​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๗๒

 

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔


      ถาม :  อัยการกับผู้พิพากษา อย่างไหนมีโอกาสลงนรกมากกว่ากัน ?
      ตอบ :  ตามนิทานของฝรั่ง เขาเล่าว่า ซาตานขยายโครงการของนรก ทีนี้มีเฟสหนึ่งไปทับที่ของสวรรค์ จอมเทพก็เลยลงมา บอกให้ซานตานรื้อบริเวณนี้เสีย ไม่อย่างนั้นจะฟ้องร้อง ซาตานบอกว่า “คุณแน่ใจหรือที่จะฟ้องร้องผม ? ทนายเก่ง ๆ อยู่กับผมหมดเลยนะ...!” คือ ทนายไปอยู่ในนรกกับซาตานเสียเยอะ อันนี้เป็นนิทานฝรั่งนะ
      ถาม :  จริง ๆ แล้วคือ...?
      ตอบ :  ต้องดูว่าเขาปฏิบัติหน้าที่ตรงไปตรงมาหรือเปล่า ? ถ้าตรงไปตรงมา ทุกอย่างว่าไปตามกฎหมาย ก็ไม่เป็นอะไร ถ้าไม่ตรงไปตรงมา มีการเรียกร้องผลประโยชน์ จะมีนรกขุมหนึ่งเอาไว้รองรับพวกคอรัปชั่นโดยเฉพาะเลย
*************************

      ถาม :  ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ อย่างฤกษ์อมฤตโชค ดีทั้งวันหรือครับ ?
      ตอบ :  ใช้ตั้งแต่ตะวันขึ้นจนตะวันตกดิน ไม่จำกัดเวลา เวลาไหนก็ได้
*************************

              “อาตมาเองเป็นคนมีเวรมีกรรมในเรื่องการนอนมาก ไม่ว่าจะนอนเวลาไหนก็ตาม จะโดนกวนทันที ไม่ให้หลับไม่ให้นอนมาโดยตลอด ก็ย้อนไปดูสมัยก่อน เวลาไปรบทัพจับศึก ต้องคอยไปก่อกวนข้าศึกไม่ให้เขาหลับเขานอน เขาจะได้ไม่มีเรี่ยวแรง พอข้าศึกไม่ได้นอนมาหลายวัน เราก็เข้าตีได้สบาย พอมาชาตินี้โดนจึงเต็ม ๆ จะนอนเมื่อไรจะมีคนปลุกทุกที...!”
*************************

      ถาม :  พิจารณาไปรู้สึกเย็น เหมือนกับว่าง เบา แล้วไม่ได้ทำอะไรต่อ ก็ตัดว่าเกาะพระนิพพานแทน เอาความปลอดภัยไว้ก่อน ?
      ตอบ :  คิดต่อไปนิดเดียวว่า ถ้าหากเราตายไปตอนนี้ เราขอไปพระนิพพาน แล้วจับภาพพระไว้เลย เอาเป็นหลักไว้ก่อน เกาะในสิ่งที่ดีไว้ก่อน ถึงเวลาถ้ากำลังใจทรงตัวก็จะปล่อยวางไปเอง
*************************

              “มีอยู่ปีหนึ่ง หลวงพ่อท่านบอกเกี่ยวกับทรัพยสมบัติของจังหวัดกาญจนบุรี อาตมาเป็นคนประเภทได้ยินแล้วต้องพิสูจน์ ก็เลยตามไปดู จนกระทั่งหากเจอว่าอยู่ที่ไหน ตรงนั้นเป็นภูเขาทอง หลวงพ่อท่านบอกว่า จากศูนย์กลางออกไป ๑๕ กิโลเมตร เป็นทองทั้งหมด
              พอหลวงพ่อท่านปรารภจะสร้างสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๔ ศอก ก็คือองค์ที่อยู่ตรงมณฑปสมเด็จองค์ปัจจุบันที่วัดท่าซุง คุณหมอนพพร (พ.อ. น.พ.นพพร กลั่นสุภา) ก็มาปรึกษาว่า “หลวงพี่ครับ ....ในเมื่อจะมีพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จองค์ปฐม ปรากฎครั้งแรกในโลก เราควรจะสร้างด้วยวัสดุที่มีค่าที่สุดเท่าที่เราจะหาได้”
              อาตมาจึงถามว่า “คุณหมอคิดว่าควรจะสร้างด้วยอะไร ?”
