เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนเมษายน ๒๕๕๔
ถาม : ถ้าเอาภาพที่เคยติดตาในอดีตมาร่วมเวลาที่ฝึกสมาธิ และตามขั้นตอนไป แล้วยกจิตค่อย ๆ นึกไปทีละขั้น อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นกสิณ อนุสติหรือมโนมยิทธิครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ความตั้งใจของเรา การที่เรายกภาพในอดีตขึ้นมาและคิดคำนึงตามไปอันดับแรกจะเป็นอนุสติก่อน ถ้าเราจดจ่อมุ่งมั่นอยู่กับภาพนั้นจริง ๆ โดยไม่ย้ายจิตไปไหน จะเป็นการกำหนดของภาพกสิณ
แต่ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ใช่ภาพที่เนื่องด้วยกองกรรมฐาน จะกลายเป็นว่าคุณไปฟุ้งซ่านเรื่องในอดีต จะทำให้กำลังของเราที่สั่งสมเอาไว้ใช้ในการตัดกิเลสเสียไปเปล่า
ฉะนั้น...ถ้าไม่ได้เป็นภาพที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติให้ตัดทิ้งไปเลย แล้วกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกตามเดิม
*************************
ถาม : เวลามองพระแก้วใสหรือพระสีทอง รู้สึกว่าจิตใจมีความสุขเบิกบาน คราวนี้ผมเอาภาพนั้นมาเป็นอารมณ์ แล้วจิตคลาย ?
ตอบ : คลายลักษณะไหน ? คลายจากการยึดภาพนั้น ? หรือว่าคลายในลักษณะโปร่งเบา ปล่อยวาง สบาย ?
ถาม : เอาภาพนั้นมาเป็นอารมณ์ แล้วคลายจากที่หนัก ๆ อยู่ครับ ?
ตอบ : ลักษณะนั้นแปลว่าสมาธิทรงตัวมากขึ้น การที่เรากำหนดภาพพระแก้วแล้วเรามีความสุข ก็คือลักษณะของการกำหนดอาโลกกสิณ ก็คือ กสิณแสงสว่างนั่นเอง
อย่างสมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านสร้างพระแก้วแล้วฐานปิดทอง ท่านบอกว่าจะได้กสิณสองอย่าง ก็คือ ได้กสิณแสงสว่างจากเนื้อแก้วใส และก็ได้ปีตกกสิณ ก็คือกสิณสีเหลือจากฐานพระที่ปิดทอง ได้สองอย่างรวมกัน
คราวนี้เวลาเรากำหนดใจแล้ว ด้วยความที่ใจเรารักชอบ ก็เลยทำให้จิตใจเรายอมรับภาพนั้นได้ง่าย อารมณ์ปฏิบัติที่เคยผ่านอยู่ เพราะว่ายังเป็นขั้นตอนต้น ๆ ก็จะก้าวล่วงเข้าสู่สมาธิที่สูงขึ้น ก็จะรู้สึกว่าเบาลง
ถาม : พอจังหวะนั้น ลองนึกตาม เช่น นึกถึงสวรรค์ ก็เบาขึ้นระดับหนึ่ง นึกถึงพรหมก็เบาขึ้นอีก พอนึกถึงพระนิพพาน ก็เบาสว่างดี ?
ตอบ : เพราะว่าแต่ละระดับ ความหยาบละเอียดไม่เหมือนกัน
สวรรค์ละเอียดกว่าภพภูมิทิพย์ชั้นต่ำอื่น ๆ อย่างเช่น นรก เปรต อสุรกาย เป็นต้น
พรหมละเอียดกว่าสวรรค์
ส่วนพระนิพพานละเอียดกว่าพรหมจนประมาณไม่ได้
ถ้าเรายกจิตขึ้นไปตามลำดับจริง ๆ ก็จะมีความเบาขึ้นไปตามลำดับที่เราไปถึง
ถาม : ผมไม่ทราบรายละเอียดต่าง ๆ ในสวรรค์ในพรหม ?
