่มีผล ถ้าทำแล้วมีผลต้องเอาไปใช้งานจริงได้
*************************

              “สูงยาวขาวตึง ก็คือ สูงอายุ สายตายาว ผมขาว หูตึง
              หลาย ๆ คน ยอมรับสภาพร่างกายไม่ได้ จึงไปทุ่มเทเพื่อจะกระชากวัยเอาไว้ ขอบอกว่าทุกอย่างมีราคา ถ้าไปทำอย่างนั้นจะหมดเงินเยอะมาก แค่เข้าฟิตเนสอาจจะเสียเดือนหนึ่งไม่กี่พัน
              แต่ถ้าถึงขนาดต้องไปกินอาหารเสริมสารพัดอย่างเพื่อชะลอวัย ก็จะแพงหนักเข้าไปอีก และถ้ามีการไปฉีดโบท็อกซ์ ไปดึงหน้าดึงตากันใหม่ ก็ยิ่งหนักกันไปอีก ถ้ายอมรับในสภาพร่างกายว่าอย่างไรก็ต้องแก่ ธรรมดาของร่างกายเป็นอย่างนี้ ก็คงไม่ต้องไปหมดเงินเยอะแยะอย่างนั้น”
              “บ้านอนุสาวรีย์เกิดขึ้นมาจากแม่ของเพื่อนก็คือ คุณแม่ทองดี เพื่อนก็คือคุณป้าติ๋วนั่นแหละ ที่เรียกประชดเพราะคุณเธอทำอะไรช้ามาตั้งแต่สมัยสาว ๆ เรียนหนังสือด้วยกันเพื่อนเรียกป้าทุกคนลย ประเภทนัดแปดโมงเช้า ถ้าบ่ายสองเธอมาถึง ก็ถือว่าเร็วแล้ว
              อาตมาบวชช่วงแรก ๆ แม่ทองดีก็ไปทำบุญที่วัดท่าซุง ทำไปทำมาแม่ก็บ่นบอกว่า “พระเล็ก...แม่แก่แล้ว ไปไกล ๆ ไม่ไหว หาเวลาลงมาให้แม่มาถวายสังฆทานสักเดือนละครั้งจะได้ไหม ?” จึงตกลงรับ เดือนแรก ๆ ที่มารับสังฆทานมีคนมาไม่ถึง ๑๐ คน หลังจากนั้น พอคนรู้ว่าอาตมามาที่นี่ จึงเริ่มมากันมากขึ้น
              ตอนแรกรับสังฆทานอยู่ตรงห้องของคุณมงคล (น้องป้าติ๋ว) ห้องตรงชั้น​ ๓ ที่ขึ้นไปฉันอาหาร คนแก่กว่าจะเดินขึ้นไปถึงชั้นสามก็หอบ เขาก็ประท้วงมา ปลายปี ๒๕๓๗ จึงลงมาสร้างห้องข้างล่างนี้ ซึ่งแต่เดิมเป็นชั้นลอยโล่ง ๆ ไม่ใช่ชั้นสองอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้ ชั้นสองจะเป็นชั้นที่อยู่บนหัวของพวกเรา มาวางคาน ปูพื้น กั้นห้องแล้วเริ่มรับสังฆทานที่นี่
              พอเวลาผ่านไป ๖ ปี ตั้งใจว่าจะเอารูปหลวงพ่อวัดท่าซุงใส่กรอบแล้วประดับไฟ ถ้าทำเสร็จออกมา รูปจะมีขนาดโตเท่ากับกระเป๋าเอกสาร พอช่างเขามาถึง เขาส่งรูปให้ หลวงพี่อาจินต์ ท่านเห็นเข้าพอดี “เฮ้ย...เล็กสวยดีว่ะ ขอพี่เถอะ พี่จะเอาไปตั้งไว้หัวเตียง” อาตมาก็ว่า “อ้าว...ของผมล่ะ ?” พี่เขาบอกว่า “เอาของพี่ไปแทนก็แล้วกัน”
              พี่เขาก็ส่งรูปที่ม้วนอยู่มาให้ ตอนนี้คิดว่ารูปใหญ่กว่าของเราไม่มาก จึงส่งรูปให้ช่างเขาทำกรอบ และให้เขาไปส่งให้ ตอนต้นเดือนรับสังฆทานที่บ้านอนุสาวรีย์ ช่างเขามา ถามว่า “จะเอาขึ้นทางไหนครับ ?”
              อาตมาบอกว่า “ประตูซีวะ...”
              ช่างบอกว่า “เข้าไม่ได้ครับ”
              เราก็ตกใจ “เฮ้ย...ใหญ่ขนาดนั้นเลยหรือ ?”
              พอลงไปดู ปรากฎว่ารูปใหญ่จนล้นหลังคารถกระบะเลย ตอนนั้นหลวงพี่อาจินต์ท่านม้วนรูปไว้ ท่านม้วนตามด้านกว้าง อาตมาเห็นก็นึกว่ารูปใหญ่กว่าของตัวเองนิดเดียว ไม่ได้นึกว่าจะใหญ่ขนาดนี้ เห็นแล้วยังตกใจ
              ถามช่างเขาว่าค่ากรอบเท่าไร ? เขาบอกว่าสามหมื่น...! โชคดีที่พ่อรวย เลยพอมีให้เขา
              แต่ไม่รู้จะเอาเข้ามาอย่างไร ท้ายสุดก็ต้องใช้วิธีชักรอกขึ้นมา ถอดหน้าต่างตรงชั้นสองออก แล้วดึงรูปเข้ามาทางหน้าต่าง ตอนนั้นคนมารุมดูกันเยอะมกาเลย อยู่ตรงนี้มา ๖ ปี คนเขาบอกว่า ไม่รู้จริง ๆ ว่ามีพระมาอยู่สอนธรรมตรงนี้ด้วย
              ตั้งแต่ครั้งนั้นมา เขาก็รู้กันทั่ว เท่ากับว่าในที่สุดอาตมาต้องเปิดตัวจนได้ สรุปได้ว่า จากที่รับสังฆทานแค่วันละไม่กี่คน ก็กลายมาเป็นร้อย ๆ คน อย่างที่เห็น”
*************************

