​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๗๖

 

              สมัยที่อาตมาเรียนนักเรียนนายสิบอยู่ มีรุ่นพี่อยู่คนหนึ่ง จำชื่อจริงไม่ได้แล้ว แต่ตอนที่จบออกมา ลูกศิษย์เรียกว่า หมู่ดาร์กี้ เป็นคนพนมทวนตัวดำปี๋เลย ขอให้พวกเราเข้าใจว่าคนไทยจริง ๆ ผิวดำ เพราะคำว่า สยาม แปลว่า ดำ
              หมู่ดาร์กี้อยู่กับแม่ ไม่มีพ่อ ไม่มีพี่น้องอื่น ญาติข้างพ่อก็ไม่มี ญาติข้างแม่ก็ไม่มี ก่อนที่จะไปเป็นทหาร หมู่ดาร์กี้ทำมาหากิน ทำนาทำไร่เลี้ยงแม่
              จนกระทั่งได้ข่าวว่าตอนนี้มีหลักสูตรนักเรียนนายสิบปีเดียว คือ สมัยก่อนจะเป็นหลักสูตรนักเรียนนายสิบ ๒ ปี แต่ตอนนี้มีหลักสูตรนายสิบปีเดียว เรียนจบมาแล้วปีแรกติดสิบโทก่อน ปีถัดไปจะเลื่อนเป็นสิบเอกโดยอัตโนมัติ
              หมู่ดาร์กี้ก็พยายามทำงานจนได้เงินก้อนหนึ่งมามอบให้แม่ กะว่าพอใช้จ่ายใน ๑ ปี แล้วก็ลาแม่ไปสมัครเป็นนักเรียนนายสิบ เพราะว่าอายุยังไม่เกิน พี่ดาร์กี้เข้าไปเป็นนักเรียนนายสิบก่อนอาตมารุ่นหนึ่ง
              พี่ดาร์กี้เขาเป็นคนที่ประหยัดสุดยอดเลย พอเบี้ยเลี้ยงออกมา ๕๐๐ บาท ก็อยู่ครบ ๕๐๐ บาทถ้วน เงินเดือนออกมาเท่าไรอยู่ครบเท่านั้น หมู่ดาร์กี้ซื้อธนาณัติส่งเงินกลับบ้านไปให้แม่
              วันนั้นพี่ดาร์กี้นอนก่ายหน้าผากอยู่ อาตมาก็ถามว่า “เป็นอะไรพี่ ไม่สบายหรือ ?”
              พี่เขาบอกว่าไม่ใช่ พร้อมกับเล่าให้ฟังว่า โดนจ่ากองร้อยบังคับให้ซื้อข้าวห่อไปหนึ่งห่อ สมัยนั้นข้าวผัดกะเพราห่อหนึ่ง ๕ บาท ปี ๒๕๒๓ ค่าเงินยังใหญ่มาก
              บรรดาพวกทหารเวร ไม่ว่าจะเป็นนายสิบเวรหรือร้อยเวรก็ตาม มักจะหารายได้เพิ่มเติม ด้วยการให้ภรรยาทำข้าวหรือขนมมาขายทหาร และขายเป็นเงินเชื่อ ก็คือเซ็นไว้ก่อน หลักจากนั้นพอเบี้ยออกแล้วถึงไปหักกัน จ่ากองร้อยทำหน้าที่นี้เองก็สบาย ถึงเวลาก็ไม่ต้องไปง้อใคร หักเบี้ยเลี้ยงเองได้เลย
              หมู่ดาร์กี้ไม่เคยอุดหนุนจ่ากองร้อยเลย วันนั้นจ่าก็เลยบังคับ “ดาร์กี้...เอาข้าวผัดกะเพราไปห่อหนึ่ง” เทียบแล้วหมู่ดาร์กี้ถือว่าเป็นรุ่นลูกของจ่ากองร้อย ก็เลยไม่กล้าขัดใจ
              หมู่ดาร์กี้กินข้าวเสร็จก็มานอนก่ายหน้าผาก พี่เขาบอกว่า “กูกินดีอย่างนี้ แล้วแม่กูจะอยู่อย่างไร ?”