ตอบ : ไม่ต้อง...เอาใจไปจดจ่ออยู่ที่พระนิพพาน ถือเป็นอุปสมานุสติไปก่อน ถ้าเราไม่ดิ้นรนอยากรู้อยากเห็นมากนัก จิตใจปล่อยวาง พอนิ่งได้ระดับ การรู้เห็นจะปรากฎเอง
ถ้าหากว่าทำแล้วยังอยากรู้เห็น ก็เหมือนกับน้ำที่กระเพื่อมอยู่ ยังไม่นิ่ง เมื่อไม่นิ่งก็สามารถที่จะมองอะไรเห็นได้
*************************
ถาม : ขณะเข้าสมาธิ สามารถระลึกชาติได้ แต่จิตปัจจุบันเกิดสติขาด แล้วก็ไปตามอารมณ์นั้น ถ้าจิตปัจจุบันคล้อยตามอารมณ์ในอดีต อย่างนึกว่าเป็นนักรบ มีโทสะ จิตเราดับตายตอนนั้น ก็คือไปตามอารมณ์ขณะนั้นที่ดับ ?
ตอบ : ขอบอกว่า ถ้าคุณระลึกชาติแล้วความรู้สึกไม่ไปด้วย แสดงว่าเป็นของปลอม...!
ถ้าระลึกชาติแล้วเห็นจริง ๆ ควารู้สึกของเราจะเป็นบุคคลหรือสัตว์นั้นจริง ๆ สิ่งที่เป็น รัก โลภ โกรธ หลง ของคน ๆ นั้น เราจะรับรู้ได้อย่างเต็มที่เลย ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น ค่อยเชื่อว่าระลึกชาติได้จริง
แต่ถ้าหากเราสักแต่ว่ามองเห็น ยังไม่แน่ว่าจะใช่จริง ๆ แล้วอารมณ์ต้องเป็นไปตามนั้นด้วย
แต่ขอให้คุณมั่นใจว่า ถ้าคุณเห็นจริง ๆ ตอนนั้น แปลว่าคุณใช้กำลังของฌานสมาบัติไปรู้เห็น ฌานสมาบัติที่คุมอยู่ ถ้าเราตายตอนนั้นจะไปตามกำลังฌานที่เราได้
ยกเว้นว่าเกิดความบังเอิญ อดีตทำกรรมไว้เยอะ ถึงเวลาภาพปรากฎขึ้น แล้วไป รัก โลภ โกรธ หลง ตามนั้น โดยที่ไม่ได้ตั้งท่าปฏิบัติ ไม่ได้ตั้งกำลังใจให้ทรงตัวก่อน ถ้าตายตอนนั้น ก็ไปตามกำลังใจของตนเองตอนนั้น
*************************
ถาม : โยมคนหนึ่งฝึกกสิณลม เวลาหิวข้าว จะใช้กสิณลมแทน อยากทราบว่าทำไม่จับภาพนิมิตอาหารเป็นอารมณ์ครับ ?
ตอบ : ถ้าหากคนหิวแล้วไปนึกถึงภาพอาหาร ก็จะยิ่งกระตุ้นความหิวให้มากขึ้น แต่ลักษณะที่เขาทำ เป็นการย้ำตัวเองให้อยู่ในระดับปีติ ซึ่งจะทำให้อิ่มเอิบ ไม่หิว
เพราะฉะนั้น...ไม่ใช่แต่กสิณลมที่คุณว่าเท่านั้นจึงทำได้ ถ้าการปฏิบัติของคุณ สามารถรั้งอยู่ในระดับปีติได้ ก็จะรู้สึกอิ่มโดยไม่หิวเหมือนกัน โบราณเขาเรียกว่า อยู่ด้วยธรรมปีติ แต่ถ้าไปนึกถึงภาพอาหาร ก็จะยิ่งหิวหนักยิ่งขึ้น เพราะว่าอยากกิน
*************************
“ใครที่ภาวนาคาถาเงินล้านบ่อย ๆ ความคล่องตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ความคล่องตัวในเรื่องของกิจการงาน หรือการทำมาหากินของเรา เพราะบทคาถาที่ว่า
พรัหมา จะ มะหาเทวา สัพเพยักขา ปะลายันติ
เป็นคาถาปัดอุปสรรคโดยเฉพาะ ทีนี้เราไม่ได้ภาวนาบทเดียว ภาวนาทุกบทเลย เอาให้รวยไปเลย
วันก่อนมีโยมคนหนึ่งถามปัญหา อาตมาฟังแล้วก็ขำ เขาบอกว่า ตั้งแต่ภาวนาคาถาเงินล้านมามีความคล่องตัวทุกอย่าง แต่ไม่รวยสักที...! อยากได้อะไรก็ได้อย่างนั้น นี่ยังไม่รวยใช่ไหม ? เขาคงอยากจะให้เงินทับตายก่อน จึงค่อยเรียกว่ารวย...!
