​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๖๙

 

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนมกราคม ๒๕๕๔


              แต่เป็นเวรเป็นกรรมอะไรไม่ทราบ ท่านธุดงค์ครั้งแรกก็เข้าทุ่งใหญ่เลย แล้วท่านไม่รู้จักทุ่งใหญ่ ตอนที่อาตมาไปเจอ ท่านพักอยู่ที่บริเวณห้วยเซซาโหว่ ท่านเสบียงหมดมาเป็นวันที่สองแล้ว หิวจนหมดสภาพแล้ว
              ในทุ่งใหญ่ ตลอดระยะทาง ๙๓ กิโลเมตร จะมีบ้านคนที่ บ้านทุ่งเสือโทน (คลิตี้บน) แล้วถัดมาอีก ๘ กิโลเมตร คือ บ้านทินวย จะมีบ้านอยู่แค่ ๙ หลัง แล้วหลังจากนั้น พื้นที่ยาวมา ๒๕ กิโลเมตร จะเป็นหน่วยป่าไม้ คือ หน่วยทิคอง แล้วหลังจากนั้นอีก ๔๕ กิโลเมตร จะเป็นหน่วยซ่งไท้ แล้วจะยาวไปสุดทุ่งใหญ่ คือ หน่วยแม่กะสะ แล้วถึงจะเข้าบ้านจะแก
              ท่านอาจารย์เป้าเข้ามาทางด้านบ้านกองม่องทะ บ้านทิไล่ป้า พอมาถึงบ้านจะแก ท่านเห็นว่ายังมีเวลาเหลือ ก็เดินเลยไป ในเมื่อเดินเลยไปหมดหมู่บ้านแล้ว เวลาเช้าขึ้นมาจึงไม่มีที่ให้บิณฑบาต ก็ต้องอดข้าว เดินไปจนหมดเรี่ยวหมดแรง จึงค่อยพัก พอสว่างก็เดินต่ออีกวันหนึ่ง ไปได้แค่ ห้วยเซซาโหว่ ยังไปไม่ถึงหน่วยซ่งไท้
              ท่านไม่มีอะไรจะฉัน หิวจนหมดสภาพจึงนอนหมอบอยู่ ไม่รู้ว่าเวรกรรมอะไรพาให้อาตมาไปเจอท่านเข้าพอดี ก็เลยไปต้มน้ำร้อนชงบะหมี่ถวายท่าน แล้วอธิบายให้ท่านฟังว่า ระยะทางจากไหนถึงไหน จึงจะมีบ้านคนให้บิณฑบาตได้ ต่อให้ใกล้ขนาดไหนก็ตาม เมื่อไปถึงแล้ว ท่านอาจารย์ก็ต้องพัก ถ้าไม่พักเดินเลยไปแล้ว จะเกินระยะเดินที่เป็นบ้านคน ถ้าไม่รู้จักทางไปอย่างนี้ เดี๋ยวก็ตายเปล่า
              หลังจากนั้นหลายปี ไปเจอท่านอีกทีตอนท่านมาเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดไกรเกรียง พอเจอหน้าก็เข้าไปทักท่าน ท่านก็ถามว่า “เอ๊ะ...เรารู้จักกันหรือ”
              ตอบท่านไปว่า “ผมรู้จักท่านอาจารย์นะครับ พระปื๊ดยังอยู่กับท่านไหมครับ ?”
              พอท่านได้ยินคำว่าพระปื๊ด “เอ๊ะ...นี่ท่านรู้จักผมจริง ๆ แน่เลย รู้จักท่านปื๊ดด้วย”
              “รู้จักสิครับ ท่านอาจารย์จำได้ไหมว่า ที่ไปอดเกือบตายอยู่ในทุ่งใหญ่ ใครเป็นคนช่วยเอาไว้ ?”

