​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๖๕

 

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนธันวาคม ๒๕๕๓


              “เรื่องไม่กลัวตาย ต้องยกให้กับนักบินไทย เขาไปแสดงฝีมือเอาไว้ตั้งแต่รุ่นแรก ๆ ที่ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ส่งไปเรียนต่างประเทศ อาจจะเป็นเพระาว่าคนไทยเราปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าคือ เวสารัชชกรณธรรม การกระทำที่ทำให้กล้า
              ประกอบไปด้วย ศรัทธา ศีล พาหุสัจจะ วิริยารัมภะ ปัญญา
              ความศรัทธาเชื่อมั่นนั้น ประกอบไปด้วย
              ๑. เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย ถ้าเราเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัยจนมั่นคง จะมีความกล้า ไม่กลัวตาย
              ๒. เชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างเช่น วัตถุมงคลต่าง ๆ ที่เรานับถือ ต่อให้ไม่ใช่รูปพระ เป็นวัตถุอย่างอื่น เช่น เหล็กไหล ปรอทสำเร็จ ก็ได้
              ๓. เชื่อมั่นในผู้นำ ถ้าผู้นำเก่งกล้า มีความสามารถ ลูกน้องก็จะกล้าตาม
              ๔. เชื่อมั่นในตนเอง สำคัญที่สุดก็คือ มีความเชื่อมั่นในตนเอง ถ้ายังไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง ยังต้องอาศัยผู้อื่นตลอด ก็จะยังไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
              ในเมื่อนักบินไทยมีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะแขวนพระ เชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็สงเคราะห์เข้าข้อเดียวกัน เชื่อมั่นในผู้นำ มีบารมีพระเจ้าอยู่หัวคุ้มครอง ท้ายสุดเชื่อมั่นในตนเอง รุ่นนั้นจบกลับมาเป็นคุณหลวง คุณพระกันหมด
              เขาบอกว่าเวลาฝึกซ้อมบิน จะมีการฝึกซ้อมที่ดับเครื่อง แล้วปล่อยเครื่องร่อนลงมาอย่างใบไม้ร่วง ถ้าจำไม่ผิด เขาให้ร่อนลงใกล้พื้นดินได้มากที่สุด ๒๐๐​ เมตร ต่ำกว่านั้นไม่ได้ หลังจากนั้นค่อยติดเครื่อง แล้วดึงเครื่องกลับขึ้นไป
              ไม่รู้เหมือนกันว่าทหารไทยของเราลืมขั้นตอนไป หรือใจถึงกันแน่ พอปล่อยเครื่องจนจะถึงยอดไม้อยู่แล้ว ค่อยดึงเครื่องขึ้น รุ่นนั้นกลับมาในหลวงรัชกาลที่ ๖ พระราชทานยศให้หมด อย่าง พระทะยานอากาศ หลวงสันทัตยนตรกรรม เป็นต้น นับเป็นนักบินรุ่นแรก ๆ ของประเทศไทย
              นักบินที่โด่งดังที่สุดก็คือ จอมพลอากาศขุนรณนภากาศ ฤทธาคนี หรือ “ปู่ฟื้น” ปกติแล้วเวลาทหารเกษียณ เขาจะมีบำเหน็จบำนาญ ปู่พื้นท่านรับบำนาญจนกองทัพแทบจะเจ๊ง เพราะว่าอายุเกือบร้อยปี
              ปู่ฟื้นเป็นจอมพลอากาศท่านเดียวที่ได้มาโดยฝีมือ อย่างท่านจอมพลอากาศเฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร ท่านตายในขณะปฏิบัติหน้าที่ จากยศพลอากาศตรี เขาจึงเลื่อนท่านเป็นจอมพลอากาศ แต่ปู่ฟื้นได้มาด้วยฝีมือจริง ๆ
              ช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ปู่ฟื้นเอาเครื่องบินปีกสองชั้น ไปดวลกับเครื่องบินไอพ่นคอร์แซร์ของฝรั่งเศส ๑ ต่อ ๔ เหมือนกับเอาแท็กซี่ไปดวลกับโรลส์รอยซ์ แถมยังเป็นโรลส์รอยซ์ ๔ คันด้วย ปรากฎว่าปู่ฟื้นมีฝีมือดีกว่า ดับเครื่องทิ้งตัวหลบกระสุนไปถึงยอดไม้แล้วค่อยดึงเครื่องขึ้น ใครจะกล้าตามไป เพราะว่าเขากลัวตาย...​!
              ต่างฝ่าย่างยิงกันจนกระสุนหมด ปู่ฟื้นจึงบินกลับ เครื่องบินไอพ่นฝรั่งเศส ๔ ลำนั้น บินตามมาส่งถึงสนามบินจันทบุรี ตอนนั้นกองทัพไทยแตกตื่นกันหมด นึกว่าฝรั่งเศสบุกจันทบุรี ความจริงเขาบินมาส่ง เขารักฝีมือของปู่ฟื้น อำลากันตรงสนามบินแล้วพวกเขาก็บินกลับ
              ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนั้นไทยรบชนะฝรั่งเศส ทั้ง ๆ ที่อาวุธสู้เขาไม่ได้ แต่ฝีมือเหนือกว่า จึงได้พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ มาเป็นของเรา ตอนหลังโดนกดดันจึงต้องคืนเขาไป แต่ขอให้ภูมิใจว่า เรารบชนะประเทศมหาอำนาจอย่างฝรั่งเศสในสมัยนั้นมาแล้ว และฝรั่งเศสก็ไม่ได้เอาทหารของตัวเองมาทั้งหมด เขาเอาทหารโมร็อคโคมารบแทน เพราะว่าตอนนั้นโมร็อคโคเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส
              ปู่ฟื้นจึงได้เป็นท่านขุน รัชกาลที่ ๖ ทรงตั้งให้เป็นขุนรณนภากาศฤทธาคนี ยศของท่านเจริญมาเรื่อย ๆ จนเป็นจอมพลอากาศ เราจะเห็นว่าสมัยนั้นยศทหารก็ไม่ได้ใหญ่ เช่น พันเอกพระยาทรงสุรเดช หัวหน้าคณะปฏิวัติ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา พันโทมังกร พรหมโยธี คณะราษฎร์ที่ปฏิวัติในหลวงรัชกาลที่ ๗
              ยศนายพลเพิ่งจะมาเฟ้อในสมัยเรานี่เอง นายพลเดินชนกันไปเดินชนกันมา ยศร้อยตรีเวลาเข้ากรุงเทพฯ เขามองไม่เห็นหัวเลย ขนาดยศพันโทพันตรยยังต้องเดินตัวลีบ แต่พอไปอยู่ต่างจังหวัด ยศร้อยตรีร้อยโททำไมดูใหญ่มาก ? ราคาต่างกันมา เพราะฉะนั้น...ยอมลำบากอยู่บ้านนอกเป็นหัวหมาดีกว่า...!
*************************