              ปกติพี่เขากินอาหารที่โรงเลี้ยงเขาทำอะไรมาก็กินอย่างนั้น อาหารของทหาร เขาแต่งเป็นเพลงว่า
              “ทหารไทยมีใจแข็งแกร่ง กินข้าวแดงทั้งกาก กินผักบุ้งทั้งราก สาว ๆ ไม่อยากแลมอง ฟักทองเป็นอาหารหลัก ต้มฟักเป็นอาหารรอง อย่างดีก็หน่อไม้ดอง รอง ๆ ก็มะเขือยาว”
              ถึงเวลาวิ่งออกกำลังไป ก็ร้องลงประชดชีวิตไปด้วย
              หมู่ดาร์กี้เจอผัดกะเพราไปหนึ่งห่อ ราคา ๕ บาท ถึงกับนอนก่ายหน้าผาก ประโยคที่ได้ยินแล้วสะท้อนใจ คือ “กูกินดีอย่างนี้ แล้วแม่กูจะอยู่อย่างไร ?”
              เราจะเห็นความผูกพันระหว่างแม่กับลูก และขณะเดียวกันก็จะเห็นความกตัญญูของคนเป็นลูก เงินเดือนทุกบาททุกสตางค์ไม่เคยใช้เอง ของใช้ส่วนตัว เสื้อผ้า รองเท้า เข็มขัด เบิกคลังหลวง อาหารทุกมื้อกินที่โรงเลี้ยงอาหารชนิดที่เขาบอกว่าทำไว้เลี้ยงหมู หมูก็ยังไม่กิน แต่พี่ดาร์กี้เขาอยู่ได้สบาย เพราะว่าต้องประหยัดไว้ให้แม่
              เขาหวังอยู่อย่างเดียวว่า เรียนจบเข้ารับราชการ มีเงินเดือนแล้วยังได้สวัสดิการด้วย ถ้าแม่เจ็บป่วย เขาสามารถส่งแม่เข้าโรงพยาบาล รักษาได้เต็มที่เพราะว่าเบิกได้ เราจะเห็นว่าหมู่ดาร์กี้ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่อแม่ เป็นอะไรที่หายากมาก
              ดังนั้น...ในบาลี พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า บุคคลที่หาได้ยากมีสองประเภท
              ประเภทที่ ๑ คือ บุรพการี
บุคคลที่ทำคุณแก่เราก่อน อย่างเช่น พระพุทธเจ้า พระเจ้าอยู่หัว พ่อแม่ ครูบาอาจารย์
              ประเภทที่ ๒ กตัญญูกตเวที คือ บุคคลที่รู้คุณแล้วตอบแทนท่าน
              เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากในโลก อาตมาดีใจว่า ได้รู้จักรุ่นพี่คนนี้ เพราะเห็นได้ชัดว่า สิ่งที่พี่เขาทำเกิดจากน้ำใสใจจริง ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ ไม่ได้ทำเพื่ออวดใคร ไม่ได้ทำเพื่อหลอกใคร ไม่ได้ทำเพื่อหวังว่าคนอื่นจะชม แต่ทำออกจากใจจริง ด้วยความกตัญญูต่อแม่ ตัวเองยอมลำบาก อดอยากอย่างไรไม่ว่า แต่แม่ต้องสบาย
              ที่พูดมาตรงนี้ให้พวกเราเปรียบเทียบดูว่า เราเคยทำอย่างนี้กับพ่อแม่เราบ้างไหม ?