              ท่านจึงนึกขึ้นมาได้ “ตายห่...๑๐ กว่าปีแล้ว ท่านยังจำผมได้อีก”
              “จำได้ครับ ท่านพระครูใบฎีกาอุเทน อุฏฐานโรจโน วัดเศวตฉัตร”

              ท่านบอกว่า “ผมละกลัวใจเลย เจอกันครั้งเดียวสิบกว่าปีแล้ว ยังจำชื่อผมได้อีกด้วย”
              เมื่อคราวที่ท่านตามหลังคณะอาตมาเข้าไปครั้งนั้น ไปแล้วไม่ได้ดั่งใจ ท่านขัดใจกับเพื่อน ท่านก็เลยแยกทาง ออกจากทางเดินที่สะดวก ลุยป่าเข้าไป คราวนี้ท่านลุยป่าไป ก็คงจะเป็นเวรเป็นกรรมของท่านพอดี ลุยพรวด ๆ ไปเจอควายป่าที่นอนตีแปลงอยู่ ควายป่าเห็นท่านอาจารย์เป้าก็ขวิดโครม...! กระเด็นหายเข้าไปในดงไม้
              ยังโชคดีที่ว่า เขาควายป่านั้นยาวเกินไป ตอนที่ขวิดท่านอาจารย์เป้า ร่างท่านก็เลยไม่โดนปลายเขา โดนแค่กลางเขา แต่แขนท่านกับกระดูกซี่โครงหักไปทั้งแถบเลย...!
              พอควายป่ามองไม่เห็นท่าน เพราะกระเด็นไปจมอยู่ในพงหญ้า ก็ไปตามทางของตัว พระที่เป็นพรรคพวกต้องช่วยหันหามท่านออกมารักษาตัวอยู่ข้างนอก ต้องรักษาตัวอยู่เป็นเดือน สุดท้ายก็มรณภาพไป
              ดังนั้น...ข่าวที่พระครูแสง (พระครูธรรมธรแสงชัย กนฺตสีโล) ได้มา แล้วเล่าให้ท่านอาจารย์นนท์ฟัง จริง ๆ คือ พระอาารย์เป้าที่มรณภาพเพราะควายป่าขวิด ไม่ใช่ท่านอาจารย์ทวน ท่านอาจารย์ทวนท่านยังอยู่
              พระอาจารย์ทวน ท่านเดินธุดงค์เฉาะในป่าห้วยขาแข้งน่าจะเกิน ๓๐ ปี ท่านเดินจนกระทั่งหลับตาก็รู็ว่ามุมไหนเป็นอย่างไร อาตมาเองยังอาศัยใช้เส้นทางของท่านบ่อย ๆ เพราะว่าท่านจะใช้ฝาจีบขวดน้ำอัดลม ทาสีแดง ๆ แล้วตอกติดต้นไม้ไว้อันหนึ่ง ผ่านไปอีกสัก ๑๐๐-๒๐๐ เมตร ก็ตอกไว้อีกอันหนึ่ง พออาตมาจำทางได้ก็เดินตามได้เลย
              จริง ๆ แล้ว แม้จะเป็นป่าในยุคนี้ก็ตาม คืบก็ป่า ศอกก็ป่า ขนาดพระของเรานั่งอยู่กับที่แท้ ๆ ยังหลังได้ ขอบอกให้ทุกคนเป็นประสบการณ์ว่า ถ้าหากว่าเราเดินทางในป่าไปสัก ๕ ก้าว ๗ ก้าว ให้เหลียวหลังดูครั้งหนึ่ง ถ้าเราเดินขึ้นหน้าอย่างเดียว เวลามองกลับมา จะเป็นคนละภูมิประเทศกัน เราจะจำทางไม่ได้ทันทีเลย
              ดังนั้น.... ไม่ว่าจะเป็น ๓ ก้าว ๕ ก้าว ๗ ก้าว อย่างไร เราต้องเหลียวหลังดูตลอด พูดง่าย ๆ คือ ซ้ายขวา สูงต่ำ ดูให้ทั่ว แล้วค่อยเดินทางต่อ เราถึงจะจำทางได้ หรือไม่ก็ต้องใช้วิธีที่อาตมาเรียนมาจากอาจารย์โมเช่ (พระประสงค์สนฺทโร) คือ พับกิ่งไม้ไว้เป็นระยะ ๆ ไป