              เราจะเห็นว่า บรรพบุรุษของเราทุ่มเทเลือดเนื้อและชีวิตเพื่อประเทศชาติมาตลอด ถ้าเราดูพระราชปณิธานของพระเจ้าตากสินมหาราช
              อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก
              ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา
              ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา
              แด่พระศาสนา สมณะ พระพุทธโคดม

              พระองค์ท่านระบุไว้ชัดเลยว่า ถวายแผ่นดินเป็นพุทธบูชา พอสมัยรัชกาลที่ ๑ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ออกศึกที่ท่าดินแดง พระองค์ท่านไปตั้งค่ายที่ด่านท่าขนุน ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ใน นิราศท่าดินแดง ว่า
              ตั้งใจจะอุปถัมภก           ยอยอกพระพุทธศาสนา
              ป้องกันขอบขัณฑสีมา           รักษาประชาชนและมนตรี

              พระมหากษัตริย์ของเรา นอกจากจะเป็นพุทธมามกะมาโดยตลอดแล้ว ยังมีหลักธรรมที่ยึดถือและปฏิบัติอย่างชัดเจนที่สุดก็คือ ทศพิธราชธรรม ใครที่เป็นผู้ปกครอง ก็สามารถที่จะนำหลักการนี้ไปปฏิบัติได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วไปไม่รอด มักจะแพ้ใจตัวเอง
              ถึงเวลาแทนที่จะยอมลำบากเพื่อคนหมู่มาก ปณิธานก็แปรเปลี่ยนไปเปลี่ยนเป็นทำเพื่อประโยชน์สุขของตัวเอง หรือไม่ก็อย่างปัจจุบันที่สื่อมวลชนเขาใช้คำเจ็บ ๆ ว่า “เพื่อพวกพ้องและตัวกูเอง”
              ดังนั้น...ในเรื่องของหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา แม้ว่าจะดีเลิศขนาดไหนก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับคนที่เอา
*************************

