ถาม :  ทำไมบางคนเขาไม่เคยเจอผีเลย บางคนเขาไม่อยากเจอก็เจอล่ะ ?
      ตอบ :  ถ้าไม่ใช่จิตหยาบเกินไปก็ห่วยไปเลย จิตหยาบจะรับเขาไม่ได้เลยเพราะของเขาอยู่ในภพภูมิที่ละเอียดกว่าหรือบางคนห่วยแตกเขามาเขาก็ไม่ได้อะไร ส่วนใหญ่เขามาเขามักต้องการส่วนบุญส่วนกุศลจากเรา เพราะฉะนั้นคนที่เจอผีนี่มี ๒ อย่างคือ อย่างแรกมีกรรมเนื่องกันมา เขาก็เลยปรากฏเพื่อให้สงเคราะห์เขา อีกอย่างหนึ่งทำบุญใหญ่มา เขาอยากได้เขาก็มาปรากฏให้เห็น
      ถาม :  ก็เหมือนกับว่ามาให้เห็นรัศมีกายว่าคนนี้จะอุทิศบุญให้เขาได้ใช่ไม๊คะ ?
      ตอบ :  ก็ลักษณะนั้นใครที่เจอผีไม่ต้องไปทำบุญใหม่หรอกใ้หตั้งใจว่ากุศลบารมีอะไรที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ขออุทิศให้กับเธอขอให้เธอโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ได้รับความสุขเท่าไรขอให้เธอได้รับด้วยเท่านั้นพอแล้ว
      ถาม :  แล้วถ้ามาทำร้ายเราล่ะครับ ?
      ตอบ :  ที่มาทำร้ายนี่ส่วนใหญ่มันมาเพื่อทดสอบกำลังใจ
      ถาม :  ถ้าเจอแล้วเราช๊อคทำยังไงคะ ?
      ตอบ :  อ๋อ ! อันนั้นไม่ต้องทำยังไงหมอเขาจัดการเอง เราช๊อคแล้วก็แล้วกัน ถ้าหากว่าเป็นผีประเภทที่มาลองกำลังใจถ้าเรากลัวมากเขาก็ไป ถ้าหากว่าเราคิดถึงความดีได้เขาก็ไป เขาต้องการแค่นั้นแหละ คือต้องการให้เราเกาะความดีได้ แต่ถ้าเห็นเรากลัวมากเดี๋ยวมีอันเป็นไปเขาก็ไม่อยู่แล้ว
      ถาม :  ........................
      ตอบ :  โอกาสอย่างนั้นมันน้อย กำลังใจถ้าหากประกอบไปด้วยความโกรธแค้นอะไรเต็มที่ มันเป็นจิตใจที่เศร้าหมอง ส่วนใหญ่จะลงนรกไปเลย พวกนั้นมันมีแต่ในนิยายเท่านั้นที่ผีมันกลับมาแก้แค้น ถ้าหากว่ายังผูกอาฆาตอยู่อย่างนั้นจิตใจมันเศร้าหมองมันจะพาลงอบายภูมิไปเลย
      ถาม :  แล้วอย่างที่ผีเขาหลอนเขาหลอกนั่น เขาหลอกเล่น ๆ เหรอคะ ?
      ตอบ :  เขาไม่ได้เจตนาหลอก เขาตั้งใจมาขอส่วนบุญแต่ลักษณะของเขามันเหมือนกับคนจน เขามาได้สวยที่สุดก็อย่างที่เราวิ่งอ้าว นั่นน่ะสวยที่สุดของเขาแล้ว เขาพยายามรวบรวมความสามารถของเขาเต็มที่แล้ว เขามาได้แค่นั้น เขาก็อยากสวยกว่านั้นแต่บุญเขาไม่พอ เพราะฉะนั้นรีบ ๆ ให้เขาซะ ส่วนใหญ่แล้วแทนที่จะให้ก็วิ่งหนีเขา
      ถาม :  เคยได้ยินหลวงพี่ต่อเล่าให้ฟังว่าเคยไปที่อุทยาน.....(ไม่ชัด).....แล้วก็ไปที่ถ้ำ .....(ไม่ชัด)......แล้วผีนี่เอามือยื่นออกมาเจตนาจะฆ่าหรือหลอก ?