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๓


              “ถ้าใครไปหาหลวงพ่อวัดปากคลองมะขามเฒ่า (หลวงพ่อพระมงคลไชยสิทธิ์) แล้วไว้ผมปิดหน้าปิดตา ท่านจะด่าตรงนั้นเลย ท่านบอกว่าเป็นคนแท้ ๆ แต่ปิดหน้าปิดตาเป็นสัตว์ไปได้ สัตว์มันตัดผมไม่เป็น...!
              โดยเฉพาะตำราจีน เขาถือว่าหน้าผากเป็นทางชีวิต ถ้าทางชีวิตโดนปิดบัง ทำอะไรก็ไม่สะดวก ดังนั้น...คนจึนสมัยก่อนโดยเฉพาะผู้หญิง เขาจะถอนผมบริเวณหน้าผากขนโล่งไปเลย”
*************************

      ถาม :  ช่วงนี้พอเบื่อมาก ๆ แล้ว ถึงจุดหนึ่งรู้สึกว่าขี้เกียจ...เบื่อ ก็เลิกเกาะ พอปล่อยแล้วก็โล่ง แต่ใช้ชีวิตไปสักพักก็จะเบื่อใหม่ ?
      ตอบ :  เพราะนั่นไม่ใช่การใช้ปัญญาปล่อยวางก้าวข้ามจริง ๆ ในส่วนที่จะเป็นปัญญาปล่อยวางจริง ๆ จะเห็นว่า ธรรมดาของทุกอย่างเป็นอย่างนั้น
              ฉะนั้น...เราไปหาคำว่าธรรมดาให้เจอ ธรรมดาของเขาเป็นอย่างนี้ เราเกิดมาก็ต้องเจออย่างนี้ ถ้าเกิดอีกก็จะเป็นอย่างนี้อีก ถ้าเราเห็นคำว่าธรรมดา ต่อไปก็จะสบาย
      ถาม :  ถ้าเกิดว่างขึ้นมา ก็ให้ดึงเข้ามาเบื่อใหม่ ?
      ตอบ :  ตอนแรก ๆ อย่าให้ความเบื่อนี้หายไปกว่าจะได้ใหม่ก็อีกนาน
              อันดับที่สองก็คือ มองให้ลงตัวธรรมดาให้ได้ ถ้าเห็นธรรมดาแล้วกำลังใจยอมรับ ก็จะปล่อยวางไปเอง
      ถาม :  ไม่ได้อยากจะเลิกเบื่อ เหมือนกับว่าเต็มที่แล้ว ไม่ยอมต่อแล้วก็ปล่อยเลย ?
      ตอบ :  นั่นแหละ...เพราะเราไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาให้ปล่อยวางได้ กลายเป็นว่าพอถึงเวลาแล้วกำลังก็ตกลงมา หรือไม่ก็มีบางส่วนที่เราก้าวข้ามไปได้ แต่ยังไม่ใช่การปล่ยอวางที่แท้จริง ก็จะรู้สึกเบาลงมาหน่อย แล้วเดี๋ยวก็จะวนกลับไปพายเรือในอ่างใหม่อีก
      ถาม :  กำลังหาหนี้ใส่ตัวด้วยการซื้อบ้าน เห็นว่าปีหน้าน้ำจะท่วมเลย ชะลอการซื้อไปก่อน ?
      ตอบ :  ไปซื้อที่ไหน ?
      ถาม :  ซื้อแถวประชาชื่น แต่แถวนั้นไม่เคยน้ำท่วม ?
      ตอบ :  จะช้าจะเร็วน้ำก็ท่วมกรุงเทพฯ เพราะว่าปัจจุบันนี้กรุงเทพฯ ก็ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าช่วงนี้เขาป้องกันดีอยู่ เนื่องจากเป็นเมืองหลวง
      ถาม :  ห้ามซื้อในกรุงเทพฯ ใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้าจะซื้อ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องสองชั้นขึ้นไป จะได้มีหลังคาเผื่อให้ตะกายหนีน้ำได้บ้าง...!
*************************

