เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔
“งานพุทธาภิเษกคราวนี้ เราต้องคิดว่าไม่ใช่ธงมหาพิชัยสงคราม เพราะถ้าคิดว่าเป็นธงมหาพิชัยสงคราม แล้วทำพิธีพุทธาภิเษก อานุภาพจะได้แค่หน่อยเดียว เนื่องจากว่าเป็นวิชาสืบสายพระร่วง แล้วมาหมดที่หลวงพ่อวัดท่าซุง พวกเราไม่ใช่ทายาทโดยสายโลหิต ก็เลยไม่สามารถที่จะรับช่วงได้ หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกไว้ว่า ถ้าฝืนทำจะได้ผลไม่ถึง ๕ เปอร์เซ็นต์
เพราะฉะนั้น...ให้ตั้งใจทำเป็นวัตถุมงคลแทน อย่าไปตั้งใจทำเป็นธงมหาพิชัยสงคราม แต่ความจริงก็ได้บอกคณะผู้จัดทำไปแล้ว แต่เขาคงถูกใจอยากจะได้อย่างนี้กระมัง ?
ความจริงวัตถุมงคลที่เกี่ยวกับมหาอุตนั้นทำง่าย สมาธิทรงตัวแค่อุปจารฌานปลาย ๆ ยังไมถึงปฐมฌานก็ใช้ได้แล้ว พูดง่าย ๆ ว่า เวลาปลุกเสกแค่ขนลุกก็ใช้ได้แล้ว แต่วัตถุมงคลที่ทำยากที่สุด คือพวกเมตตา พวกให้ลาภ เพราะทางด้านเมตตา ต้องออกจากใจผู้ที่ทำพิธีจริง ๆ
ส่วนเรื่องให้ลาภ คนทำต้องมีทานบารมีเก่ามาเหลือเฟือจริง ๆ เท่ากับว่าแบ่งของตัวเองให้คนอื่นเขาไป
แต่สายหลวงพ่อ ท่านสั่งไว้ในเรื่องมหาอุต ท่านบอกว่า ส่วนใหญ่ลูกศิษย์สายท่านมีแต่ล้น ไม่มีพอดี ถ้ามีของดีเกินไปชนิดไม่มีจุดอ่อนเลย เดี๋ยวกลายเป็นโจรกันหมด ถึงไม่เป็นโจร ก็จะถูกเขายัดเยียดให้เป็น ลองนึกดูว่า คนที่ไม่ยอมลงให้ใคร จะมีอนาคตเป็นอย่างไร”
*************************
“เรื่องของระเบียบ ถ้าเราตรงไปตรงมาก็จะดี แต่ถ้ามีการผ่อนผัน ก็จะต้องผ่อนกันไปเรื่อย ๆ”
ถาม : อธิษฐานขอปรารถนาเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ?
ตอบ : ขอได้ อธิษฐานใครก็อธิษฐานได้ สำคัญตรงที่ทำได้อย่างอธิษฐานต่างหาก ...!
*************************
ถาม : ขอธรรมะที่ใช้ในการทำงาน ?
ตอบ : เบื้องต้นของการทำงาน ต้องมีอิทธิบาท ๔ คือ
ยินดีและพอใจที่จะทำ ๑
ตั้งหน้าตั้งตาทำ ๑
กำลังใจปักมั่นอยู่กับงาน ๑
ไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอว่าทำไปถึงไหนแล้ว ๑
ข้อที่สอง ต้องมีความอดทนอดกลั้น ตรงนี้เป็นธรรมะหลักของพระพุทธศาสนาเลย พระพุทธเจ้าเริ่มโอวาทปาฏิโมกข์ก็ขึ้นด้วยขันติ การกระทบกระทั่งกันในการทำงาน ต้องมีเป็นปกติอยู่แล้ว
ประการที่สาม รับผิดชอบงานในหน้าที่เราให้ดีที่สุด นอกเหนือจากงานของเราแล้วอย่าไปยุ่งกับใคร
โดยเฉพาะแต่ละคนจะมีความภูมิใจในงานของตนเองอยู่ ถ้าหากว่าเราไปยุ่งกับงานคนอื่นเมื่อไร จะกลายเป็นเราก้าวก่ายหน้าที่เขา แล้วเขาจะไม่ชอบใจ ฟังแล้วหนักใจไหม ?
ถาม : หนักใจมาก ?