              ถ้าหากเราเดินขึ้นหน้า เวลาพับกิ่งไม้ให้พับขึ้นหน้า รอยพับจะได้ชี้ไปข้างหลัง จะทำเราให้เรารู้ว่าเดินทางจากทางไหน ถ้าอย่างนั้นเราจะไม่หลงสามารถเดินตามรอยกลับที่เดิมได้
              ถ้าหากหลงทางเข้าจริง ๆ ให้หยุดอยู่กับที่ทันที อย่าไปไหน แล้วก่อกองไฟเอาไว้ เอาพวกใบไม้สด หญ้าสด หมกเข้าไปเยอะ ๆ ให้เกิดควันมาก ๆ คนที่เขามาช่วยจะได้หาง่าย ๆ หาท่อนไม้ใหญ่ยัดเข้าปสักท่อนสองท่อน ให้ไฟคุไว้ได้ทั้งคืน
              อย่าให้ไฟดับ คณะที่มาช่วยจะได้หาเราเจอง่าย และขณะเดียวกันพวกสัตว์ร้าย ถ้าได้กลิ่นควันไฟจะไม่เข้ามายุ่งด้วย โดยเฉพาะช้างจะกลัวไฟมากเป็นพิเศษ ต่อให้ส่งเสียงอยู่ใกล้ ๆ ก็จะไม่เข้ามาบริเวณนั้น
              เรื่องการเดินป่า ถ้าไม่เก่งถึงขนาดแกะรอยได้ อย่าเสี่ยงไป ขนาดอาตมาแกะรอยได้ ยังเคยหลงมาแล้ว ก่อนที่จะพาคุณหมอนพพร (พ.อ. นพ.นพพร กลั่นสุภา) เข้าไปที่บ้านแม่สาน ตัวเองก็พาเพื่อนไปหลงมาแล้ว ๒ วัน ๒ คืน อดแทบตาย แล้วมารู้ทีหลังว่า พวกที่ไปด้วยตั้งใจะไปเอาทองคำของพวกลับแลเขา ในเมื่อตั้งใจไปเอาทอง เจ้าของที่เขาเหม็นขี้หน้าจึงทำให้หลงทางไปตาม ๆ กัน”
*************************

      ถาม :  มีคาถาย่นระยะทางไหมคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วไม่ได้ย่นระยะทางหรอก คือ ระยะทางยังคงไกลเท่าเดิม แต่เราไปถึงเร็วกว่าเดิม อาตมาเคยลองมาสองสามครั้ง คนเขาบอกว่าขับรถไล่ตามยังไม่ทัน เพราะฉะนั้น...เรียกว่าย่นระยะทางก็น่าจะใช่ แต่อาตมาเองยังรู้สึกว่าทางไกลเท่าเดิมและเหนื่อยเท่าเดิม
              ตอนนั้นถึงคราวจำเป็น เพราะว่าอาตมาขึ้นไปเยี่ยมสถานีวิจัยเพื่อรักษาต้นน้ำแม่กลอง แล้วเจ้าหน้าที่เขาพาดูงาน ก็เดินดูกันไปเรื่อย ๆ ห่างจากสำนักงานใหญ่ไป ๔ กิโลเมตรแล้ว เขาถึงได้บอกว่า “นิมนต์ฉันเพลด้วยครับ” เหลืออีก ๑๐ นาทีเท่านั้นก็จะถึงเพลแล้ว มีใครเดิน ๑๐ นาทีได้ ๔ กิโลเมตรบ้าง ?
              อาตมาจึงบอกเขาไปว่า “คุณเดินตามมาก็แล้วกัน เดี๋ยวอาตมาจะเดินนำหน้า ไปได้แค่ไหนก็แค่นั้น” แล้วอาตมาก็เดินไปเลย พอไปถึงสถานีวิจัยยังไม่ทันจะเพล แสดงว่า ๔ กิโลเมตรอาตมาเดินไม่ถึง ๑๐ นาที...!
              พอไปถึง รถของหน่วยเขาวิ่งสวนมาตรงปากทาง เขาบอกว่า “อ้าว...อาจารย์มาถึงแล้วหรือ ?” ตอบไปว่า “เออ...ข้ามาแล้ว แต่หัวหน้าของแกอยู่ข้างหลัง ไปรับหัวหน้าของแกก็แล้วกัน” ปรากฎว่าพวกเขาวิ่งไล่จนเลือดกำเดาไหล เขายังไล่ไม่ทัน ...!
