เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนมกราคม ๒๕๕๔
เวลาพระบิณฑบาต เขาให้มองแต่ในบาตร พอเปิดบาตรสำรวมก้มลงมอง ตอนนั้นความลับดันแตก ชุดเก่า ๆ ที่เขาใส่กลับไม่ใช่ชุดเดิม กลายเป็นชุดเหลือบทองเหลือบแก้วแวววับเลย อาตมาก็ปิดบาตรโครม...! ถามว่าเป็นใคร ? มาจากไหน ? จะมาทำอะไร ? เขาบอกว่าเป็นนางไม้อยู่ใกล้ ๆ นี่เอง อยากจะได้บุญก็เลยมาดักใส่บาตร
อาตมาก็มองดู เนื้อเขาคล้าย ๆ กับเนื้อเรา คือเป็นเนื้อทึบ พวกเทวดา พรหมนี่ ถ้าบุญยิ่งมากเท่าไร เนื้อจะยิ่งใสมากเท่านั้น ถ้าใสเป็นประกายสว่างจ้าเลยก็เป็นพระอริยเจ้าแน่นอน ถ้าเป็นทั่วไปจะใสเหมือนแก้วใส
พอเห็นเนื้อเขาทึบ ๆ คล้ายเรา ก็รู้ว่าบุญเขาน้อยจริง ๆ จึงบอกว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ถ้าเธออยากได้บุญ ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอให้เธอโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใด ขอให้เธอจงได้รับด้วย” แล้วเธอก็สาธุ กลายเป็นนางฟ้าสวยแพรวพราวแล้วก็ไปเลย...!
คราวนี้เราจะฉันอะไร เพราะเขาไปแล้ว...! เขาตั้งใจมาใส่บาตรเพื่อเอาบุญ ในเมื่อได้แล้วเขาไม่ต้องใส่ก็ไปเลย ตั้งแต่นั้นมาอาตมาจำขึ้นใจเลย ถ้าเอ็งยังไม่ใส่ ข้าก็ไม่ให้...! เจอครั้งแรกแล้วโง่ ต่อไปจะจำไปนานเลย
*************************
“ศาสนาพุทธของศรีลังกา สืบสายต่อเนื่องกันมาได้ เพราะคณะสงฆ์ไทยไปช่วยไว้ ตอนช่วงนั้นประเทศฮอลันดา โปรตุเกส ผลัดกันครองศรีลังกาประมาณสองร้อยกว่าปี ใครไม่นับถือศาสนาคริสต์เขาจะไม่ให้ทำงาน กลายเป็นคนตกงาน จึงทำให้คนศรีลังกาต้องถือศาสนาคริสต์กันเกือบหมด
พระจึงค่อย ๆ สูญไป เหลือสามเณรอยู่รูปเดียว คือ สามเณรสรณังกรบวชมาสามสิบกว่าปี แต่เป็นได้แค่เณรเพราะไม่มีพระพอที่จะบวชให้ จึงไปทูลขอพระเจ้าแผ่นดิน ให้ส่งทูตมาขอพระจากพม่าไปบวชให้ ทางพม่าไม่ยอมส่งไป คงเห็นว่าอันตราย เพราะมีแต่คริสต์ทั้งประเทศ
เขาจึงขอมาทางอยุธยา ทางอยุธยาจึงส่งพระอุบาลีไปให้ จึงกลายเป็นสยามวงศ์มาจนทุกวันนี้ ตอนนั้นพระอุบาลีบวชพระให้ครั้งเดียว จำนวน ๗๐๐-๘๐๐ รูป เพราะเขาอยากบวชกันมานาน แต่ไม่มีพระให้บวช รวมแล้วพระอุบาลีบวชพระให้ไป ๗,๐๐๐ กว่ารูป
พระอุบาลีท่านเป็นนักสู้จริง ๆ ตายคาสนามรบ ไม่ได้กลับเมืองไทย มรณภาพที่นั่นเลย พอสมณทูตรุ่นที่สองไปถึง พระอริยมุนีที่ไปด้วยกัน ท่านก็ได้กลับประเทศไทย แต่พระอุบาลีมรณภาพอยู่ที่ศรีลังกา ทุกวันนี้ก็ยังมีรูปเคารพของท่านอยู่ เขาเรียกว่า สยาโมปาลีวงศ์ ก็คือ สยามอุบาลีวงศ์
เขาสนธิแล้วแปลงอุเป็นโอ แทนที่จะเป็นสยามุ ก็กลายเป็นสยามโม”
*************************
ถาม : พิจารณาอะไรสักอย่างบ่อย ๆ แล้ว รู้สึกว่าจิตเร่ิมคุ้นชิน จนไม่ต้องคิดมากแล้ว จิตก็ยอมรับ แต่พอห่างการพิจารณาไป กลับมาพิจารณาใหม่ ก็ยังต้องใช้เวลามากเหมือนเดิม
ตอบ : แสดงว่านั่นยังไม่ใช่ของเราจริง ๆ ต้องซ้อมบ่อย ๆ ทึกัน ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ว่ากันให้เบื่อไปข้างหนึ่ง
ถาม : พอยอมรับแล้วมันไม่ยอมคิดต่อ ?