ตอบ : หลายคนฝืนใจทำงาน ถ้าเราฝืนใจทำงาน ทำเท่าไรก็ไม่มีความสุข ให้คิดว่านี่เป็นงานที่เราต้องทำ และต้องทำให้ได้ดีด้วย แล้วทุ่มเททำไป
มีภาษิตอยู่บทหนึ่งว่า ในเมื่อไม่สามารถที่จะแก้ไขศัตรูให้เป็นมิตรได้ เราก็เป็นมิตรกับศัตรูเสียเอง เพราะฉะนั้น...ถึงงานจะแย่แค่ไหนไม่ชอบแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าเราจะทำงานนั้นให้สำเร็จ ก็จะกลายเป็นว่าเราต้องชอบงานนั้นไปเอง
ถ้าเราทำงานด้วยความชอบ ทุกอย่างจะเบาลง ไม่เครียด แต่ถ้าเราไปทำแบบฝืนใจทำ จะเครียดอยู่ตลอดเวลา พอหลายวันเข้าเดี๋ยวสติแตก ต้องเข้าใจว่ามีงานทำดีกว่าไม่มี
ถาม : บางครั้งเราเข้ากับเขาไม่ได้ ?
ตอบ : ได้ยินก็เหมือนว่าไม่ได้ยิน ถ้าได้ยินทุกเรื่องก็จะเครียดอีกเหมือนกัน เพราะเราได้ยินแล้วจัดการกับความคิดตัวเองไม่ได้ มีแต่จะไปนึกคิดปรุงแต่ งแล้วตัวเองก็เครียดเพิ่มเรื่อย ๆ ต้องไปนึกถึงเรื่องสามก๊กที่เล่าปี่บอกว่า คนแกล้งโง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ไม่ได้
เขาว่าอะไรมาก็เรื่องของเขา ถ้าเขาเหนื่อย เขาก็เลิกไปเอง อาตมาโดนเขาประชุมสงฆ์ด่าท่ามกลางชาวบ้าน อาตมาก็เป็นคนถือไมค์ฯ เดินไปส่งให้ทีละคน “ใครมีอะไรจะด่าอีก นิมนต์ครับ”
จนกระทั่งเขาไม่มีปัญญาจะด่าแล้ว ปรากฎว่าพระลูกศิษย์ท่านโกรธแทน อาตมาบอกว่า ไม่ต้องไปโกรธหรอก ปล่อยเขา ใครทำใครได้อยู่แล้ว เรื่องที่เขาพูดกันเราก็รู้อยู่ว่าไม่เป็นความจริง เราโกรธไปจะมีประโยชน์อะไร
เดินถือไมค์ฯ ถามทีละคนเลย “มีใครต้องการพูดอีกไหม ?”
จนกระทั่งทุกวันนี้ พวกเขายังสงสัยว่าอาจารย์เล็กโกรธไม่เป็นหรือ ? โกรธเป็นเหมือนกัน เพียงแต่ว่าพวกเอ็งยังมีความสามารถไม่พอเท่านั้น ถ้ามีความสามารถพอ ต้องทำให้ข้าโกรธได้..!
*************************
สมัยที่อยู่วัดท่าซุงก็มีคนมาด่าต่อหน้า แต่เขาไม่รู้จักอาตมา อาตมาจึงช่วยเขาด่าตัวเองด้วยเขาไปฟังข่าวลือมาว่า พระเล็กเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ ชอบทะเลาะกับชาวบ้าน สร้างความเสื่อมเสียให้กับวัดท่าซุงมาก
อาตมาก็บอกว่าใช่ เป็นคนที่แย่ที่สุด ตั้งแต่บวชมาสร้างความเดือดร้อนให้กับทางวัดมาโดยตลอด ช่วยเขาซ้ำไปเรื่อย จนกระทั่งตอนหลังเขามารู้ว่าเป็นอาตมาเอง ก็เลยทำหน้าประหลาด ๆ
คนเรามีมุมมองของเขาเอง และมีความเชื่ออย่างนั้นเสียแล้วในเมื่อเป็นดังนั้น โอกาสที่เราจะไปแก้เขาให้กลับเป็นดีก็ยาก อธิบายไปก็เสียเวลาเปล่า ๆ ก็เลยช่วยเขาด่าด้วย เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ถ้าตอนหลังเขารู้ เขาก็จะรู้เองว่าอะไรเป็นอะไร
มุมมองแต่ละคนเห็นไม่เหมือนกัน เราไปเจอเรื่องเดียวกันมา ก็ยังเล่าไปคนละอย่างเลย เพราะแต่ละมุมที่เราเห็นไม่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเนื้อหาจะออกมาแนวเดียวกันเท่านั้น
ในสายตาของอาตมาตอนนั้นก็คือรักษาของสงฆ์ ป้องกันไม่ให้ชาวบ้านขโมยปลาหน้าวัด แต่ในสายตาของชาวบ้านก็คือ เราเป็นนักบวชที่ใช้ไม่ได้ เขาหากินมาตลอดทั้งชีวิต ทำไมเราจะต้องไปขับไล่เขาด้วย มองไปคนละมุมกัน
*************************
ถาม : ถ้ามีงานแล้วเราแก้ไม่ได้ เป็นงานที่เร่งด่วน จะให้ทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : มีด้วยหรือ งานที่แก้ไม่ได้ ปัญหาที่แก้ไม่ได้ ?