              คุณหมอบอกว่าควรสร้างด้วยทองคำ “คุณหมอจะไปเอาที่ไหน ?”
              หมอเขาเอาแผนที่ทหารมากาง ให้อาตมาช่วยชี้จุดให้ อาตมาก็อาศัยความสามารถในการสอบวิชาแผนที่เข็มทิศได้ที่หนึ่ง ชี้จุดให้เขาไว้เรียบร้อย
              กล่าวว่า “คุณหมอ...อาตมาวิ่งไปนะ...ใช้เวลาสองวันกับสองคืน หมอคิดดูก็แล้วกันว่าเป็นระยะทางเท่าไร ?”
              เพราะอาตมาเป็นพระวัดท่าซุงรูปเดียวที่โดนหลวงพ่อท่านตัดวันลาเหลือแค่ ๗ วัน ออกจากวัดได้ไม่เกิน ๗ วัน คิดดู....วิ่งไปสองวันกลับสองวัน รวมวันเดินทาง ๗ วันนี่หวุดหวิดเลยนะ
              คุณหมอหายไปไม่นาน ก็กลับมาแจ้งว่าใช้เครื่องบินในการเดินทาง ตอนนั้นคุณหมอเป็นผู้บังคับกองพันเสนารักษ์ จึงมีสิทธิ์ใช้เครื่องบินได้ คุณหมอไปที่กองร้อยบินเบา ขอเครื่องบินเขาขึ้น ขีดเส้นทางให้เขาบินโดยที่ไม่ได้บอกนักบินว่าแอบเอาเครื่องมองวัดแร่ไป พอผ่านจุดนั้นคุณหมอก็ใช้เครื่องวัดดู ท่านบอกว่าเข็มมันตีจนยันเกจ์เลย...!
              คุณหมอก็เลยไปใหม่ แทนที่จะเอาเครื่องปีกแข็งไปเหมือนเก่า คราวนี้ก็เอาเครื่องบินปีกหมุน (เฮลิปคอปเตอร์)ไป ตั้งใจว่าจะหย่อนเครื่องลง ตอนที่เครื่องลอยอยู่กลางฟ้า เข็มก็ตียันเกจ์อีกเหมือนกัน แต่พอหย่อนเครื่องลงเกือบถึงภูเขา กลับเหลือแค่ศูนย์...!
              คุณหมอบอกว่า “ผมลองถามเจ้าที่ดูแล้ว เขาว่ามีส่วนของหลวงพี่ด้วย ผมขอสักส่วนหนึ่ของหลวงพี่ก็แล้วกัน”
              อาตมาบอกว่า “เอาสิ...แล้วคุณหมอต้องการสักเท่าไร ?”
              หมอจึงไปปรึกษาช่างจำเนียรกับช่างประเสริฐ ว่าในการหล่อสมเด็จองค์ปฐมหน้าตักสี่ศอก ถ้าใช้ทองคำล้วน ๆ ต้องใช้ในปริมาณเท่าไร ช่างเขาคำนวณออกมาว่าต้นครึ่ง คือ ๑,๕๐๐ กิโลกรัม...!
              อาตมาก็บอกว่า “เอาอย่างนี้ คุณหมอเอาทหารกองพัน ๕๐ คนมา ทหารที่แข็งแรง ๆ ให้เขาแบกคนละ ๓๐ กิโลกรัม เราจะได้ตันครึ่งพอดี อาตมาใช้เวลาวิ่งสองวัน คาดว่าทหารคงใช้เวลาเดินไม่เกินห้าวัน บอกให้ทหารแบกเสบียงไปห้าวันพอ”
              พอตกลงกันเรียบร้อย ปรากฎว่าคุณหมอนพพรหายไปหนึ่งอาทิตย์ กลับมารายงานใหม่ “หลวงพี่ครับ...เราคงทำไม่ได้หรอกครับ เวลา ๕๐ คนต่างคนต่างถือปืน ผมคุมไม่ได้แน่ ...เวลาเราไปขออะไรกับเทวดาเจ้าที่เจ้าทาง เราต้องมีสัจจะ เราบอกตันครึ่ง จะเอาเกินไปครึ่งขีดก็ไม่ได้ ถ้าเกิดพวกนั้นไม่ฟังผม กำมาคนละกำสองกำ ผมก็ตายสิครับ เพราะผมเป็นหัวหน้าคณะ เขาจะเล่นหัวหน้าคณะก่อนที่ผิดสัจจะ เขาจะไม่เล่นลูกน้องหรอก” สรุปแล้ว งานนั้นคุณหมอบอกว่า “คงต้องปล่อย..แล้วแต่หลวงพ่อก็แล้วกัน” ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ ยังไม่ได้ไปอีกเลย เพราะฉะนั้น...ใครต้องการให้บอก จะชี้จุดให้ แต่ไปเสี่ยงตายเองเองนะ...!”
