เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
เคยเจอรายหนึ่ง เครื่องบวงสรวงใช้หัวหมูเจและไก่เจ ที่ทำด้วยแป้งแล้วก็มีงา หน้าตาเหมือนหัวหมูดี ๆ นี่แหละ แต่เป็นแป้งโรยงา ไก่ก็ใช้แป้งอัดเป็นรูปไก่มาทั้งตัว
ถาม : ผลเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : เทวดาที่ไหนเขาจะมา ? เพราะไม่ตรงกับกติกาที่ท่านกำหนดเอาไว้
การที่ทำอะไรตามใจตนเอง โดยที่ไม่ได้ยึดหลักที่ครูบาอาจารย์หรือบรรพบุรุษเขาทำสืบ ๆ กันมา ถึงเวลาแล้วพรหมเทวดาท่านไม่สงเคราะห์ ก็ไม่รู้จะไปโทษใคร เพราะตัวเองแหกคอกเอง
ปัจจุบันนี้เครื่องบวงสรวงที่เห็น มีจำนวนมากต่อมากด้วยกันที่เกินมาเยอะ เกินจนอาตมาเองก็ยังง ๆ ว่ามาจากไหน ? อย่างบนโต๊ะบวงสรวงมีทองหยิบ ฝอยทอง ขนมจีน น้ำพริก นั่นเป็นเครื่องบวงสรวงเฉพาะของเสด็จในกรมหลวงชุมพร
มีถั่วลาชมาศ นั่นเป็นเครื่องบวงสรวงที่ใช้เวลาเราตั้งศาลพระภูมิ เขาเคยได้ยินอะไรก็จับมาใส่หมด โดยเฉพาะขนมต้มขาว ขนมต้มแดง สมัยนี้ก็มั่วกันปหมด มีอยู่รายหนึ่ง ขนมต้มขาวกับขนมต้มแดงเหมือนกัน ยกเว้นแต่แป้งที่ทำขนมต้มแดง เขาใส่น้ำหวานสีแดงผสมลงไปหน่อยหนึ่ง
บางที่เขาบอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ แต่ปรากฎว่า ผลไม้บนโต๊ะกลับไม่ใช่กล้วยน้ำว้า มะพร้าวอ่อน ส้มโอ กลายเป็นผลไม้ ๙ อย่าง อาตมาก็ได้แต่นั่งเกาหัว ตกลงว่าตูจะทำให้ดีไหม ?
เอาเป็นว่า ถ้าไปงานไหน เห็นอาตมายื่นไมค์ให้คนอื่น ก็แปลว่าใช่เลยว่า งานนั้นต้องมีอะไรบกพร่องเสียอย่าง แต่ถ้างานไหนยอมทำบวงสรวงให้เขา แปลว่ายังพอที่จะรับได้อยู่
ถาม : ถั่วลาชมาศ คือถั่วเขียวหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เป็นถั่วเขียวแกะเปลือก
คำว่า ลาชะ คือข้าวตอก
มาศะ แปลว่าทอง
ทีนี้ข้าวตอกทองนั้นไม่มี เลยใช้ถั่วเขียวแกะเปลือกแทน จะออกสีเหลือง ๆ คั่วให้สุก
ถาม : ต้องเอาถั่วเขียวมาคั่ว ?
ตอบ : ไปตลาดแล้วบอกว่า ขอซื้อถั่วที่ใช้ทำเต้าส่วน เขาจะกะเทาะเปลือกไว้ให้เราเรียบร้อยแล้ว เราแค่เอาไปคั่วหน่อยเดียว พียงแต่ว่าคั่วไฟอ่อน ๆ ให้สุกเท่านั้น ถ้าหากว่าคั่วไฟแรงถั่วจะไหม้
ถาม : ของบนโต๊ะบวงสรวง อย่างไข่บนโต๊ะบวงสรวงที่เขาแย่งกันกินว่าดีมีผลไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่ความเชื่อ และขณะเดียวกันก็อยู่ที่ตัวเราอธิษฐานด้วย ถ้าหากกำลังใจของเขามีความเชื่อมั่นสูง ก็มีผลตามนั้นเหมือนกัน
ถาม : คนอื่นหยิบของบนโต๊ะบวงสรวงมาให้ เอามาให้เรากิน ?