ตอบ : ก็ใจยอมรับแล้วนี่ จะไปคิดต่อทำไม ?
ถาม : แต่พอห่างไปก็ …?
ตอบ : ภาษาลูกทุ่งเขาว่า ห่างมือห่างตีน ก็ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่
ถาม : ถ้าซ้อมบ่อย ๆ ?
ตอบ : ต้องซ้อมจนกว่าจะเป็นของเราจริง ๆ แค่บอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา แล้วใจเชื่อเลย ไม่เถียงอีกแล้วถึงจะใช้ได้
*************************
ถาม : ตื่นเช้ามาเห็นตัวเองเป็นโครงกระดูก จะต้องพิจารณาอย่างไร ?
ตอบ : ก็แค่เห็นว่า ธรรมดาของมนุษย์ทุกรูปทุกนามเป็นอย่างนี้ แสดงว่า ในอดีตเราอาจจะเคยฝึกอสุภกรรมฐานเกี่ยวกับอัฐิกอสุภะมาก่อน ถึงเวลาพอสภาพจิตที่พักผ่อนเพียงพอ ไปลงช่องของอุปจารสมาธิพอดี ก็จะเห็นภาพเก่า ๆ ที่ตัวเองเคยทำได้
เราก็นึกถึงภาพนั้นว่า ท้ายสุดเราเองก็ต้องมีสภาพป็นอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการมีสภาพร่างกายเป็นแบบนี้ เรายังต้องการอีกไหม ? ถ้าไม่ต้องการแล้ว เราควรจะไปไหน ? ถ้าหากเราไม่ต้องการ ก็ควรจะไปพระนิพพาน แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ของเราเพื่อเป็นหนทางไปสู่พระนิพพาน
ให้นึกถึงภาพนั้นไว้บ่อย ๆ เราว่าต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน จะได้ไม่ประมาท คิดอยู่อย่างนั้นเสมอว่า ตายแล้วก็เป็นอย่างนี้ ตัวเราก็เป็นอย่างนี้ คนอื่นก็เป็นอย่างนี้
ถาม : ให้ทรงภาพนี้ ?
ตอบ : นึกไว้เรื่อย ๆ อะไรที่เป็นของเก่าจะนึกง่าย พอหายไปก็นึกใหม่ นึกว่าสภาพร่างกายของเราเป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนสักอย่าง คนอื่นก็เป็นอย่างนี้ อยากได้ใคร่ดีไปก็ไม่มีประโยชน์ ท้ายสุดก็ตัดเข้าพระนิพพานปดีกว่า
มีของเก่าก็ได้เปรียบ จะทำอะไรง่ายกว่าคนอื่น เพราะลัดขั้นตอนได้เหมือนกับคนมีเงินในกระเป๋า ถึงเวลาก็ล้วงมาใช้ได้เลย คนอื่นทำงานเหนื่อยเกือบตายกว่าจะได้เงินเดือนมาใช้อย่างเรา
*************************
ถาม : ยายคนหนึ่งบอกว่า ให้ชวนญาติ ๆ เราที่ตายแล้วไปพระนิพพานไหว้พระ แล้วพวกสัมภเวสีที่ตายในซอย ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่พรหมเทวดาแล้วไม่มีสิทธิ์ไปหรอก แล้วการที่จะพาเขาไปได้ ตนเองต้องกำลังเพียงพอด้วย ถ้ากำลังของเราไม่พอ เราจะพาใครไปได้ ? ตัวเองยังไปไม่รอดเลย
แต่ไม่เป็นไร ถ้าเขาทำได้ เราก็ฝากเขาไปด้วยก็แล้วกัน
*************************
ถาม : ชายสามโบสถ์ ความหมายที่แท้จริงคืออะไร ?