ปัญหานั้นมีอยู่สองอย่าง คือ ปัญหาที่แก้ได้ กับปัญหาที่แก้ไม่ได้ ของเราเป็นอย่างไหน ? ถ้าปัญหาที่แก้ได้ก็แก้ไป ถ้าปัญหาที่แก้ไม่ได้ก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก เพราะว่าแก้ไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะเสียเวลาไปแก้ทำไม ?
ถ้าแก้ไม่ได้ก็แปลว่าไม่ใช่ปัญหา เพราะไม่มีใครแก้ได้อยู่แล้ว ไม่มีงานอะไรที่ไม่มีอุปสรรค เพียงแต่อุปสรรคจะมากหรือน้อย ราบรื่นหรือไม่เท่านั้น
ถาม : ขอบารมีพระช่วยได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ขอได้ แต่ถ้าเกินวิสัยท่านก็ได้แต่นั่งมอง เพราะบางอย่างในอดีตเราก็เกเรไว้มาก ท่านจะสงเคราะห์ในส่วนที่สงเคราะห์ได้เท่านั้น
ถาม : การทำบุญบ่อย ๆ จะช่วยได้บ้างไหม ?
ตอบ : บุญส่วนบุญ กรรมส่วนกรรม แต่ถ้าสามารถสร้างบุญต่อเนื่องไปได้เรื่อย ๆ ระยะหนึ่ง กระแสบุญเข้ามา เราก็จะรับแต่ส่วนที่ดี
ถามว่าช่วยได้ไหม ? จริง ๆ แล้วหักกลบลบล้างกันไม่ได้หรอก ถึงเวลาแล้วพอส่วนที่ดีมาสนอง เราก็มักจะลืม ไปเพลิดเพลินเจริญใจอยู่ ลืมว่าถ้าหมดกระแสตรงนี้ลงเมื่อไร เราก็จะรับเละอีกเหมือนเดิม
มีหลายต่อหลายครั้งเวลาไปกราบพระผู้ใหญ่ ท่านบอกว่า ถ้ามีปัญหาในการงานอะไรไม่ไหวก็บอกกันบ้างนะ อาตมาก็คิดแบบเด็กอวดดีว่า “ถ้าผมไม่ไหว หลวงพ่อก็ช่วยผมไม่ได้หรอก...!”
ทุกวันนี้บางทีเจ้านายท่านก็บ่น ท่านบ่นในทำนองประชดว่า “คุณไม่มาหาผม ผมก็รู้ว่าคุณมีงานเยอะ ผมดีใจเสียอีกที่คุณไม่มา ไม่ใช่ว่ามาหาตลอดแต่ไม่ได้ทำงาน”
ส่วนใหญ่เจ้านายที่กำลังใจต่ำ ๆ จะอยู่ในลักษณะอยากให้ลูกน้องแวะเวียนไปหาเรื่อย ๆ เจ้านายที่กำลังใจสูง ๆ มีความเข้าใจในการทำงานของลูกน้องไม่ค่อยจะมี
แต่ถ้าเขาสังเกตจะเห็นว่า งานของอาตมาไม่เคยมีปัญหาขึ้นไปรบกวนผู้ใหญ่เลย ทุกอย่างจะจบลงแค่นี้ ทำได้หรือทำไม่ได้ก็จะจบลงแค่นี้ ถ้าแบกไม่ไหว อาตมาก็ยินดีให้งานนั้นทับตายไปเอง...!
*************************
ถาม : งานเกี่ยวกับผลประโยชน์ของประชาชน ถ้าเรามีอุปสรรคในการทำงาน จะทำอย่างไร ?
ตอบ : ขอบารมีในหลวงสงเคราะห์ จุดธูปปักฝากแม่ธรณีไปเลย เดี๋ยวท่านก็ส่งกำลังมาช่วยเอง แต่ถ้าทำบ่อย ๆ ก็จะมีเสียงด่าตามมาด้วย...!
*************************
ถาม : เขาฝากถามว่า หลักปฏิบัติเพื่อความสำเร็จเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ คืออย่างไร ?
ตอบ : บอกเขาไปว่า ถ้าไม่รู้ก็ไม่ต้องเป็น ทะลึ่งอยากจะเป็น แต่ไม่ศึกษาคุณสมบัติเอาไว้เลย แล้วจะไปเป็นทำไมวะ ...?