ตอบ : บอกเขาไปว่า “ขอโทษ…ไม่อยากเป็นหนี้สงฆ์...!”
ถาม : เป็นหนี้สงฆ์ด้วยหรือคะ ?
ตอบ : ก็ใช่ของเราเสียเมื่อไร ของอยู่กับวัด
ถาม : รอด…เพราะไม่ได้เอา ?
ตอบ : ถ้าใครเอามา ก็ไปชำระหนี้สงฆ์
ถาม : แม้กระทั่งตัวบายศรี ถ้าเอาก็ถือว่าเป็นหนี้สงฆ์ ?
ตอบ : ก็คนจะเอาเสียอย่าง ครั้งหนึ่งที่ว่าท่าขนุน งานเป่ายันต์ที่ทำบายศรีเป็นรูปนาคคู่หรือนาคเกี้ยว เชื่อไหมว่านาคตัวใหญ่อย่างนั้นเขายังดึงไป แล้วก็ยกมาถามอาตมาว่าเอาไปทำอะไร ? ไม่รู้เรื่องแล้วดันทะลึ่งเอาไป เห็นคนอื่นเขาหยิบอย่างอื่นแล้ว เขาก็เอาบ้าง บายศรีเป็นรูปพญานาคตัวเบ้อเริ่มเลย อาตมาจึงบอกว่า “ให้เลี่ยมแขวนคอไว้...!”
ถาม : ถ้าเป็นบวงสรวงที่มีเจ้าภาพ แล้วทำในวัดละคะ ?
ตอบ : เจ้าภาพเขามอบให้วัดไปแล้ว
ถาม : ต้องขอก่อน ?
ตอบ : ต้องขอกับทางวัด
ถาม : หยิบของจากโต๊ะบวงสรวง แล้วต้องไปชำระหนี้สงฆ์ ถือว่าผิดศีลข้อสองใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ผิดแน่นอน เพราะไม่ใช่ขงเรา หยิบของที่เจ้าของไม่ได้ให้ เจ้าของยังไม่ไ้ด้อนุญาต
ถาม : ถือเป็นการวิสาสะ หยิบของคนอื่นได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าถือวิสาสะแบบพระก็คือ เมื่อเราเอามาแล้ว เจ้าของยินดีที่จะให้ ในเมื่อเราไม่รู้ว่าเขาจะยินดีหรือเปล่า ก็เสี่ยงต่อการผิดศีล
ถาม : ถ้าทำกับฆราวาสด้วยกัน ก็นับว่าก้ำกึ่งใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่น่าจะก้ำกึ่งนะ น่าจะผิดเต็ม ๆ ...!
ถาม : การจัดบวงสรวงที่บ้าน ของบวงสรวงก็ถือว่าเป็นของถวายพระด้วยหรือคะ ?
ตอบ : เป็นของที่เราถวายเพื่อบูชาพระ แต่ยังเป็นของเราอยู่ เราตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เราไม่ได้มอบถวายให้แก่พระสงฆ์ ก็เหมือนกับเราถวายข้าวพระที่บ้าน
ถ้าลามาก็ยังเป็นของเราอยู่ แต่ถ้าหากว่าเป็นของที่วัด กรณีนั้นเสี่ยงมาก พูดง่าย ๆ ว่าไม่คุ้มค่าเลย
ถาม : น้ำมนต์ที่ตักกัน ถือว่า …?
ตอบ : ในส่วนของน้ำมนต์ อาตมาตั้งใจให้ ใครตักน้อยจะมีโทษ ...!