              “ในระบอบการปกครองต่าง ๆ นั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
              อัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่
              โลกาธิปไตย ถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่
              ธรรมาธิปไตย ถือธรรมเป็นใหญ่
              ถ้าเป็นเราก็ต้องบอกว่าธรรมาธิปไตยเป็นของดี แต่จริง ๆ แล้วขึ้นอยู่กับคนที่เอาไปใช้
              อัตตาธิปไตย ถือตนเป็นเป็นใหญ่ เช่น พวกเผด็จการ แต่เราลองมาดูว่า รัชกาลที่ ๕ สมเด็จพระปิยมหาราชของเรา พระองค์ท่านก็เผด็จการ เพราะระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียว แต่พระองค์ท่านทรงศีลทรงธรรม กลายเป็นว่าอัตตาธิปไตยเป็นของดี เพราะว่าไม่ติดด้วยขั้นตอนใด ๆ สั่งเมื่อไรก็ต้องทำ บ้านเมืองยุคนั้นจึงเจริญมาก ประเทศญี่ปุ่นยังต้องขอคนของเราไปช่วยพัฒนาบ้านเขา
              ปัจจุบัน ประเทศของเราเป็นโลกาธิปไตย ถือเสียงข้างมากแล้วเป็นอย่างไร ? ประเทศชาติวุ่นวายแค่ไหน ? เพราะฉะนั้น...ในเรื่องของหลักการปฏิบัติขึ้นอยู่กับคนว่ามีธรรมาธิปไตย คือ มีธรรมอยู่ในหัวใจสักเท่าไร ถ้าขาดธรรมาธิปไตยแล้วไปไม่รอดอย่างแน่นอน
              พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้ตรัสสรรเสริญการปกครองระบอบใดทั้งสิ้น เพราะว่าดีหรือชั่วไม่ได้อยู่ที่ระบบ แต่ดีหรือชั่วอยู่ที่ตัวบุคคล
              พระองค์ท่านสอนว่า
              ถ้าเป็นระบอบกษ้ตริย์ จะต้องมีทศพิธราชธรรม
              ถ้าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ต้องมีจักรวรรดิวัตร
              แต่ถ้าเป็นคณะผู้ปกครองแบบสามัคคีธรรม ต้องมีอปริหานิยธรรม
              พระองค์ท่านมอบธรรมะที่เหมาะสมกับการปกครองนั้น ๆ ให้ว้โดยสมบูรณ์อยู่แล้ว

              ถ้ายึดหลักธรรมเหล่านี้ ประเทศชาติของเราก็จะสงบสุข เจริญรุ่งเรืองไพร่ฟ้าหน้าใส แต่ถ้าไม่ปฏิบัติตามหลักธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ไม่มีธรรมเป็นใหญ่ ก็จะเดือดร้อนวุ่นวายกันทั้งแผ่นดิน
*************************

              ถ้าใครอ่านเวนิสวาณิช ที่รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า
              อันความกรุณาปรานี              จะมีใครบังคับก็หาไม่
              หลั่งมาเองเหมืนอฝนอันชื่นใจ     จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน
              เป็นสิ่งดีสองชั้นพลันปลื้มใจ       แห่งผู้ให้และผู้รับสมถวิล
              เป็นพลังเลิศพลังอื่นทั้งสิ้น         เจ้าแผ่นดินผู้ทรงพระกรุณา

              เพราะฉะนั้น...อย่างไรผู้นำประเทศก็ทิ้งหลักธรรมไม่ได้ ทิ้งธรรมเมื่อไรก็แย่ โดยเฉพาะหลักความยุติธรรม จะต้องมีจิตใจที่ปราศจากอคติโดยสิ้นเชิง คือ
              ไม่ลำเอียงเพราะรัก เห็นแก่พวกพ้อง
              ไม่ลำเอียงเพราะโกรธ เกลียดว่าเขาไม่ใช่พวกตัวเอง
              ไม่ลำเอียงเพราะหลง เห็นผิดเป็นชอบ
              ไม่ลำเอียงเพราะกลัว เห็นว่าเส้นใหญ่เลยกลัว
              ถ้าปราศจากอคติ เราก็สามารถที่จะใช้คนทุกคนได้ เพราะคนเขาเห็นความยุติธรรม
*************************

