​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๗๖

 

              สมัยก่อนอาตมาก็ใช้แค่ไม่กี่เล่ม คู่มือปฏิบัติกรรมฐาน กรรมฐาน ๔๐ ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า ธรรมปกิณกะ เล่ม ๑ เล่ม ๒ ไปลองอ่านดู ถ้าขี้เกีจอ่านพระไตรปิฎก ก็เอาหนังสือของหลวงพ่อท่านเป็นหลัก
      ถาม :  อ่านหนังสือธรรมะบ่อย ก็โดนติงเหมือนกัน ?
      ตอบ :  เพราะว่าเราอ่านแล้ว เราไปฟุ้งซ่าน อยากมี อยากได้ อยากเป็นอย่างนั้น ถึงเวลาปฏิบัติอารมณ์นี้ต้องไม่มี
              ถามว่า ในเมื่อไม่อยากแล้วจะไปทำไปทำไม ?
              เราอยากได้ไม่เป็นไร แต่ตอนปฏิบัติให้ลืมควาอยากนั้นให้หมด เรามีหน้าที่ปฏิบัติสมาธิภาวนา รักษาจิตใจให้สงบ ส่วนผลจะเกิดหรือไม่เกิดอย่างไรช่างมัน เรามีหน้าที่ทำไปเท่านั้น
              ถ้าวางกำลังใจอย่างนี้ ผลจึงจะเกิดได้ง่าย แต่ถ้าอยากได้นั่นอยากได้นี่ เขาจะให้มากกว่าที่เราอยาก เขาได้พระบิดาไปแล้ว เดี๋ยวเราได้พระเจ้าปู่พระเจ้าย่าไปด้วย
      ถาม :  จะรู้ได้อย่างไรว่า ใครเป็นมาร ใครเป็นพระ ?
      ตอบ :  ทุกอย่างที่เข้ามาให้เรารับรู้ รับไว้ด้วยความเคารพ
              ถ้าเป็นจริงตามนั้น ก็ขอบพระคุณที่ท่านมาบอกให้ทราบ
              ถ้าไม่เป็นจริงตามนั้น ก็เป็นความผิดของเราเอง เรื่องอย่างนี้ผิดกันได้อยู่แล้ว
      ถาม :  ถ้าสงสัยว่าเขาเป็นมาร เรานึกถึงพระ มารจะหายไปไหม ?
      ตอบ :  พระก็คือพระ มารก็คือมาร เป็นแค่สิ่งที่สมมติขึ้นมาเท่านั้น
              เราจะคิดว่ามารเป็นศัตรูก็ไม่ใช่ แต่มารเป็นครู เป็นครูที่โคตรขยันเลย ทดสอบเราทุกวินาทีที่เผลอ ถ้าเราก้าวข้ามไปได้ เราจะไม่แพ้ตรงจุดนี้อีก
              ถ้าเราไม่รับการทดสอบ เราก็จะไม่รู้ว่าเรามีความก้าวหน้าเท่าไร
ฉะนั้น..เขาจึงเป็นครูที่ดีมาก
              แต่ถ้าเราไม่สามารถที่จะก้าวล่วงไปได้ เราก็จะติดอยู่ตรงนั้น ตอนนั้นมารก็คือผู้ขวาง คือผู้ฆ่า ฆ่าเราจากความดี ต้องโทษว่าสติ สมาธิ ปัญญา ของเราไม่เพียงพอ เขาจึงขวางเราได้ ต้องไปเร่งสติ สมาธิ ปัญญาของเราให้มากขึ้น
      ถาม :  จะมีมารทางโลก และมารทางธรรม ?
      ตอบ :  เหมือนกัน ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มารทั้งนั้น มารจะใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว ในการขวางเรา ทำให้เราเกิดรักโลภ โกรธ หลงขึ้นมา ยั่วให้กำหนัด ล่อให้หงุดหงิด ลวงให้หลงผิด
              ยึดติดทางโลก ก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรม พอยึดทางธรรม กลายเป็นชาวบ้านเขาด่าว่าบ้า เราก็ทนฟังไม่ได้ เพราะว่ามารอาศัยปากพูด ถ้าเราไม่คล้อยตามก็เสร็จเราอีก ท้อถอยเลิกปฏิบัติ ความดีเราก็ไม่ได้
              ตั้งสติให้ดี ๆ แล้วทำไปเถอะ ขอยืนยันว่ามารไม่ใช่ศัตรู และไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่เป็นครูที่โคตรขยันเลย เราลองนึกถึงครูที่ยืนอยู่หน้ากระดานดำออกข้อสอบให้เราทำทุกวินาทีที่เราเผลอ จะได้ภาพพจน์ที่แท้จริงของมาร
*************************

      ถาม :  คล้อยตาม เพราะเห็นว่าศาสนาอื่นเขาสอนคน...?
      ตอบ :  ใช่…แล้วสังเกตไหมว่า ทุกวันนี้บางศาสนาเขาเป็นอย่างไร ?
      ถาม :  คนเขาเคร่ง ๆ ดูเหมือนจะดี ?
      ตอบ :  เขาเคร่ง ถ้าศาสนาพุทธเคร่งได้แบบนั้นบรรลุกันเพียบเลย แต่ทีนี้เขาใช้ความเคร่งในทางที่ผิด สอนให้ฆ่าผู้อื่นเพื่อปลดปล่อย พอพวกเราจะปลดปล่อยเขาบ้างกลับไม่ยอม ถ้าเราใช้ปัญญานิดเดียว ก้จะเห็นว่าผิดหลักการตั้งแต่แรกแล้ว
              สอนว่าสัตว์เป็นอาหารของเรา ต้องฆ่าด้วยมือจึงจะบริโภคได้ ถ้าสัตว์เป็นอาหารของเราสัตว์เจอหน้าเราก็ต้องวิ่งมาให้เรากินสิ นี่วิ่งหนีทุกตัวหลักการธรรมดาแค่นี้ ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ตรองดูนิดเดียวก็รู้แล้วว่าผิดหรือถูก
*************************

