เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนมกราคม ๒๕๕๔
ถาม : ฟังเทศน์หลวงพ่อองค์หนึ่ง ท่านสอนสมถะอย่างเดียว ท่านเน้นว่า พระพุทธเจ้านอกจากชาติสุดท้ายแล้ว ไม่เคยวิปัสสนาเลย เรารู้สึกแปลกใหม่ ท่านบอกว่า ถ้าเราคิดว่าไม่ถึงชาตินี้ ก็ทำสมถะไปอย่างเดียวก่อน ?
ตอบ : จริง ๆ การทำสมถะ ทำถ้าทำไปถูกทางจริง ๆ ก็เกิดปัญญา แต่ถ้าเพลิดเพลินอยู่ ก็จะติดอยู่แค่นั้น ตัวปัญญาจะไม่เกิด
สำคัญว่าเรามีสติระลึกรู้อยู่แค่ไหนว่า ตอนนี้เราทำอะไร เพื่ออะไร ถ้าเราทำเพื่อความอยู่สุขปัจจุบันนี้ ไม่ให้รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราได้ ก็ใส่สมถะไปล้วน ๆ เถอะ แต่ถ้าเราต้องการที่จะหลุดพ้น ก็ต้องมีวิปัสสนาเข้าไปช่วยอีกแรง
ถาม : ถ้าเราใช้สมถะกดไว้พักหนึ่ง เป็นวิธีที่ถูกต้องไหมคะ ?
ตอบ : อย่างไรก็ได้ อันดับแรก ก็คือ อย่าให้กิเลสออกทางกาย ประเภทอาละวาด ชักสีหน้า ชี้หน้าด่า ประเภทนั้นอย่าให้ออกมา แต่ถ้าอยู่ข้างในแล้ว อกเราจะแตกตาย ก็ให้ตายไปคนเดียว อย่าให้กิเลสเราไปเลอะเทอะเปรอะเปรื้อนใส่คนอื่นเขา
อันดับแรก ต้องดึงให้หยุดให้ได้ก่อน ทำอย่างไรที่จะดึงม้าให้หยุดตรงหน้าผาให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นพาเราลงเหวแน่ หลังจากนั้นค่อย ๆ ไปหาทางจัดการกันทีหลัง นั่นก็ถือว่าเป็นการใช้ปัญญาอย่างหนึ่งเหมือนกัน
เพียงแต่ว่ากำลังเรายังไม่เพียงพอที่จะตัดอย่างฉับพลัน ก็ต้องใช้วิธีค่อยเป็นค่อยไป ก็คือ ระงับจากส่วนหยาบก่อน แล้วถึงเวลาค่อยไปจัดการกับส่วนละเอียดทีหลัง อย่างที่อาตมาเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยที่อยู่วัดท่าซุง ออกบิณฑบาตพร้อมกับหลวงตาวัชรชัย
การบิณฑบาตช่วงนั้นก็ต้องเดินสายใต้ด้วยกัน ก่อนหน้านั้นหลวงตาท่านเดินนำตลอด พออายุกาลพรรษาเริ่มมากขึ้น พระรุ่นน้องเริ่มมากขึ้น หลวงตาท่านอายุมากขึ้น เดินไกลไม่ค่อยไหว ท่านก็แยกไปบิณฑบาตสายหลังวัด อาตมาก็ไปเดินนำสายใต้แทน
พอดีวันนั้นหลวงตาท่านยังนำอยู่ ขากลับมาถึงหน้าวัด ญาติโยมไปใส่บาตรเยอะมาก ลูกศิษย์หลวงพ่อไปวัดในแต่ละวันไม่ใช่น้อย อย่างไม่มีก็เป็นร้อยคน
มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งตัวมาเต็มที่ โดยที่ไม่ได้นึกว่าจะเป็นอันตรายต่อพระหรือเป่า ใส่น้ำหอมกลิ่นฟุ้งมาเลย ทันทีที่ได้กลิ่นอาตมาก็กลั้นหายใจ เพราะรู้ว่าถ้าหายใจต่อไปจะต้องคิดแล้ว ว่าชอบหรือไม่ชอบ
พอกลั้นหายใจแล้วก็ตั้งใจดู พระพี่พระน้องตลอดทั้งแถว ๑๑ รูป กลั้นใจหมดเลย อาตมาเองก็ขำ พอเข้าไปถึงหอฉัน จึงไปจี้ถามหมดทุกรูปเลย “เป็นอย่างไร ? กลั้นใจใช่ไหม ?” “ใช่ครับ” แม้กระทั่งหลวงตาวัชรชัยก็ยอมรับด้วย
เรื่องอย่างนี้เราต้องทดสอบทุกวัน ไม่อย่างนั้นตัวมโนมยิทธิจะไม่คล่อง พอหลังจากฉันเสร็จก็มานั่งวิเคราะห์กันว่า ตกลงว่าที่พวกเราทำกันนั้น เป็นการที่เราหนีปัญหา หรือเราแก้ด้วยปัญญา ? ถ้าเป็นการหนีปัญหา เราจะสู้ไม่ได้ตลอดไป แต่ถ้าเราแก้ปัญหาด้วยปัญญา เรายังพอมีทางสู้
หลังจากที่นั่งวิเคราะห์กันเสร็จสรรพแล้ว สรุปได้ความว่าเป็นการแก้ปัญหาด้วยปัญญา เพราะรู้ว่าตอนนั้นยังสู้ไม่ได้ เราต้องหลบก่อน โดยเฉพาะหลวงตาท่านว่า “ไอ้ห่...แชนแนลนัมเบอร์ไฟว์ ของโปรดกูเลย...!”
เพราะฉะนั้น...ญาติโยมบางคนไปวัด ลืมไปว่าสิ่งที่ตัวเองทำ อาจเป็นอันตรายต่อพระเณรโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ใช่พระเณรที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อละกิเลสอย่างลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงจริง ๆ คงจะฟุ้งซ่านไปหลายราย ขนาดนั้นทั้งแถวยังกลั้นหายใจกันหมด...!
ถาม : ถ้าเป็นพระอนาคามี ?
ตอบ : ถ้าพระอนาคามี ก็สักแต่ว่าได้กลิ่นเฉย ๆ ไม่มีประโยชน์สำหรับท่านแล้ว
ถาม : ท่านไม่ได้กลั้นหายใจ ?
ตอบ : ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ราคะกับโทสะทำอันตรายท่านไม่ได้แล้ว
โชคดีที่สมัยหนุ่ม ๆ อาตมาเป็นโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะแพ้กลิ่นเครื่องสำอาง เพื่อน ๆ ผู้หญิงรุ่นนั้นเขาจะรู้กันทุกคน ถ้าใครแต่งหน้าแต่งตามา อาตมาจะจามตลอด แค่เขาทาครีมทาผิวมา อาตมาก็จามแทบแย่ ถึงขนาดต้องร้องว่า เวลาไปไหนด้วยกัน กรุณาอย่าให้มี จึงช่วยให้รอดมาได้ อาจจะเป็นเพราะบุญพาวาสนาช่วย เรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วยซ้ำเติม ทำให้ได้กลิ่นไม่ได้ ได้กลิ่นแล้วจาม
*************************
ถาม : ทางมหายาน ปรัชญาปารมิตาสูตร ทางเถรวาท พระพุทธเจ้าท่าน...(ไม่ได้ยิน) ?