              อาตมาเองตอนแรกโดนยัดเยียดหน้าที่ให้ดูแลพ่อที่ป่วย ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้น ป. ๕ พ่อมาตายตอนอาตมาเรียน ม.ศ. ๓ เทอมปลาย แปลว่า อาตมาดูแลท่านอยู่ ๖ - ๗ ปี รู้สึกเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น เพราะเด็กวัยรุ่นกำลังกินกำลังนอน แล้วต้องมาอดนอนทั้งคืน เพื่อดูแลพ่อที่ป่วย
              เนื่องจากท่านมีอาการกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ประมาณ ๓ - ๕ นาที ก็ต้องนวดขยำให้คลาย ไม่อย่างนั้นท่านจะปวดทรมานมาก ท่านก็จะต้องคอยเรียกอยู่ตลอดเวลา ตอนนั้นรู้สึกเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น แต่หลังจากที่สิ้นพ่อไปแล้ว ความคิดค่อย ๆ เปลี่ยนไปว่า เราโชคดีที่ได้ทำหน้าที่ตรงนั้น
              หลังจากนั้นก็ได้ดูแลแม่อีกสามปี ตอนที่ดูแลพ่อ เพราะว่าอาตมาเป็นลูกผู้ชายคนโตที่สุด ที่ยังเรียนอยู่ ไม่มีงานทำ พี่ ๆ เขาทำงานกันหมดแล้ว
              แต่ตอนที่ดูแลแม่ เพราะว่าพี่ ๆ ทุกคนมีครอบครัวหมดแล้ว เขาก็บอกว่า “เอ็งยังไม่มีครอบครัว ให้ดูแลแม่ไป”
              อาตมาดูแลพ่อ ๖ ปี ดูแลแม่ ๓ ปี ดูแลหลวงปู่มหาอำพันอีก ๔ ปี สรุปแล้วชีวิตของอาตมาอยู่โรงพยาบาลมา ๑๐ กว่าปี ถึงเวลาหมอมา อาตมาสามารถรายงานทุกอย่างได้ชินที่เหมือนกับพยาบาลมืออาชีพ มีหมอคนหนึ่งถามว่า “เคยเรียนพยาบาลมาหรือ ?”
              อาตมาก็บอกว่า “ไม่ใช่ครับ ดูอยู่ทุกวันจนจำได้หมดแล้ว”
              พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าหมอยอมให้ฉีดยา อาตมาทำได้แน่นอน เพราะว่าเห็นอยู่ทุกวัน
              เวลาคนเขาบอกว่า “ดูแลตัวเองนะ พักผ่อนมาก ๆ” จริง ๆ แล้วไม่ต้องบอกกูก็รู้ แค่เอ็งรีบกลับไป ข้าก็ได้พักแล้ว...!
              ตอนนั้นรู้สึกว่าโดนยัดเยียดหน้าที่ให้ ค่อนข้างอยุติธรรม แต่พอมาถึงในปัจจุบันนี้ รู้สึกดีใจว่าได้ทำหน้าที่นั้น เพราะว่าเป็นส่ิงที่หาโอกาสได้ยาก
              คนที่เป็นพ่อแม่ ถ้าไม่ใช่เจ็บป่วยจนย่ำแย่จริง ๆ ไม่มีใครอยากทำตัวเป็นภาระให้กับลูกหรอก ด้วยความรักลูก ก็พยายามตะเกียกตะกายทำหน้าที่แทนลูกมากกว่า แม้กระทั่งลูกโตแล้ว ก็ยังพยายามหุงข้าวต้มแกงให้ เมื่อไรจะปล่อยให้ทำกินเองเสียทีก็ไม่รู้ ?