ตอบ : ชายสามโบสถ์ หมายถึงบวชมาสามศาสนาแล้วยังเอาดีไม่ได้ คนแบบนี้ก็คบไม่ได้แล้ว
ไม่ได้หมายถึงบวชสามครั้ง เพราะท่านจิตตหัตถกับท่านนังคละบวชเป็นสิบครั้ง และท่านก็ได้เป็นพระอรหันต์ด้วย สามโบสถ์ก็หมายถึง โบสถ์คริสต์ โบสถ์พุทธ โบสถ์อิสลาม หรือโบสถ์ซิกข์ สามศาสนาแล้วยังเอาดีไม่ได้ก็ปล่อยไปตามทางเขาเถอะ
*************************
ถาม : คนที่อยู่กันเป็นคู่ผัวเมีย แล้วจะไปพระนิพพานด้วยกัน เป็นไปได้ไหมคะ ?
ตอบ : ยากหน่อย เกิดคนเดียว ตายคนเดียว ไปก็คนเดียว เพราะฉะนั้น...ประเภทกอดคอกันไปยังไม่มี มีแต่ประเภทกอดคอถ่วงกันอยู่ เลยไปไหนไม่รอดทั้งคู่...!
ถาม : อารมณ์หึงหวง เป็นการยึดติดหรือเปล่า ?
ตอบ : ยึดติดร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่ยึดแล้วจะหวงไปทำซากอะไร ? แล้วหวงอย่างนั้นนะหรือจะไปพระนิพพาน ? ก็ได้แต่ติดอยู่แค่นั้น
ถาม : ถ้าจับได้ว่าเขามีกิ๊ก จะปล่อยให้เขามีกิ๊กหรือคะ ?
ตอบ : อาศัยพลิกวิกฤตเป็นโอกาส เกิดกี่ชาติเขาก็ต้องมีกิ๊กให้เราทุกข์อยู่อย่างนั้น เราไปพระนิพพานของเราดีกว่า
*************************
“ในมณิกัณฐชาดก พระยานาคเห็นฤๅษีไปจำศีลอยู่ริมแม่น้ำ ด้วยความเลื่อมใสพระยานาคจึงขึ้นมาหา แต่ขึ้นมาเป็นงูใหญ่ ฤๅษีเห็นก็กลัว พระยานาคขึ้นมาทุกวัน จนฤๅษีกินไม่ได้นอนไม่หลับ
ฤๅษีผู้เป็นพี่ชายมาเยี่ยมฤๅษีผู้เป็นน้อง ถามถึงทุกข์สุข ฤๅษีคนน้องจึงบอกว่า พระยานาคขึ้นมาทุกวัน ตนเองกลัวมาก ฤๅษีผู้พี่จึงแนะนำว่า ต่อไปถ้าพระยานาคมา ให้ขอแก้วมณีจากพระยานาค เพราะพระยานาคมาจะมีแก้วมณีติดตัวมาด้วย ฤๅษีคนน้องก็จำไว้
พอพระยานาคมาอีก ฤๅษีผู้น้องจึงบอกแก่พระยานาคว่า “ไหน ๆ เราก็รู้จักกันมานานแล้ว เราขอแก้วมณีที่คอท่านเถอะ เราอยากได้”
พระยานาคบอกว่า “แก้วมณีเป็นที่มาของอาหาร น้ำ และเครื่องใช้ไม้สอยของเรา ไม่สามารถที่จะให้ท่านได้หรอก เราเห็นท่านเป็นผู้ที่ละกิเลสแล้ว จึงเลื่อมใสขึ้นมาหาด้วยความเคารพ แต่ไม่นึกว่าท่านยังเป็นผู้ที่มักมากอยู่ ฉะนั้น เราอย่าได้เจอกันอีกเลย” ตั้งแต่นั้นมา พระยานาคก็ไม่มาหาอีกเลย
ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ผู้ขอย่อมเป็นที่รังเกียจ มีที่มาจากเรื่องนี้แหละ”