*************************
ถาม : เวลาตั้งเครื่องบวงสรวงพระนารายณ์ คนที่มารับก็คือ ท่าน...ใช่องค์ที่มารับใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใครก็ช่าง ขอให้เป็นพระนารายณ์แล้วกัน รู้ไปก็ไม่ช่วยให้หมดกิเลส แถมยังทำให้กิเลสมากขึ้น เพราะไปทะลึ่งคุยอวดกับคนอื่นว่ากูรู้เลยเป็นปัญหาที่ไม่น่าตอบ
*************************
ถาม : ฝึกมโนมยิทธิขึ้นไปพระนิพพาน หลวงพ่อให้เชิญพ่อแม่ในอดีตของเรามา อารมณ์ตอนนั้นรู้สึกว่า มีบางองค์มาขนาบซ้ายขวา ก็ถามว่าขนาบเราทำไม ? จิตก็ไม่ได้คำตอบ รู้ว่าท่านพูด แต่ไม่ได้ยิน ขอความเมตตาท่านช่วยขยายความ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก ท่านอาจจะเห็นว่าเราเดินไม่ค่อยตรงทาง ก็ต้องกระหนาบกันหน่อย
ถาม : เข้าใจแล้วค่ะ เพราะบางทีรู้สึกว่าเราพลาดหรือเราเลวหรือเปล่า จึงต้องโดนผู้ใหญ่ขนาบ ?
ตอบ : ถ้าท่านยังสงเคราะห์เราแล้ว ก็แปลว่าท่านยังรักและเมตตาเราอยู่ แต่ถ้าท่านปล่อยวางเมื่อไร คราวนี้เราต้องดิ้นรนเองแล้วจะสาหัส...!
ให้พยายามไปบ่อย ๆ อันดับแรก กำลังใจที่ส่งออก จะทำให้เรามีความคล่องตัวในการทรงฌานทรงสมาธิ
อันดับที่สอง กำลังใจที่ท่องเที่ยวไปในภพต่าง ๆ รัก โลภ โกรธ หลง จะกินเราไม่ได้
และอันดับสุดท้าย ถ้าหากว่าเราเกาะพระนิพพานเป็นที่สุด ถึงเวลาสภาพจิตที่เคยชินก็จะไปตรงนั้น
ถาม : จับภาพพระอย่างเดียว ดีกว่าตัดสังโยชน์ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าอยู่ต่อหน้าพระบนนิพพาน เท่ากับตัดสังโยชน์ไปในตัวอยู่แล้ว
ถาม : เป็นทางลัดใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ทางลัด เป็นทางตรง ไม่มีทางไหนตรงกว่านี้อีกแล้ว
*************************
ถาม : ท่องคาถามหาลาภวันละ ๑๐๘ จบ ต้องทำอารมณ์อย่างไร ? ทุกวันนี้พอจิตเริ่มฟุ้ง ก็จะแบ่งไปคิดเรื่องงานต่อ แล้วบางส่วนก็มาท่อง ?
ตอบ : ใช้เป็นคำภาวนาจะดีที่สุด ใช้ควบกับลมหายใจเข้าออกไป สมมติว่าเรามีเวลาภาวนาเฉพาะของเราวันละชั่วโมง เราก็ใช้ภาวนาคาถาเงินล้านแทน
ถาม : จะควบกับการดูลมอย่างไร เพราะคาถาเป็นบทเลย ?
ตอบ : ก็แบ่งเอาเองสิ จังหวะไหนที่เราหายใจสบายก็ว่าไปเรื่อย
*************************
ถาม : ทำบุญอะไรมา จึงได้อะไรพิเศษกว่าคนอื่นเขา ?
ตอบ : ด้านไหนล่ะ ? ถ้าอย่างทั่ว ๆ ไป เช่น ทำบุญด้วยของที่ประณีตกว่าคนอื่นเขา ทำด้วยเจตนาที่ตั้งมั่นกว่าคนอื่นเขา แล้วก็ทำด้วยวัตถุที่คนอื่นเขาไม่มีหรือหาไม่ได้
มีเพลงอยู่เพลงหนึ่ง หาเอานะ ไม่บอกว่าชื่ออะไร คนแต่งกับคนร้องเป็นคน ๆ เดียวกันที่เรานึกไม่ถึง เพลงขึ้นต้นว่า
“คนเรามีกรรมสมคำพุทธภาษิต เราเกิดมาใช้หนี้ชีวิต ลิขิตไปตามบาปกรรมสร้างมา เกิดมาเป็นคน บ้างมีบ้างจนเป็นธรรมดา เหมือนดั่งสัญญาโลกเรานี่หนาดุจโลกละคร...” เขาแต่งเองร้องเอง เป็นนักธุรกิจระดับพันล้าน
ตรงที่ว่า...ลิขิตไปตามบาปกรรมสร้างมา... นั่นแหละชัดเจนที่สุด ทำอะไรมาก็ได้อย่างนั้น
ถาม : ถ้าเราถวายของแปลกพิสดารละคะ ?