      ถาม :  จะคุยกับคนที่อยากปฏิบัติ ดูว่าเขาจะถามอะไรเพิ่มไหม ?
      ตอบ :  อะไรที่เราไม่คล่องและชำนาญจริง หากเขาถาม เราก็ไม่สามารถที่จะชี้แจงให้แจ่มแจ้งได้ด้วยตัวเอง จะกลายเป็นข้อถกเถียงไปอีก ให้ทำโง่ ๆ หุบปากเอาไว้จะดีกว่า
              พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราจะไม่กล่าววาจาอันเป็นเหตุให้ถกเถียงกัน เพราะวาจาอันเป็นเหตุให้ถกเถียงกันจำเป็นต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมากจิตใจย่อมฟุ้งซ่าน ผู้ที่จิตใจฟุ้งซ่านย่อมห่างจากสมาธิ
              เราสั่งสมกำลังของสมาธิ เพื่อให้จิตมีกำลังเพียงพอที่จะใช้ในการตัดกิเลส แต่เราเอากำลังไปใช้รั่วไหลในเรื่องต่าง ๆ เช่น เอาไปนั่งเถียงกันบ้าง วิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง ตาเห็นรูปก็ยินดี หูได้ยินเสียงก็ยินดี จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด ยินดีเป็นราคะ ยินร้ายเป็นโทสะ ทำให้เรามีกำลังไม่พอตัดกิเลสเสียที
              เพราะฉะนั้น...ปิดตา ปิดหู ปิดปาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ปิให้หมด พอกำลังไม่รั่ว เราก็มีแรงสู้กับกิเลสได้
      ถาม :  อยู่ทางโลก เราต้องทำงานก็ปิดไม่ได้ ?
      ตอบ :  เอาแค่ตรงทำงาน พอถึงที่ทำงานก็ทำตามหน้าที่ไป พอเลิกงานก็ปิดของเราใหม่ ๒๔ ชั่วโมงอย่าให้ขาดทุนตลอด
              มัชฌิมาปฏิปทาของพระพุทธเจ้าใช้ได้ทุกงาน ทำอย่างไรให้พอดี หลายเดือนก่อนอาตมาเคยยกตัวอย่างโยมคนหนึ่ง กลัวว่าตัวเองจะผิดกรรมบถ ๑๐ เวลาไปทำงานเจ้านายถามก็ไม่พูด เพื่อนร่วมงานถามก็ไม่พูด เขาเห็นแล้วหมั่นไส้ หยิ่งดีนัก ก็เลยแกล้งจนร้องไห้
              เขาบอกว่า เขาทำความดีขนาดนี้แล้ว ทำไมต้องเจอคนอย่างนี้ด้วย ?
              อาตมาบอกว่า ตัวเขาเองนั่นแหละที่ไม่รู้กาลเทศะ ใช้หลักธรรมไม่ถูกต้อง ถ้ามีกาลัญญุตา รู้กาลเทศะ รู้ว่าตอนนี้เป็นที่ทำงาน เราต้องทำงานก็ทำไป แต่พออยู่คนเดียว เราก็เข้าหาความดีของเรา แต่นี่เขาเล่นเอาแต่ความดีอย่างเดียว ทางโลกก็ช้ำ พอช้ำเขาก็เล่นงานเอา
*************************

              “บทเรียนของคนอื่น พอมาถึงเราจะเป็นเรื่องสนุก แต่ถ้าโดนเอง ก็จะเป็นเรื่องที่เราจะหัวเราะไม่ออก เรื่องอะไรก็ตามถ้านอกลู่นอกทางมาก อย่างเรื่องของจักษุธาตุ
              ประมาณ ๗ - ๘ เดือนก่อนเขาเอามาให้ดู มีทั้งรูปถ่าย มีทั้งซีดีมาให้อาตมาเห็นเข้าก็บอกว่า คล้ายกับเป็นการถ่ายภาพซ้อนเพชรรัสเซียกับดวงตาคนไว้ด้วยกัน ก็เลยดูเหมือนว่าใช่
              อะไรก็ตามที่ตำราไม่ได้ระบุไว้ ให้ละไว้ก่อนในฐานที่เข้าใจว่า...อย่าเพิ่งเชื่อ
              เพราะพระบรมสารีริกธาตุนั้น มีตำราบอกเอาไว้ชัดเจนว่า มีสัณฐานเหมือนถั่วแตกหรือข้าวสารหัก สัณฐานเหมือนถั่วแตกก็ชิ้นใหญ่หน่อย สัณฐานเหมือนข้าวสารหักก็อย่างที่เราเห็นกันบ่อย ๆ
              นอกจากชิ้นสำคัญอย่างไม่กี่ชิ้น คือ
              พระอุณหิส คือ กระดูกหน้าผาก
              พระอุรังคธาตุ คือ กระดูหน้าอก
              พระรากขวัญ คือ กระดูกไหปลาร้า
              และพระเขี้ยวเกี้ยว ก็คือ เขี้ยวทั้งสี่ข้าง ที่ไม่เปลี่ยนสภาพแล้ว
              นอกจากนั้นแล้ว ก็เหมือนถั่วแตกหรือข้าวสารหัก
              อีกส่วนหนึ่งที่ไม่เหมือนใครก็คือ มีสัณฐานเหมือนเมล็ดผักกาด ก็คือกลม ๆ เล็กนิดเดียว ส่วนนั้นจะเป็นพระอังคารคือขี้เถ้า ตำราบอกเอาไว้ชัดว่า มีวรรณะเหมือนทองอุไร ก็คือสีเหลืองเหลือบทอง
              เราจะเห็นว่าทุกอย่างระบุไว้ชัดเจนแล้ว แต่ในปัจจุบันนี้มีสารพัดเลย นี่เป็นพระบุพโพธาตุ นี่เป็นพระโลหิตธาตุ เพิ่มเกินตำรามาเยอะแยะยุ่งไปหมด
              ถามว่า ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไร ? ก็ให้บูชากราบไหว้ไป แล้วนึกถึงพระะพุทธเจ้าตามปกติ ก็ถือว่าใช้ได้เหมือนกัน
              เพราะว่าความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าจริงหรือปลอม แต่ความสำคัญหรือสาระที่เป็นแก่นสารก็คือ การที่เราได้ยึดพระองค์ท่านเป็นที่พึ่ง ถ้ายึดถือหรือระลึกถึงได้ก็จัดเป็นพุทธานุสติ จะของจริงของปลอม ถ้าเรานึกถึงพระพุทธเจ้าได้ก็ใช้ได้เหมือนกัน
              แต่สมัยนี้เข้าท่าพระจันทร์ไป ใครจะเอาพระธาตุสักกี่เกวียนก็ให้บอก เขาผลิตไว้เพียบเลย...!
              และอย่าไปทดสอบด้วยการลอยน้ำ เพราะการทำแบบนั้นเป้นการปรามาสพระรัตนตรัยโดยตรง โทษใหญ่จะเกิดแก่ตนเอง”
*************************