*************************
“ท่านยกตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ ฤๅษีท่านหนึ่งไปจำพรรษาอยู่ที่ราวป่ามีหนองน้ำใหญ่อยู่ไม่ไกล และที่หนองน้ำมีพวกนกน้ำมาหากินอยู่ทุกวัน พอนกหากินเสร็จ ก็จะไปอาศัยนอนบนต้นไม้ใกล้ที่ฤๅษีจำศีลอยู่
พวกเราเคยได้ยินเสียงนก่อนอออกหากินหรือก่อนนอนบ้างหรือเปล่า ? ไม่รู้ว่านกมีอะไรคุยกันนักหนา เสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปหมด พอไม่สงบฤๅษีก็ภาวนาไม่ได้ เพื่อนฤๅษีมาหา ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ? ฤๅษีบอกว่ารำคาญเสียงนก ไม่เป็นอันหลับอันนอนเลย
เพื่อนจึงบอกว่า พอถึงเวลายามค่ำคืน นกทั้งหลายนอนหมดแล้ว ยามต้นให้ไปประกาศบอกนกทั้งหลายว่า ขอขนนกคนละเส้น จะเอามาทำที่นอน ยามสองก็ให้ประกาศอย่างนั้นอีก ยามสามก็ให้ประกาศอย่างนั้นอีก
พอถึงเวลาค่ำ ฤๅษีก็ไปประกาศที่ใต้ต้นไม้ว่า “เราขอให้นกทั้งหลายสละขนคนละเส้น เราจะเอาไปทำเป็นที่นอน” แกได้ยินดังนั้นเงียบฉี่ พอยามสองก็ไปประกาศอีกรอบหนึ่ง ยามสามไปประกาศอีกรอบ ปรากฎว่านกพากันหนีไปจนหมด ไม่กลับมาอีกเลย
สาเหตุที่พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะว่าภิกษุชาวเมืองอาฬวีไปเที่ยวขอของจากชาวบ้าน เพื่อที่จะเอามาสร้างกุฏิ ขอที่ดิน ขอจอบ ขอเสียม ขอไม้ ขอหญ้า ขอเถาวัลย์ ฯลฯ จนกระทั่งชาวบ้านเขากลัวกันหมด เห็นพระมาก็วิ่งหนี ขนาดเหลือบไปเห็นวัวเดินมา สีคล้ายจวรก็กระโดดหนีเพราะนึกว่าวัวเป็นพระ
พระมหากัสสปะไปถึงเมืองอาฬวีก็แปลกใจ ว่าทำไมเมืองอาฬวีเป็นอย่างนี้ ก่อนหน้านั้นข้าวปลาอาหารหาง่าย จะบิณฑบาตที่ไหนก็มี แต่ทำไมตอนนี้ไม่ค่อยมีคนใส่บาตรเลย พอสอบถามได้ความขึ้นมา จึงกราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสชาดกสองเรื่องนี้ว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ผู้ขอย่อมเป็นที่รังเกียจ และบัญญัติห้ามภิกษุขอสิ่งของจากบุคคลที่ไม่ใช่ญาติ และไม่ได้ปราวารณาไว้ก่อน
คำว่า ญาติ เขานับขึ้นสามระดับ นับลงสามระดับ นับขึ้นสามระดับก็คือ พ่อแม่ ปู่ย่า ปู่ทวดย่าทวด นับลงสามระดับ ก็คือ ลูก หลาน เหลน เขยกับสะใภ้ไม่นับเป็นญาติ เพราะฉะนั้น...ถ้าเป็นพระอย่าเที่ยวไปขอของจากเขยหรือสะใภ้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้นับให้เป็นญาติ”
ถาม : พี่น้อง ถือว่าเป็นระดับไหน ?
ตอบ : ระดับเดียวกัน เพราะคลานตามกันมา
ถาม : กรณีของพ่อแม่บุญธรรม ?