ตอบ : อาจะได้อะไรที่พิสดารกว่าผู้อื่น อย่างเช่น คนอื่นเขาเกิดมาปกติธรรมดา เราอาจจะมีเขาด้วย...!
ถาม : เราอาจจะเห็นของนี้น่ารัก แต่คนอื่นเห็นว่าไม่สวย ?
ตอบ : ลูขัง วา ปะณีตัง วา จะหยาบหรือประณีตก็ตาม ท่านบอกว่า เจตนาบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์
โดยเฉพาะก่อนให้ก็เกิดปีติว่า ...เรามีโอกาสได้ให้ทาน
ระหว่างที่ให้ก็เกิดปีติว่า...เราได้ให้ทาน
ให้ไปแล้วก็เกิดปีติว่า...เราได้ให้ทานแล้ว
คิดถึงเมื่อไรก็เกิดปีติว่า...เราได้ให้ทานในครั้งนั้นแล้ว
ถ้าอย่างนั้นต้องการอะไรก็อธิษฐานเอาเถอะ ได้ไปเต็ม ๆ เลย
ถาม : ให้ของที่เขาชอบ กับให้ของที่เราชอบมาก ๆ ?
ตอบ : พระเวสสันดรท่านเคยให้สุราแก่พวกนักเลงสุรา ท่านตั้งใจว่า ท่านจะให้สิ่งที่ทุกคนเขาชอบใจ
พระอานนท์ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า การให้สุรามีอานิสงส์อย่างไร ?
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ เพราะว่าเหมือนกับส่งเสริมเขาให้ศีลขาด แต่ที่ให้เห็นว่าเขาชอบใจอย่างนั้น อยากให้ของที่เขาชอบ
ถาม : ไม่มีโทษหรือคะ ?
ตอบ : เราไม่ได้บังคับให้เขากิน เราให้เฉย ๆ เพราะเขาอยากได้ ส่วนเขาจะยินดีหรือยินร้ายเป็นเรื่องของเขา เราไม่เกี่ยวแล้ว
ถาม : ได้บารมีไหมครับ ?
ตอบ : ได้บารมี แต่อานิสงส์ไม่มี ได้ตรงที่ว่า ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก บารมีะออกไปทางด้านบริวารมาก
*************************
ถาม : ถ้าทำบุญใหญ่จะตายจริงหรือเปล่า มีคนสร้างลูกนิมิตมาถวายวัดทำเสร็จแล้วก็ตายเลย ?
ตอบ : ถึงวาระเขาพอดี อาตมาสร้างวัดมา ๗ - ๘ วัด โบสถ์อีก ๓ - ๔ ลัง ยังไม่เห็นตายเสียที...! กรณีนั้นอยู่ที่วาระเขาพอดี จริง ๆ แล้วถือว่าดีนะ เพราะใจเขาเกาะบุญอยู่โอกาสไปดีมีสูงมาก สร้างลูกนิมิตยังไม่ถือว่าเป็นบุญใหญ่
ถาม : ใหญ่กว่านั้นยังมีอีกใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องสร้างโบสถ์ทั้งหลัง...!
*************************
ถาม : รับงานที่อินเดีย อยากให้การงานราบรื่น ?