              ดังนั้น...บุคคลที่เป็นพ่อแม่ เป็นบุคคลที่หาได้ยาก เป็นบุรพการี ผู้ที่ทำคุณแก่เราก่อน ส่วนบุคคลที่รู้คุณท่านแล้วตอบแทน เขาเรียกว่า กตัญญูกตเวที
              กตัญญู คือ รู้คุณท่าน กตเวที คือ ตอบแทนท่าน
              แยกเป็นคนละศัพท์ได้ แต่แยกการกระทำไม่ได้ เพราะว่าต้องกตัญญู คือรู้คุณท่าน จึงจะกตเวที ตอบแทนท่านได้
*************************

              “จำไว้ว่า...ถ้าไม่ใช่คนมีบุญ จะไม่อายุยืนขนาดนี้ แต่ว่าเราไม่ได้สร้างบุญอย่างเดียว เรามักจะทำบุญและกรรม ก็คือบุญและบาป สลับกันไปสลับกันมา ถ้าเราไปดูตามประวัติที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟัง ที่โยมพ่อโยมแม่ก็เป็นชาวบ้านธรรมดา ถึงเวลาก็ต้องหาเนื้หาปลาเลี้ยงครอบครัว ก็เลยทำให้โยมพ่อโยมแม่นั้นมีกรรมติดอยู่ด้วย
              เมื่อเป็นดังนั้นหลวงพ่อท่านจึงไปสงเคราะห์ให้ท่านโมทนาบุญ แต่ปรากฎว่าโยมพ่อทำทำกรรมไว้มากกว่า การตัดสินใจไปพระนิพพานได้ง่ายกว่า แต่โยมแม่ที่ทำบุญมามากกว่า ตัดสินใจอยู่นานกว่าจะยอมไปพระนิพพาน เป็นเรื่องที่ประหลาดในความรู้สึกของเรา
              แต่ถ้ากล่าวถึงในแง่ของนักปฏิบัติทั่วไปก็คือ ผู้ชายจะสร้างบารมีมากกว่า ความเข้มแข็งของกำลังใจมีมากกว่า การตัดในใจจึงเด็ดขาดกว่า
              ดังนั้น...ถึงแม้ว่ายายจะมีกรรมปาณาติบาตแทรกเข้ามา ทำให้ต้องเจ็บป่วยบ้าง แต่ในส่วนของบุญกุศลที่มีมากกว่า จึงทำให้อายุยืน”
*************************

      ถาม :  จะบริจาคเลือดหรือร่างกาย ควรคิดอย่างไรเพื่อให้ได้ผลในการปฏิบัติมากขึ้น ?
      ตอบตั้งใจเลยว่าเราไปตาย ในเมื่อเรารู้ตัวว่าจะตาย เราก็เป็นผู้ไม่ประมาท เร่งปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาให้มากขึ้น
              เพราะการที่เราจะบริจาคอวัยวะภายใน เราก็รู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเราก็ต้องตายแน่ ตายแล้วเขาจะมาเอาอวัยวะไป ก็เป็นมรณานุสติไปในตัวอยู่แล้ว
              ส่วนการบริจาคเลือดนั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเล่าไว้ ท่านบอกว่าเวลาหมอมาขอฉีดยา ท่านก็ขอบารมีพระช่วยเปิดให้ฉีดยาได้
              แต่พอเข็มแทงเข้าไปท่านก็กำหนดความรู้สึกว่า อาวุธแทรกเข้ามาในร่างกายแล้ว อาจจะทำอันตรายเราถึงแก่ชีวิตได้ ถ้าตายแล้วเราไปอยู่บนพระนิพพาน อยู่กับพระพุทธจ้าดีกว่า ท่านก็ส่งใจไปเกาะพระนิพพาน
              ตอนบริจาคเลือดที่เขาเอาเข็มมาจิ้มเรา ก็ให้เรากำหนดในลักษณะเดียวกัน ว่าความตายอยู่ใกล้ตัวแล้ว เอาใจเกาะพระไว้ดีกว่า
*************************

              พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า หลักการเทศนานั้น ต้องประกอบด้วย
              ๑. สันทัสสนา พูดแล้วญาติโยเข้าใจแจ่มแจ้ง
              ๒. สมาทปนา ชักจูงใจให้โยมคล้อยตามที่จะปฏิบัติในส่งที่เรากล่าวถึง