ตอบ : ไม่นับว่าเป็นญาติ เพราะญาติเขานับด้วยสาโลหิต คำนี้ฟังให้ดีนะ...ไม่ใช่สายโลหิต
สาโลหิต คือ สายโลหิตเดียวกัน แต่เขาไม่มี ย.ยักษ์ สมัยนี้กลายเป็นญาติสายโลหิต สมัยนี้จากถูกเขียนเป็นผิด จากผิดเขียนเป็นถูก
*************************
“อาตมาสร้างพระพุทธรูปปางลีลาประทานพร เกิดจากการงฝึกมโนมยิทธิครั้งแรก เมื่อขึ้นไปถึงบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์แล้ว ครูฝึกท่านแนะนำให้เชิญพ่อแม่ในอดีตทั้งหมดมารวมกัน เพื่อที่เราจะได้กราบขอพระคุณท่านที่เคยอุ้มชูเลี้ยงดูเรามาในแต่ละชาติแต่ละภพ
ปรากฎว่าพ่อแม่มามากจนนับไม่ถ้วน ครูฝึกจึงแนะนำว่า ให้อธิษฐานขอให้พ่อแม่ที่มีวาสนาบารมีมากที่สุดให้ออกมายืนข้างหน้า อาตมาก็เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเสด็จออกมาในลักษณะพุทธลีลา งดงามสุด ๆ งามประทับใจมาก ภาพนั้นติดตามาจนทุกวันนี้
กราบทูลถามพระองค์ท่านว่ามีพระนามใด ? ทรงตรัสว่า “จำพ่อไม่ได้แล้วหรือ ?” กราบทูลว่า “จำไม่ได้จริง พระเจ้าข้า” พระองค์จึงบอกว่า “สมเด็จพ่อพุทธกัสสปของเธออย่างไรเล่า ต่อไปถ้าจะมาหาเธอ พ่อจะมาในลักษณะอย่างนี้ ให้จำเอาไว้” อาตมาก็จำว่า พระองค์จะมาในลักษณะพระพุทธเจ้าปางลีลาประทานพร ภาพนี้ติดตามาโดยตลอด
จนกระทั่งหลังจากบวชแล้ว พรรษาที่สอง...ยังไม่เต็มพรรษาดี บรรดาพระรุ่นพี่ ๆ สึกเสีย ๔-๕ รูปติดกัน เริ่มตั้งแต่หลวงตามหาแสวง หลวงพี่เกรียงไกร หลวงพี่พรสรรค์ ที่หนักที่สุดคือ หลวงพี่ชัยศรี
หลวงพี่ชัยศรีคือผู้ที่ใคร ๆ ก็คิดว่าต้องเป็นองค์แทนถัดไปจากหลวงพ่อ ตอนนั้นหลวงพี่อนันต์ยังไม่มีแววโผล่มาเลย แต่หลวงพี่ชัยศรีกลับสึกเสียนี่ ใจหายจนบอกไม่ถูก กลางคืนอาตมาต้องนอนกอดจีวรแน่น รู้สึกหวงจีวรจริง ๆ “ใครอย่ามาเอาขอกูไปนะ...” รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ว่าจะไม่ยอมให้ใครมาเอาจีวรของเราไป
พอตกเย็นต้องไปทำกรรมฐานทุกวันที่ตึกธัมมวิโมกข์ ทำวัตรเย็นเสร็จก็เจริญกรรมฐาน ถึงทุ่มครึ่งจึงกลับกุฏิ เวลากลับอาตมาที่เคยชินกับการเดิน ก็เดินออกจากตึกธัมมวิโมกข์ เลาะมาผ่านตึกกลางน้ำ (ตึกสงวนจิตรและเพื่อน)
ตอนนั้นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านพักอยู่ที่ตึกกลางน้ำ ก็ยกมือไหว้ที่ตึกหลวงพ่อ นึกในใจว่า “หลวงพ่อครับ...ขนาดพี่ ๆ เขาอยู่กันมานานอย่างนั้น ยังไปกันหมด แล้วนำ้หน้าอย่างผมจะอยู่ได้หรือครับ ?”
พอคิดอย่างนั้น รู้สึกเหมือนกับพื้นที่ทั้งหมดว่างโล่ง แผ่นดินแผ่นฟ้าหายไปหมดเลย เหลือพระพุทธเจ้าในลักษณะปางลีลาองค์ใหญ่ยืนค้ำฟ้า พระหัตถ์ขวาของพระองค์ท่านจูงแขนซ้ายของอาตมาไว้
พระหัตถ์ซ้ายทรงชี้ไปข้างหน้าไกลลิบสุดขอบโลกเลย เห็นจุดวิบ ๆ ๆ เหมือนอย่างกับเพชรสว่างแพรวพราว ทรงตรัสว่า “พระนิพพานอยู่ข้างหน้าโน่น...ไปให้ถึงนะลูก” ภาพนี้ติดตาติดใจอาตมาตลอดมา คิดว่าถ้ามีโอกาส ก็จะสร้างพระบรมรูปของพระองค์ในลักษณะอย่างนี้ แต่ก็ไม่มีโอกาสสักที
ตอนแรกที่เห็นเพื่อนพระ คือ พระอาจารย์วันชาติ วํสธมฺโม วัดป่าพระพุทธบาทเขาน้อย ท่านสั่งแกะพระพุทธรูปปางลีลาประทานพร อาตมาเห็นก็บอกกับท่านว่า “นี่แหละ...แบบที่ผมอยากได้เลย” แต่ของท่านองค์เล็ก ทั้งฐานและองค์สูง ๒ เมตรเท่านั้น
ถามท่านว่า “ค่าแกะเท่าไร ?”