              ตอนที่อาตมารับราชการ เจ้านายไม่ชอบขี้หน้าอาตมาเลย เพื่อน ๆ เขาบอกว่า “มึงรู้ไหมว่านายเขาไม่ชอบหน้า เขาบอกว่า มึงรู้แล้วทำไมต้องพูดด้วย ?” เพราะอาตมารู้แล้วหุบปากไม่เป็น
              ถึงกระนั้นเจ้านายก็ยังเรียกใช้ อาตมายังชมว่าเจ้านายเราใช้คนเป็น ท่านไม่ได้ชอบหน้าหรอก แต่ท่านเรียกใช้เพราะรู้ว่า ถ้าใช้เราแล้วงานจะเสร็จและออกมาดีด้วย ขนาดอาตมาทำเรื่องลาออก ท่านยังบอกว่า “มึงมาทำงานกับกู กินเงินเดือนของกูก็ได้”
              อาตมาทะเลาะกับเจ้านายเป็นประจำ “มึงรู้หรือเปล่าว่า กูเกลียดขี้หน้ามึงฉิบหา...เลย...!” อาตมาก็ตอบไปว่า “ผมก็ไม่ได้รักท่านนี่ครับ...!” ถ้าคนอื่นมีลูกน้องประเภทนี้ ยิงทิ้งได้ก็คงจะยิงทิ้งไปแล้ว...!
              ในเรื่องของข้าราชการ ถ้าพวกเราไปบอกกับเจ้านายว่า “คุณไม่ชอบหน้าผม คุณก็ไล่ผมออกสิ...!” เจอลูกน้องแบบนี้เราจะไปทำอะไรได้ ขนาดไล่ออกก็ยังไม่กลัวเลย
*************************

              วันนี้มีคนถามปัญหาเยอะในลักษณะที่ว่า “อารมณ์ใจเป็นอย่างนั้น ? เป็นอย่างนี้แล้วไปต่อไม่ได้ ?” อาตมาสรุปลงตรงว่า ไปต่อไม่ได้เพราะว่ากลัว
              สรุปลงมาก็คือ ถ้าเราเลิกกลัวเสียอย่าง คิดเสียว่าเราทำความดีอยู่ ต่อให้ตายลงไปตรงนี้เราก็ยอม ถ้าตัดเป็นตัดตายขนาดนี้ได้ รับรองว่าได้ดีทุกคน แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่กล้า มักจะกลัว
              เมื่อวานมีโยมอยู่รายหนึ่ง เขามีลมตีแน่นขึ้นมา หายใจไม่ออกอยู่ตลอดเวลาที่ภาวนา จะขาดใจตาย อาตมาบอกว่า “โยมตัดสินใจไปเลยว่าตายเป็นตาย ถ้าตัดสินใจด้ก็จะผ่านไปเลย เขาจะเลิกแกล้ง”
              โยมก็ยังตัดสินใจไม่ได้ คิดว่ายังอีกนาน เพราะว่า มนุษย์ทุกรูปทุกนามมีสิ่งที่เสมอกันอยู่ ก็คือ การกิน การนอน การเสพกาม การกลัวภัย โดยเฉพาะภัยจากความตาย บาลีท่านจึงได้บอกว่า อาหาระนิททัง ภะยะเมถุนัญจะ สมัญญะเปตัปปะสุภีนะรานัง
              อาหาระ อาหาร
              นิททัง การนอน
              ภะยะ ความกลัวภัย
              เมถุนะ การเสพกาม
              สามัญญะ เสมอกัน
              ปะสุ สัตว์ทั้งหลาย
              นรานัง คนทั้งหลาย
              สามัญญะเปตัปปะสุภีนะรานัง เป็นส่ิงที่เสมอกันทั้งคนและสัตว์ทั้งหลาย
              ธัมโมหิ เตสัง อะธิโก วิเสโส ธรรมเท่านั้นที่ทำให้ต่างกันได้
              ธัมเมนะ วีฒา ปะสุภิสสะ มานา ธรรมเท่านั้นแหละที่จะแยกคนออกจากสัตว์ได้
              เพราะฉะนั้น...ถ้าไม่มีความยุติธรรม ขาดหลักธรรมในการดำเนินชีวิต ชีวิตเราก็ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน อาจจะแย่กว่าด้วย เพราะไปเหมาว่าตัวเองเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่ความประพฤติไม่ได้ต่างไปจากสัตว์เดรัจฉาน กลายเป็นส่ิงที่ย่ำแย่ไปย่ิงกว่าสัตว์ทั่วไปเสียอีก...!”
*************************