      ตอบ :  พวกนั้นส่วนใหญ่มันลองกำลังใจนักปฏิบัติโดนประจำถ้าไม่ใช่นักปฏิบัติมันไม่ค่อยยุ่งด้วยหรอกเสียเวลาเปล่า ลองไปก็ไม่ได้อะไร
      ถาม :  ผมเคยได้ยินมาว่าผีที่หลอกเพื่อทดสอบกำลังใจส่วนใหญ่จะไม่ใช่ผีใช่มั้ยครับ ?
      ตอบ :  เราน่ะอะไรก๊อกแก๊กมันเรียกผีหมด มันแล่นไล่ตั้งแต่โน่่นแน่ะ ทั่ว ๆ ไปยันนิพพานมันเหมาเป็นผีหมดเลย
      ถาม :  พอดีไปถ่ายทำโฆษณาสินค้าตัวหนึ่งต้องใช้พระ ทีนี้ทางทีมงานเขาใช้พระจริง ?
      ตอบ :  ก็ไม่เป็นไร
      ถาม :  ก็ไม่บาปไม่ปรามาสอะไรใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  ก็อยู่ในลักษณะขอความร่วมมือท่าน ๆ จะเห็นด้วยมั้ย ? ถ้าถึงเวลาก็ถวายอะไรให้ท่านบ้างนะ ไม่ใช่ใช้ท่านเฉย ๆ พอเสร็จงานก็ขอขมาพระด้วย
      ถาม :  หนูไปขอขมาพระท่านงงน่ะค่ะ ว่ามาขอขมาทำไม ก็เลยบอกว่าทีแรกว่าจะเอาพระปลอมไงคะ ทีนี้ทางทีมงานเขาไม่ลงทุนนี่คะ เขาก็นิมนต์หลายอย่างเดี๋ยวก็นิมนต์เดินหน้า นิมนต์ถอยหลังทีนี้พอเสร็จงานหนูก็ไปขอขมาพระ ๆ งงเลยค่ะ
      ตอบ :  เป็นอันว่าเราพ้นไป ไอ้คนไม่ขอขมาอีกหน่อยมันก็โดนเขาจับเดินหน้าถอยหลังเองล่ะ นั่นแสดงว่าตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นยังไง ไปขอขมายังไม่รู้ คือสมัยหลัง ๆ นี่เขาก็บวชเขาก็สักแต่บวชไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
      ถาม :  เรื่องชำระหนี้สงฆ์นี่เขารู้กันทุกวัดใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่หรอก รู้กันแต่สายหลวงพ่อเท่านั้นนอกสายหลวงพ่อไม่มีใครเขารู้กัน เพราะว่าหลวงพ่อท่านพบมาเยอะ คนที่เอาของสงฆ์ไปกินไปใช้นี่โทษมันอเวจีมหานรกอย่างเดียว ถามพระยายมราชท่านแล้วท่านบอกมีวิธีการชำระหนี้สงฆ์ อย่างเช่นว่า ถ้าเราเอาสิ่งของที่มีค่าเท่าไหร่ในอดีต ถ้าเราต้องซื้อสิ่งของนั้นปัจจุบันเป็นเงินเท่าไหร่ต้องตีเป็นราคาเงินในปัจจุบัน หรือไม่ก็ซื้อของชิ้นนั้นมาคืนเลยเป็นของใหม่หมดเรื่องหมดราวไป แต่ว่าถ้าหากว่าไม่สามารถจะทำได้ก็ให้ตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ เอาเงินจำนวนหนึ่งไปถวายบอกชำระหนี้สงฆ์ที่เคยทำมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้าหากว่าพระทั้งวัดเขาประเภทสาธุรับก็เป็นอันว่าหมดกันไป หรือไม่ก็ตั้งใจสร้างพระหน้าตัก ๔ ศอกถ้าหากว่าสร้างพระหน้าตัก ๔ ศอกไม่ปิดทองนี่ได้เฉพาะเจ้าภาพคนเดียว แต่ถ้าหากว่าจะปิดทองนี่จะร่วมกันกี่คนมีอาสงส์คุ้มได้หมด
      ถาม :  และหนูถวายบอกชำระหนี้สงฆ์นี่ท่านก็เลยงง ๆ บอกแปลว่าอะไรชำระหนี้สงฆ์ หนูก็เลยบอกถวายหลวงพี่ไว้ใช้ในวัดเลย
      ตอบ :  บอกว่าถวายเป็นค่าน้ำค่าไฟเลยก็ได้ ท่านจะได้เข้าใจ
      ถาม :  ท่านงง ก็เลยบอกเอ๊ะ ทำไมงง ?