*************************
ถาม : ลูกที่ขอมาจากพระ ต้องปฏิบัติกับเขาอย่างไรคะ ?
ตอบ : ต้องดูกติกาของเขาด้วย ถ้าอย่างสมัยก่อน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านห้ามไว้ว่า ถ้าลูกพระอย่าตีหัว จะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตีไม่ได้ ถ้าตีหัวเด็กจะป่วยโดยไม่มีสาเหตุ จนกว่าเราจะขอขมาพระก่อนถึงจะหายป่วย
*************************
“ช่วงนี้มีผงวิเศษของหลวงพ่อวัดท่าซุงที่เสกไตรมาส ลูกอมหลวงปู่ปาน ลูกอมหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ลูกอมหลวงปู่พร้ิง วัดบางปะกอก ลูกอมแก้วสารพัดนึกหลวงปู่ดู่ ชานหมากหลวงปู่สี ชานหมากหลวงปู่ครูบาวงศ์ ชานหมากหลวงพ่อฤๅษี ลูกอมหลวงปู่ทิม
ถ้ามีโอกาสจะเอาของมารวม ๆ กันทำวัตถุมงคลสักรุ่นหนึ่ง ร่นรวมครูบาอาจารย์ จริง ๆ แล้วขององค์เดียวก็พอเหลือเฟือ นี่อาตมากลัวว่าจะไม่ขลัง เล่นซะครบเลย
ยังมีผงจินดามณีหลวงปู่บุญ หลวงปู่เพิ่ม ไล่มาจนถึงรุ่นหลวงปู่เจืออีกด้วย”
ถาม : ลูกอมเอาไว้ทำอะไรคะ ?
ตอบ : สมัยก่อน เวลาท่านทำผง พอทำเสร็จแล้วผงเหลือติดมือ ก็ปั้นเป็นลูกอม
ถาม : มีแค่ลูกเดียว ?
ตอบ : ไม่ใช่หรอก พอทำแล้วคนอยากได้ก็ขอไปเรื่อย แบบเดียวกับประคำปราบหงสาวดี ของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว
อาตมามีเบี้ยแก้ตัวครูของหลวงปู่เจืออยู่ด้วย ใหญ่กว่ากำปั้นเสียอีกว่าจะเอาไปประมูล เป็นเบี้ยเปลือย ท่านจารยันต์ไว้ให้เอาไว้ศึกษาแนวทางจะได้ทำตามได้ ถ้าเป็นเบี้ยถักเราจะไม่เห็นตัวอย่าง
ถาม : ท่านศึกษายันต์ของเบี้ยแก้ครบแล้วหรือคะ ?
ตอบ : ศึกษาครบแล้ว แต่ว่าจะทำขลังได้เหมือนท่านหรือเปล่าก็อีกเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะต้องไปนั่งนับฟันเบี้ย ต้องเป็นหอยเบี้ยที่มีฟัน ๓๒ ซี่ถึงจะใช้ได้
*************************
“สมัยก่อนพ่อค่อนข้างจะดุ ลูก ๆ ก็จะติดแม่ ส่วนใหญ่จะติดแม่ใหญ่ ลูกหลวงพ่อร้อยละ ๙๐ มักจะเป็นลูกแม่ใหญ่ แต่การมีแม่หลายคนก็ดี นึกอยากไปบ้านไหนก็ไปได้
เป็นเรื่องของการสร้างบารมีที่อธิษฐานตามกันมา เราจะสังเกตว่า พอท่านเกิด เราก็ไปเกิดอยู่รวม ๆ กับท่านทุกที ต่อให้อยู่คนละทิศคนละทาง ท้ายสุดก็ต้องมาอยู่ที่เดียวกัน
ชาตินี้ท่านแม่ลงมาไม่ได้ เพราะว่าเป็นชาติที่หลวงพ่อท่านต้องมาสร้างเนกขัมมบารมี ถ้าท่านแม่ลงมา หลวงพ่อจะไม่ได้บวช ท้ายสุดพอท่านแม่เผลอปล่อยชาติเดียว หลวงพ่อหนีไปพระนิพพานเลย ก่อนหน้านั้นตามอยู่ตลอด เผลอปล่อยชาติเดียวหนีไปเฉยเลย...!”