              อาตมาก็ไม่ได้รู้สึกหรอกว่า เดินแล้วจะใกล้หรือเดินแล้วไม่เหนื่อย ความเหนื่อยมีเท่าเดิมและไกลเท่าเดิม แต่ถึงเร็วเท่านั้น ก็เลยไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี
      ถาม :  คนธรรมดาทำได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้ากำลังใจถึง ทำได้ทุกคน เรื่องของคาถาสำคัญตรงสมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัวจะได้ผลทุกคน ส่วนใหญ่สมาธิไม่ค่อยจะทรงตัว พอถึงเวลาจำเป็นจริง ๆ ก็กลัว ๆ กล้า ๆ การที่เรากลัว ๆ กล้า ๆ กำลังใจนั้นก็ไปหมดแล้ว
*************************

      ถาม :  คุณแม่ไม่สบาย ท่านเคยทำแท้งมา ท่านไปบวชชีพรามหณ์แล้ว ทำบุญแล้ว แต่ก็ไม่ดีขึ้น มีคำแนะนำไหมคะ ?
      ตอบต้องปล่อยชีวิตคืนเขาไป ให้แม่ปล่อยพวกสัตว์ที่เขาจะฆ่า อย่างเช่นปลาในตลาด ปล่อยทุกเดือน ๆ เดือนหนึ่งสัก ๕ ตัว ๑๐ ตัว แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปเรื่อย ๆ ต้องใช้กันด้วยชีวิต จนกว่าเขาจะหายจากการถือโกรธและอโหสิกรรมให้
              ถ้าทำอย่างอื่นไม่สำเร็จหรอก ต้องคืนเขาด้วยชีวิต แต่ต้องเป็นสัตว์ที่เขาจะฆ่าจริง ๆ อย่างเช่นปลาที่เขาขายในตลาด ไปขอซื้อเขามาเลย แล้วก็เอาไปปล่อย ให้แม่ปล่อยทุกเดือน ๆ
      ถาม :  ไปผ่าแล้วอาการก็แย่ยิ่งกว่าเดิม ?
      ตอบ :  บอกแม่ให้ทำวิธีนี้ ถ้ายังสามารถไปไหนได้สะดวก ให้แม่ไปปล่อยเอง สักระยะหนึ่งเดี๋ยวเจ้ากรรมนายเวรเขาใจอ่อนก็ยอมอโหสิกรรมให้เอง เรื่องของเจ้ากรรมนายเวรต้องเอาใจกันหน่อย เพราะว่าเราเป็นคนไปทำเขาไว้ก่อน
*************************

      ถาม :  จะทำธุรกิจเกี่ยวกับพวกแร่ได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  ทำได้ทุกคน
      ถาม :  จะต้องทำอย่างไรคะ ?
      ตอบ :  เข้าไปในสถานที่นั้น สามารถจัดเครื่องบวงสรวงได้ไหม ? ถ้าไม่ให้คนอื่นจัดแทน
      ถาม :  ได้ค่ะ แต่ไม่รู้จะสมบูรณ์หรือเปล่า ?
      ตอบ :  จะเป็นข้าวพล่าปลายำ หัวหมู บายศรีอะไรก็ได้ ขอให้มีก็แล้วกัน
              อันดับแรก จุดธูปบอกกล่าวแม่พระธรณีก่อน ขออนุญาตท่านทำแร่ตรงนี้ แล้วบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางทั้งหมด ให้ช่วยกันสงเคราะห์ในการทำแร่ อย่าให้ปิดอย่าให้บัง พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าสามารถดึงมารวมอยู่ในที่เดียวกันได้ยิ่งดี แล้วเราจะทำบุญถวายสังฆทานหรือทำบุญเลี้ยงพระ ๙ องค์ให้เขาทุกปี หรือจะทำบุญใหญ่อะไรให้ก็ว่าไป ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้ จะรุ่งเรืองทั้งนั้น นี่ไม่ใช่การติดสินบน เขาเรียกว่า ทำอย่างไรจะให้ทำงานได้สะดวก
      ถาม :  จำเป็นต้องทำทุกที่ซึ่งเราไปดูไหมคะ ?
