​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๗๖

 

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม ๒๕๕๔


              ดังนั้น...พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเอาไว้ใน มังคลสูตร ว่า
              เอตัมมัง คะละมุตะมัง การมีศิลปะถือว่าเป็นสุดยอดอุดมมงคล
              ศิลปะในที่นี้ คือ ศิลปะในการดำรงชีวิต ศิลปะการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น ศิลปะในการปฏิบัติหน้าที่การงาน ทำอย่างไรที่จะเข้ากับคนอื่นให้ได้ดีที่สุด ? สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ แม้จะเป็นของเก่าของโบราณ แต่ก็ไม่เคยล้าสมัย ทว่า..สำหรับบุคคลที่ปรับใช้ไม่เป็นแล้ว ก็จะล้าสมัย ไม่เห็นประโยชน์
              ดังนั้น..สิ่งที่พูดในวันนี้ ขอให้พวกเราจำขึ้นใจเลยว่า ถ้าในสายตาของพระ ประเมินงานของคุณแล้วยังตก ในสายตาของเจ้านายที่ประเมินคุณแล้ว ก็ไม่น่าจะได้ ต้องตกเหมือนกัน ยับเยินพอ ๆ กัน
              พวกคุณลองนึกดูซิว่า ในการประชุมงานแต่ะลครั้ง หลังจากที่ผ่านไปได้ระยะหนึ่งแล้ว มีการงัดข้อกันหน้าดำหน้าแดง ไม่มีใครลงให้ใคร สุดท้ายสรุปงานลงไม่ได้ มีบ้างไหม ?
              แล้วเราเคยถามตัวเองบ้างไหม ว่านี่เป็นความผิดของเราหรือเปล่า ? ไม่ใช่มองไปว่าคนอื่นผิด
              ถ้าเราสรุปได้อย่างไม่เข้าข้างตัวเองแล้วว่าเราไม่ผิด ก็แปลว่า เราสรุปผิด เพราะว่าเราผิดตั้งแต่เสือกทะลึ่งมีเพื่อนร่วมงานแบบนี้แล้ว...!

              ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ในมุมมองส่วนตัวของเราเองอาจจะแคบเกินไป ต้องให้คนอื่นเขามองบ้าง ฝรั่งเขาว่า Thinking outside the box ต้องมองนอกกรอบ
              ออกไปยืนข้างนอก แล้วลองมองเข้ามาว่า ถ้าเป็นสายตาคนอื่นแล้ว เขาจะมองเราอย่างไร ? เขามองด้วยความอิจฉาและเลื่อมใส หรือเขามองเราด้วยความเวทนาสงสาร ? ถ้าเราคิดโดยไม่เข้าข้างตัวเอง จะต้องมีสักวันที่เรารู้สึกว่าตัวเราน่าเวทนาเหลือเกิน
              ความชำนาญของเราเพียงด้านเดียวอาจจะไม่เพียงพอ แต่โบราณเขาบอกไว้ว่า
              อันความรู้รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล
              นั่นแปลว่า เราต้องเชี่ยวชาญจนสามารถพลิกแพลงตามสถานการณ์ ตามโอกาส ตามเวลาได้ ไม่ใช่ประเภทเก่งเฉย ๆ
              ผู้รู้ท่านบอกว่า เก่ง คือ รู้เท่าที่อาจารย์สอน
              ถ้ายอด...ต้องพลิกแพลงคำสอนของอาจารย์ไปใช้งานได้
              แต่ถ้าจะให้เยี่ยมจริง ๆ ...คุณต้องบัญญัติใหม่ด้วยตัวเอง

              คุณต้องตั้งคำถามกับตัวเองดูบ้างว่า ในบางสิ่งบางอย่างที่คุณทำนั้น ทำไมบางเวลาคำตอบที่ได้จึงไม่ตรงกับที่คุณคิด ?