              ๓. สมุตเตชนา พูดแล้วโยมเกิดความแกล้วกล้า อยากจะปฏิบัติตามทันที
              ๔. สัมปหังสนา รื่นเริงอยู่ในธรรมนั้น ๆ ก็แปลว่า พระพุทธเจ้าเทศน์ก็ต้องมีคนฮาอยู่บ้าง
              สรุปสั้น ๆ ว่าวิธีเทศน์ก็คือ แจ่มแจ้ง จูงใจ แกล้วกล้า ร่าเริง
              สมัยก่อนหรือสมัยนี้ก็น่าจะมี ตำแหน่งท่านเจ้าคุณพระธรรมปาหังสนาจารย์ เป็นอาจารย์ผู้ให้ธรรมอันรื่นเริง ถ้าจำไม่ผิดตำแหน่งนี้น่าจะเป็นตำแหน่งรองสมเด็จพระราชาคณะ ถ้าจะเรียกให้ถูกต้องก็คือ สมเด็จพระราชาคณะชั้นหิรัญบัตร
*************************

              มีโยมโทรมา เขาบอกว่า ดีใจที่กู้เงินได้สำเร็จตามที่พระอาจารย์อวยพรให้ เขากู้เงินมาทำอะไร ? ถ้าใครเดาถูกมีรางวัลให้
              เขากู้เงินมาทำบุญ เพราะว่าไปสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ไว้ ๓ องค์ และเป็นเจ้าภาพสร้างศาลาไว้อีก ๒ หลัง ก็เลยต้องไปกู้เงินมาทำบุญ ซึ่งอาตมาก็เตือนแล้วว่า การทำบุญเกินกำลังที่ตนมี พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ
              การจะทำบุญนั้นต้องไม่ให้ตนเองและคนรอบข้างเดืดร้อน ถ้าตนเองและคนรอบข้างเดือดร้อน ให้ยั้งคิดไว้ก่อนว่า บุญนั้นไม่แน่ว่าจะเป็นบุญที่ดีแท้ เพราะว่าอยากได้บุญจนขาดปัญญาประกอบ
              แต่รายนี้เขายืนยันว่าเป็นสิทธิ์ในที่ทำงานของเขา และอายุงานเขามีมากพอที่จะหักเงินเดือนไปได้ เขาสร้างพระชำหนี้สงฆ์ ๓ องค์ เจ้าภาพสร้างศาลาอีก ๒ หลัง รับเป็นเจ้าภาพลูกนิมิตอีก ๑ ลูก อาตมาไม่รู้ว่าที่ภูเก็ตเขารับลูกละเท่าไร แต่ที่ทองผาภูมิ วัดเขื่อนวชิราลงกรณ์ ตั้งราคานิมิตลูกเอก ๕๐๐,๐๐๐ บาท นั่นเป็นความสามารถเฉพาะตัว ไม่ควรไปเลียนแบบ...!
*************************

              สมัยก่อนเวลาอาตมาไปบ้านสายลม เวลาเจอพี่ ๆ น้อง ๆ จะคุยกันมันมาก เพราะว่าเดือนหนึ่งเจอกันที ปรากฎว่าคุยกันพลินจนขาดสติ แล้วก็มีเสียงกริ๊งดังขึ้น แต่ละคนวิ่งพรวดพราดกัน เพราะว่าหลวงพ่อท่านจะลงรับสังฆทานและกดกริ่งเรียก เราก็ต้องไปรับท่าน คนนั้นถืออย่าม คนนี้ถือยานัตถุ์ คนนี้ถือกาน้ำร้อน พอลงมาก็จัดวางทุกอย่างเข้าที่ อาตมาก็นั่งข้าง ๆ คอยรับใช้ท่าน
              ท่านเปิดไมโครโฟนปรากฎว่าเงียบ ท่านหันมามอง อาตมาร้อนวูบไปทั้งตัวเลย “ใครรับผิดชอบวะ ?”
              อาตมาตอบว่า “ผมครับ”
              ชุดเครื่องเสียงแบบเก่าเป็นหลอดทรานซิสเตอร์ ต้องเปิดอุ่นเครื่องไว้ประมาณ ๕ นาทีถึงจะพร้อมใช้งาน ไปเปิดตอนท่านลงมาแล้วจึงใช้ไม่ได้
              “คราวหน้าอย่าโง่กว่าเครื่องอีกนะ ...!”
              ด้วยความที่โม้มากเกินไป ลืมดูนาฬิกาว่าแปดโมงครึ่งแล้ว ปกติแปดโมงยี่สิบหรือยี่สิบห้า อาตมาจะเปิดเครื่องรอไว้แล้ว
              ตอนนั้นรู้สึกตัวพอง หูร้อน หน้าชาหมดเลย เพราะว่าท่านด่าออกไมค์ฯ ได้ยินกันทั้งบ้านสายลม ระวัง...พวกเราจะซ้ำรอยเดิม อาตมาโดนมาแล้วอย่าได้โดนต่อ ถ้าโดนก็จะโดนเทศน์กัณฑ์มหาราช...!