      ตอบ :  มันมีแต่สายหลวงพ่อเท่านั้นที่เข้าใจ สายอื่นไม่ค่อยเข้าใจหรอก ถ้าได้ยินว่าใครเขาบอกว่าถวายชำระหนี้สงฆ์หมายหัวไว้เลยว่าอย่างน้อย ๆ ก็เคยเดินผ่านวัดท่าซุงมาแน่ หรือไม่ก็เป็นศิษย์เก่าท่าซุงเลยล่ะ
      ถาม :  เคยเดินผ่านวัดแล้วเห็นพระชำรุดเป็นพระแก้วมรกตชำรุดวางใต้ต้นโพธิ์แต่ยังไม่ชำรุดมาก ผมก็เลยจะเอาไปบูชาที่บ้าน แต่ผมไม่ได้้หยิบเอาไปเฉย ผมไปขอกับท่านรองเจ้าอาวาสท่านก็ให้บอกว่าเอาไปซิ อย่างนี้ต้องชำระหนี้สงฆ์หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  อันนั้นยังเป็นของสงฆ์อยู่ ท่านองค์เดียวอนุญาตไม่ได้ต้องสงฆ์ทั้งหมดมีความเห็นร่วมกัน อันนั้นท่านอนุญาตไม่ได้ ถ้าหากว่าท่านอนุญาตไปท่านก็ผิด ขณะเดียวกันเราเอามาเราก็ยังติดหนี้สงฆ์อยู่ เราต้องตั้งใจดูว่าถ้าหากว่าปัจจุบันราคาเท่าไหร่เราก็ชำระไปในราคาเท่านั้น
      ถาม :  แล้วถ้าหากว่าเราเอาพระพุทธรูปองค์นี้ไปคืน ?
      ตอบ :  ก็ดีจะได้หมดเรื่องกันไปเลย เวลาคืนถ้าหากว่าวัดเก่ามันไกลวัดไหนก็ได้ ตั้งใจว่าถวายคืนเป็นสมบัติของพระศาสนาไปตามเดิม
      ถาม :  คืนวัดไหนก็ได้เหรอครับ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าวัดเก่ามันไม่ไกลจนเกินไปก็คืนวัดเก่า ถ้าหากว่าวัดเก่ามันไกลวัดไหนก็ได้
      ถาม :  ทำไมเขาเอาไปวางทิ้งล่ะครับ ไม่รู้ว่าใครเอาวางทิ้งไว้ใต้ต้นโพธิ์ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่แล้วคนเราพอแตกนิดบิ่นหน่อยแล้วมันก็ไม่สบายใจ มันก็เอาไปทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ
      ถาม :  เวลาเราปฏิบัติธรรมแล้วเรารู้สึกว่ามันสบาย แล้วจิตก็ว่าทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ ทำบ้างไม่ทำบ้าง แต่จิตก็ยังเคารพอยู่นะครับ เห็นพระแล้วก็อยากจะไหว้อยากจะกราบ แต่มันมีความรู้สึกคือสวดมนต์บ้างก็ได้ไม่สวดก็ได้อย่างนี้ ?