ตอบ : ในเรื่องบารมีสิบเหมือนกัน แต่บารมีของเขา มีฌานบารมีด้วย ของเราไม่มี เพราะฉะนั้น...เรามาสายเถรวาท เราก็ต้องมั่นใจว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเรามานั้นถูกต้อง
แรก ๆ ที่อาตมาเรียนวิชาพระสูตรมหายานและเรียนศาสนาเปรียบเทียบ อาจารย์ท่านบอกว่า
“มหายานเป็นเกจิอาจารย์รุ่นหลังแต่งขึ้นมา เพื่อจะให้รู้สึกว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ห่างไกลไปไหน ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้านิพพานแล้วจะสูญไปเฉย ๆ
แต่ศาสนาฮินดู เขามีพระเจ้าที่พร้อมจะช่วยเหลือศาสนิกของเขาอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนี้ คนก็ไปนับถือศาสนาฮินดูกัน เพราะเห็นว่ามีผู้ช่วยเหลืออยู่ เนื่องจากคนเรานิยมความง่าย”
เกจิอาจารย์รุ่นหลังก็เลยแต่งว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ไปไหน ยังอยู่ที่สุขาวดีพุทธเกษตร พร้อมที่จะช่วยเหลือทุกคนอยู่ ขณะเดียวกันก็แบ่งภาคลงมาเกิดเป็นพระโพธิสัตว์หลายท่าน ทั้งพระโพธิสัตว์ที่มาเกิดในโลกมนุษย์ และพระโพธิสัตว์ที่ยังอยู่บนสุขาวดีก็มี
อาตมาเองจึงตั้งข้อสังเกต โดยการบอกว่า “ท่านอาจารย์ครับ..เป็นไปได้ไหมครับว่า คนเขียนเขาไปเห็นมาจริง ๆ เพราะถ้าท่านอาจารย์อ่านรายละเอียดตั้งแต่ต้นยันปลาย จะเห็นว่าทุกคำถามเขามีคำตอบและอธิบายได้ละเอียด น่าเชื่อถือมากด้วย ถ้าเขาไปเห็นมาจริง ๆ ล่ะครับ ?”
ท่านอาจารย์บอกว่า “แนวความคิดของคุณเป็นส่ิงที่น่าสนใจมาก แต่ก็ไม่มีใครสามารถที่จะยืนยันกับคุณได้” นี่คือมารยาทในความเป็นนักเรียน เราพูดกับท่านอาจารย์ได้เพียงแค่นี้
แต่กับพวกเราแล้ว อาตมาก็ฟันธงเลยว่า บุคคลรุ่นหลังของมหายานสามารถที่จะไปเห็นได้ แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเราไว้ในสีสปาสูตร ก็คือใบประดู่กำมือเดียว เป็นส่ิงที่ยังประโยชน์สุขในปัจจุบัน ประโยชน์สุขในอนาคต และประโยชน์สุขสูงสุด คือช่วยพ้นจากความทุกข์ไปพระนิพพานได้ ส่วนไหนที่ทำให้เนิ่นช้าพระองค์ท่านจะไม่สอน
แต่ท่านรุ่นหลังที่ได้ทิพจักขุญาณ แล้วไปเห็นสายพระโพธิสัตว์ว่าดี จึงนำคำสอนนี้มาสอน กลายเป็นสอนสิ่งที่เนิ่นช้า เพราะว่ายังต้องเกิดอีกนับไม่ถ้วน ในเมื่อเป็นอย่างนี้ คำสอนที่แตกมาในรุ่นหลัง จึงไม่ใช่สัทธรรมเทศนาที่บริสุทธิ์ หากแต่เป็นส่ิงที่เกจิอาจารย์ทั้งหลายไปพบเห็นมา แล้วก็นำมาจารึกเอาไว้ กลายเป็นคัมภีร์ให้คนรุ่นหลังเขาศึกษาตามกัน กลายเป็นนิกายนั้นบ้าง นิกายนี้บ้างขึ้นมา
ถามว่าปฏิบัติตตามของเขาแล้วมีผลไหม ? มี...แต่ช้าจนบอกไม่ถูก เพราะฉะนั้น...ในปรัชญาปารมิตาสูตร เขากล่าวถึงการสร้างบารมีสิบอย่างเหมือนกัน แต่ตอนท้าย ๆ นั้นไม่เหมือนกับของเถรวาท
*************************
ถาม : พระอุปคุต มีอานุภาพทางด้านไหนครับ ?