      ถาม :  เวลาเจอภัยพิบัติ ใช้คาถาบทไหนที่จะลดความรุนแรง ?
      ตอบ :  ความจริงถ้าเรายึดมั่นในคุณพระรัตนตรัย “อิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ” ก็พอแล้ว
              ถ้าเป็นคาถาของหลวงปู่ชุ่ม (หลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย) ว่า
              “วิวะ อะวะ สุสะตะ วิวะสวาหะ”
              ท่านบอกว่า ป้องกันภัยธรรมชาติ ไฟป่า น้ำป่า หรือสัตว์ร้าย
      ถาม :  ถ้าภัยมาแรง ๆ ขอคาถาสั้นที่สุด ?
      ตอบ :  คาถาทุกบทเป็นเครื่องโยงให้เกิดสมาธิ ถ้าเกิดสมาธิ คิดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ท่านถึงได้บอกว่าสำเร็จด้วยใจ อยากได้สั้น ๆ ไม่ต้องท่องก็ได้ แค่คิดก็พอแล้ว
      ถาม :  คาถากันเชื้อโรค ?
      ตอบ :  ถ้าตามที่ท่านท้าวเวสสุวรรณท่านบอก ท่านให้ภาวนา
              “คะสะชะนะ อิติ ศัตรู อย่ามาคะตา”
              ท่านบอกว่ากันได้แม้แต่โรคเอดส์ เพราะตอนนั้นโรคเอดส์กำลังระบาด
      ถาม :  ท่องครั้งเดียว ?
      ตอบ :  ภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัวทุกวัน ไม่ใช่ท่องครั้งเดียวแล้วกันได้ตลอดชีวิต อย่างนั้นคุณภาพจะครอบจักรวาลจนเกินไป...!
      ถาม :  ถ้าติดเชื้อโรคมาแล้ว จะใช้คาถาบทไหน ?
      ตอบ :  คาถาหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ “ทนเอา”
      ถาม :  คาถาบทไหนทำให้โรคคลายตัวลง ?
      ตอบ :  จะทำให้โรคคลายตัวลงนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าโรคเกิดจากวาระกรรม แต่ถ้าเราภาวนาจนกำลังใจทรงตัว จิตกับประสาทแยกออกจากกัน เราจะไม่ค่อยรับรู้อาการทางร่างกาย ก็เหมือนกับว่าโรคเบาลง
              เพราะฉะนั้น...บทไหนก็ได้ เอาอย่างหลวงปู่เนียม วัดน้อย เจ็บตำนานทั้งหัว ท่องไปเถอะ พูดง่าย ๆ คือทั้งเล่มเลย ตรงไหนก็ได้
              หลวงปู่เนียมท่านเป่าแก้งูเห่ากัด หลวงพ่อปานท่านถามว่า “ใช้คาถาบทไหน ?”
              หลวงปู่เนียมบอกว่า “เจ็ดตำนานทั้งหัว บทไหนก็ได้”
              สมัยก่อนหนังสือทั้งเล่มเขาเรียกเป็นหัว
*************************

              “พระใหม่บางรูป ยังเคยชินกับนิสัยเดิม ๆ ของฆราวาส ถึงเวลาไปกิจนิมนต์บ้านโยม มีอาหารมาหลายอย่าง บังเอิญมีของชอบอยู่ด้วยคือไข่ดาว ท่านเล่นควักแต่ไข่แดงมาฉันจนหมด
              พระเก่าท่านเห็นว่าน่าเกลียด ท่านก็จิ้มไข่ขาวมาฉัน พระใหม่ก็ฉันไข่แดงใบที่สองอีก พระเก่าก็จิ้มไข่ขาวมาแล้วฉันอีก
              พระใหม่บอกว่า “แหม...ดีจังเลยครับ ผมชอบไข่แดง ท่านชอบไข่ขาว เราไปด้วยกันได้” พระเก่าเลยพูดไม่ออกเลย อุตส่าห์ช่วยแล้วท่านยังไม่รู้ตัวอีก...!”
*************************