      ตอบ :  อย่างนั้นเขาเรียกกิเลสมารดลใจแล้ว ความดีทำมากเท่าไหร่ก็ดีเท่านั้น มากนี่หมายความว่าทำบ่อย ๆ ทำประจำ ๆ ไม่ใช่ทุ่มเททำด้วยทรัพย์สินเงินทองมาก ๆ ความดีทำมากเท่าไหร่ก็ดีกับเราเท่านั้น ถ้าหากว่ามันชวนให้ขี้เกียจเมื่อไหร่ให้รู้ตัวเลยว่าเราจะแย่แล้ว
      ถาม :  เพราะว่าเมื่อก่อนผมเคยสวดชินบัญชร แล้วพอตอนหลังนี่ก็.....(ไม่ชัีด).....ก็เลยเลิกสวดชินบัญชร ?
      ตอบ :  แล้วเลิกทำไมล่ะ อาตมาเองก็สวดมาก่อนจนปัจจุบันนี้ก็ยังสวดอยู่
      ถาม :  จิตมันก็ยังจำได้อยู่ทุกถ้อยคำ แต่มันมีความรู้สึกว่าทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ แต่จิตมันอยากจะทำแต่ความรู้สึกมันเหมือนกับว่าขี้เกียจซะแล้วน่ะครับ ?
      ตอบ :  ไอ้ขี้เกียจซะแล้วนี่ ระวังมันเป็นถีนมิทธะนิวรณ์ เดี๋ยวมันพาอย่างอื่นขี้เกียจไปด้วย
      ถาม :  อย่างนี้ต้องสร้างกำลังใจใหม่ใช่มั้ย ?
      ตอบกำลังใจต้องเอาใหม่ให้ไฟมันลุกสม่ำเสมอหน่อย ไม่ใช่ให้มันติด ๆ ดับ ๆ แล้วยิ่งไฟไหม้ฟางวูบเดียวหายเลยไม่ให้มีเด็ดขาด
      ถาม :  (ถามเกี่ยวกับเรื่องคาถาต่าง ๆ มีชินบัญชร)
      ตอบ :  พระคาถาสำคัญตรงที่ว่าผู้ที่ผูกเอาไว้บอกมีผลทางไหนแล้ว จิตใจเรามุ่งทางนั้นก็จะมีผลทางนั้น ยกเว้นว่าเราทำไปด้วยแล้วมีผลสำเร็จที่ใจแล้วล่ะ เราจะใช้คาถาไหนนึกให้เป็นยังไงก็จะเป็นอย่างนั้น
      ถาม :  อยู่ที่การอธิษฐานเหรอครับ ?
      ตอบ :  อยู่ที่ความตั้งใจของเรา มาถึงระยะหลัง ๆ นี่ตั้งใจยังไงก็เป็นอย่างนั้น
      ถาม :  ถ้าเราสวดชินบัญชร ไม่ว่าจะทำอะไรจิตจะนึกถึงคาถานี้อย่างนี้จะอธิษฐานได้มั้ย ?
      ตอบ :  ได้ แสดงว่ามันเป็นฌานแล้ว ในเมื่อเป็นฌานแล้ว ยิ่งฌานสูงมากเท่าไหร่ผลก็จะมีมากเท่านั้น
      ถาม :  อานิสงส์คาถาชินบัญชรนี่มีอานิสงส์อย่างไรครับ ?