      ถาม :  การทำบุญทุกอย่างเป็นจาคะหรือไม่คะ ?
      ตอบ :  เป็นจาคานุสติ และเป็นทานบารมีด้วย
*************************

      ถาม :  เวลาทำสมาธิ ทำอย่างไรจะขึ้นไปถึงฌานแบบละเอียดได้ ?
      ตอบอย่าอยาก ถ้าอยากจะไม่ได้ กำลังฌานทุกระดับต้องมีตัวอุเบกขาอยู่ ก็คือตัวเอกัคตารมณ์ ถ้าไม่มีตัวอุเบกขาจะก้าวไปไม่ถึง ความอยากไม่ใช่อุเบกขา ถ้าหมดอยากเป็นอุเบกขาเมื่อไรก็จะได้เอง เพราะฉะนั้น...แค่หมดอยากก็จะง่ายขึ้น
      ถาม :  เข้าวิปัสสนาเร็วไปหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ตกลงว่า ที่ตอบไปนี่ไม่ได้ฟังใช่ไหม ?
      ถาม :  อารมณ์ที่ปฏิบัติไปยังมีติด ?
      ตอบ :  นักปฏิบัติทุกท่านมีอุปสรรคอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าให้ใช้ความพยายาม ขณะเดียวกันก็พยายามในส่วนของ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งดี จะหนุนให้อีกอย่างดีขึ้นไปด้วย
*************************

      ถาม :  (ไม่ได้ยิน) ?
      ตอบ :  ถ้าทุกอย่างพร้อม สิ่งที่ควรจะก้าวข้ามก็จะข้ามได้ สิ่งที่ควรจะสำเร็จก็สำเร็จ ถ้าทำไปถึงระดับจริง ๆ ญาณเครื่องรู้จะปรากฎขึ้น จะบอกเองว่าเราทำอะไร ไปถึงไหนแล้ว
      ถาม :  ตอนนี้ที่เป็นนั้นจริงหรือเปล่า ?
      ตอบ :  จริงหรือไม่จริงก็อย่าได้เชื่อ ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตามกติกาต่อไป เพระาถ้าเราเชื่อว่าจริงและเป็นไปตามนั้นก็เสมอตัว แต่ถ้าไม่จริงและไม่เป็นไปตามนั้น แล้วเราไม่พยายามปฏิบัติต่อ ก็จะเสียประโยชน์ไป
      ถาม :  การปฏิบัติในช่วงนี้ควร …?
      ตอบ :  ทำไปเรื่อย ๆ แล้วจะหมดปัญหา ถ้ามัวแต่ถามอยู่จะมีปัญหาไม่รู้จบ...!
*************************

      ถาม :  ขยายพื้นที่ด้านหลังบ้าน มีศาลสร้างก็เลยรื้อออก ต้องสร้างศาลใหม่หรือไม่คะ เพราะที่เดิมมีศาลพระภูมิอยู่แล้ว ?
      ตอบ :  ถ้ามีศาลอยู่แล้วก็ไม่ต้องสร้างใหม่ แต่ก่อนรื้อต้องจุดธูปบอกกล่าวท่านก่อน
      ถาม :  ทิศของศาลพระภูมิมีผลต่อผู้อาศัยกี่เปอร์เซ็นต์คะ ?
      ตอบ :  ถ้าเป็นทิศของตัวบ้านจะร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเป็นทิศหน้าศาลแทบจะไม่มีเลย ยกเว้นว่าบูชาสะดวกหรือไม่สะดวกเท่านั้น
*************************