ตอบ : ให้บนกับพระวิสุทธิเทพ ไม่ต้องไปบนถึงวัดท่าซุงหรอก จุดธูป ๕ ดอก บนท่านที่บ้านก็ได้ ถ้างานสะดวกราบรื่นทุกอย่าง เราต้องแก้บนด้วยการเจริญกรรมฐาน พร้อมกับรักษาศีลแปด ๗ วัน
ในแต่ละวันเราอาจจะทำกรรมฐานตอนเช้าหนึ่งชั่วโมง ตอนเย็นหนึ่งชั่วโมง แต่ว่าการรักษาศีลแปดต้องให้ได้ทั้งวัน
*************************
ถาม : พี่เขยความดันสูง เส้นเลือดในสมองแตก หมอบอกว่ายังมีโอกาสควรทำบุญอะไร เพื่อที่จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบา ?
ตอบ : ไม่ใช่ทำบุญ แต่ให้หาดีหมีให้ได้ หาแถวร้านขายยาจีนที่เยาวราชน่าจะมี แต่ราคาแพง
เอาเหล้าขาวมาประมาณครึ่งแก้ว ขูดดีหมีลงไป จะเป็นเศษ ๆ ผง ๆ ขูดใส่จนกระทั่งเหล้ากลายเป็นสีชา แล้วให้กินเข้าไป จะไปละลายลิ่มเลือดได้หมด
หลังจากนั้นก็เป็นฝีมือหมอรักษาแล้วว่าจะเอาอยู่หรือไม่อยู่ เพราะถ้าไม่ละลายลิ่มเลือดหมดก็จะเป็นอัมพาตเลย แต่ดีหมีแพงมาก อาตมาเคยซื้อเมื่อ ๒๐ ปีก่อน ลูกหนึ่ง ๗,๐๐๐ บาท ตอนนี้ไม่รู้ราคาเท่าไรแล้ว
เหล้าขาวประมาณครึ่งแก้ว เราขูดดีหมีให้เป็นผง พอลงไปแล้วจะละลายกลายเป็นสีเหมือนกับน้ำชา อย่าให้สีเข้มมาก ถ้าเข้มมากเดี๋ยวเลือดจะไม่ยอมหยุด เอาแค่ละลายลิ่มเลือดได้
ถาม : ตอนนี้นอนอยู่โรงพยาบาล ๒ วันแล้วครับ ?
ตอบ : ยังทันอยู่ เป็นแค่ไม่กี่วัน มีอยู่รายหนึ่ง คุณปรีชา บ้านอยู่ยะลา อยู่ ๆ ก็ล้มตึงไปเฉย ๆ ญาติเขาโทรมา อาตมาถามว่า มีดีหมีไหม ? พอดีบ้านเขาเป็นคนจีนก็เลยมี จึงบอกให้ทำอย่างที่ว่า ให้บีบจมูกกรอกปากไปเลย เพราะเขาหมดสติไปแล้ว ปรากฎว่าหาย
แต่แขนข้างซ้ายใช้งานไม่ได้เป็นปี เขาเป็นคนถนัดซ้าย พยายามทำกายภาพอย่างไรก็ไม่หาย พอไปหาหมอสมัยใหม่เอ็กซเรย์ ผลปรากฎว่าตอนที่เขาเพิ่งล้มใหม่ ๆ คนไปช่วยยกจนไหล่หลุด โดยที่เขาไม่รู้ตัว คิดว่าเป็นเพราะเส้นเลือดในสมองแตกจึงทำให้เป็นอัมพฤกษ์ พอไปให้หมอรักษา หมอบอกว่า ไหล่หลุดมาตั้งครึ่งค่อนปี พังผืดขึ้นหมดแล้ว ก็ต้องเจ็บตัวไป ให้หมอผ่าตัดใหม่ นั่นถือว่าซวยจริง ๆ
*************************
ถาม : คนที่จำอะไรไม่ค่อยได้ เรียนรู้เข้าใจยาก ทำกรรมอะไรมาคะ ?
ตอบ : น่าจะเป็นแบบเดียวกับพระจูฬปันถกเถระ ในอดีตชาติพระจูฬปันถกเถระเป็นคนเก่ง ท่องปาฏิโมกข์ได้ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน แต่เพื่อนของท่านท่องไม่ได้สักที พระจูฬปันถกเถระจึงไปหัวเราะเยาะเพื่อนว่าโง่
พอมาเกิดชาติใหม่ พระจูฬปันถกเถระท่องกลอนสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าแค่สี่ประโยค ใช้เวลาสามเดือนยังท่องไม่ได้ เพราะฉะนั้น...อย่าไปดูถูกใครว่าโง่ เดี๋ยวกรรมตามทัน เราจะแย่กว่าเขาอีก
*************************
ถาม : ทำไมเวลาถวายสังฆทาน ท่านให้พรหลายคาถา แต่ละคนไม่เหมือนกัน ?