              คุณต้องรู้ว่า ถ้าหากว่า Input ผิด คำตอบทุกคอบตอบก็จะผิดไปด้วย ความจริง Input ไม่ได้ผิด แต่อาจจะสลับข้างเฉย ๆ จากหนึ่งสอง กลายเป็นสองหนึ่ง ก็ตัวเลขเดียวกัน แต่ทำไมจำนวนถึงได้ต่างกันขนาดนี้ ?
              ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราต้องดูว่า คำถามบางคำถาม เราอาจจะถามในส่ิงที่เราอยากรู้ แต่ขณะเดียวกัน นั่นเป็นส่ิงที่เขาอยากบอกกับเราหรือเปล่า ?
              ถ้าหากว่าเราถามในสิ่งที่เราอยากรู้ เราจะได้คำตอบหนึ่ง แต่ถ้าถามในส่ิงที่เขาอยากบอกอยากเล่า เราจะได้อีกคำตอบหนึ่ง แล้วผลจะต่างกันมหาศาล
จึงได้บอกว่าถ้า Input ผิด Output ก็จะแย่ไปด้วย
              ตกลงวันนี้ธรรมะมีภาษาประหลาดขึ้นมาเยอะแยะ ต้องขออภัยด้วย...เพราะว่าพอเห็นแล้วอดนึกถึงตัวเองไม่ได้ พอนึกถึงตัวเองว่าทำไมกูเก่ง ..!!? ก็เพราะว่ารู้จักปรับเอาหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาใช้
              ขณะเดียวกัน บางคนก็ตรงเป็นไม้บรรทัดจริง ๆ ยึดหลักวิธีการเดียวเหนียวแน่น ผิดไม่ได้ พลาดไม่ได้ ไม่กล้าก้าวล้ำกรอบออกไป
              อาตมาเป็นเด็กนักเรียนที่เกเร สู้ครูด้วย ถึงขนาดบอกว่า “ถ้าเป็นเรื่องในตำรา ครูจะออกตรงไหนมาก็ได้ ถ้าผมทำแล้วไม่ได้คะแนนเต็ม ตีผมกี่ทีผมก็ยอม แต่ถ้าผมทำแล้วได้คะแนนเต็ม ครูต้องให้รางวัลผมด้วย” มีบ้างไหมเด็กที่สู้ครูขนาดนี้ ?
              ครูท่านจึงออกข้อสอบมา ๒๐ ข้อ อาตมาทำเสร็จได้ ๒๐ คะแนน แต่ไม่มีรางวัล ก็ไปถมว่าทำไมไม่มีรางวัล ?
              ครูท่านบอกว่า “ลายมือเธอไม่ดีพอ ครูตัดไปครึ่งคะแนน แต่ครูเมตตาก็เลยปัดเต็ม ๒๐ เธอได้เต็มเพราะครู เธอก็เลยไม่ได้รางวัล”
              เป็นอย่างไร ? ถ้าท่านไม่แน่จริง ท่านก็ไม่มาเป็นครูของอาตมาเหมือนกัน
              นี่คือสิ่งที่อยากบอกพวกคุณว่า คนเราสามารถแหกคอกได้ ถ้ามีความสามารถจริง แต่อยากไปให้ไกลคอกนัก
              พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าเขาขีดเส้นวงกลมไว้ หัวแม่เท้าซ้ายเราอาจจะแตะที่วงกลม แต่เท้าขวาก้าวออกนอกวงกลมไปแล้วสักสองเมตร ให้ยึดเกาะเส้นเอาไว้ แนวกรอบจะแนวให้เราเดิน
              เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องฆราวาส ไม่น่าจะเกี่ยวกับพระ แต่ไป ๆ มา ๆ เป็นเรื่องที่พระต้องมานั่งบอกโยม เพราะว่าโยมปรับเอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้าไปใช้ไม่เป็น
              ให้ทุกคนกลับไปแล้วทบทวนประเมินตัวเอง สรุปออกมาให้ได้ว่าในเรื่องของงานที่เราทำนั้น เราเองถือเอาส่วนรวมมากกว่าส่วนตัวหรือเอาส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม ?