      ถาม :  คนไข้บางคนมีของแสลงสำหรับเขาเยอะ ถ้าพระมีของแสลงเยอะ ๆ จะเลือกฉันไหม ?
      ตอบ :  อาตมาก็เลือกเหมือนกัน เพราะว่าอาหารเรปฏิกูลสัญญา ไม่ใช่แค่เราพิจารณาเห็นว่า อาหารมีพื้นฐานจากความสกปรกเท่านั้น ต้องพิจารณาด้วยว่า เหมาะกับธาตุขันธ์ของเราหรือไม่
              ถ้าเลือกไม่ได้ก็ทนเกินไป แต่ถ้าเลือกได้ก็อย่าเลือกจนน่าเกลียด ประเภทจ้วงอยู่จานเดียว ไปเล็ม ๆ จานอื่นบ้าง หรือไม่ก็เอาช้อนดัน ๆ ให้ดูแหว่ง ๆ ไปบ้าง
              ความจริงอาหารบางอย่าง อาตมาไม่ได้แตะเลย แต่มีศิลปะอยู่ ก็คือเอาช้อนดัน ๆ ให้อาหารนั้นถอยหลงไปเยอะ ๆ หน่อย แล้วก็ปาด พอโยมเขาเห็น ก็คิดว่าฉันของเขาไปเยอะแล้ว คราวหน้าก็โดนอีก อาตมาโดนมาจนเข็ดแล้ว
              สมัยก่อนบวช พี่สะใภ้คนที่ ๓ สงสัยว่าจะชอบอาหารรสเปรี้ยว จึงซื้อแต่สับปะรดเปรี้ยว ๆ มา อาตมารู้ว่าคนอื่นไม่กิน ก็จิ้ม ๆ มากินให้หมด ๆ ไป บางทีกินจนลิ้นแตก แสบไปหมด ปรากฎว่า พี่เขาก็ตีความว่าอาตมาชอบ ยิ่งซื้อมาใหญ่เลย ...!
*************************

              “เมื่อวานท่านนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลทองผาภูมิ โทรมาบอกว่า “ได้ยินว่าที่วัดจัดบวชปฏิบัติธรรม แล้วยังจะจัดกิจกรรมวันสงกรานต์ในวัดได้หรือเปล่าครับ ?”
              อาตมาเลยบอกว่า “รีบมาจัดเลย พวกที่บวชเขาอยากเล่นสงกรานต์ด้วย”
              ตอนแรกท่านนายกเทศมนตรีก็หนักใจ เขากลัวว่าทางวัดจัดบวชปฏิบัติธรรมแล้ว จะเข้าไปตึงตังโครมครามไม่ได้ เขาไม่รู้หรอกว่าที่จัดบวชก็เพื่อให้เข้ากับงานเลย
              ก่อพระเจดีย์ทรายปีนี้ไม่รู้ว่าเขามีกติกาอย่างไร ? ปีที่ผ่านมามีกติกาง่าย ๆ ก็คือ สวย ใหญ่ ทรายเยอะ
              งานบวชปฏิบัติธรรมที่ผ่านมา มีครอบครัวจันทรนิภาพงษ์ ไปทุกงาน ยกบ้านไปเลย ไม่ต้องห่วงใคร มาด้วยกันหมดแล้ว เป็นครอบครัวที่ตั้งใจปฏิบัติจริง ๆ
              ลักษณะอย่างนี้จะทำให้ไม่ขัดกัน หลวงปู่บุดดาท่านบอกว่า “บุคคลที่มีธรรมไม่เสมอกัน ไม่สามารถที่จะไปด้วยกันได้”
              ในครอบครัว ถ้าหากว่ามีทาน ศีล าวนา เสมอกันก็จะเป็นครอบครัวที่มีความสุข
              พระพุทธเจ้าใช้คำว่ามีสมชีวิธรรมเสมอกัน สมชีวิธรรม ๔ ประการก็คือ มี ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา เสมอกัน”
*************************

              “คนพอแก่ขึ้นแล้วไฟธาตุน้อยลง ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม จะพร่องลงเรื่อย ๆ พอธาตุสี่พร่อง อาการเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะเกิด
              คนแก่ไฟธาตุจะน้อยและธาตุลมน้อย พอเวลาลมน้อยก็เคลื่อนไหวช้า ไฟธาตุน้อยก็ไม่กระปรี้กระเปร่าและขี้หนาว บางทีอากาศสบาย ๆ คนแก่ก็ยังต้องใส่เสื้อกันหนาว”
*************************

              “เรื่องของน้ำท่วม ไฟไหม้ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ภัยธรรมชาติที่เดือดร้อนคนส่วนรวม ส่วนใหญ่ที่เดือดร้อนจนถึงแก่ชีวิต มักจะเคยสร้างกรรมร่วมกันมา อย่างเช่น ยกทัพไปตีบ้านทำลายเมืองเขา
              พอวาระกรรมมา ก็โดนพร้อม ๆ กัน และให้สังเกตว่า บางคนที่ไม่เคยร่วมกรรมมา ก็ไม่เห็นเป็นอะไร
              แบบสึนามิที่ญี่ปุ่น คุณปู่ท่านหนึ่งลอยอยู่ในทะเลสองวัน เขาไปช่วยกลับมา ก็ไมเ่ป็นอะไร
              หรือหลายสิบปีแล้วที่เครื่องบินโดยสารของญี่ปุ่นตก ผู้โดยสารสามร้อยกว่าคนตาย มีเด็กห้าขวบอยู่คนหนึ่งไม่เป็นอะไรเลย เขาก็ไปทำวิจัยหาสาเหตุ เขาบอกว่า เด็กตัเวล็ก พอรัดเข็มขัด เครื่องบินระเบิดก็หลุดไปทั้งเก้าอี้ เก้าอี้ตกลงมาครอบเด็กอยู่พอดี เขาคิดอย่างนั้น
              อาตมาว่าบ้า ลองไปทิ้งเก้าอี้ลงมาจากที่สูง ๑๐ กว่ากิโลเมตร ดูสิเก้าอี้จะเหลือไหม ?
              เรื่องของบุญรักษา รักษาได้ทุกที่จริง ๆ เมื่อไม่นานมานี้ที่เครื่องบินเขมรตก แล้วมีเด็กรอดอยู่คนหนึ่ง ถ้าไม่ได้สร้างกรรมร่วมกันมา ก็ไม่เป็นไรหรอก”
*************************