ตอบ : จริง ๆ มีสิบกว่ายี่สิบบท นึกบทไหนได้ก็ให้ไปเรื่อย
ถาม : เกี่ยวกับคนไหมคะ ?
ตอบ : เกี่ยวนิดหน่อย
ถาม : ดูจากอะไรคะ ?
ตอบ : ความต้องการของเขาเป็นหลัก รองลงไปก็บุญที่เขาทำมา ถ้าของเก่าเขามี ควรจะได้อะไรก็ว่าอย่างนั้นไป
*************************
ถาม : เพิ่งเริ่มปฏิบัติ ดูลมหายใจกับบริกรรมพุทโธ สงสัยว่าคำบริการรมสำคัญไหม ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วคำภาวนาเป็นเครื่องช่วยโยงใจให้เป็นสมาธิ ถ้ากำลังสมาธิทรงตัวแล้ว เราจะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ตาม ใจนึกจะให้เป็นอย่างก็เป็นอย่างนั้น เพราะว่ากำลังของเราพอแล้ว
ดังนั้น...ตอนนี้คำภาวนาไม่ต้องไปใส่ใจ เอาให้ใจเราเป็นสมาธิเพราะคำภาวนานั้นก่อน พอสมาธิทรงตัว คราวนี้จะใช้บทอะไรก็ได้แล้ว เหมือนกับหาเงินใส่กระเป๋าไว้ก่อน พอมีเงินแล้วเราจะซื้ออะไรก็ได้
ถาม : คำภาวนาอะไรก็ได้หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าคำภาวนายาวไป บางทีอาจจะไม่เหมาะกับเราให้ใช้พุทโธของเราไปก่อน ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวเป็นสมาธิ ต่อไปจะใช้สมาธิในการทำอะไร แค่คิดก็เป็นแล้ว ต้องขยันทำบ่อย ๆ ถ้าไปทำ ๆ ทิ้ง ๆ เดี๋ยวกิเลสตีเราตายเสียก่อน
*************************
ถาม : อาสาวักขยญาณ เป็นตั้งแต่ผู้ที่จะบรรลุอรหัตผลเท่านั้นหรือ ?
ตอบ : ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป
อาสวักขยญาณ แปลว่า ญาณอันทำให้กิเลสสิ้นไปได้
ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป สามารถทำให้กิเลสหมดไปบางส่วน เขาเรียกว่าเป็นอาสวักขยญาณ
ถาม : จะต้องผ่านฌานอะไรเป็นอย่างน้อย ?
ตอบ : ปฐมฌาน เพราะกำลังปฐมฌานขึ้นไป เพียงพอที่ตัดกิเลสเบื้องต้นในสังโยชน์ได้แล้ว
ถาม : ปฐมฌานเป็นพื้นฐานขั้นแรกก็พอแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อย่าลืมว่าใช้คำพูดผิดไปแม้แต่คำเดียว จะทำให้หลักธรรมของพระพุทธเจ้าผิดไปด้วย
ถาม : ขอประทานอภัยครับ ?