              “พระครูแสงชัย ตอนเป็นฆราวาสไปทำงานอยู่ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ๕ ปี มีโอกาสได้เฝ้ากษัตริย์ซาอุฯ อยู่หลายครั้ง
              ท่านบอกว่า ไม่น่าเชื่อว่า บุคคลที่เราคิดว่าใช้ไม่ได้ในความรู้สึกของเราจริง ๆ แล้วก็คือบุคคลที่มากด้วยบุญญาบารมี การที่จะได้ขึ้นไปเป็นผู้นำเหนือคนอื่นเป็นล้าน ๆ คน ถ้าไม่ได้สร้างบารมีมามากพอ ย่อมไม่สามารถที่จะเป็นได้
              ท่านบอกว่า ประเทศซาอุฯ ทั้งร้อนทั้งแล้งขนาดนั้น แต่เวลากษัตริย์เสด็จกลับมีฝนตกได้ ทำให้ท่านอึ้ง เพราะในความรู้สึกของท่านเคยต่อต้านพวกเขาว่าเห็นแก่ตัว พอไปเจอเข้าแบบนั้นถึงได้ยอมลงให้”
*************************

      ถาม :  ช่วงนี้ต้องหลบหน้าเขาครับ ?
      ตอบ :  มีอะไรที่ต้องหลบ ? เขายังไม่กลัวเรา แล้วทำไมเราต้องหลบเขาด้วย ?
      ถาม :  หลบหน้าเพื่อหนีครับ ?
      ตอบ :  คุณต้องยอมรับว่า บางคนเราแค่เห็นหน้าก็จะมืออ่อนตีนอ่อนย่างนี้ ให้คุณไปเร่งสมาธิให้ดีกว่านี้แล้วจะสู้ได้ ถ้าสมาธิต่ำ ไม่มีหวังที่จะสู้ได้หรอก เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้ว คุณไม่นิ่งพอ
      ถาม :  ทำไมผมแพ้อยู่ฝ่ายเดียว ?
      ตอบ :  ก็คุณพร้อมที่จะยอมแพ้เขา...!
      ถาม :  ในเมื่อเป็นวาระ ก็ควรจะต้องรู้สึกทั้งสองฝ่าย ?
      ตอบ :  บางทีกรรมนั้นเราก็ทำอยู่ฝ่ายเดียว อีกฝ่ายหนึ่งอาจจะรู้สึกนิดหนึ่ง แต่เราเต้นแร้งเต้นกาอยู่ฝ่ายเดียว ยกตัวอย่างเช่น เมื่อท่านเทศน์อยู่บนธรรมาสน์แล้วเราเอาสไบไปถวาย เป็นต้น เรียกว่าเราถอดใจให้ไปเลย แต่ท่านเห็นแค่ว่าเราทำบุญ
*************************

      ถาม :  พระกรุณาคุณขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และองค์พระปัจเจกพุทธเจ้า ต่างกันอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอัปปมัญญาแท้แน่นอน พระองค์สงเคราะห์ทุกผู้คนโดยเสมอหน้ากัน ถึงไม่ไหวก็พยายามที่จะเข็นไป
              พระปัจเจกพุทธเจ้าสงเคราะห์เฉพาะบุคคลประเภทเดียวกัน สำหรับคนทั่วไป พระองค์ท่านสงเคราะห์แค่ ศีล สมาธิ ปัญญา เบื้องต้น จะไปว่าพระองค์ท่านไม่มีพระกรุณาคุณก็ไม่ใช่ เพราะไม่ใช่หน้าที่ซึ่งพระองค์ท่านตั้งใจจะมาทำ ฉะนั้น...ในเมื่อไม่ใช่หน้าที่ ช่วยขนาดนั้นถือว่าเยอะมากแล้ว
*************************