*************************

      ถาม :  ไปหาพี่ที่โรงพยาบาล เขาบอกว่าถึงเวลาแล้วบุญทุกอย่างที่ทำมาจะรวมตัว ทำให้กำลังใจสามารถตัดไม่เอาอะไรในโลก ?
      ตอบ :  ตอนที่เกิดเหตุฉุกเฉิน จะรู้เลยว่าต้นทุนตัวเองมีเท่าไร พอฉุกเฉินขึ้นมา ความดีที่เราว่าทำมาเล็กน้อย เหมือนกับว่าไม่พอใช้ พอรวมกันเข้าจริง ๆ แล้วเหลือเฟือเลย พร้อมที่จะตัดจะวางได้ทุกอย่าง ถ้าหากกำลังใจปลดได้ตอนนั้นก็ไปเลย
              อาตมาเองป่วยบ่อย และป่วยหนักปางตายมาหลายครั้ง เวลาที่ใกล้ตยเห็นต้นทุนตัวเองแล้วสบายใจ สบายใจว่าต้นทุนขนาดนี้เราไปได้แน่ แต่ถ้าไม่ได้ป่วยหนัก ๆ หรือไม่ได้เกิดเหตุฉุกเฉิน ก็ยังไม่แสดงต้นทุนออกมา เราก็ไม่รู้ว่าเราสะสมได้เท่าไรแล้ว
      ถาม :  ต้องรอให้คับขันจริง ๆ หรือคะ กำลังที่เราทำมาจึงจะส่งผล ?
      ตอบ :  ถ้าหากไม่ใช่พระอริยเจ้าก็ต้องรอ ถ้าเป็นพระอริยเจ้าต้นทุนจะแสดงออกชัดเลย แต่ถ้าไม่ใช่พระอริยเจ้า ต้องรอตอนคับขันหรือตอนใกล้ตาย กำลังใจจึงจะรวมตัว ถึงจะเห็นว่าเรามีต้นทุนเท่าไร
      ถาม :  เวลาที่จิตรวมจริง ๆ ไม่อยากจะแตะกายเลย ?
      ตอบ :  รู้สึกว่าน่ารังเกียจจนบอกไม่ถูก
      ถาม :  จะไปจริง ๆ ก็โดนรั้ง ?
      ตอบ :  ท่านย่าเคยบอกเอาไว้ว่า “บางคนย่าจะรั้งเอาไว้ไม่ให้เกินอรหัตมรรค”
              อาตมาก็ถามวา “ทำไมย่าต้องรั้งเอาไว้ด้วย ?”
              ท่านย่าบอกว่า “เอาไว้เป็นตัวอย่าง”
              ลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดท่าซุงมีหลากหลายขนาดไหน ตั้งแต่สูงสุดจนถึงต่ำสุด ล้วนแต่มีสิทธิ์ที่จะเป็นพระอริยเจ้าได้ ท่านจึงอยากจะเก็บบางคนไว้เป็นตัวอย่างว่า หน้าตาอย่างนี้ ฐานะอย่างนี้ ก็เป็นพระอริยเจ้าได้เหมือนกัน
*************************

      ถาม :  การเข้าใจในธรรมะแต่ละขั้น จะอ๋อ...ในทีละขั้น ?