*************************

เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนเมษายน ๒๕๕๔


              “ระยะนี้เขาฮือฮาของที่มั่นใจว่ากันรับสีได้ จะว่าไปแล้ว ถ้าสมาธิทรงตัว เราสามารถที่จะกำหนดภาพพระครอบตัวเราไว้เพื่อป้องกันได้
              แต่พวกเราพอเกิดอะไรขึ้น ก็มักจะสมาธิเคลื่อน หลุดออกมาโดยไม่รู้ตัว อย่างเวลาถวายสังฆทาน พอพระพุทธรูปล้ม อาตมาก็จับไว้และให้พรไปเรื่อย แต่คนถวายนั้นหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว
              ถ้าสมาธิทรงตัวจริง ๆ จะเหมือนกับคนตายด้าน ไม่มีความรู้สึก แต่ว่าสติจะรวดเร็ว รู้ว่าจะต้องแก้ไขอย่างไรถึงจะดีที่สุด ดังนั้น ...ให้ทุกคนพยายามซักซ้อมเอาไว้ ทุกคนทำได้ ถือว่าเป็นสิทธิ์ของเราเลย เพียงแต่ว่าญาติโยมจะอยู่ในลักษณะทำไม่ค่อยต่อเนื่อง จึงขาดความคล่องตัวไปโดยปริยาย
              ซักซ้อมบ่อย ๆ ซ้อมไว้ทุกวัน สมัยก่อนอาตมาซ้อมเข้าออกสมาธิอย่างเดียว ทั้งวันทั้งเดือนทั้งปีไม่ต้องทำอะไรเลย ขนาดเข้าเวรอยู่หน้ากุฏิหลวงพ่อวัดท่าซุง นั่ง ๆ นอน ๆ ซ้อมไปเรื่อย เอนลงไปนี่สมาธิลึกลงไปตามลำดับเลยนะ พอหลายผลึ่งหลังแตะพื้นก็เต็มที่เลย
              ตอนลุกขึ้นจะต้องบังคับกันก่อน เพราะไม่อย่างนั้นแล้วร่างกายจะขยับไม่ได้ ต้องค่อย ๆ คลายลงโดยลุกขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งนั่งตัวตรงก็อยู่ที่อุปจารสมาธิพอดี คนอื่นเขาเห็นก็ว่า “...บ้าหรือเปล่า นั่ง ๆ นอน ๆ ทั้งวัน...”
*************************

              “โบราณท่านบอกว่า วิทยาเกียจซ้อมหัด หายเสื่อม ในเรื่องความรู้นั้น ถ้าเราขี้เกียจซักซ้อมก็จะหายเกลี้ยง ท่านกล่าวไว้ว่า
              เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม         ดนตรี
              ห้าวันอักขระหนี             เนิ่นช้า
              สามวันจากนารี             เป็นอื่น
              หนึ่งวันเว้นล้างหน้า        หม่นไหม้หมองศรี
              เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม...ดนตรี
ถ้าไม่ได้ซ้อมดนตรีสักเจ็ดวัน ก็ลืมหมดแล้ว ต่อเพลงไม่ติด
              ห้าวันอักขระหนี...เนิ่นช้า สมัยก่อนเวลาฝึกเขียน ก.ไก่ ข.ไข่ ถ้าลองเลิกเขียนสัก ๕ วัน ก็ลืมแล้ว ต้องเริ่มต้นใหม่
              สามวันจากนารี...เป็นอื่น สมัยนี้ต้องบอกว่าผู้ชายเป็นอื่น ไม่ใช่ผู้หญิงเป็นอื่น
              หนึ่งวันเว้นล้างหน้า...หม่นไหม้หมองศรี วันเดียวไม่ล้างหน้าก็ขี้ตากรัง”