              “พระพุทธเจ้าของเรานั้น เราควรจะสร้างรูปเคารพแทนพระองค์ท่าน ให้งดงามเต็มบุญเต็มบารมีมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่ไปสร้างท่านให้มีแปดหน้าเก้าหน้าเป็นทศกัณฑ์ ถ้าใครเอาพระพุทธรูปแบบนั้นมาถวาย อาตมาจะด่าให้กระจายเลย...!”
*************************

      ถาม :  ทำอย่างไรจะลืมเรื่องที่ไม่ค่อยดี ?
      ตอบเอาสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่มีใครลืมเรื่องที่ดีหรือม่ดีได้ เพียงแต่อย่าไปคิดถึงก็พอแล้ว
*************************

              “วันนี้เช้ามืด มีเด็ก ๆ โทรมาอวยพรวันพ่อ นานไปเด็กรุ่นหลังก็ยิ่งเข้าป่าเข้าดงไกลไปเรื่อย อาตมาเคยบอกแล้วว่า เด็กอ่อนกว่าอวยพรให้ผู้ใหญ่ไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยที่จะจำกัน
              สังเกตว่า ถ้าจำเป็นต้องอวยพรให้ผู้ใหญ่ ไม่ว่าผู้นั้นจะสูงกว่าด้วยยศ ด้วยอายุ หรือโดยฐานะ โบราณเขาจะใช้การอ้างคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะพระรัตนตรัย ไม่ใช่ไปอวยพรปาว ๆ เอง ความดีเราสู้ท่านไม่ได้สักอย่าง จะเอาอะไรไปอวยพรให้ท่าน
              เด็กรุ่นใหม่จะเป็นอย่างนี้เยอะมาก พอไม่รู้ธรรมเนียมก็พาเสีย สมัยนี้เวลาไปรดน้ำผู้ใหญ่ช่วงสงกรานต์ จริง ๆ เขาไปรดน้ำขอพร แต่เดี๋ยวนี้ไปรดน้ำให้พรกัน เล่นผิดบทบาท กลายเป็นเด็กไปอวยพรให้ผู้ใหญ่ ถ้าเป็นโบราณเขาเรียกว่าทะลึ่ง...!”
*************************

      ถาม :  นิสัยที่ไม่ดีของเด็กควรแก้อย่างไร ?
      ตอบ :  แก้ที่ผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่นิสัยดี เดี๋ยวเด็กทำตามเอง
*************************

      ถาม :  มีอารมณ์ที่ถอนออกจากกิเลสไหมคะ ?
      ตอบ :  มีทั้งชั่วคราวและถาวร
*************************

      ถาม :  จะเริ่มต้นฝึกกสิณ มีคำแนะนำไหมครับว่ากองไหนดีหรือเหมาะกับผม ?
      ตอบ :  เลือกกองที่เราหาวัสดุได้สะดวก
      ถาม :  เผื่อว่าเคยทำกองใดมาก่อน ?
      ตอบ :  เราชอบกองไหน แสดงว่าเราเคยทำมาทั้งนั้น
      ถาม :  ผมไม่แน่ใจ ?
      ตอบ :  มั่นใจได้เลย ถ้าชอบกองไหน เราเคยทำกองนั้นได้แน่นนอน ถ้าชอบหลาย ๆ กอง ให้เลือกที่หาวัสดุได้ง่ายที่สุด
      ถาม :  ถ้าผมจะเริ่มฝึก พอจะไปได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  อยู่ที่เรา ถ้าทุ่มเทได้ทุกคน อย่าเสียเวลาถาม ลงมือได้เลย
              ถ้าเป็นกสิณสี ใช้กระดาษพ่นสีเอา ถ้าเป็นธาตุกสิณ อย่างกสิณน้ำก็ต้องใช้น้ำ เป็นกสิณดินก็ต้องใช้ดิน อย่างกสิณลมใช้พัดลมพัดใส่ตัว แล้วจับอาการกระเพื่อม ส่วนกสิณไฟใช้เทียน
              แต่มีบางสำนัก กสิณสีเขาไปตีเป็นธาตุกสิณ เช่น เอาสีส้มตีเป็นธาตุดิน ซึ่งจะได้เป็นธาตุดิน ยกเว้นบุคคลที่มีของเก่าได้กสิณดินมาก่อน ถ้าอย่างนั้นก็สามารถทำได้ แต่ถ้าเป็นบุคคลทำใหม่ในชาติปัจจุบัน อย่างเก่งก็ได้กสิณประหลาด ๆ มา ได้ความสงบของใจ แต่ไม่ใช่ธาตุหรือวรรณกสิณโดยตรง
*************************