      ตอบ :  เฉพาะที่ซึ่งเราจะทำ
      ถาม :  แต่ขอครั้งเดียว ?
      ตอบ :  ขอครั้งเดียว แต่ต้องทำบุญให้ทุกปี ต้องมีสักวันหนึ่งในปีนั้น ที่เราจะทำบุญเป็นประจำ ถ้าไม่ลำบากจนเกินไปก็นิมนต์พระ ๙ รูปไปสวดมนต์ฉันเพล แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ แต่ถ้าไม่สะดวก เราก็นำสังฆทานไปถวายที่ไหนก็ได้ แล้วจุดธูปบอกกล่าวอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน
      ถาม :  สมมติว่าที่เป็นของคนอื่น แล้วเราไปซื้อ ?
      ตอบเจ้าของที่ใหญ่ที่สุดคือแม่ธรณี รองลงมาเป็นในหลวง เป็นเรื่องแปลกมากนะ ในหลวงคือพระเจ้าแผ่นดิน บางคนขายที่ไม่ได้สักที อาตมาถามว่าเคยบูชาในหลวงไหม ? เขาบอกว่าไม่เคย อาตมาจึงให้เขาไปตั้งโต๊ะหมู่บูชา เอารูปในหลวงไปตั้งเลย เพราะว่าพื้นที่ทุกแห่งในประเทศไทยเป็นของในหลวง ต่อให้คุณมีโฉนดก็ตาม ก็ต้องออกโดยพระบรมราชานุญาต
              ให้เขาไปบูชาในหลวงเพื่อขออนุญาตขายที่ เขาไปลองทำดูก็ได้ผล ของบางอย่างก็เหมือนกับเส้นผมบังภูเขา ถ้ารู้ก็ง่าย เพราะฉะนั้น...อย่างของเราไม่ว่าจะเป็นที่ไหนที่ใดก็ตาม เจ้าของใหญ่สุดคือแม่ธรณี แล้วหลังจากนั้นคือ เจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายที่ท่านดูแลสถานที่นั้นอยู่
*************************

      ถาม :  จะย้ายศาลเจ้าที่ จากที่เดิมมาตั้งที่ใหม่ ?
      ตอบ :  ที่เดิมเป็นอย่างไร จึงจะไปย้าย ?
      ถาม :  เป็นศาลเจ้า อยู่มานานแล้ว ?
      ตอบ :  ถ้าอยู่ในทิศที่ถูกต้องแล้ว ไม่ต้องไปย้ายหรอก เพียงแต่ว่าให้จุดธูปบอกกล่าวท่าน ขอเปลี่ยนเป็นศาลหลังใหม่ ส่วนของเดิมเราก็เอาไปไว้โคนต้นไม้ใหญ่ หรือเอาไปไว้ที่วัด
      ถาม :  ควรจะไว้ที่เดิมดีกว่าใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้าทิศเดิมถูกต้องอยู่แล้ว เรื่องของศาลเจ้าที่ คือ ศาลพระภูมิ ถ้าเป็นศาลของบ้าน เขาให้ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวบ้าน เอาตัวบ้านเป็นหลัก มีข้อแม้ว่า ถ้าอยู่ใกล้บ้านมาก อย่าให้อยู่ใกล้หน้าต่างและอย่าให้อยู่ใกล้ส้วม เพราะว่าเทวดาท่านรักความสะอาด ขืนไปทำอย่างนั้นเดี๋ยวเป็นเรื่อง...!
      ถาม :  ของเดิมอยู่ใกล้กับทางเดิน หันหน้าออกหน้าบ้าน ?
      ตอบหน้าศาลหันไปด้านไหนไม่เกี่ยว เกี่ยวเฉพาะอยู่ทิศไหนของตัวบ้าน
      ถาม :  ที่เดิมเป็นปุ้นเถ่ากง อยู่สูงไป ?