*************************

              “สมัยก่อนถ้านับในส่วนของพระด้วยกัน บุคคลที่มีพระสมเด็จคำข้าง พระสมเด็จหางหมากมากที่สุดในวัด นอกจากทางวัดแล้วก็คืออาตมาเอง เพราะว่าโยมถวายปัจจัยมาเท่าไร ก็จะไปทำบุญกับหลวงพ่อจนหมด ทำบุญครั้งหนึ่งก็ได้พระมา ๓๐๐ องค์ ๕๐๐ องค์ เพราะว่าแรก ๆ หลวงพ่อตั้งราคาไว้องค์ละ ๑๐ บาท
              พระในวัดนั่นแหละบอกว่า จะสะสมอะไรเยอะแยะขนาดนั้น บ้าหรือเปล่า ? พอสิ้นหลวงพ่อแล้ว ราคาพุ่งพรวดไปเป็นองค์ละร้อยบาท ท่านก็มาขนของอาตมาไปจนเกลี้ยงเลย แต่ให้แค่องค์ละ ๑๐ บาท...! เป็นอะไรที่ดูแล้วแปลก ๆ ก่อนนี้ว่าซะเต็มปากเต็มคำ มากลืนน้ำลายเฉยเลย
              ตอนแรกอาตมาเองก็คิดว่า เงินทุกบาททุกสตางค์หลวงพ่อท่านต้องใช้ในการก่อสร้าง ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ เพราะฉะนั้น...มีเท่าไรก็เอาไปถวายหลวงพ่อ นอกจากได้บุญแล้ว ท่านยังมอบวัตถุมงคลให้ครูบาอาจารย์ให้ก็ถือว่าเป็นมงคลใหญ่ ต่อไปไม่แน่ว่าจะหายาก อาตมาก็เก็บอย่างเดียว
              แต่ถ้าเป็นฆราวาสมีอยู่ท่านหนึ่ง ท่านคงไม่ยินดีให้เอ่ยชื่อ ท่านเหมาะเฉพาะพระสมเด็จคำข้าว เท่าที่รู้มีอยู่ครั้งหนึ่งราคาหนึ่งล้านบาท พระสมเด็จหางหมากก็คงจะใกล้เคียงกัน”
*************************

              “พระเครื่องหรือวัตถุมงคลของจังหวัดกาญจนบุรี ถ้าเป็นรุ่นเก่า เขาจะหาหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว
              หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว
ท่านทันสมัยรัชกาลที่ ๕ และเสด็จในกรมหลวงชุมพรก็ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่านด้วย ชาวบ้านเรียกท่านว่า “หลวงพ่อเฒ่ายิ้ม”
              หลวงปู่ยิ้มท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ ลูกศิษย์ของท่านก็คือ หลวงปู่เหรียญ วัดหนองบัว หลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ หลวงปู่ดี วัดเหนือ หลวงปู่สอน วัดทุ่งลาดหญ้า สมัยก่อนเขาเรียก “๔ เสือกาญจนบุรี”
              ทั้ง ๔ เสือเมืองกาญจน์เป็นลูกศิษย์ท่านหมดเลย แล้วยังลามมาทางด้านฝั่งแม่กลอง อย่างหลวงปู่ใจ วัดเสด็จ ลูกศิษย์ท่านแต่ละรูปดังคับบ้านคบเมืองทั้งนั้น
              เมืองกาญจน์ฯ สมัยก่อนมีวลีอยู่ ๒ ประโยคว่า “อยากเจ้าชู้ให้ไปวัดเหนือ อยากเป็นเสือให้ไปวัดใต้” เพราะว่าหลวงดีท่านดังทางเมตตามหานิยม ส่วนหลวงปู่เปลี่ยนถนัดทางอยู่ยงคงกระพัน