              “ในเรื่องของพุทธบารมี จริง ๆ แล้วท่านป้องกันอันตรายได้ทุกอย่าง แต่ต้องไม่เกินกฎของกรรม ตอนที่สร้างสมเด็จศรีอินทราทิตย์ ญาติโยมเขากลัวแผ่นดินไหวและเขื่อนแตก วัดท่าขนุนอยู่ปากเขื่อนพอดี จึงกราบขอบารมีพระท่านป้องกันเรื่องภัยธรรมชาติให้ด้วย
              พระท่านบอกว่า ภัยธรรมชาติส่วนใหญ่เกิดจากการที่เราไปตีบ้านทำลายเมืองเขา ถึงเวลาก็ต้องโดนบาง ถ้าไม่รับเลยก็ฝืนกฎของกรรม ถ้ากรรมเก่ามาถึงจริง ๆ ทำให้ต้องเสียหายในส่วนทรัพย์สินและเงินทอง ก็จะให้ชีวิตปลอดภัย
              เพราะฉะนั้น...พระท่านจะทำแค่ไม่เกินกฎของกรรม ถ้าใครรู้ตัวว่าเคยเกเรไว้มาก ก็พกหลาย ๆ องค์หน่อย...!”
*************************

      ถาม :  รถอะไรมี ๓๐ วัน ?
      ตอบ :  รถยนต์มี ๓๐ วัน ถ้ารถคม จะมี ๓๑ วัน ถ้ารถพันธ์ จะมีแค่ ๒๘ วัน...!
              เด็กเขาถาม ถ้าไล่ไม่ทันบางทีก็มึน บางทีเด็กเขามีคำถามแปลก ๆ คำถามประเภทลับสมองประลองเชาวน์เหมือนสมัยก่อนไม่ค่อยมี มีแต่คำถามที่กวนบาทา
              คำถามสมัยก่อนเขาว่า “สี่ขากินเขาเดียว หัวเขียวกินปากอ้า เก่ากินเห็ด เป็ดกินปอย ต้นทายปลายบอก” คืออะไร ? เขาบอกไว้แล้วว่า ต้นทายปลายบอก
              สี่ขากินขาเดียวก็คือเต่ากินเห็ด หัวเขียวกินปากอ้าก็คือเป็ดกินหอย เขาเฉลยไว้เสร็จสรรพแล้ว กวนมากเลย ปล่อยให้เราคิดหัวแทบระเบิด หัวเขียวนี่แสดงว่าเป็ดตัวผู้ เป็ดตัวเมียหัวไม่เขียวหรอก
              ของโบราณเขาจะมีลักษณะที่จะต้องให้คิด แต่ของเด็กปัจจุบันก็ให้คิดเหมือนกัน แต่ให้คิดแบบกวน ๆ ไม่เอาหลักความเป็นจริง ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ ในพระไตรปิฎกมีมากทีเดียว อย่างปัญหาที่างนาควิกา นำมาร้องเป็นเพลงเพื่อให้คนแก้
              เรื่องมีอยู่ว่า ท่านเอรกปัตตนาคราช เคยบวชเป็นพระ จำพรรษาอยู่ชายทะเล ๒ หมื่นปี แต่บังเอิญท่านไปพรากตะไคร้น้ำที่เป็นของเขียว
              ของเขียว ก็คือต้นไม้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังติดอยู่กับที่ ทำให้หลุดออกมาจากฐาน
              ทำให้ท่านโดนอาบัติ (ศีลขาด) คราวนี้ท่านอยู่คนเดียวไม่รู้จะไปแสดงคืนอาบัติกับใคร จิตใจเศร้าหมอง เพราะว่าศีลขาด พอมรณภาพลง ก็เลยได้ไปเกิดเป็นพญานาคเท่านั้น
              ท่านก็รอพระพุทธเจ้ามาโปรด รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ จนกระทั่งมีลูกโตเป็นสาว ก็เลยแต่งเพลงให้ลูกสาวคือนางนาควิกา ไปร้องเพลงที่ชายหาด ท่านเองก็คืนเพศเป็นพญานาค ให้นางนาควิกายืนอยู่บนขนด ร้องเพลงอยู่ในทะเลใกล้ชายหาด ใครสามารถแก้ปริศนาเพลงนี้ได้ จะยกนางนาควิกาและสมบัติต่าง ๆ ให้
              หนุ่ม ๆ ไปกันมากมาย ปรากฎว่าอุตรมาณพ ในอดีตเคยสร้างบุญร่วมกับนางนาควิกา เป็นเนื้อคู่กัน พระพุทธเจ้าเล็งข่ายพระญาณตอนเช้ามืด เห็นว่าสมควรจะไปโปรด จึงเสด็จไปดักทาง อุตรมาณพเห็นนักบวชก็เข้าไปกราบไหว้
              พระพุทธเจ้าท่านก็แสดงให้ทราบว่าท่านเป็นใคร ถามว่า “ท่านอุตรมาณพจะไปไหน ?”
              นี่จำไว้เลยนะ...ลีลาของพระ..รู้ต้องทำเป็นไม่รู้ไว้ก่อน อุตรมาณพก็บอกว่าจะไปร้องเพลงแก้ปัญหานางนาควิกา พระพุทธเจ้าก็ถามว่า ท่านจะแก้อย่างไร ?”
              อุตรมาณพก็ร้องเพลงให้ฟังว่าแต่งมาอย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ถูก แล้วก็สอนให้ใหม่
              อุตรมาณพนำเพลงที่พระพุทธเจ้าสอนให้ไปร้องแก้นางนาควิกาได้ เอรกปัตตนาคราชได้ยินก็ดีใจมาก สะบัดหางจนกลายเป็นคลื่นใหญ่ กวาดคนลงทะเลไปบานเลย ท่านต้องค่อย ๆ เอาหางช้อนคนขึ้นบกมา แล้วจึงแปลงเป็นคน พานางนาควิกาตามอุตรมาณพไป
              ด้วยความที่ในอดีตชาติเอรกปัตตนาคราชเคยเป้นพระมาก่อน ท่านบำเพ็ญภาวนามา ๒ หมื่นปี สิ่งที่ท่านแต่งเป็นเพลงคือหลักธรรม คนที่จะแก้ได้คือต้องรู้ธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้ามีคนแก้ได้ แปลว่าพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นแล้วในโลก
              เมื่อไปเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้าก็เทศน์โปรด อุตรมาณพได้เป็นพระโสดาบัน นางนาควิกากับเอรกปัตตนาคไม่สามารถที่จะบรรลุมรรคผลได้ เพราะว่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทำให้ทิพย์สมบัติทุกอย่างดีขึ้น ตรงจุดนี้ เชื่อว่าพวกรเาได้ิยนมาเยอะแล้ว เคยสงสัยไหมว่า พระพุทธเจ้าสอนให้ร้องเพลงด้วย ? ไม่ค่อยมีใครคิดกันนะ
      ถาม :  นึกไม่ออกว่าท่านจะร้องเพลงแบบไหน ?
      ตอบ :  อย่างไรท่านก็ต้องร้อง ถ้าไม่ร้อง คนหัดจะตามได้ซะที่ไหน อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการมา แล้วท่านได้ที่ ๑ ทุกอย่างด้วย นักร้อง AF สมัยนี้สู้ท่านไม่ได้หรอก
              แต่ว่าพระองค์ท่านทำอยู่ในขอบเขต จิตใจของบุคคลที่ปราศจากกิเลสแล้ว สิ่งที่แสดงออกก็เป็นแค่กิริยาเท่านั้น ไม่ได้เป็นกรรม พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ทำโดยกิริยา ไม่ได้ประกอบไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง กรรมจึงไม่เกิด
*************************