              เราเอาความรักใคร่สามัคคี ความก้าวหน้าของหมู่คณะเป็นใหญ่ หรือไขว่คว้าเพื่อความเจริญของตัวเองเป็นใหญ่ ?
              ขณะเดียวกัน ในเรื่องของการงานนั้น เราสักแต่ว่าทำตามคำสั่งอย่างเดียว โดยที่ไม่มีการพลิกแพลง หรือรู้จักปรับเปลี่ยนเพื่อให้งานนั้นเสร็จง่ายลง ?

              เรื่องพวกนี้คงไม่ยากเกินกำลัง ที่พวกเราจะไปทบทวนแล้วแก้ไข เพื่อความเจริญก้าวหน้าต่อไป
              อาตมาชอบตีหมาตอนทำผิด ถ้าไม่ตีตอนนั้นแล้วหมาจะไม่จำ ต้องผัวะลงไปให้ร้องเอ๋งแล้วจะจำเลย แต่ถ้าราเงื้อไม้แล้วปล่อยให้หมาวิ่งไปสักก้าวสองก้าว แล้วเราค่อยไปตี หมาจะไม่รู้แล้วว่าเราตีเพราะอะไร กลายเป็นว่าเราไปรังแกหมา...!
              ถ้ามีโอกาสขึ้นไปเป็นครูบาอาจารย์ หรือไปเป็นเจ้านายเขา อย่าปล่อยให้ความผิดต่าง ๆ ยืดเยื้อ เพราะจะทำให้ห้องเรียนหรือหน่วยงานเขาเสียหาย ถ้าผิดก็ต้องจี้ให้แก้ไขเดี๋ยวนั้นเลย
              เราอาจจะเป็นเจ้านายหรือเป็นครูบาอาจารย์ที่จู้จี้ขี้บ่น แต่ท้ายสุดพอลูกน้องแก้ไขหรือทำตาม นาน ๆ ไปเขาก็จะได้แบบอย่างที่ดีไปใช้ในโอกาสข้างหน้า
*************************

      ถาม :  คำสอนของพระพุทธองค์ ทรงสอนเป็นกลาง ไม่น่าจะแบ่งว่าพระหรือฆราวาส ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วก็คือ ใครนำไปใช้ก็ได้ประโยชน์ เพราะธรรมะของพระองค์ท่านเป็นสากล ไม่โดนจำกัดด้วขอบเขตใด ๆ ทั้งสิ้น
              ไม่ใช่ว่าศาสนาพุทธไปปฏิบัติแล้วได้ ขณะเดียวกัน ศาสนาคริสต์ปฏิบัติแล้วไม่ได้...ไม่ใช่
              ทุกศาสนาถ้าตั้งใจปฏิบัติก็ได้หมด หลักธรรมเป็นหลักสากล พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนแล้วใน ธรรมนิยาม ว่า
              อุปปาทา วา ภิกขเว ตถาคตานัง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตทั้งหลายจะเกิดขึ้นก็ดี
              อนุปปาทา วา ตถาคตานัง ตถาคตทั้งหลายจะไม่เกิดขึ้นก็ดี
              ฐิตา ว สา ธาตุ ธัมมัฏฐิตะตา ธรรมทั้งหลายก็ตั้งมั่นเป็นปกติอยู่อย่างนั้นแล้ว ก็คือมีอยู่แล้วเป็นปกติ
              ธัมมะนิยามะตา คำจำกัดความของธรรมเหล่านั้น คือ
              สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง คน สัตว์ วัตถุธาตุ ส่ิงของ มีสภาพเหมือนกันหมด เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด
              สัพเพ สังขารา ทุกขาติ สังขารทั้งหลายมีสภาพที่ต้องทนต่อการเสื่อมสลายเป็นปกติ
              สัพเพ ธัมม อะนัตตาติ สังขารทั้งหลายไม่สามารถยึดถือมั่นหมายได้ เพราะไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่คงทน จนกระทั่งสามารถยืนหยัดคู่ฟ้าดินอยู่ได้
*************************

      ถาม :  ท่านสอนให้อ่อนน้อมถ่อมตน ถ้าเรายอมอ่อนน้อมมาก แต่เพื่อนร่วมงาน ?