      ตอบ :  ปกติก็เป็นอย่างนั้น แต่จะมีตัวยึดมั่นถือมั่นอยู่ตัวหนึ่งว่า อ๋อ...ที่แท้พระพุทธเจ้าสอนเราคืออย่างนี้ แต่พอเราก้าวสูงขึ้นไป อ้าว...ตรงนี้ยังไม่ใช่ ยังมีที่ใช่กว่า เราก็จะไปอ๋อตรงนั้นอีก
              จริง ๆ แล้วตัวนี้เป็นตัวมานะ ยึดมั่นถือมั่น ไปคิดว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนคือสิ่งที่เรารู้ แต่ความจริงคือไม่ใช้หรอก ของเราแค่แสงหิ่งห้อยหรือหางอึ่งเท่านั้น
      ถาม :  ฆราวาสที่ปฏิบัติอริยสัจ ๔ จนเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน คือท่านสั่งสมมาเยอะพอ ?
      ตอบ :  สติ สมาธิ ปัญญา ทุกอย่างจะต้องพร้อม ถ้ายังไม่พร้อมก็ต้องรอวาระ รอการสั่งสมต่อไป
      ถาม :  ทำไมคนธรรมดาจึงต้องรอเวลาคับขันจึงต้ดได้คะ ?
      ตอบ :  ลองคิดดูว่า ปกติเวลาธรรมดาเวลาเขาสั่งเราให้ยกมือ เราจะเชื่อไหม ? แต่ถ้าเขาเอาปืนมาจ่อเรา แล้วบอกให้ยกมือ เรารีบยกมือทำไม ?
      ถาม :  กลัวตาย ?
      ตอบ :  ก็เหมือนกันแหละ พอความตายมาถึงตัว ก็ต้องรีบโกยแล้ว จึงจะเห็นต้นทุนตัวเอง
      ถาม :  จำเป็นหรือคะ ที่ทุกคนต้องเจออย่างนี้แล้วถึงจะไปได้ ?
      ตอบ :  ไม่จำเป็น...หลายท่านก็ไปได้แบบง่าย ๆ เลย เพราะท่านสั่งสมบุญญาบารมีมาเพียงพอ แต่ท่านที่ยังสั่งสมมาไม่พอ ต้องเจอเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งจึงจะเห้นต้นทุน เช่น นั่งรถไปชนโครม แทนที่เราจะขาดสติ ตกอกตกใจเหมือนคนอื่น เรากลับกำหนดใจแน่วแน่ รู้เห็นเหตุการณ์โดยตลอด พร้อมที่จะแก้ไขผ่อนหนักเป็นเบาให้ได้มากที่สุด นั่นคือต้นทุนของเรา
              ขณะเดียวกันคนที่ป่วย กำลังใจที่ปล่อยวาง ไม่ยึดเกาะร่างกาย จะเห็นต้นทุนชัด ในเมื่อเห็นชัดก็จะรู้ว่าเรามีเท่าไร ? ไปได้หรือยัง ?
      ถาม :  ถ้าเราไม่ประมาทในความตาย จำเป็นต้องป่วยไหมคะ ?
      ตอบ :  ไม่จำเป็น คำว่าไม่จำเป็น ไม่ได้หมายความว่า ต้องไม่ป่วย
              คำว่าไม่จำเป็นในที่นี้ คือ ไม่จำเป็นที่จะต้องป่วยแล้วรู้ต้นทุน อาจจะรู้ก่อนก็ได้
      ถาม :  รู้ต้นทุนก็ไม่แน่ว่าจะไม่ป่วยใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  การป่วยเกิดจากเศษกรรมปาณาติบาต ไม่เกี่ยวกับการรู้หรือไม่รู้ต้นทุน ถึงรู้ต้นทุนก็ไม่แน่ว่าจะไปรอด เพราะถ้าเผลอเมื่อไร กิเลสก็จะดึงเราลงต่ำ มีวิธีเดียวก็คือ ต้องก้าวเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าเท่านั้นจึงจะปลอดภัย
*************************

      ถาม :  อารมณ์ที่หยุดการปรุงแต่ง เป็นอารมณ์สังขารุเปกขาญาณ หรือเป็นปัญญา ?