              “รู้ไหมว่าปัจจุบันที่อาตมาหาสาวสวยไม่เจอ เพราะว่าเคยไปเห็นนางฟ้าเข้า สาวอื่นจึงหมดราคาไปเลย
              ภาษิตจีนบอกว่า ผ่านทะเลเห็นน้ำไร้ความหมาย
              คนที่เจอทะเลมาแล้ว แหล่งน้ำอื่น ๆ มีใหญ่เท่าทะเลไหมเล่า ? ไม่มีหรอก อาตมาดันไปเจอของดีเข้า สวยสุด ๆ ไปเลย
              บางทีแม่เจ้าพระคุณมาเป็นสาวตัดผมบ๊อบ นุ่งยีนส์มาก็มี ขอบอกว่าเวลาพรหมเทวดาท่านกวนเรานี่ท่านกวนสุด ๆ อย่างที่มีผีหลอก เอาผ้ามาคลุมแล้วกางแขนวิ่งใส่
              อาตมาถามว่า “ทำอะไร ?”
              “ท่านไม่กลัวหรือ ?”
              “ไม่รู้ว่าจะไปกลัวทำไม ?”
              “เห็นในหนังเขาทำอย่างนี้ แล้วคนกลัว”
ไปเจอผีทันสมัย ดูหนังเสียด้วย
              โดยธรรมดา คาดว่าท่านก็คงต้องเรียบร้อย แต่วิสัยเดิมมีอยู่ ถึงเวลานอกทุ่งนอกท่าได้ ก็ไปกันครึกครื้นเลย
              มีอยู่เที่ยวหนึ่งอาตมาเดินทางกลับจากพม่าแล้ว จากพระบรมธาตุอินทร์แขวน จะเดินทางกลับมาที่เมืองมะละแหม่ง แล้วต่อเข้าเมืองมุด่ง เพื่อเตรียมเดินทางกลับด่านพระเจดีย์สามองค์
              ท่านปู่พระอินทร์มาบอกว่า “เช้านี้พ่อติดภาารกิจ เดี๋ยวจะให้พี่เขามาแทนนะ”
              อาตมาก็ว่า “ได้ครับ ใครมาก็ได้”
              ท่านก็ให้พี่ ๆ มา ๔ - ๕ คน พี่เกศแก้วมณี พี่พรทิพย์ พี่พวงทิพย์ พี่พรสวรรค์
              นาน ๆ พี่ ๆ เขาได้มาสนุกกันสักที ก็เลยแปลงเป็นพระพม่า ห่มจีวรสีแดงแปร๊ด เอาผ้าจีวรคลุมหัว หัวเราะกันกิคกคัก ๆ อยู่บนหลังคารถ อาตมากับครูบาน้อย (พระนาวิน สจฺจญาโณ) เจ้าอาวาสวัดหนองบัว นั่งอยู่หน้ารถคู่กับคนขับ โยมก็อัดอยู่ท้ายรถจนเต็ม พระอาจารย์จันทร์ (พระวิลเลียม จนฺโทภาโส) เจ้าอาวาสวัดชายากง เมืองหงสาวดี จึงต้องขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังคาคนเดียว
              พี่ ๆ ๔ - ๕ ท่าน ก็สนุกกันใหญ่ ปลอมเป็นพระพม่านั้นไม่มีปัญหาหรอก ไปมีปัญหาตอนจะเข้าเมืองมะละแหม่ง ตำรวจจราจรเขาโบกรถให้หยุด ยึดใบขับขี่ไป คนขับถามว่าข้อหาอะไร ? เขาบอกว่าให้พระอยู่บนหลังคารถมากเกินไป จนอาจจะเป็นอันตรายได้...!
              คนขับก็เซ่อรับประทาน เพราะว่าเห็นพระนั่งอยู่รูปเดียว มาบอกว่าพระมากเกินไป คือท่านพี่ ๆ ทำให้จราจรเห็น แต่คนขับไมเ่ห็น
              คนขับก็บอกว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมให้ใบขับขี่ไว้ เดี๋ยวผมไปส่งผู้โดยสารที่มุด่ง เสร็จแล้วค่อยกลับมาคุยกัน” ตำรวจก็ให้ไป ไม่รู้ว่าป่านนี้คุยกันรู้เรื่องหรือยัง...?!!
              คนทั่ว ๆ ไปจะเห็นท่านอาจารย์จันทรฺ์นั่งอยู่รูปดียว แต่ตำรวจจราจรเห็นพระ ๕ - ๖ รูป นั่งอยู่บนหลังคา
              จึงได้รู้ว่า จริง ๆ แล้ว ท่านก็อยากสนุกเหมือนกัน แต่ว่าพี่ ๆ เหล่านั้น เวลาอยู่ข้างบนเป็นผู้ใหญ่มาก เล่นก็ไม่ได้ คราวนี้พอมีน้องเชิญมา ก็เลยปล่อยเต็มที่ วิสัยเดิมเป็นอย่างไรก็มาอย่างนั้นเลย ชอบสนุก ชอบแกล้งคนอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้นเลย ชอบสนุก ชอบแกล้งคนอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น”
*************************