      ตอบ :  อย่างที่บอกว่า หัวแม่เท้าข้างหนึ่งให้แตะขอบเส้นไว้ ยึดหลักการไว้ ในเมื่อยึดหลักการไว้ หากเขาผิดหลักการ เราก็จัดการได้เลย แหกคอกได้ แหกไปเลย แต่หัวแม่เท้าแตะขอบเส้นไว้หน่อย เพราะว่าถ้าเราหลุดกรอบไป คนอื่นเขาจะเล่นงานได้ แต่ถ้ายังอยู่ในกรอบ เขาเล่นงานเราไม่ได้หรอก
      ถาม :  คนตรงทำไมอยู่บนโลกลำบาก เจอคนเลวก็มาก ?
      ตอบ :  บอกแล้วว่า ตรงจนเลี้ยวไม่เป็นก็อยู่ลำบาก ถ้าคุณเลี้ยวเป็นโดยยึดหลักการอยู่ ก็ไม่ลำบากหรอก
*************************

      ถาม :  เจอกฎของกรรมทำให้ทุกข์ พระท่านก็เมตตาสงเคราะห์ให้คล่องตัวแต่ไม่รวย ?
      ตอบ :  คล่องตัวนี่ยังไม่พอใช่ไหม ? อยากจะรวยก็ทำแล้วไม่ต้องกินไม่ต้องใช้ รวยแน่...!
*************************

              พระชัยวัฒน์เกราะเพชรเนื้อทองคำรุ่นนี้ อาตมาจะไม่บอกว่ามีตำหนิตรงไหน แต่ให้รู้ว่ามีตำหนิอยู่สองแห่งที่ไม่มีใครปลอมได้
              ตำหนิแรก เป็นเลเซอร์
              ตำหนิที่สอง คนแต่งพยายามทำไว้เพื่อป้องกันปลอม

              เนื้อทองคำรุ่นนี้มี ๘๔ องค์ เท่ากับอายุในหลวง ร.๙ เพราะฉะนั้น...จำเป็นที่จะต้องป้องกันปลอมไว้นิดหนึ่ง
              เดี๋ยวนี้คอมพิวเตอร์สามารถถอดแบบได้ ถ้าถอดแบบได้ ก็จะรู้ว่าตรงนี้เป็นตำหนิของเรา ลักษณะเดียวกันแบบนั้นถอดเลเซอร์ไม่ได้ อาตมาเองไม่กล้าที่จะสร้างพระเนื้อทองคำในระยะนี้ เพราะว่าปกติของเราก็ไม่ได้เป็นไปตามราคาในท้องตลาดอยู่แล้ว
              การสร้างพระเนื้อทองคำนั้น พอเป็นองค์พระขึ้นมา ก็ต้องชั่งดูว่าน้ำหนักเท่าไร แล้วเทียบราคาทองในปัจจุบันคูณด้วยสาม ถึงจะเป็นราคาของวัตถุมงคลเนื้อทองคำ
              พูดง่าย ๆ ว่า พระเนื้อทองคำจะมีราคาเป็นสามเท่าของทองคำปกติ นี่เป็นอัตราสากล ทั่วประเทศเขาก็คิดกันอย่างนี้
              สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็โดนเขาด่าเป็นปกติ เพราะวัตถุมงลหลวงพ่อชิ้นละ ๑๐ บาท ๒๐ บาท ราคาสูงสุด ๓๐ บาท คนเขาก็โวยวาย เขาบอกว่า ในท้องตลาดราคา ๖๐-๘๐ บาท ของหลวงพ่อราคาแค่ ๒๐ บาท
              หลวงพ่อท่านบอกว่า “ข้าขาย ๒๐ บาท ข้าก็ได้ ๒๐ บาท เพราะว่าลูกศิษย์ทำให้ฟรี แล้วจะไปเอาอะไรเยอะแยะ”
              อาตมามีประสบการณ์มาตั้งแต่เด็กแล้วว่า ถ้าจับวัตถุมงคลที่ผ่านการพุทธาภิเษกเมื่อไร จะมีพลังวิ่งจี๋ขึ้นถึงหัวเลย จะปวดขมับทั้งสองข้างขึ้นมาทันตา เคยเล่าให้น้องเล็ก (คุณจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ฟัง น้องเล็กบอกว่าเขาไม่เป็น แต่พอตรวจนับพระชัยวัฒน์เกราะเพชรเนื้อทองคำรุ่นนี้ น้องเล็กมึนจนกระทั่งยืนไม่ติด อาตมาบอกว่า “รู้แล้วใช่ไหมว่าอาการของการจับวัตถุมงคลที่เข้าพิธีแล้วเป็นอย่างไร ?”