*************************
“วันนี้ที่คนมาบ้านวิริยบารมีน้อย เกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน
สาเหตุแรกก็คือ มาตั้งแต่วันเปิดบ้านแล้ว
สาเหตุที่สอง เพราะว่าหนทางสลับซับซ้อน มาได้ยาก ก็เลยไม่คิดที่จะมากัน
สาเหตุที่สาม แค่รู้ว่าไปยาก ก็ท้อแล้ว
บ้านนี้ชื่อวิริยะ แปลว่า ต้องเพียรพยายามถึงจะมาได้”
ถาม : ถ้าเป็นบ้านนอนุสาวรีย์ คนก็คงเต็มเหมือนกัน ?
ตอบ : คนจะมากจะน้อยก็ไม่เป็นไร คนน้อยเป็นเรื่องดี เพราะว่าไม่เหนื่อยมาก คนจำนวนมากเท่าไรก็ตาม ถ้าเขามาแล้วหวังพึ่งพาอย่างเดียว ก็เหมือนกับโบกี้รถไฟ พ่วงมากขึ้นไปเรื่อย ๆ หัวรถจักรก็ลากตายชักเลย
ย่ิงน้อยยิ่งดี โดยเฉพาะถ้าเขามามาก ทำบุญมาก ก็ยิ่งเหนื่อยมาก เพราะว่าได้ปัจจัยมาเท่าไร ก็ต้องก่อสร้างเป็นบุญให้เขา มาน้อย ๆ อาตมาจะปลอดภัยที่สุด
*************************
“พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า บุคคลที่เกิดมาแล้วได้พบกัน มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ในอดีตไม่เคยเกิดมาเจอกันนั้นไม่มี
แรงบุญแรงกรรมที่เคยสร้างร่วมกันมาในอดีต จะชักจูงกันมาให้เจอกันในชาติปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้น...ทุกคนมักจะรู้สึกว่า เรามีความคุ้นเคยกันอยู่แล้ว”
*************************
ถาม : คุณผัดไทที่เป็นดารา บอกว่าเคยไม่สบายมากเหมือนเขาตาย เขาเห็นเป็นภาพอยู่ในโบสถ์สีขาว ๆ ทุกย่างเป็นแบบศาสนาคริสต์ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับจิตของเราหรือคะ ทำไมเห็นแบบนั้น ?
ตอบ : การที่เห็นแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความเชื่อ และวันธรรมประเพณีที่สืบต่อกันมา แต่ความจริงแล้ว ก็คือนรกเดียวกัน สวรรค์เดียวกัน
ถ้าเป็นเทวดาของไทย เราเคยชินว่ามีสภาพไหน ถ้าท่านแสดงสภาพอื่น เราก็ไม่รู้ว่าเป็นท่าน จึงต้องแสดงแบบนั้น
แต่ว่าเทวดาองค์เดียวกัน ถ้าไปหาคนคริสต์ เขาก็ต้องห่มผ้าขาว มีวงแหวนสว่างอยู่บนหัว ไม่อย่างนั้นก็จะไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็ต้องแสดงไปตามความเชื่อถือของเขา
ถาม : ทำไมไปพระนิพพาน จะต้องเป็นเครื่องทรงแบบไทยด้วย ?
ตอบ : อยู่ที่เราเห็นอย่างนั้น บางทีเราขึ้นไป ท่านก็แต่งตัวธรรมดา ถือว่าเราเป็นลูกเป็นหลาน แต่งตาสบายก็ได้ แต่ถ้าเต็มสูตรเต็มบารมีของท่านจะเป็นอย่างนั้น และเต็มสูตรเต็มบารมีของแต่ละท่านก็ไม่เท่ากันด้วย
ถาม : ทำไมเครื่องทรงต้องเหมือนประเทศไทย ทำไมไม่เป็นแบบอินเดียที่ห่มส่าหรี ?