      ตอบ :  อานิสงส์อย่างไร ? ถ้าหากว่าทำเป็นก็ยันนิพพาน เพราะป็นบทสรรเสริญคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และก็บรรดาพระสูตรต่าง ๆ ที่พระพุทธเจ้าสอนมา
      ถาม :  (ถามเรื่องการนั่งสมาธิ)
      ตอบ :  การนั่งสมาธิให้รวบรวมความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก อย่าปล่อยให้มันไปคิดเรื่องอื่น ถ้าคิดเรื่องอื่นมันจะไม่เป็นสมาธิ ถึงเวลาโยมกำหนดความรู้สึกทั้งหมดให้มันอยู่แค่ลมหายใจเข้า- ออก เวลาหายใจเข้าก็ผ่านจมูกลงไปกลางอกลงไปที่ท้อง ออกจากท้องมากลางอกมาที่จมูก นึกเข้านึกออกอยู่เท่านี้ ถ้ามันนึกเรื่องอื่นเมื่อไหร่ก็ดึงมันกลับมา นึกเรื่องอื่นเมื่อไหร่ก็ดึงมันกลับมา แรก ๆ มันจะทำไม่ได้เพราะว่ามันไม่เคยชิน แต่พอทำไปนาน ๆ แล้วมันจะได้ ของเราพอไม่ได้ทีแล้วเราก็เลิก มันต้องพยายามหน่อย มันยากทีแรกพอได้ซะแล้วมันจะง่าย
      ถาม :  ทำตั้งนานแล้วมันยังไม่เห็นนั่งได้เลย
      ตอบ :  ก็โยมทำไม่ถูกมันก็ไม่ได้ซิ ทำใหม่จ้า ทำใหม่
      ถาม :  แล้วหลวงพี่สอบหรือยังครับ (สอบนักธรรม) ?
      ตอบ :  สอบได้ตั้งแต่ ๓ พรรษาแรกแล้ว ๓ พรรษาล่อไป ๔ ประกาศนียบัตรเพราะว่าเขามีสอบนวกะครั้งหนึ่ง แล้วหลวงพ่อถามว่าจะเรียนเปรียญต่อมั้ย ? ถ้าหากว่าเรียนบาลีเป็นเปรียญต่อจะส่งมาเรียนกรุงเทพ บอกไม่เอาเพราะว่าถ้าเราห่างหลวงพ่อนี่เดี๋ยวมันไหลไปตามกระแสเขาคือพวกที่มาเรียนมหาเปรียญนี่ส่วนใหญ่แล้วเขาจะไปต่อสู้แย่งชิงพวกลาภ ยศ สรรเสริญ สุขกัน เดี๋ยวเราก็จะไปแย่งกับเขาบ้าง
              นึกถึงหลวงพี่ชุบ หลวงพี่ชุบเป็นเจ้าคุณศรีวิสุทธิโมลี วัดราชบูรณะ วัดเลียบน่ะ เปรียญ ๙ รุ่นพี่ชุบนี่ พี่ชุบเขาเป็นก่อนเพื่อนเลย จนป่านนี้รุ่นพี่กับรุ่นน้องก็ยังไม่ได้เป็นแต่พี่ชุบเป็นแล้ว ถามว่าทำไมพี่ติดนายพลก่อนเขาล่ะ แกตอบตามสไตล์ลูกศิษย์หลวงพ่อขนานแท้เลย แกตอบว่าไงรู้มั้ย ? แกบอกมันเสือกวิ่งเต้นกันกู มันกลัวกูจะเป็น กูก็เลยทำให้มันรู้ว่าคนอย่างกูถ้าจะเป็นแล้วต้องได้
              นั่นล่ะกลัวว่าจะไปเป็นอย่างนั้นน่ะ คืออันนั้นพี่เขา ๆ ก็รู้อยู่แต่ว่านิสัยลูกศิษย์หลวงพ่อมันไม่ยอมแพ้ใคร มันจะไปฟัดกับเขา เรารู้นิสัยตัวเองดีก็เลยบอกหลวงพ่อไม่เอาล่ะครับ แค่นี้ก็พอแล้ว คือว่าถ้าจะเรียนบาลีอย่างน้อยก็ต้องเรียนให้ได้นักธรรมตรี นักธรรมตรีนี่เขาให้สิทธิเรียนเปรียญ ๑, ๒, ๓ ถ้านักธรรมโทนี่ให้เรียน ๔, ๕, ๖ ได้แล้วนักธรรมเอกนี่ให้เรียนถึง ๗, ๘, ๙ เราก็เก็บสิทธิไว้เรียนเฉย ๆ ไม่เรียนหรอก กลัวจะต้องไปแย่งชิงกับเขาไม่เอาด้วยมันรู้นิสัยตัวเอง ไม่ค่อยยอมแพ้ใคร
      ถาม :  เรื่องที่เป่ายันต์เกราะเพชรที่บางวัดเขาจะเป่ายันต์เกราะเพชรให้ ?