              เขาบอกว่า “ไม่รู้ว่าจะแรงอย่างนี้”
              ส่วนที่แรงนั้นด้วยสองสาเหตุ
              สาเหตุแรก เพราะว่าทองคำที่สร้างวัตถุมงคลรุ่นนี้ เข้าพิธีพุทธาภิเษกมาแล้ว มีหลวงปู่พูน วัดบ้านแพน หลวงพ่อชำนาญ วัดบางกุฎีทอง ครูบาเหนือชัย วัดถ้ำป่าอาชาทอง ร่วมกันปลุกเสกด้วย
              สาเหตุที่สอง วัตถุมงคลเป็นเนื้อทองคำ ซึ่งรับพลังได้มากที่สุด เรื่องนี้อาตมาเองไม่ทราบหรอก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้
              วัตถุมงคลรุ่นนี้อย่าคิดว่าหล่อขึ้นเฉย ๆ ยังไม่ได้เข้าพิธีนะ เข้าพิธีตั้งแต่ยังเป็นแท่งทองอยู่เลย ญาติโยมทั้งหลายไม่มีก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะว่าพระที่แจกในวันนี้ หน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว ไม่มีอะไรต่างกันเลย เราเอาไปเลี่ยมใส่กรอบทอง เขาก็คิดว่าเป็นทองคำเหมือนกัน
              พูดถึงทองคำก็นึกถึงพี่ประสิทธิ์ พี่ประสิทธิ์เป็นพี่ชายที่สนิทกันมาก พี่เขาเป็นแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งที่ทำให้อาตมาเข้าวัด เพราะว่าพี่ประสิทธิ์สนใจการปฏิบัติมาตั้งแต่แรก ตอนนั้นอาตมาซื้อทองคำมา ๒ แท่ง แท่งละ ๑๐ บาท กลับบ้านไปก็โยนโครมไว้บนเตียง แล้วก็ไปทำงานต่อ
              พี่ประสิทธิ์มาเห็นเข้า ก็หยิบดู “ไอ้ห่...ของแบบนี้ยังเอามาทำของเล่น” แล้วเขาก็โยนไว้ที่เดิม คิดว่าเป็นของปลอม อาตมาเองก็ไม่บอกหรอกว่าของจริง ถ้าบอกเดี๋ยวหาย...!
              อยากจะถามโยมว่า เคยจับทองคำน้ำหนักมากที่สุดเท่าไร ? ถ้าเป็นทองแท่งหรือทองรูปพรรณ เท่าที่อาตมาเคยจับก็คือ ชิ้นละ ๑ กิโลกรม แต่ถ้าทองธรรมชาตินี่บอกไม่ถูก เพราะว่าเคยตักขึ้นมาเป็นจอบ ๆ เลย ไม่รู้เหมือนกันว่าเท่าไร อาตมาก็เพิ่งรู้ว่าทองธรรมชาติจะละเอียดเหมือนกับทราย
              ตอนนี้มีคนเขาวางแผนกันจะไปเอาทองคำ อาตมาก็วางแผนสะสมพระพุทธรูปและผ้าไตร พอถึงเวลาอาตมาเป็นเจ้าภาพงานศพ จะได้ถวายพระพุทธรูปและผ้าไตร ให้พระที่มาสวดพระอภิธรรม...!