ตอบ : เน้นในเรื่องลาภ และป้องกันอันตรายด้วย
*************************
“หลวงปู่ปานท่านให้พรไว้ว่า พระของท่านไม่ว่าจะเก่าจะใหม่จะจริงจะปลอม ถ้านึกถึงท่านจะมีอานุภาเท่ากันหมด ท่านให้พรขนาดนี้เลยนะ เพราะฉะนั้น...ใครสร้างวัตถุมงคล ถ้ากลัวว่าจะไม่ขลัง ให้สร้างพระของหลวงปู่ปาน
ส่วนตอนที่ยกเสาเอกบ้านวิริยบารมี อาตมาสละพระรอดลำพูน (เนื้อดำ) ใส่ลงไป ๑ องค์ กับเสือหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ยอีก ๑ องค์ เสือเอาไว้เฝ้าบ้าน ส่วนพระรอดจะได้ช่วยในการปฏิบัติ”
“สมัยที่อาตมาฝึกซ้อมการเล่นอภิญญา ตอนนั้นพักอยู่ที่ตึกกองทุน ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับศาลาหลวงพ่อสี่พระองค์ อาตมาก็สนุกสนานอยู่คนเดียว โดยไม่รู้ว่าป้าศุ (คุณศุภาพร ปุษยนาวิน) เขาแอบดูอยู่ บางวันเดินทะลุข้างฝาไปเลย ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าไปได้อย่างไร ข้างฝาน่าจะทะลุเป็นรูปตัวเราไแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ ไม่มีร่องรอยอะไรเลย ไปก็ไปได้ กลับมาก็กลับได้ กว่าจะเข้าใจก็ต้องคลำอยู่เป็นปี
สภาพจิตที่ละเอียด วัตถุทุกอย่างจะเป็นของหยาบหมด เพราะฉะนั้น...ที่คุณเห็นเป็นกำแพงทึบ ๆ ความจริงแล้วไม่ได้ทึบหรอก รอยต่อระหว่างอณูของวัตถุนั้นใหญ่มหึมา ชนิดที่เราเห็นว่าช้างลอดได้เลย
โยมศุภาพรเขาแอบดู อาตมาก็ไม่รู้ มีอยู่วันหนึ่ง เขาบอกว่า “หลวงพี่...ระวังนะ ถ้าออกไปครึ่งหนึ่งแล้วสมาธิเคลื่อน อาจจะติดคาอยู่ตรงนั้นเลย...!” โยมเขาแซวเล่น
ต่อมามีโยมอยู่รายหนึ่ง เขาก็ทำได้เหมือนกัน แต่เขาทำได้แบบที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจ คือ เขาภาวนาอยู่ แล้วรู้สึกว่าเตียงลอยได้ แล้วก็ลอยไปทั้งเตียงเลย ตัวเขาก็นอนอยู่บนเตียง ก็ลอยผ่านทุ่งนาป่าเขาไปเรื่อย ไปจนกระทั่งหมดอารมณ์แล้วก็ลอยกลับ
จำไว้เลย...ถ้าเป็นผรณาปีติ ไม่ต้องกลัวนะ ไปไกลแค่ไหนก็ตาม ถึงเวลาจะกลับมาที่เดิม ยกเว้นว่าเราตกใจแล้วสมาธิเคลื่อน ก็จะตกลงตรงนั้น ถ้าจะฝึกพวกนี้ ควรพกเงินติดกระเป๋าเอาไว้หน่อย เผื่อไปตกที่ไกล ๆ จะได้มีเงินนั่งรถกลับ...!