ตอบ : บอกแล้วว่าของจริงก็คือของจริง ถ้าของจริงเราเห็นได้ละเอียดแค่ไหน เราก็จะเก็บรายละเอียดได้มากเท่านั้น และขนบธรรเนียมประเพณีและความเชื่อถือของเขา บุคคลที่เป็นใหญ่ ผู้ที่สูงส่งอย่างกษัตริย์ของเขา นิยมการแต่งตัวอย่างไร เขาก็จะเอาอุปาทานตรงนั้นไปจับด้วย ทำให้คิดว่ควรจะเป็นอย่างนั้น
ในเมื่อควรจะเป็นอย่างนั้น ท่านก็ต้องแสดงให้เห็นอย่างนั้นจึงจะเชื่อแบบเดียวกับที่พระพุทธเจ้าต้องแสดงองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เพื่อปราบพระยาชมพูบดี เพราะว่าถ้ายังแสดงองค์เป็นพระพุทธเจ้าอยู่ พระยาชมพูบดีก็จะไม่เชื่อ
ถาม : ไม่ใช่เราอุปาทานไปเองว่าจะต้องเห็น ?
ตอบ : ถ้าเราอุปาทานไปปน เราจะเห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเรารู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง ก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง
ถ้าเคยฝึกมโนมยิทธิมา จะต้องเคยได้ยินหลวงพ่อฤๅษีบอกอยู่เสมอว่า ให้กราบขอบารมีองคืสมเด็จพระสัมมสัมพุทธเจ้า ขอให้รู้เห็นตามความเป็นจริงทุกประการ เพราะโลกอื่นเขาไม่มีการปรุงแต่งหลอกกัน
ถ้าเราขอให้เห็นตามจริง ท่านก็จะแสดงให้เห็นตามจริง
ถ้าไม่ขอให้เห็นตามจริง บางทีด้วยความที่เคยผูกพันกันมา อาจจะเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูก เป็นปู่เป็นตา เป็นย่าเป็นยายกันมา ท่านก็มาในลักษณะธรรมดา ๆ แบบที่อาตมาไปเจอลุงกำนันสูบบุหรี่อยู่บนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เพราะว่าเคยเป็นลูกเป็นหลานท่านมา ท่านก็ทำท่านั้นให้ดู
ถาม : ไม่ได้เกิดจากจิตของเราเอง ที่เราเห็นคือเห็นจริง ?
ตอบ : ถ้าเราคิดไว้ก่อน ก็จะเห็นตามที่จิตปรุงแต่งไว้ เขาเรียกว่า อุปาทาน ถ้าเราไม่คิดไว้ก่อน ก็จะเห็นตาสภาพความเป็นจริง
แต่ถ้าเราไปได้อย่างแท้จริง ต่อให้คิดไว้ก่อนขนาดไหน ก็จะเห็นตามที่ตัวเองเห็นแบบนั้น อย่างที่อาตมาตั้งใจเต็มที่ว่าจะไปดูพระอินทร์ตัวเขียวปี๋ขึ้นไปก็เจอลุงกำนันนั่งสูบบุหรี่เฉยเลย
ถาม : คิดไว้เองก็ไม่เป็นไร ?
ตอบ : ก็ใช่...แต่การที่เราคิดไปเองและยึดถือของเดิม จะทำให้กลายเป็นรู้เห็นแบบฟุ้งซ่าน มีโอกาสถูกหลอกได้ง่าย
ฉะนั้น...อย่างไรเสียก็พยายามวางกำลังใจตัดร่างกายให้ดี แล้วค่อยไป จะเห็นอย่างไรก็แล้วแต่ท่านเมตตาสงเคราะห์
*************************
ถาม : ถวายหนังสือธรรมทั่วไป กับคำสอนพระพุทธเจ้าโดยตรง เช่น ภิกขุปาฏิโมกข์ มีอานิสงส์เหมือนกันหรือไม่ ?
ตอบ : เป็นอานิสงส์ธรรมทานเหมือนกัน แต่ว่าผลที่ได้รับจะได้ต่างกัน การถวายหนังสือทุกชนิด จัดเป็นธรรมทานทั้งนั้น แต่สิ่งใดที่เป็นเรื่องของธรรมะโดยตรง สิ่งนั้นจะมีอานิสงส์มากกว่า
ถาม : ไปร่วมงานเผาศพหลวงตามหาบัวได้สังฆานุสติ และได้ความรู้สึกว่าน่าเสียดาย ตอนท่านมีชีวิตอยู่ ไม่ได้สนใจจะทำบุญกับท่าน เมื่อท่านสิ้นแล้ว จึงเห็นว่าโอกาสทำบุญกับพระอรหันต์หลุดลอยไปแล้ว ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ควรพิจารณาอย่างไร เพื่อจะได้มีหลักยึดในพระธรรม ไม่ยึดสังขารของพระที่มรณภาพไปแล้ว ?