ท่านบอกว่า “อาจารย์ถามค่าหินผมก่อนดีกว่า”
จึงถามว่า “ค่าหินของคุณเท่าไร ?”
ท่านบอกว่า “สามแสนบาท..!”
“แล้วค่าแกะล่ะ ?”
ท่านบอกว่า “หกแสนบาท...!”
นี่แค่ ๒ เมตรนะ ก็เลยถามว่าช่างอยู่ที่ไหน ? ท่านบอกว่าอยู่เชียงรายแถวแม่สายโน่น...
“ผมอยากได้อย่างนี้บ้าง”
ท่านบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นต้องบอกให้ช่างเขาหาหินไว้ให้ก่อน”
ปรากฎว่าเกือบสองปีถึงจะได้หินมา แต่หินของอาตมา ช่างเขาคำนวณพื้นที่แล้ว องค์พระจะแกะได้สูง ๒ เมตร มีฐานพระอีก ๘๔ เซนติเมตร ช่างจึงขอคิดค่าแรงเพิ่มขึ้นเป็น ๗๐๐,๐๐๐ บาท ใช้เวลาในการแกะประมาณ ๑๘ เดือน
สล่า (ช่าง) ท่านนี้อายุมากแล้ว หลังจากใช้ลูกศิษย์แล้วไม่ได้ดั่งใจ ท่านก็เลยทำเองคนเดียว ท่านบอกว่าเสียดายพระพุทธรูปปางลีลา เราลองนึกดูว่าหินก้อนอย่างนี้ เวลาแกะด้านล่างให้มีขนาดเล็ก จะต้องถากหินอออกเยอะมาก อาตมาจึงบอกว่า “ถ้าปาดหินออก ช่างพยายามเก็บไว้ให้ก่อน จะไปดูว่าเผื่อจะทำอะไรได้บ้าง”
พออาตมามาเจริญกรรมฐาน ๑๕ วัน ที่วัดบางช้างเหนือ อากาศเปลี่ยนเป็นหนาวจัด ทำให้ไม่สบาย ตอนเช้ามืดหลวพ่อวัดท่าซุงท่านก็มา แวะมาดูว่าตายหรือยัง...! สมเด็จพระพุทธกัสสปะท่านเสด็จมาทีหลัง บอกว่า
“ขอบใจมากนะลูก ...ที่ตั้งใจะทำรูปของพ่อขึ้นมาให้เป็นที่เคารพบูชาแก่คนทั้งหลายเขา นับว่าสิ่งที่เจ้าตั้งใจมาตั้งนานแล้ว จะประสบความสำเร็จตามที่หวัง”
แล้วพระองค์ท่านทรงอธิบายว่า พระพุทธรูปปางลีลาประทานพร โดยความหมายก็คือ ความเจริญก้าวหน้าและความสำเร็จในทุกด้าน ถ้ามีโอกาสจะหล่อเป็นพระบรมรูปยืนองค์เล็กของพระองค์ท่าน เผื่อไว้พวกเราได้มีโอกาสบูชาไว้ประจำบ้านด้วย
อาตมาเพิ่งจะเข้าใจเหมือนกันว่า
ลีลา ก็คือ การเดินไปข้างหน้า ความก้าวหน้า
การประทานพร ก็คือ การให้ในสิ่งที่เราต้องการ
พระองค์ท่านอธิบายว่า หมายถึง ความก้าวหนาและความสำเร็จทุกอย่าง พระองค์ท่านเป็นพ่อที่อาตมาอาศัยพึ่งบารมีมาตลอด
หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า พระพุทธเจ้าสองพระองค์ คือ พระพุทธเจ้าพระนามว่าพระพุทธทีปังกร และพระพุทธเจ้าพระนามว่าพระพุทธกัสสป เป็นพระพุทธเจ้าที่เลิศด้วยลาภกว่าทุกพระองค์ เพราะว่าทั้งสองพระองค์เริ่มการบำเพ็ญบารมีเพื่มพระโพธิญาณมาจากทานบารมี
แต่ทั้งสองพระองค์นี้ไม่เหมือนกันนะ องค์หนึ่งมาทีฟ้าถล่มดินทลายเหมือนกับคลื่นสึนามิ อีกองค์มาแบบเรื่อย ๆ ไม่มีหยุด เหมือนน้ำที่ไหลไม่รู้จักขาดสายเสียที แต่เป็นผู้ที่เลิศด้วยลาภเหมือนกัน
อาตมาก็ไม่ได้นึกว่า ในชีวิตจะเกิดมามีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อเหมือนกัน เกิดนานเท่าไรก็จำไม่ได้หรอก แต่อย่างหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่า ท่านสร้างบารมีมา ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป ท่านพบพระพุทธเจ้ามาจนกระทั่งขี้เกียจนับ ท่านบอกว่าเฉพาะที่เกิดเป็นลูกท่านก็ ๘๔ พระองค์เข้าไปแล้ว”
*************************
ถาม : จะเปลี่ยนใจไปเกิดต่อในสมัยพระศรีอาริยเมตไตรย ?