พอโยมเขาลอยกลับมา เขาก็แปลกใจว่าตัวเองไปจริงหรือเปล่า ? พอจับผ้าห่มดู ก็รู้ว่าไปจริง เพราะว่าผ้าห่มเปียกน้ำค้างหมดเลย นั่นไม่ได้ไปแต่ตัวนะ เอาเตียงไปทั้งหลังเลย แต่ข้างฝาก็ไม่เป็นอะไรเหมือนกัน
แสดงว่า ตอนที่สภาพจิตทรงเป็นอภิญญาสมาบัติ ระหว่างวัตถุธาตุต่าง ๆ ไม่มีอะไรที่จะกั้นได้ เพราะว่าสภาพตอนนั้นไม่ได้มีอะไรเป็นแท่งทึบ ทุกอย่างจับกันขึ้นมาจากอณูขนาดต่าง ๆ ด้วยความที่จิตละเอียดกว่า ช่องว่างระหว่างอณูก็เลยกลายเป็นใหญ่มหึมา จะออกไปเมื่อไรก็ได้ กว่าจะเข้าใจตรงนี้ก็คลำอยู่นาน
ครั้งแรกที่ลอย อาตมากำลังหลับตาภาวนาไปเรื่อย ๆ แล้วรู้สึกว่ามีอะไรวับ ๆ อยู่ข้างเอว พอลืมตาดู ตายห่...พัดลมเพดาน...! ก็คือ ตอนที่ภาวนานั้นเปิดพัดลมอยู่ แต่ไม่รู้ว่าลอยขึ้นไป มารู้ตอนที่ลอยขึ้นไปแล้ว พอเห็นพัดลมหมุนอยู่ข้างเอวก็ตกใจ พอตกใจสมาธิหลุดก็หล่นพลั่กลงมา...! ตั้งแต่นั้นมาก็ถือเป็นบทเรียนว่า ก่อนที่จะภาวนาทุกครั้งจะต้องปิดพัดลมก่อน”
ถาม : โยมที่ลอยไปเป็นแค่ปีติหรือครับ ?
ตอบ : ไม่แน่ใจเหมือนกัน ถ้าไม่มีพื้นฐานอภิญญาเก่าคงเอาเตียงไปทั้งหลังไม่ได้ น่าจะเป็นพื้นฐานของอภิญญาเก่ามาผสมด้วย
ลอง ๆ ไปฝึกเรื่องพวกนี้ดู แรก ๆ ทำได้ก็สนุกสนานเฮฮา ไป ๆ มา ๆ ก็น่าเบื่อ เพราะไม่ใช่ทางหลุดพ้น เป็นเพียงเครื่องมือช่วยเราเท่านั้น
*************************
ถาม : มานะทิฐิที่ดีมีไหมคะ ? หรือเป็นมานะทิฐิแล้วย่อมไม่ดีทั้งนั้น ?
ตอบ : มี…สำหรับปุถุชนทั่วไป ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าสำหรับผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี อย่างที่เขาเรียกว่า ขัตติยามานะ มานะขององค์กษัตริย์ อยู่ต่อหน้าคนอื่นอย่างไรก็ต้องเข้มเแข็งไว้ ลับหลังจะหงายแผ่อย่างไรก็ช่าง อันนี้เรียกว่า ขัตติยมานะ
แบบเดียวกับพระมหาอุปราชา ตอนนั้นสมเด็จพระนเรศวรมหาราชตกอยู่กลางวงล้อมของพระมหาอุปราชา ถ้าจะรุมกินโต๊ะเสีย อย่างไรก็เสร็จแน่ แต่พอพระนเรศวรออกปากท้ารบ พระมหาอุปราชาก็เกิดขัตติยมานะ กล้าออกมาสู้ทั้ง ๆ ที่แพ้ทางกันมาตลอด นั่นแหละขัตติยมานะ
ถาม : จะละอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น เพราะมานะเป็นสังโยชน์ที่ละเอียดมาก ระดับพระอนาคามียังละไม่ได้เลย บางคนก็เป็นจนกระทั่งกลายเป็นสัญชาตญาณไปเลยก็มี
*************************
“อานิสสงส์การสร้างพระพุทธรูป ต้องดูมัฏฐกุณฑีเทพบุตร สมัยที่มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรเป็นมนุษย์อยู่ ไม่เคยสร้างความดีแม้แต่อย่างเดียว แต่กลับสร้างความชั่วแทบทุกอย่าง
ก่อนตายมัฏฐกุณฑลีป่วยหนัก อทินนกปุพพกพราหมณ์ผู้เป็นพ่อซึ่งเป็นพราหมณ์ที่ตระหนี่มาก กลัวว่าญาติมาเยี่ยมลูกชายตนแล้วเห็นสมบัติในบ้าย จะเที่ยวขอสมบัติข้าวของ จึงนำลูกชายไปทิ้งไว้ที่ชายคาบ้าน เมื่อพระพุทธเจ้าบิณฑบาตเสด็จผ่านมา ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีให้มัฏฐกุณฑีเห็น เพื่อเป็นการสงเคราะห์