*************************
ถาม : นั่งสมาธิแล้วมีอาการตัวโยก ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ กำลังจะขึ้นอนุบาลหนึ่งแล้ว เขาเรียกว่า อาการปีติ อย่าไปสนใจและอย่าไปกลัว อย่าอยากให้หายและอย่าอยากให้เป็น เรามีหน้าที่ภาวนาไปเฉย ๆ จนกว่าจะก้าวข้าามไปเอง
ถ้าเราไปบังคับให้หยุดได้ แต่ว่าเราจะไม่ผ่าน ทำถึงตรงนี้เมื่อไร ก็จะโยกเมื่อนั้น ต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย ตึงตังโครมครามไปไม่นาน เดี๋ยวก็เลิกไปเอง
ถาม : ฟังบทสวดมนต์ของเจ้าแม่กวนอิม จะมีน้ำตาลไหล ?
ตอบ : อาการเดียวกัน บางทีก็โยก บางทีก็ขนลุก บางทีก็น้ำตาไหล บางทีก็ลอยไปทั้งตัว บางทีก็รู้สึกตัวพอง ตัวใหญ่ ตัวแตก ตัวระเบิด เหมือนกันหมดเพียงแต่เป็นอาการเริ่มต้นของตัวปีติ ถ้าเป็นนักปฏิบัติเขาบอกว่าจะขึ้นอนุบาลหนึ่งแล้ว
*************************
ถาม : เป็นโรคภัยไข้เจ็บมานานแล้ว เมื่อไรเจ้ากรรมนายเวรจึงจะเลิก ?
ตอบ : อีกหลายชาติ
ถาม : อดีตชาติไปทำเขามาหรือคะ ?
ตอบ : ปาณาติบาตไว้มาก ถ้าไม่ทำก็ไม่ต้องรับกรรม ในเมื่อรับอยู่เต็ม ๆ ก็ไม่ต้องสงสัยหรอก เราต้องทำมาแน่ ๆ
ถาม : เคยทำบุญตักบาตรให้ เขาก็ไม่ยอมเลิก ?
ตอบ : ถ้ามีคนมาฆ่าเรา ถึงเวลาเขาใส่บาตรให้เรา แล้วเราจะเลิกโกรธไหม ?
ถาม : ต้องทำอย่างไรจึงจะดีคะ ?
ตอบ : ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาไปเรื่อย มีโอกาสก็ปล่อยชีวิตสัตว์ที่จะฆ่า ทำให้ต่อเนื่องยาวนานพอ เดี๋ยวก็ดีขึ้น
อาตมาปล่อยสัตว์มาจนนับตัวไม่ถ้วน เป็นเวลา ๒๕ ปีแล้ว ปล่อยทุกเดือนอย่างสม่ำเสมอด้วยนะ ปล่ยอปลาครั้งหนึ่งก็นับตัวไม่ไหว เพราะว่าเหมาหมดตลาดเลย โยมไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอก แค่ตัวสองตัวก็ได้ ปล่อยไปสัก ๕๐ ปีเดี๋ยวเขาก็อโหสิกรรมให้เอง..!
*************************
ถาม : นั่งสมาธิคนเดียวได้ไหมคะ ไม่มีอาจารย์มาสอน ไม่มีใครพาไป ?
ตอบ : ถ้ารอให้อาจารย์สอน ก็ไม่ต้องทำอะไรหรอก ต้องมีใจรักทำด้วยตัวเองก่อน
ถาม : เคยมีคนบอกว่า ถ้านั่งคนเดียว ออกไปแล้วเดี๋ยวไม่กลับ ?