ตอบ : ก็แค่คิดว่าแม้แต่ท่านก็ยังตาย เพราะฉะนั้น...เราต้องตายแน่ ๆ เป็นสังฆานุสติและมรณานุสติด้วย ในเมื่อเราตายแน่ เราก็อย่าประมาท เร่งปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากเข้าไว้
*************************
ถาม : ทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าบารมีเราอยู่ในระดับใด ? และจะฝึกอย่างไรให้บารมีเกิดขึ้นได้ สำหรับผู้ที่ยังบารมีอ่อน ยังไม่เข้มแข็ง เวลาโดนกระทบจะกำลังใจตก แล้วบารมีเสื่อมได้ไหม ?
ตอบ : บารมีก็คือกำลังใจ มีอยู่ ๓ ระดับด้วยกัน คือ
สามัญบารมี (บารมีขั้นต้น)
อุปบารมี (บารมีขั้นกลาง)
ปรมัตถบารมี (บารมีขั้นสูงสุด)
ในแต่ละขั้นก็ยังมีอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด รวมเป็น ๓ ระดับ ๙ ขั้น อยากรู้ว่าตัวเองอยู่ในบารมีระดับไหน ก็พิจารณาดูได้
ถ้าเป็นสามัญบารมีขั้นต้นนี่ เรื่องของทาน ศีล ภาวนา ไม่รู้เรื่องเลย
สามัญบารมีขั้นกลาง บอกให้ทานก็รู้สึกเสียดาย ให้ไปก็เสียดายแทบจะขาดใจ
แต่ถ้าสามัญบารมีขั้นปลาย ให้ทานได้ แต่ถ้าบอกให้รักษาศีลหรือเจริญภาวนา ก็จะไม่รู้เรื่องเลย
อุปบารมีขั้นต้น ให้ทานได้ บอกให้รักษาศีล ร้อยวันพันปีจึงจะเข้าใจเสียที ส่วนใหญ่จะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
อุปบารมีขั้นกลาง ให้ทานได้ รักษาศัลยังขาดตกบกพร่องไปเรื่อย
ถ้าเป็นอุปบารมีขั้นปลาย ให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่บอกให้เจริญภาวนา ฟังยังไม่เข้าใจ เหมือนตักน้ำรดหัวตอ
ปรัตถบารมีขั้นต้น ให้ทานได้ รักษาศีลได้ บอกให้เจริญภาวนา ก็ด่าชาวบ้านเขามากกว่า
ปรมัตถบารมีขั้นกลาง ให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่ภาวนาบ้างด่าชาวบ้านเขาบ้าง
ถ้าเป็นปรมัตถุบารมีขั้นปลาย จึงจะให้ทานได้ รักษาศีลได้ ภาวนาได้ตามปกติ
เราต้องดูตัวเราเอง ส่วนใหญ่ที่กำลังใจตก เกิดจากสมาธิตก ที่สามาธิตกเพราะว่าปัญญาไม่พอ พิจารณาไม่ตลอดว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นธรรมดา การเกิดมาในโลกนี้ต้องมีการกระทบกระทั่งเป็นธรรมดา
ในเมื่อปัญญาไม่พอ สมาธิไม่พอ ถึงเวลาโดนกระทบก็กำลังใจตก ให้รีบตะกายใหม่ทันทีที่รู้ว่าตก อย่าทิ้งระยะเวลาไว้นาน เพราะถ้าทิ้งระยะเวลาไว้นาน เปิดโอกาสให้กืเลสครอบงำเราได้ ก็จะชักจูงเราไปไกล และพาให้คืนได้ยาก
เคยเปรียบเอาไว้ว่า คนสองคนหกล้มพร้อมกัน คนหนึ่งลุกขึ้นได้ก็เดินต่อไปเลย แต่อีกคนเอาแต่นั่งคร่ำครวญอยู่นั่นแหละ เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน เดินมาได้ตั้งไกลไม่น่าจะล้มเลย ถามว่าสองคนนี้ใครจะได้ระยะทางมากกว่ากัน ? ก็คือคนที่ล้มแล้วลุกเดินต่อเลย
ฉะนั้น...เรื่องการปฏิบัติก็เหมือนกัน รู้ว่าพลาดเมื่อไร ตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเลยว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะปฏิบัติใน ทาน ศีล ภาวนา ให้เต็มที่ต่อไป
ถ้าเราไม่หวั่นไหว สามารถที่จะไปต่อได้เลย ต่อไปเรื่องที่จะกระทบให้เราหวั่นไหวได้ ก็จะมีน้อยลงไปตามลำดับ ยิ่งกำลังใจสูงมากเท่าไร การกระทบก็จะน้อยลงมากเท่านั้น
*************************
ถาม : มีปัญา รู้สึกเบื่อ ทุกข์ก็ไม่เอา ไม่อยากได้อะไรเลย ทำไมคนเราต้องเกิดมาตั้งแต่แรก จุติมาเป็นดวงวิญญาณเลยหรือ ตรงนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขั้นไม่ใช่หรือ ?