พอมัฑฐกุณฑลีเห็นพระพุทธเจ้า ก็นึกในใจว่า “ใคร ๆ ก็ว่าพระสมณโคดมมีความสามารถมา ถ้าท่านได้มารักษาเรา อาการป่วยที่เป็นอยู่ก็คงจะหาย” มัฏฐกุณฑลีคิดแค่นั้นแล้วก็ตาย ด้วยอานิสงส์ที่ใจคิดถึงพระพุทธเจ้า จึงไปเกิดอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำ
ส่วนอทินนกปุพพกพราหมณ์ผู้เป็นพ่อ เอาศพลูกชายตัวเองไปฝัง แล้วร้องไห้คร่ำครวญไปด้วย มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็นึกว่า “พ่อเรานี่ช่างโง่จริง ๆ ลูกมีชีวิตอยู่ไม่ยอมรักษา มัวแต่เสียดายเงิน พอลูกตายแล้วกลับมานั่งร้องไห้” มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรจึงไปปรากฎตัวอยู่ใกล้ ๆ หลุมศพ แล้วนั่งร้องไห้บ้าง
อทินนกปุพพกพราหมณ์พอเห็นมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ก็คิดว่ามาณพผู้นี้หน้าตาเหมือนกับลูกชายของเรา จึงเกิดความรัก อยากได้มาเป็นลูกเพื่อทดแทนลูกชายที่เพิ่งตายไป อทินนกปุพพกพราหมณ์จึงถามมาณพว่า “ข้าพเจ้าร้องไห้เพราะบุตรชายเพิ่งเสียชีวิตไป ท่านอายุยังน้อย คงจะยังไม่มีบุตรที่เพิ่งเสียชีวิต แล้วมาร้องไห้ทำไม ?”
มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรบอกว่า “ข้าพเจ้าได้สร้างรถขึ้นมาคันหนึ่ง เป็นรถทองคำที่สวยงามมาก แต่ไม่มีล้อที่เหมาะสมกับรถ จึงร้องไห้เสียใจ” อทินนกปุพพกพราหมณ์จึงคิดว่า “ถ้าเรามอบล้อรถอันเป็นที่ถูกใจให้ชายคนนี้ เราอาจจะขอมาเป็นลูกได้”
อทินนกปุพพกพราหมณ์จึงถามว่า “เจ้าต้องการล้อรถแบบไหน ล้อทองคำ ล้อเงิน หรือล้อแก้วมณี เราก็จะจัดหาให้” มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรคิดว่า “ตอนลูกมีชีวิตอยู่พ่อขี้เหนียวไม่ยอมแม้แต่จจะจ่ายเงินเป็นค่ารักษา พอตอนนี้แม้ล้อรถทองคำหรือแก้วมณีก็ยอมให้”
มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรจึงบอกว่า “ข้าพเจ้าอยากได้พระอาทิตย์กับพระจันทร์มาเป็นล้อรถ”
อทินนกปุพพกพราหมณ์โกรธ “แกจะบ้าหรือเปล่า ? ใครที่ไหนจะสามารถเอาพระอาทิตย์กับพระจันทร์มาเป็นล้อรถได้”
มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรบอกว่า “ถ้าข้าพเจ้าบ้า ท่านก็บ้ายิ่งกว่า ข้าพเจ้าอยากได้พระอาทิตย์กับพระจันทร์มาเป็นล้อรถ เพราะข้าพเจ้ามองเห็นพระอาทิตย์กับพระจันทร์ แต่ท่านร้องไห้คร่ำครวญอยากจะให้ลูกชายที่ตายกลับฟื้นขึ้นมา ตอนนี้ท่านมองเห็นลูกชายของท่านหรือไม่ ?”
อทินนกปุพพกพราหมณ์จึงได้สติว่า มาณพผู้นี้พูดเป็นภาษิตดี จึงสอบถามว่าเป็นใครมาจากไหน มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรจึงบอกว่า “ข้าพเจ้าคือบุตรชายของท่าน หลังจากสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดเป็นเทวดา มีวิมานทองคำ”
อทินนกปุพพกพราหมณ์ก็แปลกใจ “ในชีวิตเจ้าไม่เคยทำความดีอะไรเลย แล้วไปเกิดเป็นเทวดา มีวิมานทองคำได้อย่างไร ?”