ตอบ : คนบอกเคยนั่งไหม ? ถ้าไม่เคยนั่งก็ไม่ต้องไปเชื่อเขา ถ้าเขาเคยนั่งแล้วเป็นบ้า มาบอกเราก็น่าจะเชื่อได้
ความจริงที่โยมว่ามา ส่วนใหญ่ก็จะเจออย่างนั้น ก็คือเร่ิมปฏิบัติก็จะมีผู้หวังดีแต่ประสงค์ร้ายมาให้ข้อมูลสารพัด นั่งกรรมฐานเดี๋ยวจะบ้าบ้าง ถ้าหลุดออกไปเดี๋ยวจะกลับไม่ได้บ้าง จะว่าไปแล้วนั่นก็เป็นการขัดขวางของมารอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพราะว่าพอเราได้ข้อมูลมาก็จะกลัว พอกลัวก็เลิกปฏิบัติ ก็ติดอยู่กับโลกต่อไป
ขอยืนยันว่า ในเรื่องการปฏิบัติ ถ้ากายในหลุดออกไปได้ ไม่มีใครที่จะไม่กลับ ไม่ต้องบังคับก็กลับมาเอง เพราะว่าไม่มีอะไรที่เรารักมากไปกว่าร่างกายนี้อีกแล้ว ใครที่ฝึกมโนมยิทธิได้ ส่งใจไปพระนิพพาน จะเจอประสบการณ์นี้ทุกคน ยังไม่ทันคิดจะลงก็ลงมาแล้ว กว่าจะรู้ตัวก็กองอยู่กับพื้นแล้ว ต้องตะกายขึ้นไปใหม่ทุกที
เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องเสียเวลาไปห่วงหรอกว่าไปแล้วจะกลับไม่ได้ ส่วนที่จะต้องห่วงมากที่สุดคือ ทำอย่างไรจะไปให้ได้มากกว่า
ถ้าคราวหน้าใครเขามาบอกว่า นั่งกรรมฐานแล้วจะบ้า ให้ถามว่าเขาเคยนั่งหรือยัง ? ถ้าเคยนั่งแล้วบ้าหรือยัง ? ถ้าเคยนั่งมาแล้วและบ้ามาแล้วถึงจะเชื่อได้ แต่ขณะเดียวกันถ้าคนบ้ามาบอก เราก็ไม่ควรที่จะเชื่อ เพราะว่าสติเขาไม่สมบูรณ์
เป็นเรื่องปกติที่นักปฏิบัติจะต้องเจอ อาตมาจึงได้ยืนยันว่า ถ้าใครปฏิบัติไปแล้วยังไม่มีคนว่าเราบ้า ยังใช้ไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ต้องมีใครสักคนว่าเราบ้าจนได้ การที่ทำอะไรต่างจากคนอื่นเขา เขาก็มักจะว่าบ้า แบบเดียวกับพ่อออกปะไล บ้านหนองบัว รู้นั่นเห็นนี่แล้วก็ไปเ่าให้คนอื่นฟัง เขาก็เรียก “ตาปะไลผีบ้า”
การต่างจากคนอื่น ถ้าเขาไม่เห็นว่าบ้า ก็จะเห็นเป็นผู้วิเศษ ซึ่งไม่ได้เรื่องทั้งคู่ ถ้าเขาเห็นว่าเราเป็นผู้วิเศษ เขาก็มากวนไม่เลิก ถ้าเขาเห็นว่าเราบ้า เขาก็เลิกคบ สรุปแล้วโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง
ถาม : เวลาปฏิบัติอานาปานสติเผลอไปบังคับลม เลยเพี้ยนครับ ?
ตอบ : ก็อย่าไปทำให้เป็นปกติ ถ้าปกติชอบไปบังคับ ก็เลิกปกติไม่ต้องไปบังคับ
บางทีคุณอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ เพราะว่าการปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่ง ถ้าอารมณ์เริ่มทรงตัว พอเราตั้งใจทำ อารมณ์ก็จะวิ่งไปที่จุดเคยชินเลย เหมือนกับเราบังคับลมหายใจ ถ้าไม่รู้สึกว่าเหนื่อย สามารถทรงตัวได้เป็นปกติ ขอให้รู้ว่านั่นไม่ใช่การบังคับลม แต่เป็นอารมณ์ใจที่ปฏิบัติแล้วเริ่มทรงตัวในระดับนั้น มีความคล่องตัวแล้ว ถึงเวลาแล้วก็เข้าถึงจุดนั้นได้เลย
*************************
ถาม : เราสามารถบังคับจิตให้เข้านอก ออกใน หรือให้อยู่กับที่ได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ได้
ถาม : เข้าใจว่าบังคับไม่ได้ ?
ตอบ : แสดงว่าความสามารถยังไม่พอ
*************************
ถาม : ก่อนกินข้าวจะพิจารณาก่อน อย่างอาหาเรปฏิกูลสัญญา จำเป็นไหมว่าจะต้องพิจารณาว่าสกปรก ? เพราะถนัดพิจารณาเป็นธาตุมากกว่า แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยบอกให้พิจารณาอาหารว่าเป็นธาตุ ?
ตอบ : กรรมฐานทุกกอง ถ้าทำถึงก็สามารถที่จะประยุกต์รวมกันได้ พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้ว แต่เรารวมไม่เป็นเอง
*************************
ถาม : การยึดมั่นถือมั่น แก้ยากมากเลย ?
ตอบ : แก้ง่ายก็เป็นพระอรหันต์กันหมดแล้วสิ...!
ถาม : อารมณ์อยู่ตรงช่วงนี้ เป็นจุดที่ต้องแก้ กำลังเลาะไปเรื่อย ๆ ?
ตอบ : ทำต่อไป จนกว่าจะก้าวข้ามไปได้
*************************
ถาม : เวลาอยู่กับอารมณ์ปัจจุบันจริง ๆ รู้สึกว่าละความมีตัวตนไป ทำไปการอยู่กับปัจจุบันตรงนั้น ผลจึงออกมาอย่างนี้ ?