      ตอบเป็นปัญญาในสังขารุเปกขาญาณ เพราะเห็นโทษของการปรุงแต่งแล้วว่าจะเป็นอย่างไร จึงเลิกทำ ตัวเห็นโทษนี่แหละ...จะทำให้ปัญญาของเราเกิดง่ายที่สุด ถ้าเรายังไม่เห็นโทษ เราก็ยังทำชั่วไปเรื่อย ๆ
      ถาม :  พิจารณาถึงโทษของการเกิดไปเรื่อย ๆ ก็เหมือนบังคับย้ำไปเรื่อย ?
      ตอบ :  แรก ๆ จะเป็นสัญญา (จำได้) ก่อน ต้องบังคับให้คิดก่อน พอท้าย ๆ แล้วจิตยอมรับ ก็จะเป็นปัญญา (ทำได้)
      ถาม :  อันนี้เป็นทางหนึ่ง ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ทางหนึ่ง แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่ต้องทำอย่างนี้ก่อน หลังจากที่ทำย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก คิดแล้วคิดอีก จนกระทั่ง สติ สมาธิ ปัญญา พอเพียง จิตก็จะยอมรับรับในความเป็นจริง แล้วเริ่มที่จะปล่อยวางได้ การปรุงแต่งก็น้อยลง จนในที่สุดก็เลิกการปรุงแต่งไปเลย
*************************

      ถาม :  อ่านหนังสือหลวงพ่อปาน เกี่ยวกับการสะเดาะกุญแจ เลยซื้อลูกกุญแจมาสิบดอก แม่กุญแจตัวเดียว มีอันเดียวที่จะไขได้ ผมก็เดา พร้อมกับทายไพ่ พอทายไพ่ถูกก็หยิบกุญแจมาไข ก็ไขออก ทำได้สองครั้งแล้ว ...?
      ตอบ :  คนละเรื่องกันโว้ย...! คุณทายไพ่แล้วหยิบกุญแจนั่นเป็นทิพจักขุญาณ แต่ที่สะเดาะกุญแจเป็นกำลังของอภิญญา คนละอย่างกัน การใช้งานเป็นคนละแบบกัน
              เรื่องของการทายไพ่แล้วหยิบกุญแจ เพื่อเดาว่าเป็นดอกไหน แล้วทำได้ถูก ถ้าทำคล่องตัวมาก จะเป็นทิพจักขุญาณ เราสามารถรู้เรื่องอื่นได้ด้วย แต่ในเรื่องการสะเดาะกุญแจ จะเป็นพื้นฐานของอภิญญา ต้องใช้กำลังสูงกว่านิดหนึ่ง
      ถาม :  ทำได้แค่สองครั้ง ?
      ตอบ :  ต้องทำให้ได้ทุกครั้ง ต้องได้เต็มร้อยจึงจะเชื่อได้ว่าเป็นของจริง
*************************

              “เมื่อตอนที่อาตมาอยู่ที่เกาะพระฤๅษี เวลาออกไปตลาด มีอยู่อย่างหนึ่งที่ต้องซื้อ คือ ขนมหมา ขนมชนิดนี้ทางเราเอาไว้เลี้ยงหมา ก็เลยเรียกขนมหมากันมาตลอด
              พอทิดตู่ซึ่งตอนนั้นเป็นเณรอยู่ไปถึงร้าน แล้วดันไปบอกกับคนขายว่า “เอาขนมหมา ๒๐ ถุง...!” อาตมาต้องรีบตะครุบปากเอาไว้ “คนอื่นเขากินกันนะมึง..ดันไปเรียกขนมหมา...!” ต้องคอยเตือนสติไว้ ไปเรียกต่อหน้าคนอื่น เดี๋ยวเขาจะด่าเอา”
*************************

              “งานนิโรธกรรมของครูบาเหนือชัยครั้งนี้ ครูบาไปอยู่อยู๋ในถ้ำสูงเกือบถึงยอดเขา อาตมาต้องปีนเขาและไต่เชือกขึ้นไปอีก ๒ ช่วง ช่วงสุดท้ายต้องปีนบันไดไม้ไผ่อีก พอไปถึง ครูบาท่านก็ดีใจบอกว่า “งานนี้น่วมเลย ตลอด ๗ วัน มีแต่สารพัดไสยศาสตร์ เล่นจนเดี้ยงไปหมด”
              ท่านกราบแล้วกราบอีก บอกว่า “พี่ไม่เคยทิ้งน้องเลยตลอด ๑๐ กว่าปีที่ผ่านมา”
              อาตมาก็บอกว่า “ก่อนหน้านี้อยู่เบื้องหลังก็สบายดีหรอก แต่ตอนนี้คุณถีบผมออกมาข้างหน้า ผมจะโดนอีกเท่าไรก็ไม่รู้ ?”