ตอบ : คุณใช้คำว่าปฐมฌานก็พอ แล้วเขาจะไปทำถึงฌานสี่ทำซากอะไร...! อย่างน้อยต้องถึงปฐมฌานจึงจะใช้ได้ ไม่อย่างนั้นกำลังไม่พอตัดกิเลส
*************************
ถาม : คำว่าน้อมไปเพื่อความสิ้นอาสวะ เขาทำกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไล่ไปตามสังโยชน์ตัดไปทีละข้อ ๆ อาสวกิเลสหยาบที่สุดก็คือ นิวรณ์ ๕ ถ้าเราทรงปฐมฌานได้ นิวรณ์ ๕ ก็กินเราไม่ได้
หลักจากนั้นก็เป็นในส่วนของกรรมกิเลส ก็คือในส่วนที่เราละเมิดแล้วผิดศีล
หลักจากนั้นก็จะเป็นสังโยชน์ คือกิเลสที่ร้อยรัดเราให้ติดอยู่กับวัฏฏะไล่ไปทีละระดับ
เรารู้จักศีลอย่างเดียวว่าห้ามทำนั่นห้ามทำนี่ แต่ตัวที่ทำแล้วผิดศีล เขาเรียกว่ากรรมกิเลส (การกระทำที่เกิดจากกิเลส) ฆ่าสัตว์ก็เพราะโทสะกิเลสบังคับไว้ ลักทรัพย์เพราะโลภะกิเลสบังคับไว้ ฯลฯ เขาจึงเรียกว่ากรรมกิเลส
ถัดจากนิวรณ์ก็ต้องแก้ไขกรรมกิเลส จากนั้นก็อาศัยกำลังของศีล ซึ่งเกิดจากการที่เราระมัดระวังรักษาเาไว้ไม่ให้เกิดกรรมกิเลส ทำให้เกิดสมาธิก้าวขึ้นไปสู่การตัดสังโยชน์เบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด
แต่พระพุทธเจ้าท่านแบ่งสังโยชน์ออกเป็นสองส่วน เขาเรียก โอรัมภาคิยสังโยชน์ (สังโยชน์เบื้องต่ำ) กับ อุทธัมภาคิยสังโยชน์ (สังโยชน์เบื้องสูง) สังโยชน์เบื้องต่ำ ก็คือ สังโยชน์ข้อที่ ๑ - ๕ สังโยชน์เบื้องสูง คือ ข้อที่ ๖ - ๑๐ แค่สังโยชน์ข้อ ๑ - ๕ ก็แทบปางตายแล้ว โดยเฉพาะข้อที่ ๔ กับ ๕
ถาม : เขาบอกว่าต้องทรงฌานให้มากที่สุด เกี่ยวไหมครับ ?
ตอบ : จำเป็นต้องมี ถ้าสมาธิหลุดเมื่อไรกิเลสก็กินเรา เพียงแต่ให้ทรงในลักษณะที่มีสติ มีปัญญาประกอบรู้อยู่เสมอว่า นี่เป็นเครื่องมือที่จะพาเราให้พ้นกิเลส
ไม่อย่างนั้นคนจำนวนมาก จะไปหลงติดอยู่ในสุขของฌานที่ปราศจากกิเลส และไม่คิดจะขยับขยายไปทำอะไรอีก ถ้าอย่างนั้นก็จะเป็นรูปราคะสังโยชน์ หรือ อรูปราคะสังโยชน์ แล้วแต่ว่าตัวเองได้รูปฌานหรืออรูปฌาน
ถาม : ถ้าทรงปฏิภาคนิมิตในกสิณใดกสิณหนึ่ง จะน้อมไปเป็นอาสวักขยญาณได้หรือไม่ ?
ตอบ : ได้…ลักษณะเดียวกัน เพราะตัวปฏิภาคนิมิตในกสิณนั้น ต้องเป็นฌานสี่จึงจะเป็นปฏิภาคนิมิตเต็มที่ เราก็ใช้กำลังของฌานในการละนิวรณ์ ๕ หรือเรื่องการระมัดระวังศีลของเรา หรือใช้ในเรื่องการตัดสังโยชน์
ถาม : การพิจารณาองค์ฌาน ถือว่าเป็น...?
ตอบ : เป็นการซักซ้อมให้เกิดความคล่องตัว ถึงเวลาจะได้หนีกิเลสได้ทันต้านกิเลสได้ทัน
ถาม : การพิจารณาองค์ฌาน ยังไม่ใช่อาสวักขยญาณ ?
ตอบ : การพิจารณาองค์ฌานเป็นสมถกรรมฐาน ต้องตัดสังโยชน์ให้ได้อย่างน้อย ๓ ข้อแรก จึงจะเป็นอาสวักขยญาณ
*************************
|