ตอบ : ถ้าอยู่กับปัจจุบันได้จริง ๆ จิตจะไม่ปรุงแต่ง จะว่าไปแล้วเป็นอารมณ์ที่เบาสบายที่สุด ถ้าหลุดไปในอดีตและอนาคตเมื่อไร ก็แปลว่าเร่ิมฟุ้งแล้ว
ถาม : แค่นี้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเท่านั้นเอง ถ้าไม่รู้ลมหายใจ ก็แปล่าไม่รู้ปัจจุบัน
*************************
ถาม : วิธีปฏิบัติทางลัด ?
ตอบ : ไม่มีทางลัด มีแต่ทางตรง ศีล สมาธิ ปัญญา สามอย่างเท่านั้น ตั้งใจทำจริงก็ได้ผล ไม่ทำจริงก็ไม่ได้ผล
จำไว้ว่าจะลัดกี่ทางก็อ้อมทั้งนั้นแหละ ต้องตรงอย่างเดียว เกิดมาจนนับชาติไม่ถ้วน ปฏิบัติแค่นี้ยังจะใจร้อนอีก
*************************
ถาม : คำภาวนาระหว่างพุทโธ กับ นะโมพุทธายะ อย่างไหน ?
ตอบ : อยู่ที่เราถนัด ชอบอย่างไหนใช้อย่างนั้น
ถาม : อานุภาพของคาถา ?
ตอบ : อยู่ที่กำลังใจเรา กำลังใจห่วย อานุภาพก็น้อย กำลังใจดี อานุภาพก็มาก
ถาม : มีคนบอกว่า คาถานะโมพุทธายะ พลังจะเยอะกว่า ?
ตอบ : คนที่บอกเขาทำได้หรือยัง ? คาถาถขึ้นอยู่กับสมาธิของเรา ถ้าคนภาวนาพุทโธสมาธิสูงกว่า ก็จะมีผลมากกว่านะโมพุทธายะ
*************************
“พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์โลกเกิดเท่าไรก็ตายเท่านั้น แต่กว่าจะตายได้ก็ต้องใช้ระยะเวลา โดยเฉพาะมนุษย์เรามีอายุหลายสิบปี
เด็กที่เกิดมาใช้เวลาอยู่ในท้องไม่เกินสิบเดือน ยกเว้นพวกที่นอนเพลิน อยู่ในท้อง ๑๒ เดือนก็เคยเจอมาแล้ว แต่มีอีกรายหนึ่งอยู่ในท้อง ๓๙ ปีกว่าจะคลอดออกมา กายเป็นหินไปเลย แต่ถ้าเหลาจื๊ออยู่ในท้องแม่ ๘๐ ปี แม่ยังสาวพร้ิงเหมือนสาวอายุ ๑๖ แต่ลูกออกมาแก่ หนวดยาวเลย”
ถาม : เป็นความจริงหรือคะ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ยกเว้นว่าเรายังไม่เคยเจอ ถ้าเจอเมื่อไรก็จะเป็นไปได้เอง
ถาม : เหลาจื๊อมีตัวตนจริง ๆ หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีแล้วเขาจะมาพูดถึงได้อย่างไร ? แล้วขงจื๊อมีตัวตนไหม ? ขงจื๊อเคยไปขอความรู้จากเหลาจื๊อ
ไม่ว่าเหลาจื๊อก็ตาม พระพุทธเจ้าก็ตาม หรือนักปราชญ์ทางด้านกรีกอย่างโซเครตีสหรือเพลโต เกิดไล่ ๆ กันหมด เหมือนกับโลกยุคนั้นท่านที่บำเพ็ญบารมีมาต่างคนต่างลงมาเกิดอยู่ในจุดที่ต้องสงเคราะห์คนหมู่มากเหมือนกัน เพียงแต่พระพุทธเจ้าทรงรู้ครบถ้วน จึงจบกิจเข้าพระนิพพาน คนอื่นรู้ไม่ครบ ก็ต้องแสวงหากันต่อไป
*************************
ถาม : อริยสัจ…มีอะไรเป็นสัญลักษณ์ ?