              น่าเสียดายว่า วัตถุมงคลสมัยนั้นไปได้มีเครื่องปั๊มแบบสมัยนี้ บางอย่างก็ต้องปั้นด้วยมือทีละองค์ ๆ บางอย่างก็ทำด้วยพิมพ์ไม้ ลักษณะกดด้วยมือก็ทำได้ทีละองค์ ดังนั้น...วัตถุมงคลของท่านจึงมีไม่มาก
              ของหลายอย่าง อย่างเช่น สายคาดเอว ชาวบ้านเรียกว่า ตะขาบไฟ แบบสวย ๆ ถักด้วยหวาย ถ้าแบบเอาขลังก็ถักด้วยผ้าดิบคลุมศพ ต้องเป็นคนที่ตายวันเสาร์เผาวันอังคารด้วย วิธีทดลองความขลังก็ไม่ยาก ถักไปภาวนาไป ถักเสร็จแล้วโยนเข้ากองไฟ ถ้าไม่ไหม้ก็ใช้ได้ ถ้าหากว่าไหม้ก็ยังไม่ขลังจริง
              ถ้าใครไปขอเรียนวิชาจากท่าน ท่านจะให้ไปนั่งเพ่งเทียนจนขาดกลาง ถ้าหากว่าไม่ขาดกลาง แสดงว่ากำลังใจใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ...แต่ละท่านที่ว่ามา ล้วนแล้วแต่เพ่งเทียนจนไส้ขาด บางคนก็ใช้เวลาหลายเดือน หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ ใช้เวลาแค่ ๗ วัน แสดงว่าพื้นฐานสมาธิของท่านดีมาก”
*************************

              “บ้านวิริยบารมีหลังนี้กว่าจะเสร็จได้ คนทำบ้านแทบจะประสาทกลับไปหลายรอบ เพระว่ามีคนบริจาคของมาเยอะมาก แต่บริจาคมาแล้วสีสันเข้ากับบ้านไม่ได้ อย่างเช่น บริจาคม่านหน้าต่างมา ถ้าบริจาคครบทุกบ้านเราก็ไม่ว่าอะไร นี่บริจาคมาแค่ไม่กี่ชุด
              อย่างเมื่อวานเตรียมเครื่องไทยธรรมไว้ แล้วอยู่ ๆ ก็มีคนคว้านั่นคว้านี่มาอย่างละ ๙ ชุด มาไล่ถวายเพิ่ม แล้วเขาก็ไม่ได้บอกอะไรก่อนด้วย ทำเอาเองเลย ในเมื่อทำเองก็กลายเป็นว่าทุลักทุเล อะไรที่เกินมา งานจะยากขึ้น เพราะว่าพระย่อมรู้ว่าอะไรเหมาะอะไรควร
              เมื่อวานนี้ขนมของทางซีพี พระท่านเอาไปแล้วก็ต้องสละให้ลูกศิษย์หลังเพล เขาถวายไปรูปละถุงใหญ่ เราต้องดูว่าอะไรเหมาะสมกับสมณสารูปของพระด้วย
              อาตมาเองเคยนั่งเซ็งในอารมณ์อยู่ครั้งหนึ่ง ไปไหว้พระที่วัดพระแก้วพอเสร็จเรียบร้อย ลุกขึ้นก็มีเสียงมาว่า “ท่านเจ้าคะ...รับหน่อยค่ะ” พอหันมาเขาถวายอาหารช่วงเที่ยง มีข้าว มีกับ มีน้ำ มีขนม ครบถุงเบ้อเร่อเลย
              อาตมาก็ต้องหิ้วเดินผ่านโยมเป็นร้อย ๆ ออกมา เขาเห็นก็คงคิดว่าพระรูปนี้ ถ้าไม่ใช่รอบคอบก็งกกินฉิบห...เลย รอบคอบ ก็คือ อุตส่าห์พกอาหารมาเองด้วย
              แต่ถ้าคนมองในแง่ว่างกกิน ก็คือ ถึงขนาดหิ้วมาอย่างนี้เลยหรือ ?
              บางคนเขาไม่ได้ดูความเหมาะสมว่าอะไรควรทำ พวกเราต้องพยายามใช้ปัญญาด้วย ว่าแต่ละอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์หรือไม่ ? ใช่แต่สติอย่างเดียวก็ไม่ไหว”
*************************