      ถาม :  จุดชี่กงอยู่ตรงไหน ?
      ตอบ :  ชี่กงเป็นพลังในร่างกาย ไม่ใช่จุด
      ถาม :  เขาบอกว่ารวมพลังลมปราณไว้ที่จุดชี่กง ?
      ตอบ :  ไม่ใช่จุดชี่กง แต่เป็นจุดชี่ไห่ ชี่ไห่แปลว่าทะเลลมปราณ
      ถาม :  ลมปราณเป็นอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  เป็นส่ิงที่เคลื่อนไหวไปมาในร่างกาย โดยปราศจากรูปร่าง แต่สามารถสัมผัสได้ จัดเป็นรูปในนาม
      ถาม :  เป็นธาตุลมไหมคะ ?
      ตอบ :  เป็นธาตุลม
      ถาม :  ถ้าจะฝึกวิชาทารกบริสุทธิ์ ?
      ตอบ :  วิชาทารกบริสุทธิ์ต้องฝึกตั้งแต่เด็ก ๆ
      ถาม :  ภาวนาโสตัตตะภิญญา ถือว่าเป็นกำลังภายใน ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ อภิญญาเป็นกำลังใจ กำลังสมาธิ แต่กำลังภายในเป็นกำลังจากอวัยวะภายใน
              อวัยวะภายใน ๕ อย่างที่เป็นหลัก ๆ ก็คือ หัวใจ ปอด ตับ ม้าม ไต จะเป็นแหล่งพลังงานที่เขาถือว่าเป็นตัวแทนธาตุ ก็คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทอง โดยเฉพาะตับที่เป็นแหล่งพลังงาน เขาถือว่าเป็นธาตุทอง
      ถาม :  ธาตุไม้ละครับ ?
      ตอบ :  ธาตุไม้ไม่มี ธาตุทั้ง ๕ นี้มีทั้งหนุนเสริมกันเอง และหักล้างกันเอง อย่างธาตุน้ำจะหนุนเสริมให้เกิดธาตุลม เราจะเห็นว่ามีแหล่งน้ำที่ไหนจะต้องมีลมพัดที่นั่น ธาตุลมจะไปหนุนเสริมธาตุไฟ ถ้าหากว่าลมแรง ไฟก็ลุกใหญ่ ธาตุดินกำเนิดธาตุไม้ เพราะต้นไม้กำเนิดจากดิน เพราะฉะนั้น...ถึงไม่มีธาตุไม้แต่อาศัยธาตุดินทดแทนก็ได้
*************************

      ถาม :  เซียนในความหมายของจีน คือ ?
      ตอบ :  เซียนของจีน ส่วนใหญ่หมายถึง บุคคลที่ได้อภิญญา แต่ขณะเดียวกันก็มีพระอริยเจ้าด้วย
              ถามว่าพระอรหันต์ใช่เซียนหรือไม่...ใช่
              แต่เซียนทุกองค์ใช่พระอรหันต์หรือไม่...ไม่ใช่
              เพราะฉะนั้น...คำว่าเซียนส่วนใหญ่ของจีน หมายถึง ผู้ที่ได้อภิญญาสมาบัติ
              ในประวัติของโป๊ยเซียนอ่านแล้วรู้สึกตลกมาก เพราะที่มาที่ไปของบางคน ไม่น่าจะมาอยู่ร่วมกันได้ ในโป๊ยเซียนมีผู้หญิง ๑ คน มีครึ่งชายครึ่งหญิง ๑ คน มีปิศาจค้างคาว ๑ ตัว ที่เหลือเป็นคนทั่วไป
              ปิศาจค้างคาวก็คืออชคราทิเปรต เป็นเปรตในร่างสัตว์ เขาใช้คำอธิบายว่า ดูดกลืนพลังจากดวงจันทร์มาสามพันปี สามารถแปลงร่างเป็นคนได้ เอากระดาษมาตัดเป็นรูปลา เสกน้ำมนต์พ่นใส่ก็กลายเป็นลาจริง ๆ แต่มักจะขี่ลาโดยการหันหลังให้ เพราะเขาตั้งใจจะสื่อปริศนาธรรมให้คนทั่วไปคิด เกี่ยวกับการทวนกระแสโลก ส่วนครึ่งชายครึ่งหญิงก็คือน้าใช่ฮั้ว (หลานใช่เหอ)
*************************

      ถาม :  จะปฏิบัติตามหลักอะไรดี ?
      ตอบ :  พระพุทธเจ้าท่านกำหนดไตรสิกขา สิ่งที่ต้องศึกษา ๓ อย่าง คือ
              อธิศีลสิกขา ศึกษาในการปฏิบัติศีลให้ยิ่ง
              อธิจิตสิกขา ศึกษาในการปฏิบัติจิตให้ยิ่ง
              อธิปัญญาสิกขา ศึกษาในการปฏิบัติโดยปัญญาให้ยิ่ง
              นี่เป็นหลักสูตรของพระพุทธศาสนา ถ้าอยู่ในกรอบนี้ใช้ได้ทั้งนั้น
              โดยเฉพาะพระอุปัชฌาย์ต้องบอกลูกศิษย์อยู่แล้ว อธิสิลสิกขา สิกขิตัพพา อธิจิตตสิกขา สิกขิตัพพา อธิปัญญาสิกขา สิกขิตัพพา อัปมาเทนะ สัมปาเทถะ บวชเสร็จเมื่อไร พระอุปัชฌาย์ก็ต้องบอก
*************************