มัฏฐกุณฑลีเทพบตรบอกว่า “ข้าพเจ้านึกถึงพระนามของพระสมณโคดมก่อนตาย ด้วยอานิสงส์นี้จึงทำให้ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์” อทินนกปุพพกพราหมณ์ยังไม่เชื่อ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรจึงแนะนำว่า “ถ้าย่างนั้นขอให้ท่านพ่อนิมนต์พระสมณโคดม พร้อมกับพระภิกษุ ๕๐๐ รูป มาฉันภัตตาหารที่บ้าน แล้วสอบถามเอาเองก็แล้วกัน”
ด้วยความอยากรู้จริง ๆ อทินนกปุพพกพราหมณ์จอมตระหนี่ จึงยอมลงทุนเลี้ยงภัตตาหารพระพุทธเจ้าพรอ้มกับพระภิกษุ ๕๐๐ รูป เมื่อเลี้ยงภัตตาหารเสร็จเรียบร้อย อทินนกปุพพกพราหมณ์จึงเข้าไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระสมณโคดมผู้เจริญ บุคคลที่ไม่เคยสร้างคุณความดีอะไรมาก่อนเลย เพียงนึกถึงแต่พระนามของพระองค์ เมื่อตายแล้วไปสวรรค์ มีอยู่บ้างหรือไม่ ?”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “พราหมณะ...ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลที่ไม่เคยสร้างความดีอื่นใดเลย นอกจากนึถึงนามของตถาคต เมื่อตายแล้วได้ไปสุคติโลกสวรรนั้น ไม่ได้มีแค่ร้อยแค่พัน หากแต่มีเป็นโกฏิ” แล้วพระองค์ท่านก็ตรัสว่า “พราหมณ์ก็ได้เจอลูกชายของท่านเองมาแล้วไม่ใช่หรือ ?”
อทินนกปุพพกพราหมณ์ก็ยอมรับ พระพุทธเจ้าจึงเรียกมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรพร้อมกับวิมานทองคำมาเป็นเครื่องยืนยัน อทินนกปุพพกพราหมณ์เกิดความเลื่อมใส จึงปวารณาตนนับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต
มีอยู่ประเด็นหนึ่งก็คือ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรทำชั่วมาตลอดชีวิต แล้วอานิสงส์อะไร ที่ทำให้พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดในวินาทีสุดท้าย ? ตรงจุดนี้ในพระไตรปิฎกไม่ได้กล่าวถึง อรรถกถาก็ไม่ได้กล่าวไว้ แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถามตรงต่อพระท่าน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ในอดีตมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรเคยสร้างพระพุทธรูปเอาไว้ อานิสงส์ในการสร้างพระพุทธรูปในอดีตตามมาทันในชาตินี้ ในวินาทีสุดท้ายพอดี
ดังนั้น...พวกเราที่ตั้งใจร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐมกับคณะของคุณหมอนพพร หรือท่านอาจารย์สมปอง ถ้าเป็นนิสัยของอาตมาก่อนนี้ก็จะอธิษฐานว่า “ก่อนตายขอให้พระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ อย่าได้คลาดเคลื่อนไปจากใจของข้าพเจ้าเลย” อธิษฐานเผื่อเหนียวไว้ก่อน เกิดอยู่ ๆ ก่อนตายภาพสาวสวย ๆ โผล่มา คงจะได้เกาะผิดที่ จึงต้องใช้วิธีอธิษฐานขออย่าให้ภาพพระเคลื่อนไปจากใจ ตรงนี้อนุญาตให้ทุกคนเลียนแบบได้”
*************************
ถาม : จิตก่อนตายนึกถึงภาพศพที่เป็นอสุภกรรมฐาน จะไปดีหรือไม่คะ ?