      ถาม :  ดูหนังแล้วพิจารณาธรรมไปด้วย อย่างนี้โดนมารหลอกหรือเปล่า ?
      ตอบ :  โดนหลอกสองชั้นเลย
              ประการแรก หลอกให้ดูหนัง
              ประการที่สอง หลอกให้เราคิดว่าพิจารณาได้ด้วย เพราะถ้าใจเราไม่ยินดี เราก็คงไม่ไปดู เจ๊งตั้งแต่ยกแรกแล้ว ยินดีเป็นราคะ ยินร้ายเป็นโทสะ จำไว้ให้แม่น ๆ
*************************

      ถาม :  ศาลพระภูมิบ้านพี่ชายอยู่ทิศใต้ ส่วนของตัวเองอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แต่ทำไมค้าขายเจริญรุ่งเรือง ?
      ตอบอันดับแรก อยู่ที่การยอมรับนับถือ
              อันดับที่สอง ถ้าบริเวณนั้นมีอากาศเทวดาอยู จะมีผลมากเป็นพิเศษ อากาศเทวดาท่านจะมีอานุภาพมากกว่า
              อันดับที่สาม ตั้งผิดทิศแต่บุญยังหนุนอยู่ ถ้าอกุศลกรรมเข้าเมื่อไร จะมีรายการคิดบัญชีย้อนหลังตามมา ตอนนี้ดีไปก่อน
      ถาม :  แล้วทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ?
      ตอบ :  ตะวันตกเฉียงเหนือไม่ร้ายเท่ากับทิศใต้หรอก ทิศใต้กับทิศตะวันตก ตกจะชัดมาก เพราะฉะนั้น ทำความดีให้ต่อเนื่อง ห้ามพลาดเด็ดขาด เปิดช่องโหว่เมื่อไรโดนแน่
      ถาม :  แต่เดิมศาลพระภูมิที่บ้านไม่มีทิศอื่นจะวาง เลยวางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ตอนนี้ขยายพื้นที่ สามารถที่จะวางได้แล้ว ควรจะย้ายหรือไม่คะ ?
      ตอบ :  จุดธูปบอกกล่าวว่าขอย้ายศาลไปตั้งในที่ใหม่
*************************

              “ในเรื่องของกรรมนั้น พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ ๓ หมวด ๑๒ ประเภทด้วยกัน
              อโหสิกรรม เป็นตัวกรรมที่ตัดได้ง่ายที่สุด และถ้าไม่ได้บุคคลที่รู้จริงขนาดพระพุทธเจ้า ก็ไม่สามารถที่จะบอกเราให้ถูกต้องอย่างนี้ได้
              การอโหสิกรรมนั้นมี ๒ ประการ
              ประการที่หนึ่ง บุคคลที่เป็นโจทย์และจำเลยตั้งใจกล่าวขอขมา ขออดโทษในกรรมนั้นซึ่งกันและกัน
              ประการที่สอง ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำตนจนบริสุทธิ์ หลุดพ้นไปเลย ถ้าอย่างนั้นก็จะเป็นอโหสิกรรมไปโดยอัตโนมัติ แปลว่าเงินต้นไม่ต้องจ่าย ถ้าสังขารยังอยู่ อย่างดีก็เป็นแค่เศษกรรมเท่านั้นที่จะสนองท่านได้ แต่ถ้าพ้นจากสังขารร่างกายนี้ไปแล้ว ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิงเข้าพระนิพพานไปแล้ว กรรมทั้งหลายไม่สามารถที่จะตามสนองต่อไปได้อีกแล้ว
*************************