      ตอบปุ้นเถ่ากงกับเจ้าที่คืออย่างเดียวกัน เพียงแต่เป็นของจีนกับไทยเท่านั้นเอง ย่ิงถ้าตี่จู้เอี๊ยย่ิงชัดเลย
              ตี่จู้เอี๊ย คือ พระภูมิเจ้าที่, ตี่จู้ แปลว่า เจ้าของที่
              ส่วนพระภูมิ ภูมิ คือ พื้นดิน
              ส่วนปุ้นเถ่ากง ก็คืออากาสเทวดา เป็นผู้ดูแลสถานที่เขตนั้นเหมือนกัน
      ถาม :  มีสองศาลค่ะ ?
      ตอบ :  ถ้าหากมีศาลสี่เสานะ ให้ตั้งไว้ทางด้านทิศใต้หรือทิศตะวันตกของตัวบ้าน แล้วจุดธูปอัญเชิญทั้งเจ้าที่และปุ้นเถ่ากง บอกว่าขอให้มาอยู่ที่ศาลนี้แทน และถวายเครื่องสังเวยหรือเครื่องบวงสรวงท่านไป
              ถ้าเป็นศาลเพียงตา คือ ศาลพระภูมิ ให้อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวบ้าน ส่วนจะหันหน้าศาลไปทิศไหนท่านไม่ว่า ถ้ามีตี่จู้เอี๊ยอยู่ด้วย ก็จุดธูปบอกท่าน เชิญไปด้วยทีเดียวกันเลย หมดเรื่อง...เราจะได้ไม่ต้องไหว้หลายที่
              เพราะว่าความจริงก็คือพระภูมิเจ้าที่เหมือนกัน แต่คนไทยเรียกอย่างหนึ่ง คนจีนเรียกอย่างหนึ่ง แต่ความหมายก็คือพระภูมิเจ้าที่อย่างเดียวกันชัด ๆ เลย แสดงว่า ทุกชาติทุกภาษาก็มีท่านที่รู้เรื่องเหล่านี้จริง ๆ
      ถาม :  ขออีกครั้ง ?
      ตอบ :  ถ้าเป็นศาลพระภูมิเสาเดียว ให้อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน แต่ถ้าเป็นศาลสี่เสา ให้อยู่ทิศใต้หรือทิศตะวันตก ให้เอาทิศของตัวบ้านเป็นหลัก
      ถาม :  เอาศาลที่สูงหรือเตี้ย ?
      ตอบ :  ปกติศาลพระภูมิ เขาเรียกศาลเพียงตา อยู่เท่าระดับสายตาของเจ้าของบ้าน แต่ถ้าเป็นศาลสี่เสาหรืออากาสเทวดาหรือปุ้นเถ่ากง เราจะสร้างสูงต่ำแค่ไหนก็อยู่ที่เรา
      ถาม :  ศาลพระภูมิเจ้าที่ ไม่จำเป็นว่าหน้าต้องหันไปทางไหน ?
      ตอบถ้าถามซ้ำอีกหนจะมีรางวัลให้...! หันทางไหนก็ได้ ทิศที่ดีที่สุดสำหรับพระภมิเจ้าที่ คือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน ถ้าไม่มีให้ใช้ทิศเหนือหรือทิศตะวันออก ใช้ได้แค่สามทิศเท่านั้น ถ้าไปใช้ทิศอื่น ผิดทิศผิดทางขึ้นมา อาจจะไม่รุ่งเรืองอย่างที่ต้องการ
      ถาม :  ไม่จำเป็นต้องหันหน้าออกจากบ้านใช่ไหมคะ ?
      ตอบดูท่าอยากจะได้รางวัลจริง ๆ …! หันหน้าด้านไหนก็ได้ที่เราบูชาถนัด แต่ส่วนใหญ่คนจะไม่เข้าใจ พอเราบอกทิศ เขาก็ไปหันหน้าศาลไปทิศนั้น กลายเป็นตั้งศาลผิดทิศ และไม่ต้องไปฟังปากหอยปากปูด้วยนะ ว่าอย่างนั้นไม่ถูกย่างนี้ไม่ถูก เขาเข้าใจผิด เขาจึงว่าของเราไม่ถูก
      ถาม :  เรื่องวันที่ตั้งศาล ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่ใช้วันพฤหัส เดือนคู่ อย่างเดือนยี่ เดือนสี่ เดือนหก เดือนแปด เดือนไทยนะ ได้ข้างขึ้นยิ่งดี ถ้าเป็นเดือนแปดข้างแรมกับเดือนสิบข้างแรมเขาไม่นิยมกัน เขาถือว่าเป็นช่วงเข้าพรรษา ของอย่างนี้ถ้ารู้ก็ทำเอง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาหาใครมาช่วย
*************************

      ถาม :  ตอนนี้มีงานเข้ามาเยอะมาก อยากรู้ว่าเป็นงานจริง ๆ หรือแค่เข้ามาแล้วผ่านไป ?