      ตอบ :  เขาว่าเขาเป็นลูกศิษย์สายหลวงปู่ปาน แต่ถ้าจะไม่เป่าวันเสาร์ ๕ นี่มันเก่งเกินไป ตามสายหลวงพ่อนี่ต้องเป่าเฉพาะวันเสาร์ ๕ เท่านั้น หลวงปู่ปานท่านก็สั่งนักสั่งหนา พระท่านก็สั่งนักหนาว่า ต้องวันนี้เท่านั้น แต่ปัจจุบันนี้มีหลายสำนักที่ประกาศตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ปานบ้าง เป็นลูกศิษย์สายวัดท่าซุงบ้าง บางวัดสามารถเป่ายันต์ได้ทุกเวลาที่เราไปร้องขอ ตั้งขันครูมา ๒๙๙ บาททำให้เดี๋ยวนั้นเลย เก่งขนาดนั้น อาตมาทำไม่ได้ บางวัดก็เป่าทั้งเสาร์ทั้งอาทิตย์มันเกินไป ตำราครูบาอาจารย์ว่าอย่างไรต้องยึดถือตามนั้น คนนอกครูนอกอาจารย์มันเจริญยาก เอาบ้างมั้ย ? ไปเมื่อไหร่เป่าได้เมื่อนั้น ความจริงเขาเก่ง เราต้องรอ บางทีปีทั้งปีไม่มีเสาร์ ๕ ก็ต้องรอปีต่อไปนะ ของเราสู้เขาไม่ได้ของเขาเก่งกว่า
      ถาม :  ............................
      ตอบ :  คือว่าการบำเพ็ญบารมีของแต่ละคนมันแยกออกเป็น ๒ สาย สายหนึ่งเรียกว่าสาวกภูมิ คือทำเพื่อที่จะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ส่วนอีกสายหนึ่งเขาเรียกว่าพุทธภูมิ   สายพุทธภูมินี่คือปฏิบัติตัวเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง ในระหว่างที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้านั้น เขาเรียกคนผู้นั้นว่า “พระโพธิสัตว์”  คือสัตว์ผู้แสวงหาความรู้หรือว่าสัตว์ผู้รู้ คือพระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญบารมีในด้านพุทธภูมินั้นเขาแบ่งออกเป็นว่า มีพุทธภูมิขั้น  ปัญญาธิกะ   ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างน้อย ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป ขั้น  ศรัทธาธิกะ   ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างน้อย ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป ขั้นวิริยาธิกะต้องบำเพ็ญบารมีอย่างน้อย ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป ถึงจะบรรลุมรรคผลได้
              การที่บำเพ็ญบารมีต่างกันแต่เป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกันนั้น จุดใหญ่สำคัญอยู่ตรงบริวารของท่าน ปัญญาธิกะบริวารของท่านมีรวย มีจน มีสวย มีอัปลักษณ์ สับสนปนเปกันไปหมด ส่วนศรัทธาธิกะ บริวารของท่าน ดี สวย รวย เสมอกันหมด ในช่วงที่ท่านประกาศศาสนานั้น เขตที่ท่านประกาศศาสนาคนชั่วจะเข้าไปในเขตนั้นไม่ได้ ส่วนพุทธภูมิวิริยาธิกะนั้นนอกจากบริวาร ดี สวย รวย เสมอกันหมดแล้ว ช่วงที่ท่านเกิดขึ้นมาเพื่อประกาศศาสนาคนชั่วจะเกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นที่ท่านต้องบำเพ็ญบารมีต่างกันมากมหาศาลขนาดนั้น ส่วนใหญ่ทำเพื่อสงเคราะห์บริวารตัวเอง ถ้าอย่างสมัยของเราพระพุทธเจ้าคือ    นี้ท่านเป็นพุทธภูมิปัญญาธิกะ เพราะฉะนั้นพวกเราก็มีดี มีเลว มีรวย มีจน มีอัปลักษณ์ มีสวยงาม ปนเปกันไปหมด โน่น....รอสมัยหน้า สมัยพระศรีอาริยเมตตรัย ท่านเป็นพุทธภูมิวิริยาธิกะ เพราะฉะนั้นทุกคนดี สวย รวย เสมอกันยังไม่พอโลกยุคนั้นคนชั่วห้ามเกิด
      ถาม :  พระปัจเจกพุทธเจ้า....(ไม่ชัด).....?
      ตอบพระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า แล้วก็อนุพุทธเจ้า จะมีอยู่ ๓ อย่างด้วยกัน พระพุทธเจ้า ก็คือว่าผู้ที่ตรัสรู้แล้วต้องสั่งสอนสัตว์โลกเพื่อขนถ่ายให้ข้ามวัฏสงสาร คือให้เข้านิพพาน พ้นการเวียนตาย เวียนเกิด  พระปัจเจกพุทธเจ้า  ท่านต้องการจะรู้ให้ครบแต่ว่าไม่อยากจะสอนใคร   ดังนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญบารมีอย่างน้อย ๒ อสงไขยกับแสนมหากัป เมื่อตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมพุทธโพธิฌานแล้วท่านขาดสัพพัญญุตญาณอย่างเดียว เพราะฉะนั้นมีความรู้เหมือนพระพุทธเจ้าทุกอย่าง แล้วก็จะไม่สอนทาน ศีล ภาวนาขั้นปรมัตถ์ จะสอนแค่ขั้นต้น ขั้นกลางเท่านั้น ยกเว้นว่าผู้ใดมีวิสัยจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านก็จะสอนให้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยกัน
              โลกในยุคที่ว่างจากพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง จนกระทั่งอีกองค์หนึ่งจะตรัส คือสิ้นอายุศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์นี้จนกว่าพระพุทธเจ้าองค์ใหม่จะตรัสรู้ โลกช่วงนั้นจะมีพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก บางทีก็ได้พบท่านทีเป็นแสน ๆ องค์เลยก็มี ส่วน  อนุพระพุทธเจ้านั้น ก็คือบรรดาพระอรหันต์สาวก  “อนุ”  ก็คือเล็ก ก็คือน้อย คือผู้รู้ที่เป็นผู้น้อยกว่า หมายถึงพระอรหันต์ทั่ว ๆ ไป พระอรหันต์ทั่ว ๆ ไปที่บำเพ็ญบารมี ๑ อสงไขยกับแสนมหากัป ก็จะสามารถเข้าถึงพระนิพพานได้แล้ว
      ถาม :  แล้วในช่วงที่ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ ....(ไม่ชัด)......เราจะทราบได้ไงคะว่าคนนั้นปรารถนาแบบปัญญา ศรัทธา หรือวิริยา ?
      ตอบ :  คือตัวคนทำเองเมื่อถึงเวลาแล้วจะรู้เองว่าตัวเองต้องการแบบไหน หรือไม่ก็ไปหาผู้ที่ท่านได้ทิพย์จักขุญาณ  แต่ว่าผู้ที่ได้ทิพจักขุญาณท่านก็จะไม่พยากรณ์โดยตรง เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ ท่านได้มาท่านก็จะถามพระพุทธเจ้าอีกทีหนึ่ง ต้องเอาท่านที่รู้จริงมั่นใจว่าท่านมีความสามารถจริง ท่านก็ทูลถามพระพุทธเจ้าให้