      ถาม :  เวลาท่านรักษาตัว นอกจากน้ำมนต์แล้ว มีอะไรป้องกันอีกคะ ?
      ตอบ :  ตอนนี้ท่านอาศัยมีดหมอของหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นหลัก ครั้งแรกจริง ๆ ที่อาตมาไปพบท่าน ก็เพื่อเอามีดหมอของหลวงพ่อไปให้
              ท่านให้ลูกศิษย์มาแจ้งว่า อาการอัมพฤกษ์เริ่มเกิดแล้ว เคลื่อนไหวแขนขาบางส่วนไม่ได้แล้ว เพราะว่าโดนไสยศาสตร์มากเกินไป ท่านอยากได้มีดหมอชาตรีของหลวงพ่อวัดท่าซุง ทราบว่าอาตมามีอยู่
              อาตมาเอาไป ๒ เล่ม ไปให้ท่านเลือก ปรากฎว่าท่านเลือก Rambo III ไป เหมาะสมกับตัวท่านมากเลย หนังเรื่องแรมโบ้ภาค ๓ ที่มีดใหญ่ประมาณฝ่ามือและยาวเป็นศอก เล่มนั้นอาตมานำไปเข้าพิธีชาตรีครั้งแรก สั่งตรงมาจากอเมริกาเลยนะ เพราะเป็นของที่มีลิขสิทธิ์
              นึกว่าเอามีดหมอไปให้แล้วจะจบ ท่านถอดประคำที่คอกับวัตถุมงคลมาอีกพวงหนึ่ง บอกว่า “หลวงพี่ช่วยเสกให้ผมด้วย” ก็อุตส่าห์นั่งเสกให้ท่านพอเสกเสร็จนึกว่าจะจบ “หลวงพี่ช่วยสอนมวยให้เณรด้วย...!”
              ตอนช่วงนั้นมีเณรที่ร่วมเป็นร่วมตายอยู่กับท่านประมาณ ๓ - ๔ รูปเท่านั้น ทั้งวัดมีม้าอยู่แค่ ๕ - ๖ ตัวเท่านั้น ไม่ใช่ ๒๐๐ - ๓๐๐ ตัว เหมือนทุกวันนี้ ก็เลยบอกว่า “มวยที่ผมเรียนมา มีแต่ประเภททีเดียวอยู่นะ” ท่านบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นแสดงท่าให้เขาดูก็แล้วกัน”
              พอบอกให้เณรลงมือจริง ๆ เณรก็กลัว ๆ กล้า ๆ เกรงใจไม่กล้าเตะต่อย อาตมาจึงต้องบอกเณรให้ลงมือจริง ๆ ถึงจะรู้ว่า เวลาที่เขาแก้ไข ปิดป้องแล้วตอบโต้ จะต้องทำอย่างไร
      ถาม :  ขณะที่ร่างกายเคลื่อนไหวในท่ามวย การทรงอารมณ์อยู่ที่จิตตลอดไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าสมาธิย่ิงคล่องตัวมากเท่าไร เราจะรู้เลยว่าจังหวะไหนควรจะทำอะไร และถ้าหากรู้ละเอียด จะรู้ด้วยว่าตอนนี้เขาจะมาทำอะไร รู้ก่อนเดี๋ยวนั้นจะกันได้หมด แก้ได้หมด
              แต่ไม่ต้องถึงระดับนั้นหรอก แค่รู้ว่าตัวเองควรจะเคลื่อนไหวอย่างไรจึงจะเหมาะสม ก็หาคนเล่นกับเรายากแล้ว
      ถาม :  คนที่ไม่เคยฝึกในชาตินี้มาก่อนละคะ ?
      ตอบ :  ถ้าของเก่ามีเดี๋ยวก็มาเอง แต่ถ้ากำลังใจไปไม่ถึงระดับหนึ่ง ของเก่าก็ยังไม่ฟื้น
      ถาม :  ระดับหนึ่งคือระดับไหนคะ ?