              ลองไปค้นข้อมูลเรื่องกรรมดู จะมีตั้งแต่ทิฐธรรมเวทนียกรรม อุปปัชชเวทนียกรรม อปราปรเวทนียกรรม อโหสิกรรม ฯลฯ
              กรรมที่ให้ผลตามความหนักเบา จะมี
              ครุกรรม กรรมหนัก
              พหุลกรรมหรืออาจิณกรรม กรรมที่กระทำบ่อย ๆ
              อาสันนกรรม กรรมที่ยึดมั่นไว้ก่อนตาย แวบเดียวสามารถเปลี่ยนจากฟ้าเป็นดินได้เลย คือ ไปนึกถึงความเลวหน่อยเดียวก่อนตายก็ลงนรกเสียแล้ว
              ลองไปศึกษาดูแล้วจะเห็นความเป็นเลิศของพระพุทธเจ้า ที่สามารถอธิบายเรื่องของกรรมได้ละเอียดที่สุด ขณะเดียวกันก็ทำของที่ซับซ้อนมากสุด ให้กลายเป็นของที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด
*************************

              กรรมส่วนหนึ่งที่เป็นการหนุนเสริม บีบคั้น ตัดรอน ตัวอย่างเช่น
              ชนกกรรม กรรมที่พาไปเกิด
              อุปัตถัมภกกรรม กรรมที่คอยหนุนเสริม
              อุปปีฬกกรรม กรรมที่คอยบีบคั้น
              อุปฆาตกรรม กรรมที่คอยตัดรอน
              อุปฆาตกรรม ก็ถือว่ามหัศจรรย์ ตรงที่มีทั้งที่ฝ่ายเป็นกุศลและอกุศล อุปฆาตกรรมกุศลเกิดขึ้น จะตัดอกุศลทิ้งหมดเกลี้ยงเลย ตัวอย่างคือ พระองคุลีมาล ฆ่าคนมาเป็นพัน พออุปฆาตกรรมฝ่ายกุศลเข้ามา ตัดอกุศลกรรมความชั่วทิ้งหมด ได้บวชกลายเป็นพระอรหันต์ไปเลย
              ตัวอุปฆาตกรรมฝ่ายอกุศล ตัวอย่างก็คือ พระเทวทัต บวชเข้ามาได้อภิญญาสมาบัติ พออุปฆาตกรรมฝ่ายอกุศลเข้ามา ตัดความดีหมด เห็นผิดเป็นชอบ อยากบริหารการคณะสงฆ์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท้ายสุดถึงขนาดลอบทำร้าย จ้างคนฆ่า และลงมือฆ่าพระพุทธเจ้าเอง ในที่สุดก็กลายเป็นทำครุกรรมฝ่ายอกุศล โดนธรณีสูบ
*************************

              ครุกรรม คือ กรรมอันหนัก จะได้ผลในชาติปัจจุบัน มีทั้งฝ่ายกุศลและอกุศลเหมือนกัน ครุกรรมฝ่ายกุศลอย่างเช่น เราสามารถสร้างฌานสี่หรือสมาบัติแปดให้เกิดกับตนได้ จัดว่าเป็นกรรมที่เราทำเอง หรือเราได้ทำบุญกับพระที่ออกนิโรธสมาบัติ จัดว่าผู้อื่นทำ ส่วนเราอาศัยท่านเป็นเนื้อนาบุญ
              ทั้งสองอย่างนี้จะส่งผลในชาติปัจจุบัน อย่างเช่นว่า เราสร้างรูปฌานได้คล่องตัวมาก จะเป็นครุกรรมฝ่ายกุศล ส่งผลให้ไปเกิดเป็นรูปพรหมชั้นใดชั้นหนึ่ง ตั้งแต่ชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๑๑ ถ้าหากเราสร้างอรูปฌานได้คล่องตัว ก็จะเป็นอรูปพรหมชั้นใดชั้นหนึ่ง ต้งแต่ชั้นอากาสานัญจายตนพรหม ไปจนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนพรหม
              แต่ถ้าเป็นฝ่ายอกุศล อย่างเช่น การทำอนันตริยกรรม ๕ คือ การฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงห้อพระโลหิต และทำสังฆเภท (คอยยุสงฆ์ให้แตกกัน) จะเป็นครุกรรมฝ่าย
*************************