ตอบ : ถ้าต้นไม้มีเมล็ด เมล็ดก็จะงอกต่อไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีเมล็ด คือสิ้นเชื้อแล้วก็งอกต่อไปม่ได้ อย่างเรางอกมาถึงปัจจุบันนี้แล้ว ทนไปอีกสักชาติหนึ่งไม่ได้หรือ ?
ตั้งใจว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ขึ้นชื่อว่าการเกิดต่อไปไม่มีสำหรับเราอีก เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน แล้วกติกาความเป็นพระโสดาบันเป็นอย่างไร เราก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไป โดยคิดอยู่เสมอว่า ถ้าเราตายตอนนี้ เราขอไปพระนิพพานที่เดียว
ถ้ากำลังใจเราเกาะมั่นคงอย่างนี้ได้ สักเช้าวันละ ๑๐ นาที เย็น ๑๐ นาที ตายแล้วไปพระนิพพานได้แน่นอน เพราะเท่ากับว่าเราตั้งเป้าหมายเอาไว้แล้วว่าเราต้องการอย่างนั้น แบบเดียวกับจองตั๋วรถไว้ พอเราขึ้นรถไปก็จะไปส่งยังจุดหมายเอง
ถาม : กำลังใจจะไปตกตรงอรูปพรหมก่อน ?
ตอบ : ไม่มีปัญหา เราก็ไปอรูปพรหมก่อน แล้วก็ตั้งใจว่าตายจากตรงนี้เราจะไปพระนิพพาน ใจสุดท้ายเอาเกาะพระนิพพานไว้ เราแค่เอาพระนิพพานต่อท้ายไว้นิดเดียว กำลังอรูปพรหมสูงมากอยู่แล้ว แค่ต่อท้ายด้วยพระนิพพานก็พอ
ถาม : รัก โลภ โกรธ หลง ถ้าถึงฌานจึงจะละได้หรือ ?
ตอบ : ไม่ใช่…ต้องเป็นตั้งแต่พระสกทาคามี หรือเป็นพระโสดาบันละเอียดที่เรียกว่าเอกพีชีขึ้นไป ท่านทั้งหลายเหล่านี้ รัก โลภ โกรธ หลง แทบจะไม่ปรากฎแล้ว แต่ว่ารัก โลภ โกรธ หลงที่ยังมีอยู่นั้น เป็นรัก โลภ โกรธ หลงที่ละเอียด เป็นกิเลสที่ลึกอยู่ในใจ
อย่างเช่น เราตั้งความปรารถนาว่า เราจะเกิดเป็นเทวดาชั้นนั้นชั้นนี้ ยังตั้งความปรารถนาว่า เราจะเป็นพรหมชั้นนั้นชั้นนี้ หรือยังต้องตะเกียกตะกายเพื่อความหลุดพ้นต่อไป สภาพจิตยังมีงานที่ต้องทำอยู่ ก็ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นได้ แต่ถ้าเราก้าวพ้นจากตรงนั้นแล้ว งานทุกอย่างไม่มี ก็จะปล่อยวางไปเอง
ถาม : คนที่จะไปพระนิพพาน ก้ต้องละ รัก โลภ โกรธ หลง ได้ก่อน ?