      ตอบ :  ทรงฌานให้ได้คล่องตัวสักฌานหนึ่ง เอาแค่ปฐมฌานก็ได้ เพียงแต่ต้องให้เป็นเานลักาณะใช้งานได้ ถ้าประเภทที่ต้องนั่งเฉย ๆ แล้วถึงจะทรงฌานได้ แบบนั้นยังใช้งานอะไรไม่ได้
      ถาม :  แค่ปฐมฌาน ของเก่าก็กลับมาแล้วหรือคะ ?
      ตอบ :  เราลองนึกถึงว่า เวลาเราทรงปฐมฌานละเอียด เราจะรู้ลมหายใจได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับก็ภาวนาได้เอง ตอนนั้นสัญชาตญาณเดิมจะกลับมา เพราะการฝึกอาวุธหรือการต่อสู้ต่าง ๆ ต้องมีสมาธิเป็นเครื่องรองรับ
              ถ้าไม่มีสมาธิเป็นเครื่องรองรับ ใครจะเดินเข้าไปหาดาบขาววับของอีกฝ่ายหนึ่งเล่า ? ถ้ากำลังใจสู้กันไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว เข้าไปก็ตายเปล่า...! เมื่อกำลังใจไปถึงช่วงนั้น ของเก่าก็จะคืนมา เพราะเราเคยฝึกมาแล้ว
      ถาม :  ถ้าหากกำลังใจเลยปฐมฌานละคะ ?
      ตอบ :  ก็ได้มากขึ้น ที่บอกว่าให้ได้ ก็คือให้ได้อย่างน้อยปฐมฌาน
      ถาม :  ที่มากขึ้นหมายถึงความละเอียดหรือคะ ?
      ตอบ :  สิ่งที่เรารับรู้มีมากขึ้น ของที่ได้คืนมาก็จะมากขึ้นไปด้วย
*************************

      ถาม :  เรื่องบวงสรวงท้าวมหาราชที่ต้องใช้หมูต้ม ถ้าหาหมูต้มไม่ได้ เอาหมูทอดได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  อย่าแหกคอกมากจนเกินไป...! เรื่องของพรหมเทวดา ท่านขออะไรต้องใช้อย่างนั้น ท่านจึงจะช่วยสงเคราะห์ ปกติเขาใช้หัวหมู ถ้าไม่ได้หัวหมู เขาจึงยอมให้ใช้หมูชิ้น แต่หมูชิ้นหนึ่งต้องไม่ต่ำกว่าครึ่งกิโลกรัม ในเมื่อเอ็งเอามาทอดได้ แล้วทำไมทะลึ่งเอามาต้มไม่ได้วะ...!
      ถาม :  ไม่มีครัว และหาซื้อที่เขาต้มไม่ได้ แต่เขามีหมูทอดขาย ?
      ตอบ :  เจริญ…!
      ถาม :  พอจะได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  ถ้าสำหรับอาตมาได้ เพราะสมัยนี้หมูทอดก็ราคาแพง น้ำมันขึ้นราคา...! แต่สำหรับท้าวมหาราชท่านไม่ได้แน่...
      ถาม :  ข้าวปากหม้อ ถ้าหากหาไม่ได้ จะใช้ข้าวที่เขานึ่งขายเป็นถ้วย ๆ แทนได้ไหมครับ ?
      ตอบจะทำอะไรทำให้ตรงไปตรงมา เรื่องของธรรมะเขาตรงไปตรงมา ถ้าจะแหกคอก ต้องมีความสามารถพอหรือว่าเป็นที่เกรงใจพอ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะได้รางวัลโดยที่ไม่รู้ตัว...!
              อาตมาเคยเจอมาแล้ว บอกว่าเอาปลาช่อนแป๊ะซะ เขาเอาปลากระพงนึ่งมะนาวมาแทน
              ส่วนอีกที่หนึ่ง คือ บ้านหนองบัว อาตมาสั่งหัวหมู ๓ หัว คุณรู้ไหมว่าจากหนองบัว ต้องนั่งเรือไปขึ้นที่สองแคว หรือหางยาววิ่งไปครึ่งค่อนชั่วโมงกว่าจะถึงสองแคว แล้วต้องนั่งสองแถวอีกเป็นชั่วโมง เพื่อไปถึงเมืองมุด่ง แล้วจากมุด่งจะต้องต่อรถไปที่เมืองมะละแหม่ง จึงจะหาซื้อหัวหมูได้
              เขาซื้อหัวหมูมา ๑ หัว ทั้ง ๆ ที่อาตมาให้เงินไปเหลือเฟือ อาตมาถามว่า “สั่งหัวหมู ๓ หัว ทำไมเอ็งเสือกทะลึ่งซื้อมาหัวเดียว ?”