              “เรื่องของเช็งเม้ง หรือเทศกาลไหว้บรรพบุรุษ ถ้าหากว่าผู้ใหญ่ท่านยังอยู่ เราก็ทำไปกับเขาอย่าไปขัดเขา ไปไหว้ร่วมกับเขา พอไหว้เช็งเม้งเสร็จ เราค่อยมาถวายสังฆทานกันทีหลัง
              ในส่วนที่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณี แม้เราจะรู้ว่าไม่ค่อยได้บุญ หรือประเพณีบางอย่างก็แทบไม่มีประโยชน์อานิสงส์เลย แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขายึดถือปฏิบัติกันมานาน
              เพราะฉะนั้น...อย่าไปขัดเขา เราก็เช็งเม้งด้วย พอเช็งเม้งเสร็จ เราก็มาถวายสังฆทานอุทิศให้บรรพบุรุษอีกทีหนึ่ง”
*************************

              “เรื่องของฮวงจุ้ยที่ทำให้เกิดสุสานต่าง ๆ ขึ้นมา คนจีนเขาจะถือว่า ความมั่นคงของสุสานบรรพบุรุษ ก็คือ ความมั่นคงของวงศ์ตระกูลหรือบุตรหลาน
              เขาจะเลือกฮวงจุ้ยที่หลังพิงเขา หน้าหันลงน้ำ ถ้าซ้ายขวามีภูเขาขนาบด้วย่ิงดี แต่ว่าฮวงจุ้ยของเขาจะเป็นแนวเหนือ - ใต้ ยิ่งถ้ามีแนวเขาวิ่งยาวจากเนหือลงใต้จะยิ่งดี และถ้ามาสิ้นสุดลงตรงหน้าแนวเขาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ยิ่งชอบใจ เพราะเขาถือวาเป็นมังกรลงทะเล มังกรจะแผลงฤทธิ์ได้เต็มที่ก็ตอนอยู่ในทะเล...ใช่ไหม ? เขาจะเลือกหาที่ที่เหมาะสม แล้วไปตั้งฮวงจุ้ย
              ปี๒๕๑๘ ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด ทองคำบาทหนึ่งยังราคาพันกว่าบาทอยู่ ขึ้นเต็มที่ก้ประมาณสองพัน ทางบ้านอาตมาซื้อฮวงจุ้ยหลังละสองหมื่นห้า...! แปลว่าใช้ทองสิบกว่าบาท ซื้อพื้นที่แค่นิดเดียวเท่านั้นเอง แต่เขาว่ทำเลดี”
*************************

              “ฝรั่งเขาได้ทำวิจัยแล้ว พบว่าในเรื่องการเจ้บไข้ได้ป่วยต่าง ๆ ผู้หญิงจะมีความอดทนมากกว่าผุ้ชายหลายเท่า เพราะว่าธรรมชาติเขาสร้างความอดทนให้แก่ผู้หญิงมากกว่า
              ตั้งแต่คลอดลูก สมัยก่อนเขาไม่มียาฉีด ไม่มีการบล็อกหลัง คลอดลูกแต่ละครั้งแทบปางตาย ก็เลยสร้างความอดทนให้เพศหญิงมากกว่า เพราะฉะนั้น...ถ้าอาการป่วยหนักเท่า ๆ กัน ส่วนใหญ่ผู้ชายจะตายก่อน ส่วนผู้หญิงตายยาก...!
*************************

      ถาม :  อยากทราบรายละเอียดของพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ?
      ตอบ :  พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ กว้าง ๓๐ โยชน์ ยาว ๖๐ โยชน์ เป็นหินสีเหลืองแดง แต่ว่าเนื้ออ่อนเหมือนสำลี ถ้านั่งลงจะจมลงประมาณถึงสะดือ นิ่มขนาดนั้น
              พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์จะแข็ง ก็ต่อเมื่อบุคคลที่มีศีลมีธรรมในโลกมนุษย์ ที่สร้างสมบารมีมาดี มีความเดือดร้อน พระแท่นจะแข็งขึ้นมา พระอินทร์ก็จะส่องทิพเนตรดูว่าเกิดจากอะไร และสามารถช่วยเหลือได้อย่างไร
              ฉะนั้น...ถ้าใครอ่านวรรณคดีเรื่องสังข์ทอง อาจจะเคยได้ยินว่า
              มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวสหัสนัยน์ไตรตรึงษา
              ทิพอาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา กระด้างดั่งศิลาประหลาดใจ
              จะมีเหตุแม่นมั่นในแดนดิน อมรินทร์เร่งคิดสงสัย
              จึงสอดส่องทิพเนตรดูเหตุภัย ก็แจ้งใจในนางรจนา ฯลฯ
*************************