ตอบ : คำว่าสัญลักษณ์ไม่มีหรอก อริยสัจเป็นการใช้ตัวปัญญาเห็น ไม่ใช่สายตาเห็น ในเมื่อตัวปัญญาเห็น ก็ขึ้นอยู่กับว่าปัญญาเรามีเท่าไร
ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ต้องมีสมาธิทรงตัว สมาธิจะทรงตัวได้ต้องมีศีลบริสุทธิ์
ต้องไล่มาตั้งแต่ศีลเลย ให้รู้ว่าถ้าศีลไม่ทรงตัว ก็เป็นสัญลักษณ์บอกได้ว่าสมาธิไม่ดี ถ้าสมาธิไม่ดีก็เป็นสัญลักษณ์บอกได้ว่าปัญญาไม่พอ
ดังนั้น...ถ้าปัญญาไม่พอ การรู้เห็นรูปนามก็ไม่ชัดเจน การเห็นอริยสัจยิ่งไม่ชัดเข้าไปใหญ่
*************************
ถาม : ก่อนนอนพิจารณาขันธ์ ๕ เช้ามืดฝันว่าพ่อตัวเองเหลือแค่หัว ลืมตามขึ้นมาเล่าว่าแม่ตายในน้ำเน่า ในฝันเห็นแม่จมน้ำตาย น้องชายที่เสียไปแล้วงัดประตูขึ้นมาเจอแม่ เขาหัวเราะสนุกสนาน แต่ก่อนวันจะฝันบ่นว่าอยากถูกหวย เกี่ยวกันไหม ?
ตอบ : แสดงว่าพิจารณาแล้วได้ผล ถ้าพิจารณาแล้วไม่ได้ผล ก็จะไม่เห็นอย่างนั้น
พ่อเหลือแต่หัว ก็เห็นชัด ๆว่า ขันธ์ ๕ นี้ไม่เที่ยง แทนที่จะมาทั้งตัวก็มาแค่นั้น แม่ก็ตาย น้องก็ตายด้วย แล้วเราตายไหม ? บอกแล้วว่า ตะเถ วาหัง มะริสสามิ ท้ายสุดเราก็ตายเหมือนกัน
ถาม : ดีเป็นธรรมใช่ไหม ?
ตอบ : เก่งมากเลย อุตส่าห์พิจารณาร่างกายก่อนนอน แต่ไม่รู้ว่าเกิดผลแล้ว
*************************
“พระมีศีลข้อห้าม คือ
อันโตวุตถะ ห้ามหุงต้มเอง
อันโตปักกะ ห้ามเก็บไว้เอง
สามหักกะ ห้ามเก็บไว้ในที่อยู่ของตน
ถาม : หุงต้มเองผิดพระวินัยเพราะเหตุใด ?
ตอบ : ถ้าหุงต้มเอง จะเลือกทำให้อร่อย สรุปว่าทำให้ตัดกิเลสไม่ได้
ถาม : ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเสียเวลาในการปฏิบัติหรือครับ ?
ตอบ : มีส่วนทั้งนั้น แต่ที่แย่ที่สุดคือทำเองแล้วจะติดในรสอาหาร
ห้ามเก็บไว้เอง เพราะว่าถ้าเก็บไว้เองเดี๋ยวก็ทำเอง
ห้ามเก็บไว้ในที่อยู่ของตน เพราะว่าเดี๋ยวก็ไปแอบกิน โดนทุกรูปแบบ
*************************
ถาม : ของในโลกนี้เป็นสมมติทั้งหมด ของที่ไม่เคยมีในโลกมาก่อนนั้น ถ้ายังติดอยู่และคนนั้นมีกำลังใจสูงมาก ๆ จะสร้างขึ้นใหม่ได้หรือไม่ ?
ตอบ : ก็บอกอยู่ชัด ๆ แล้วว่ายังติดอยู่ ถ้ายังติดอยู่ก็ไปไหนไม่รอดหรอก
เมื่อสร้าง “กรรม” ไว้ จะดีหรือชั่วก็ตาม สิ่งที่คุณ “สร้าง” ย่อมเกิดขึ้นมาสนองอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะกำลังใจสูงหรือต่ำก็ต้องได้รับทั้งนั้น
*************************
ถาม : เวลาทำสมาธิ แล้วฟุ้งเป็นภาพพระเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ดีหรือไม่ดี และควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าจะเอากำลังใจมั่นคง ก็เป็นโทษ แต่ถ้าคิดว่าเป็นพุทธานุสติก็ไม่เป็นไร ใช้วิธีนี้สิ...เปลี่ยนเองเลย แทนที่จะรอให้ท่านเปลี่ยน เราก็เปลี่ยนเอง
พอปฏิบัติไปได้ระยะหนึ่ง ภาพพระก็จะเปลี่ยน ถ้าท่านเปลี่ยนเอง แปลว่ากำลังใจเราทรงตัวแล้ว ถึงวเลาท่านมากี่แบบเราก็จำเอาไว้ แล้วเปลี่ยน ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ใส่หมายเลขไปเลย เป็นกีฬาสมาธิ ช่วยให้กำลังใจทรงตัวได้ดี
*************************
|