              บรรดาพระเณร ตลอดจนญาติโยมที่วัดท่าขนุน เขาบอกว่าขอตายก่อนหลวงพ่อ เพราะว่าหลวงพ่อทำบุญให้แต่ละรายน่าชื่นใจเหลือเกิน
              งานล่าสุดที่ผ่านมาก็คือ คุณยายจันทร์ บัวผัด อาตมาทำบุญให้คุณยายจันทร์ ๖ วัน วันที่ ๗ เลี้ยงเพลแล้วก็เผาเลย ดังนั้น ๖ วันที่ผ่านมา ถวายพระพุทธรูปแก้วทรงเครื่อง ขนาด ๙ นิ้ว วันละ ๔ องค์ ถวายผ้าไตรวันละ ๔ ไตร และถวายปัจจัยให้พระสวดอย่างต่ำรูปละ ๕๐๐ บาท ถ้ามีมากกว่านั้นก็จะใส่เกิน ๕๐๐ บาท ถือว่ามีเงินไม่รู้จะทำอะไร แบ่ง ๆ ให้พระเณรได้ใช้บ้าง...!
              ดังนั้น...เมื่อเขามาถามทางไปภูเขาทอง อาตมาบอกทางเสร็จ ก็เร่ิมเก็บพระพุทธรูปและผ้าไตรไว้เลย คาดว่าได้ใช้แน่...!
              อะไรก็ตามที่วาระยังไม่ถึง ยังไม่เหมาะไม่ควร ถือว่าเราเตือนคุณแล้ว โดยเฉพาะถ้ามีพระไปด้วย พระมักจะโดนก่อน ไม่รู้ว่าเป็นอะไร มักจะเห็นพระเป็นหัวหน้าทีม ทั้ง ๆ ที่ต้นความคิดก็ไม่ใช่อาตมา
              ลองถามทิดตู่ดูสิ พรรคพวกชวนไปเอาพระธาตุพระสีวลี จนตัวเองแย่อยู่คนเดียว ตกเขาเกือบตาย เขาเหมาว่าคนนี้คือหัวหน้าทีม ทั้ง ๆ ที่คนอื่นชวนไปแท้ ๆ
              ทิดตู่ไปแล้วตกเขา ยังดีที่ดวงไม่ถึงฆาต ไวเป็นลิงเลย แทนที่จะพลาดเอาหัวลงพื้น เท้าก็ไปเกี่ยวกับเถาวัลย์เข้า แต่ก็ถูกเถาวัลย์บาดขา เพราะว่าเวลาน้ำหนักกระชากลงมา ไม่ว่าจะเป็นเถาวัลย์หรือเชือกก็บาดได้ กลับมาแดงเถือกไปทั้งแถบ...!
*************************

              สถานที่นี้ (บ้านวิริยบารมี) เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่กรปฏิบัติธรรมมาก เพราะเจ้าที่เป็นอากาศเทวดา ปกติอากาศเทวดาที่เป็นเจ้าที่นั้นหายากมาก ได้ภุมมเทวดาบารมีสูง ๆ ก็ยากแล้ว ถ้าไม่ใช่สถานที่สำคัญจริง ๆ ก็มักจะมีภุมมเทวดาดูแลอยู่ แต่สถานที่นี้ได้เปรียบ เพราะเจ้าที่ท่านดูแลวัดอยู่ โดยเฉพาะวัดในบิรเวณนี้มี ๗ -​ ๘ วัด ใกล้ ๆ กัน ท่านก็เหมารวมบ้านพลังนี้ไปด้วย
              ท่านบอกอาตมาตั้งแต่ตอนบวงสรวงครั้งแรกว่า ไม่ต้องตั้งศาลให้ท่านก็ได้ นึกถึงท่านก็พอ อาตมารู้สึกไม่ค่อยดี ก็เลยขอตั้งศาลหน่อย ศาลข้างหลังที่เห็นไม่ใช่อาตมาตั้งนะ คนงานเขาตั้งกันเอง แสดงว่าโดนกันจนเข็ด...!