      ตอบ :  อยู่ที่เราตกลงจะทำหรือไม่ ? ถ้าเราตกลงที่จะทำก็เป็นของจริง ถ้าไม่ตกลงที่จะทำก็แค่ผ่านไปเฉย ๆ
      ถาม :  ถ้าเราตกลงทุกเรื่อง จะไปรอดทุกเรื่องหรือไม่คะ ?
      ตอบ :  จะให้ทุกอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ได้อย่างไรวะ ? แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่อยากจะเตือนก็คือว่า ถ้าทุ่มเทด้วยตัวเองได้ก็จะดีที่สุด อย่าไว้วางใจคนอื่น เพราะคนอื่นเขาไม่มีสำนึกความเป็นเจ้าของ เขาจะสักแต่ทำให้ผ่านไปวันหนึ่งเท่านั้น
              แต่ถ้าเป็นของเรา เรามีความสำนึกเป็นเจ้าของ เราทุ่มเทเต็มที่ ผลที่ได้จะมีมากกว่า เพราะฉะนั้น...ต้องยอมเหนื่อยหน่อย จนกว่าจะได้คนที่ไว้วางใจได้จริง ๆ แล้วค่อยผ่อนถ่ายให้เขาแบ่งเบาภาระไป

      ถาม :  เราจะได้พาร์ตเนอร์จากเยอรมันมาใหม่ เขาจะอยู่กับเราได้หรือไม่คะ ?
      ตอบ :  ไม่อยากให้คบกับพวกต่างประเทศสักเท่าไร โดยเฉพาะฝรั่ง บางคนตั้งตามากอบโกยจากเราอย่างเดียว แต่เราใช้ความจริงใจเข้าว่า และทำหนังสือสัญญาให้ถูกต้องตามกฎหมาย มีอะไรให้ปรึกษาทนาย ทำสัญญาก่อนแล้วจะดีเอง
      ถาม :  มีคดีความกับฝรั่ง เดือนนี้เราสามารถจบได้หรือไม่คะ ?
      ตอบเออ…เรื่องอย่างนี้ยังอุตส่าห์ถาม อาตมาไม่ใช่ผู้พิพากษาโว้ย...! ขึ้นอยู่กับเราว่าจะประนีประนอมกันได้หรือไม่ ? หรือศาลเขามีคำสั่งอย่างไร ? เอาอย่างนี้...ไปบนเสด็จในกรมหลวงชุมพรจะดีกว่า...
              เครื่องบนเสด็จในกรมหลวงชุมพร

              ๑) ใช้หัวหมูต้ม ๑ หัว ถ้าหากหัวหมูไม่ได้ ให้เป็นหมูชิ้น ๑ ชิ้น จะเป็นเนื้อสัน เนื้อสามชั้นอะไรก็ได้ แต่ต้องหนักไม่ต่ำกว่าครึ่งกิโลกรัม
              ๒) ไก่ต้ม ๑ ตัว
              ๓) ข้าวปากหม้อ ๑ ถ้วย คือข้าวที่หุงแล้วเราตักขึ้นมาก่อน
              ๔) ทองหยิบ ฝอยทอง จำนวนเท่าไรแล้วแต่เราชอบ
              ๕) ขนมจีนน้ำพริก นำ้ยาก็ไม่เอา ซาวน้ำก็ไม่เอา น้ำเงี้ยวก็ไม่เอา เอาขนมจีนน้ำพริกอย่างเดียวเลย
              ของทั้งหมดให้วางบนผ้าขาวที่ปู ตั้งโต๊ะอยู่กลางแจ้ง
      ถาม :  ต้องไปตั้งโต๊ะต่อหน้าท่านหรือไม่คะ ?