ตอบ : จำเป็นต้องละให้ได้ก่อน แต่ไม่จำเป็นต้องละตามลำดับ จากบุคคลธรรมดากระโดดไปเป็นพระอรหันต์เลยก็ได้ บุคคลธรรมดากระโดดไปเป็นพระอนาคามีเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับกำลังสติ สมาธิ ปัญญาของตนว่ามีขนาดไหน
ดังนั้นว่า...ในความเป็นพระโสดาบันละเอียดหรือพระสกทาคามี รัก โลภ โกรธ หลง ก็เหลือน้อยมากแล้ว ยกเว้นว่าเราขาดสติ ก็จะโผล่มาหน่อยหนึ่ง
แต่ถ้าเป็นพระอนาคามี รัก โลภ โกรธ หมดเกลี้ยงแล้ว เหลือแต่ตัวหลงอยู่นิดเดียว
ตัวหลงที่เหลือยู่ก็ไม่มีอะไร เป็นส่วนละเอียดที่ยังเห็นว่า บางทีบุญกุศลก็ยังเป็นความดีอยู่ เราต้องตั้งหน้าตั้งตาทำให้มากไว้ ก็ถือว่าเป็นตัวหลงเหมือนกัน เป็นการหลงในด้านดี ก็คือยังเกาะความดีอยู่
จำไว้ว่าถ้าต้องการหลุดพ้น ต้องปล่อย แต่ตอนแรกก่อนที่จะปล่อย เราต้องเกาะในด้านที่ถูกไว้ คือเกาะดีไว้ก่อน ถ้าเราไม่มีอะไรเกาะ เราก็จะไม่มีให้ปล่อย อย่าทำข้ามขั้นนะ ทำดีให้ถึงที่สุด ถ้าทำดีถึงที่สุดแล้วก็จะปล่ยอดีไปเอง
*************************
ถาม : ศาสนาเซนก็ละรัก โลภ โกรธ หลง แต่ไม่ได้หวังพระนิพพาน ในเมื่อละรัก โลภ โกรธ หลง ก็ยากพอกับไปพระนิพพานเหมือนกัน ทำไมเขาไม่ไปพระนิพพาน ?
ตอบ : ที่เขาไปไม่ได้ พราะส่วนใหญ่ท่านเหล่านั้นมาทางสายพระโพธิสัตว์กำลังใจของพระโพธิสัตว์จริง ๆ ต้องทำละเอียดกว่าพระอรหันต์เสียอีก แต่ว่ายังมีงานสุดท้ายที่หวังอยู่ คือเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลกต่าง ๆ ทำให้กำลังใจสุดท้ายไม่ตัด
แต่ความละเอียดของใจท่าน สามารถทำได้เหมือนพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี เหมือนพระอรหันต์
*************************
ถาม : ถ้าอายุ ๖๐ ปี ยังละไม่ได้ ยังโกรธอยู่ ยังหลงอยู่ สุดท้ายใกล้ตายจะแซงโค้งสุดท้ายได้ ?
ตอบ : โค้งสุดท้ายเป็นตอนที่เรานอนปะแหง็บ ๆ อยู่ เรารักไหวไหมเล่า ? หามไปตีกับเขาไหวไหมเล่า ? ก็ไม่ไหว...ใช่ไหม ?
ในเมื่ออย่างนั้นเท่ากับ รัก โกรธ ก็หายไปอัตโนมัติอยู่แล้ว ก็เหลือยู่อย่างเดียวว่า ร่างกายที่แก่กำลังจะตายชักอยู่นี้ เรายังเห็นว่าดีอยู่ไหม ?
ถ้าเราเห็นว่าไม่ดี เราไม่เอาอีกแล้ว ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายนี้เราไม่ต้องการอีกแล้ว ตายแล้วเราไปพระนิพพานดีกว่า ตอนนั้นก็จะไปแซงโค้งปาดหน้าเข้าพระนิพพานได้เอง
ถาม : ตอนนี้ยังไม่เดือดร้อน ถ้ายังละไม่ได้ ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ ก่อน ละได้ไม่ได้ก็ช่างมัน ถ้าไม่ได้ก็คอยไปแซงโคง สุดท้ายเอาตอนนั้น
*************************
|