              เดี๋ยวอาตมาจะไปรื้อทิ้ง เพราะว่าศาลที่อาตมาตั้ง ก็คือที่ใครเห็นก็คิดว่าเป็นหิ้งพระติดข้างตึก
      ถาม :  หิ้งพระวิสุทธิเทพ ?
      ตอบ :  นี่แหละศาลเจ้าที่ของอาตมา บอกกับท่านว่า ถ้าไหว้พระ ก็คือตั้งใจนึกถึงและแสดงความเคารพถึงท่านด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าเราเป็นพระแล้วไปไหว้เทวดา ท่านก็คงไม่ยอมรับ
              อาตมาเคยไปไหว้พ่อปู่ฤๅษีทุ่งใหญ่ พอจุดธูปเสร็จ ท่านบอกว่า “ปักธูปเฉย ๆ ก็พอ ไม่ต้องไหว้ผมนะครับ เพราะว่าผมมีแค่ศีลแปดเอง”
*************************

              เมื่อเช้าพูดไปว่า การสร้างวิหารทาน ถ้าเป็นสถานที่ซึ่งใช้ประจำ จะมีอานิสงส์มหาศาล เพราะว่าเขาใช้กี่ครั้ง บุญก็เป็นของเรา
              โดยเฉพาะเจ้าภาพที่สร้างโบสถ์ สังฆกรรมทุกอย่างในส่วนของสงฆ์ต้องใช้โบสถ์ทั้งนั้น โดยเฉพาะการบวชพระ คือการให้กำเนิดซึ่งพระสงฆ์ จะต้องอยู่ในเขตสีมาของโบสถ์เท่านั้นถึงจะทำได้
              ไม่เหมือนกับกฐิน กฐินเป็นญัตติทุติยกรรม สามารถที่จะสวดนอกพื้นที่โบสถ์
              แต่ถ้าเป็นญัตติจตุตถกรรม ก็คือ สวดประกาศ ๑ ครั้ง สวดยืนยันอีก ๓ ครั้ง รวมเป็น ๔ ครั้ง จึงเรียกว่าเป็น จตุตถกรรม คือทำ ๔ ครั้ง ถ้าอย่างนั้นต้องทำในเขตสีมาเท่านั้น
              แต่ทางพม่าไม่นิยมสร้างโบสถ์ราคาหลายล้าน พม่าสร้างโบสถ์ครึ่งวันก็เสร็จแล้ว ถึงเวลาก็ระดมกันไปตัดไม้ไผ่ มัดแล้วก็โยนตูมลงน้ำ ให้ห่างจากฝั่ง ๖ เมตรก็นับเป็นโบสถ์น้ำ ใช้งานได้แล้ว เห็นพม่าสร้างโบสถ์แล้วแทบน้ำตาเล็ด
              ยิ่งไปเห็นกะเหรี่ยงสร้างโบสถ์ก็พอ ๆ กัน กะเหรี่ยงใช้ไม้จริง (ไม้กระดาน) แต่ทำเป็นกระต๊อบเล็ก ๆ อยู่กลางน้ำ บางครั้งโบสถ์ของเขาก็โยกไปโยกมา
              ที่เขาสร้างถือว่าถูกต้องตามพระวินัย ทานบอกว่า อุทกุกเขปสีมา ก็คือ สีมาที่ใช้น้ำเป็นเขต ต้องห่างจากฝั่งในช่วงระยะ ๗ อัพภันดร ๑ อัพภันดร เปรียบได้กับระยะที่บุรุษผู้มีกำลังปานกลางวักน้ำสาดถึง เพราะฉะนั้น...วักน้ำ ๗ ครั้ง ก็ห่างประมาณ ๖ เมตร
              อย่างเกาะพระฤๅษีถือว่าเป็นอุทกุกเขปสีมาได้ แต่อุโบสถที่เกาะพระฤๅษี ห่างจากฝั่งด้านนอกน่าจะเกิน ๓๐ เมตร
              ที่อื่นเขาจะมีการสวดทักนิมิต คือ สมัยโบราณท่านไม่ได้สร้างโบสถ์เป็นหลังอย่างในปัจจุบัน ท่านใช้กำหนดนิมิตเอา คำว่านิมิตก็คือเครื่องหมาย โดยการส่งพระ ๘ รูป ออกไปแปดทิศ ในระยะที่พระทั้งหมดสามารถเข้าไปนั่งทำสังฆกรรมได้โดยสะดวก ท่านที่เป็นประธานก็จะสวดถามแต่ละรูป
              อย่างเช่นว่า ปุรัตถิมายะ ทิสายะ กิง นิมิตตง ทิศตะวันออกนั้นมีอะไร เป็นนิมิตหรือ ?