      ตอบ :  ไม่ต้อง ที่ไหนก็ได้ที่เป็นกลางแจ้ง เวลาบน ถ้าเป็นช่วยเช้าคือ ๗ โมง ๕๐ นาที ต้องตรงต่อเวลานะ เพราะฉะนั้น...เราต้องเตรียมของให้เรียบร้อย พอเวลา ๗ โมง ๕๐ นาที ให้จุดธูปบอกท่าน
      ถาม :  อธิษฐานว่าอย่างไร ?
      ตอบ :  อธิษฐานขอว่าจะให้เรื่องลงเอยอย่างไร จะให้เขาเรียกเราจนหมดเนื้อหมดตัว หรือจะให้เราชนะคดีโดยสะดวกง่ายดาย ก็ว่าไป
              ถ้าเรื่องทุกย่างเป็นไปตามเราต้องการ ให้จัดของอย่างนี้ถวายท่านอีกชุดหนึ่ง แปลว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ต้องให้ท่านก่อนชุดหนึ่ง
              สมัยก่อนการบนมีเหล้าปนอยู่ด้วย ท่านบอกว่าไม่เอาแล้ว เป็นเทวดาผู้ใหญ่ ถ้ามีเหล้าอยู่ด้วย เดี๋ยวจะโดนตำหนิเอา ก่อนอาตมาบวชก็อาศัยบนท่านบ่อย ๆ ช่วงนั้นซื้อของราคาไม่เคยเกินสามร้อยบาท พอลาเสร็จเราก็กินเอง พอธูปหมดเราก็ลาได้แล้ว
      ถาม :  ถ้าขายที่ดินไม่ได้ ใช้วิธีนี้ได้หรือไม่คะ ?
      ตอบ :  ใช้วิธีนี้ก็ได้ แต่ถ้าเสด็จในกรมฯ ท่านจะถนัดเรื่องตามคนหาย หรือคดีความมากกว่า
*************************

      ถาม :  จะขายที่ค่ะ ?
      ตอบ :  ไปจุดธูปบอกกับเจ้าที่ตรงนั้นเลย บอกว่าถ้าขายได้ เราจะถวายสังฆทานหรือเลี้ยงพระให้สัก ๙ องค์ ก็ว่าไป
      ถาม :  จุดธูปกลางแจ้งหรือคะ ?
      ตอบ :  กลางแจ้งตรงนั้นบนที่ดินของเรา บอกเจ้าที่ซึ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าท่านจะเป็นอากาสเทวดา รุกขเทวดา หรือภุมมเทวดาก็ตาม ข้าพเจ้าต้องการจะขายที่ผืนนี้ ขอให้ช่วยสงเคราะห์ให้สำเร็จโดยง่ายด้วย แล้วเราจะทำบุญอะไรให้ท่านก็ว่าไป
      ถาม :  ต้องนำอะไรไปบูชา ?
      ตอบ :  ไม่ต้องหรอกจ้ะ เอาธูปไปกำใหญ่ ๆ ก็พอ
      ถาม :  กำใหญ่แค่ไหน ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่เห็นเขาจุดกัน ๑๖ ดอก
      ถาม :  คลอดลูกแล้ว แต่ยังไม่มีน้ำนมให้ลูกเลย ?
      ตอบ :  โบราณเขาให้กินของร้อน โดยเฉพาะพวกแกงเลียง แต่ให้ใส่พริกไทยเยอะหน่อย
      ถาม :  ได้ผลจริงไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้าไม่ได้ผลก็ให้กินนมขวดไปก่อน ถ้าเป็นคนจีนเขาจะตุ๋นไก่กับขิงหรือไม่ก็แกงเลียงใส่พริกไทยเยอะ ๆ เพราะร่างกายเสียเลือดมาก จะให้ไปผลิตน้ำนมมากก็ไม่ไหว จึงต้องกระตุ้นกันหน่อย
              คนโบราณเขาเก่ง เขาจะให้อยู่ไฟด้วย ร่างกายจะได้ฟื้นตัวเร็ว สมัยนี้เราไม่ได้อยู่ไฟ แต่ไม่เป็นไรหรอก ...กินนมเราไม่ได้ ก็ให้กินนมวัวไปก่อน
*************************