              “กาแฟเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ๆ เพราะเวลากินเข้าไป จะไปทำให้จังหวะหัวใจเต้นเร็วขึ้น พอหมดฤทธิ์ หัวใจก็กลับมาเต้นเท่าเดิม พอโดนเข้าบ่อย ๆ กลายเป็นว่า หัวใจเต้นผิดปกติโดยอัตโนมัติ ก็จะพังเร็ว เพราะว่าเครื่องเดินรอบไม่เท่ากันบ่อย ๆ
              ถ้าใครกินกาแฟเป็นประจำ ต้องเตรียมสตางค์ไว้รักษาโรคหัวใจด้วย รับรองว่าได้เจอแน่นอน...!”
*************************

      ถาม :  แผ่นดินจะไหวไปถึงเมื่อไร มีอะไรป้องกันได้ ?
      ตอบ :  วัตถุมงคลทุกอย่างที่เป็นคุณพระกันได้ แต่ว่าเราต้องอาราธนาเป็นประจำ
*************************

              “ในบาลีเขาบอกว่า อาหาระนิททัง ภะยะเมถุนัญจะ สามัญญะ เปตัปปะสุภีนะรานัง
              อาหาระ
คือ อาหาร
              นิททัง คือ การนอน
              ภะยะ คือ ความกลัวภัย
              เมถุนะ คือ การเสพกาม
              สามัญญะเปตัปปะสุภีนะรานัง มีความเสมอเหมือนกันระหว่างบุคคลและสัตว์
              ปะสุ คือ สัตว์
              นะรานัง คือ คนทั้งหลาย
              ธัมโมหิ เตสัง อะธิโก วิเสโส มีแต่ธรรมะเท่านั้นที่ทำให้แตกต่างกันได้
              ธัมเมนะ วีณา ปะสุภิสสะมานา เพราะหลักธรรมของพระพุทธเจ้า จึงทำให้คนต่างไปจากสัตว์
              เพราะฉะนั้น..ถ้าเรากลัวภัย ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์ มีความกลัวภัยเป็นเรื่องปกติของเขา เมื่อถึงเวลากลัวภัยก็ต้องหาวิธีหนีภัย หลบหลีก ป้องกัน ต่อสู้ แล้วแต่สถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร
              เมื่อรังสีจากญี่ปุ่นใกล้มาถึงไทย มีแต่คนโทรหา “มีวัตถุมงคลอะไรที่กันรังสีได้บ้าง ?”
              ท้ายสุดก็เลยต้องแนะนำ พระสมเด็จหางหมากของหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกไว้ชัดเจนสุดว่า “รัศมีสี่เมตร รังสีเข้าไม่ได้”
              ที่กล่าวไว้ชัด ๆ อีกจุดหนึ่ง ก็เป็นปฐวีธาตุของหลวงปุ่เจ้าคุณนรฯ ตอนที่ท่านเสกเสร็จท่านบอกว่า มีอานุภาพกันรังสีได้ แต่ว่าปฐวีธาตุมีปลอมกันเยอะมาก เพราะว่าในสายตาคนทั่วไป ก็เป็นแค่เม็ดกรวดล้างสะอาดหน่อยเท่านั้นเอง
              ถ้าไม่ได้รับมาจากมือของคนที่เชื่อถือได้และมีประวัติชัดเจน ก็อย่าไปเสี่ยงเลย เพราะว่าอะไรที่ดังขึ้นมา ตลาดท่าพระจันทร์จะมีขายเป็นคันรถในเวลาที่ไม่นาน ตอนนี้ท่าพระจันทร์ปลอมพระกริ่งพิชัยสงคราม เหรียญทำน้ำมนต์ และ พระองค์ที่ ๑๑ ของวัดท่าขนุนกันแล้ว เพียงแต่ฝีมือหยาบไปหน่อย”
*************************

              “ที่วัดเจดีย์หลวง เขาเก็บพระธาตุของครูบาอาจารย์เอาไว้มาก เก็บไปเก็บมา เก็บของหลวงพ่อวัดท่าซุงไว้ด้วย ไม่รู้ไปเอามาจากไหน”
      ถาม :  เอาไว้ที่ไหนครับ ?
      ตอบ :  ถ้าเราเดินเข้าประตูหน้า จะอยู่ทางด้านหลังซ้ายของเจดีย์ เป็นหอเก็บพระธาตุ
              แต่งานของหลวงปู่จันทร์ อลังการจริง ๆ นกหัสดีลิงค์ของหลวงปู่งามมาก ตามความเชื่อของคนโบราณ เขาเชื่อว่านกหัสดีลิงค์จะปรากฎก็ต่อเมื่อมีผู้มีบุญมาเท่านั้น
              หัสดีลิงค์ แปลว่า นกที่มีเพศเหมือนช้าง หรือบางคนบอกว่านกที่ตัวใหญ่เท่าช้าง บางคนก็บอกว่าเป็นนกที่กินช้างเป็นอาหาร อย่างสุดท้ายนี่น่ากลัว ใหญ่ขนาดกินช้างเป็นอาหารได้..!
              เขาบอกว่า ผุ้มีบุญจะขี่นกหัสดีลิงค์เพื่อไปสู่ป่าหิมพานต์ นกเขาจะมารับ
              ดังนั้น...บุคคลซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ โดยเฉพาะบรรดาเจ้าเมืองหรือพระเถระผู้ใหญ่ เมื่อสิ้นชีวิตลง จะมีการสร้างที่ตั้งศพเป็นรูปนกหัสดีลิงค์เพื่อเผาส่งท่าน ในลักษณะว่าท่านเป็นผู้มีบุญขี่นกหัสดีลิงค์ไป
              กลายเป็นว่า สร้างสวยเท่าไหนก๋ตาม ท้ายสุดก็ต้องเผาไปพร้อมกับท่านด้วย งานของหลวงปู่พระพุทธพจน์วราภรณ์ (จันทร์กุสโล) มีใครได้ไปบ้างไหม ? เขาสร้างนกหัสดีลิงค์งามมาก ๆ สมกับเกีรติยศของท่านจริง ๆ
*************************