              ก็จะมีคำตอบว่า ปาสาโณ ภัณเต ก้อนหินขอรับ
              รุกโข ภัณเต ต้นไม้ขอรับ ปัพพะโต ภัณเต ภูเขาขอรับ เป็นต้น
              พระที่องค์สวดถามก็จะสวดแจ้งแก่พระสงฆ์อื่น ๆ ที่เหลือว่า เอโส ปาสาโณ นิมิตตัง มีหินเป็นเครื่องหมายนะ อย่างอื่นก็ว่ากันไปตามขนิดของนิมิต
              ปัจจุบันนี้เหลือแต่ ปาสาโณ ภัณเต ก็คือ ก้อนหิน เนื่องจากลูกนิมิตสกัดมาจากหิน ตอนนั้นที่เกาะพระฤๅษีมี “อ่างบัว ภัณเต” อาตมาวางอ่างบัวไว้แปดทิศ เนื่องจากเป็นโบสถ์น้ำอยู่แล้ว ไม่ต้องมีสีมา แต่วางอ่างบัวไว้เพื่อบอกขอบเขต
*************************

      ถาม :  พระยอดธงมีอานุภาพทางด้านไหนครับ ?
      ตอบ :  แพง…! เป็นอานุภาพที่เห็นชัดเจนเลย
              สมัยก่อน พระยอดธงเป็นพระที่ติดยอดธงในการนำทัพ เขาถือว่าคุ้มได้ทั้งกองทัพ ปัจจุบันนี้ถ้าไม่ใช่หน่วยทหารที่เป็นหน่วยรบแล้ว เราจะไม่มีโอกาสเห็นพระยอดธงของจริงเลย
              การสร้างพระยอดธงในปัจจุบันก็คือ พระยอดธงไชยเฉลิมพล จะหล่อด้วยทองคำหนัก ๖ บาท แล้วบรรจุเส้นพระเจ้า ก็คือ เกศาของพระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัว แล้วพระองค์ท่านจะตอกธงติดกับคันธงด้วยพระองค์เองทรงพระราชทานให้กับหน่วยทหารที่เป็นหน่วยรบเท่านั้น
              อย่างเช่น ถ้าเป็นทหารบก ก็จะมีเหล่าทหารราบ ทหารม้า ทหารปืนใหญ่ เป็นต้น
              ถ้าเป็นหทารเรือ ก็เป็นหน่วยนาวิกโยธิน
              ถ้าเป็นทหารอากาศ ก็หน่วยอากาศโยธิน เหล่านี้ไม่สามารถที่จะมีธงไชยเฉลิมพลได้
              เหตุที่ทรงพระราชทานให้แก่หน่วยรบเท่านั้น เพราะว่าหน่วยรบมีกำลังในการป้องกันและคุ้มครองรักษาธงไชยเฉลิมพลได้
              พอถึงวันที่ ๓ ธันวาคมทุกปี จะมีการเดินสวนสนาม กระทำสัตย์ปฏิญาณต่อธงไชยเฉลิมพล หน่วยงานที่จะได้เข้าร่วมก็คือหน่วยรบล้วน ๆ จะมีการสนธิกำลังเป็นกองผสม ก็คือ ผสมผสานระหว่างทหารบก ทหารเรือ และทหารอากาศ
*************************