ตอบ : โลกนี้น่าเบื่อจะตาย ไม่มีเวลาไหนที่ไม่ทุกข์เลย แม้กระทั่งนั่งอยู่เฉย ๆ ตอนนี้ก็ยังปวดยังเมื่อยเป็นปกติ ถ้านานไป ๆ สภาพจิตของเราละเอียดขึ้น ปัญญามีมากขึ้น เห็นทุกข์แล้วจะทนไม่ได้ เดี๋ยวก็จะเลิกคิดเกิดไปเอง
อาตมาเองสมัยเด็ก ๆ ผู้ใหญ่เขาสอนมา สมัยนั้นเขาไม่รู้จักพระนิพพานกันหรอก เขาให้อธิษฐานว่า “ขอให้เกิดมาสวย ๆ ขอให้เกิดมารวย ๆ ขอให้เกิดมาทันพระศรีอาริย์” เขาให้อธิษฐานแค่นี้จริง ๆ
อาตมามารู้จักพระนิพพาน หลังจากอายุ ๑๖ แล้ว ได้ปฏิบัติตามสายหลวงพ่อ สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยท่านก็ฝากบริวารไว้กับหลวงพ่อวัดท่าซุงเยอะ แต่ท่านสั่งเอาไว้ว่า ถ้าต้องการเกิดในสมัยท่าน ให้รักษาศีล ๑๑ ข้อ
ข้อที่ ๑ ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามทรมานสัตว์ให้ลำบากโดยเจตนา
ข้อที่ ๒ ห้ามลักขโมยของคนอื่นเขา ของที่เขาไม่ได้ให้ก็ห้ามหยิบฉวยมาด้วย
ข้อที่ ๓ ห้ามประพฤติในกาม ไม่ว่าจะลูกเขาเมียใคร ถ้าผู้ปกครองเขาไม่อนุญาต แตะต้องไม่ได้
ข้อที่ ๔ ห้ามพูดโกหก
ข้อที่ ๕ ห้ามพูดคำหยาบ
ข้อที่ ๖ ห้ามพูดวาจาส่อเสียดให้คนเขาแตกร้าวกัน
ข้อที่ ๗ ห้ามพูดวาจาเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์
ข้อที่ ๘ ห้ามดื่มสุราเมรัย
ข้อที่ ๙ ห้ามโลภอยากได้ของคนอื่น จนถึงขนาดทำผิดศีลผิดธรรม อยากได้อะไรให้เสาะหามาให้ถูกต้องตามศีลตามธรรม
ข้อที่ ๑๐ ห้ามพยาบาทอาฆาตแค้นคนอื่น โกรธได้ แต่หลังจากนั้นแล้วให้ลืมเสีย อย่าไปผูกโกรธ
ข้อที่ ๑๑ ต้องมีความเห็นถูก ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์สอน คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นั้น เป็นสิ่งที่ดี ให้เราตั้งใจทำตาม
ท่านบอกว่า ถ้าตั้งใจรักษา ๑๑ ข้อนี้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ แล้วตั้งใจไปเกิดสมัยท่าน ได้ไปแน่นอน ท่านยินดีรับเป็นบริวาร”
*************************
|