ตอบ : อาจจะได้ไปเกิดเป็นพรหมก็ได้ เพราะว่าถ้านึกได้แสดงว่าสมาธิต้องทรงตัว สมาธิทรงตัวในลักษณะที่นึกถึงอย่างนั้นได้ ก็ต้องเป็นปฐมฌานขึ้นไป
เพราะฉะนั้น...ถ้าการเห็นภาพศพเละ ๆ นั้น เกิดจากสมาธิที่ทรงตัว ตายไปอาจจะได้กำไรมากกว่าที่คิด ถ้าตอนนั้นใช้ปัญญาต่ออีกนิดหนึ่งว่า เกิดกี่ชาติก็เป็นอย่างนี้ เราอย่าเกิดอีกเลย ไปพระนิพพานดีกว่า..ก็จบ
*************************
ถาม : หยิบของของแม่ไปใส่บาตร โดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน แต่แม่ก็ไม่ว่าอะไร ผิดหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ผิดหรอก หยิบไปเยอะ ๆ ทำเสร็จก็บอกท่านไปด้วย บอกว่า “ทำบุญให้แล้วแล้วค่ะ”
ถ้าแม่ถามว่า “ทำไมทำอย่างนั้น ?”
ให้บอกไปว่า “เห็นแม่ไม่มีเวลา ก็เลยช่วยทำแทนให้”
ถาม : ปกติส่งเงินให้แม่ทุกเดือน เลยทำบุญในนามของแม่ไปด้วย ทำเป็นของแม่ได้เลยไหมคะ ?
ตอบ : ได้ แต่ควรที่จะบอกให้แม่โมทนา เพราะว่าจะเป็นคนเป็นหรือคนตายก็ตาม ควรที่บอกให้เขารู้ เพื่อที่จะได้โมทนา
ถาม : นึกว่าทำบุญให้แม่ก่อน แล้วเราค่อยทำบุญตามหลังอีกที ?
ตอบ : จะทำก่อนทำหลังก็ได้ แต่เมื่อทำเสร็จแล้ว ให้กลับไปบอกแม่ บอกว่าเราได้ทำบุญให้แม่แล้ว ขอให้แม่โมทนาด้วย
*************************
ถาม : แบบไหนจึงจะเรียกว่าละสิ่งของได้ ?
ตอบ : มีก็ใช้ ไม่มีก็ไม่ไปดิ้นรนหามา สูญหายไปก็ไม่เสียอกเสียใจได้ มาใหม่ก็ไม่ยินดีจนเกินไป
ถาม : อย่างที่เขาเอามาให้เองละครับ แล้วเราไม่รับ ?
ตอบ : เขาถือว่าเสียมารยาท รับไว้เถอะ โดยเฉพาะถ้าผู้ใหญ่ให้ของ ให้รับไว้ก่อน ถ้าเราไม่รับ แทนที่ผู้ใหญ่เขาะเห็นว่าเราไม่โลภ บางท่านจะเห็นว่าเราอวดดี ถ้าผู้ใหญ่มองเราในแง่ไม่ดี ต่อไปจะเจริญยาก...!
สมัยก่อนอาตมาก็ไม่รับเหมือนกัน เพราะไม่อยากได้จริง ๆ แต่ปรากฎว่าหลวงพ่อวัดท่ามะขาม ตอนนั้นท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัดอยู่ ท่านเตือนว่า “ถ้าผู้ใหญ่ให้ของ ให้รีบรับไว้ก่อน ถ้าไม่รับ เดี๋ยวท่านจะมองเราในแง่ไม่ดี กลายเป็นว่าท่านจำฝังใจ แล้วต่อไปเราจะลำบาก”
ตั้งแต่ท่านเตือนมา ต่อไปเมื่ออาตมาเจอใครให้ของก็จะรับไว้ก่อนเสมอ ไปเจอบางท่านแทนที่จะให้ท่านให้ก่อน เราก็ขอท่านก่อนเลย รู้อยู่ว่าท่านเต็มใจให้ ก็แกล้งขอ ทำท่าว่าอยากได้เป็นนักหนา ท่านก็ปลื้มใจที่มีสิ่งที่เราอยากได้ เมื่อท่าน *************************
|