              เขาบอกว่า “หัวเดียวก็พอกินแล้ว เอามาทำไมตั้ง ๓ หัว...!”
              ครั้งที่ ๑ ผ่านไป อาตมาก็กัดฟัน เอาวะ...ใช้บวงสรวงชุดเล็กก็ได้เลย บอกกับเขาว่า ให้ผ่าหัวหมูแล้วต้ม ปรากฎว่าสักพักหนึ่งเดินลงไปดู เขาเผาซะดำปี๋เลย กำลังเอาช้อนขูด ๆ อยู่
              อาตมาบอกว่า “ให้เอ็งต้มแล้วทำไมเสือกทะลึ่งเผา ?”
              เขาบอกว่า “เผาอร่อยกว่า”
              ตูไม่รู้จะร้องเพลงอะไรดีเลยตอนนั้น...!
              เขารู้ดีกว่าทุกเรื่องสั่งอะไรนี่ไม่ได้สักอย่างเลย แล้วท้ายสุด เขาถึงยอมไปต้มปลาช่อนให้ แต่เขาต้มซะเปื่อยจนแทบจะหลุดเป็นชิ้น ๆ หมดแล้ว จากนั้นยกข้าวปากหม้อขึ้นมา เพราะอาตมาจะเอาข้าวไปอัดใส่กรวยบายศรี ยกหัวหมูขึ้นมา ยกปลาช่อนขึ้นมา ยกไก่ขึ้นมา ก็ดันมีคนสงสัยตะโกนถามขึ้นมาว่า “เอาไปไสนะ ?”
              เขาบอกว่า “อาจารย์เพิ่นสิฉันมื้อแลง” คือ อาจารย์จะกินข้าวเย็น...!
              เขาเห็นว่ามีทั้งหมู ทั้งไก่ ทั้งปลา แถมข้าวอีกหม้อหนึ่ง เขาสรุปเสร็จสรรพว่าอาจารย์จะกินข้าวเย็น เจอเข้าไปแบบนี้ ไม่รู้จะตีหน้าอย่างไรเลย
              ปรากฎว่างานบวงสรวงนั้นยังดี อุตส่าห์มีเทวดามาทั้งหมด ๑ องค์ ...! คือของบวงสรวงนอกจากจะไม่ครบแล้วยังผิดอีก
      ถาม :  เทวดามาแค่ ๑ องค์หรือคะ ?
      ตอบ :  ถ้าท่านไม่ได้เป็นเจ้าที่อยู่แถวนั้น ท่านก็คงไม่มาหรอก เป็นภาระที่ท่านเลี่ยงไม่ได้ ไม่ต้องสงสัยว่า พออาตมาเลิกช่วยแล้วทำไมวัดหนองบัวถึงได้โทรมทันตา ก็สั่งอะไรเขาไม่ทำตามสักอย่าง
              ในส่วนของเครื่องบวงสรวงเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ใช้ระยะเวลาเตรียมการนาน แต่เวลาใช้จริงน้อยนิดเดียว อาตมาบอกให้เตรียมเครื่องบวงสรวงก่อนเพื่อน ครูบาน้อยก็ “ครับ ครับ” ครับอย่างเดียว แต่ไม่ได้ทำ จนกระทั่งใกล้เวลาบวงสรวงแล้ว อาตมายังต้องไปปีนต้นมะพร้าว เพื่อเก็บมะพร้าวอ่อนเอง เพราะถ้าเรายังไม่ปีน เขาก็คง “ครับ ครับ” อยู่นั่นแหละ บางทีก็ไม่เข้าใจเหมือนักนว่า เราบอกเขาไปแล้วทำไมเขาไม่ฟัง เขาคิดว่าเขาคิดได้ดีกว่าหรืออย่างไร ?
*************************