​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๘๒

 

เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔


              ตอนนั้น สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ถือว่าอาวุโสสูงสุด แต่ทิวงคตเสียก่อน
              ก็ต้องมาดูลูกที่สืบสายของพระองค์ท่าน คือหม่อมเจ้าจุลจักรพงษ์ แต่แม่ของท่านเป็นแหม่มรัสเซีย ก็เลยไม่สามารถที่จะสืบสายได้
              องค์ต่อมาก็คือ สมเด็จเจ้าฟ้ายุคลทิหัมพร กรมหลวงลพบุรี ราเมศวร์ ก็ทิวงคตอีก พอไปดูลูกก็คือ
              พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล (เสด็จพระองค์ชายใหญ่)
              พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลทิฆัมพร (เสด็จพระองค์ชายกลาง)
              พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรณ์มงคลการ (เสด็จพระองค์ชายเล็ก)
              ทั้งสามท่านไม่มีใครกล้ารับ
              ขนาดในหลวงรัชกาลที่ ๗ เขายังไล่ออกจากราชบัลลังก์ แล้วคนอื่นจะเหลือหรือ ?
              ก็ต้องดูสายต่อมาก็คือ สมเด็จเจ้าฟ้ามหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ตอนนั้นท่านเป็นกรมหลวงสงขลานครินทร์ ปรากฎว่าทิวงคตเหมือนกัน ก็มาดูลูก มี
              พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล
              และพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช
              ความจริงท่านเกิดมาเป็นหม่อมเจ้าทั้งคู่ แต่ได้รับเลื่อนเป็นพระวรวงศ์เธอ
              สมเด็จย่าก็ยอมให้ในหลวงรัชกาลที่ ๘ มา แปลว่า รอดการนองเลือดไปได้ เพราะว่าต่างก็เกี่ยงกันเป็น เพราะสถานการณ์ไม่ให้เอื้ออำนวย กลัวคณะราษฎร์จะฆ่า
              พอรัชกาลที่ ๘ สวรรคต ก็ต้องไปไล่สายกันเหมือนเดิม พอมาถึงสายของกรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ทั้งสามพระองค์ยิ่งไม่เอาใหญ่เลย คราวที่แล้วไล่กษัตริย์ออก คราวนี้ฆ่าเลย ใครจะกล้าเป็น ?
              ก็ตกมาที่สมเด็จย่าอีก สมเด็จย่าต้องสละลูกคนเล็กให้ไปครองราชย์
              ดังนั้น...สองร้อยกว่าปีที่ผ่านมา รัตนโกสินทร์ของเราในราชวงศ์จักรี ไม่มีการแย่งชิงราชสมบัติ ต้องบอกว่าพระสยามเทวาธิราชปกปักรักษาไว้ ก็เลยเป็นแบบอย่างที่ดี
              อย่างราชวงศ์ทางยุโรปก็มีการแย่งชิง แต่พอมาระยะหลังเขาแก้ปัญหาตก โดยการแต่งงานไขว้กันไปไขว้กันมาจนเป็นญาติกันหมด ไม่รู้จะแย่งกันไปทำไม เพราะญาติตัวเองทั้งนั้น
              แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ของเรา ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติอย่างมหาศาล ชาวบ้านก็ให้การเคารพนับถือ ขณะที่ต่างประเทศไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะว่ากษัตริย์จริง ๆ ก็คือนักรบ ถึงเวลาไม่ได้รบเพื่อประชาชน คนเขาก็ไม่เห็นประโยชน์
              ปัจจุบันอย่างสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธ พระบรมราชินีนาถของอังกฤษ พระองค์ยังเป็นสัญลักษณ์ของการปกครองระบอบกษัตริย์ที่ยังเข้มข้นอยู่มาก แต่คนให้ความสำคัญน้อยลงไปเรื่อย ๆ ปัจจุบันกษัตริย์ของเขายังต้องเสียภาษีด้วย...!
              นึกถึงเรื่องที่เขาเล่าให้ฟังก็คือ พระเจ้าโบดวงขับรถเร็วเกินกำหนด ตำรวจเขาเรียกมาเขียนใบสั่ง ถามว่าชื่ออะไร ? “โบดวง” อาชีพอะไร ? “กษัตริย์” เขาไม่สนใจหรอก ออกใบสั่งให้ไปจ่ายค่าปรับเฉยเลย...!
*************************

              “ดูอย่างสมเด็จพระเทพฯ ของพวกเรา เสด็จไปไหน ชาวบ้านแทบจะถวายหัวให้อยู่แล้ว แต่ความจริงท่านจ่ายหนักกว่าเดิมทุกที
              สมมติไปกินข้าวเขามื้อหนึ่ง เรากินอย่างเก่งเต็มที่คงไม่เกินร้อยบาท แต่พระองค์ท่านอาจจะต้องให้เขาสองร้อยบาท เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก สรุปแล้วแทนที่จะสบาย กลับจ่ายหนักกว่าเราอีก...!
              ที่บ้านจ่าตุ่ม จะมีแบงก์ที่สมเด็จพระเทพฯ พระราชทานให้ เขาใส่กรอบไว้บูชา
              ตอนที่ท่านเสด็จไปอุทัยธานี เขาก็ไปเข้าเฝ้าถวายสิ่งของกัน บ้านจ่าตุ่มเขาทำแต่มีด ก็เลยถวายมีด พระองค์ท่านรู้ว่าธรรมเนียมโบราณจะไปรับอาวุธของใครฟรี ๆ ไม่ได้ ก็เลยต้องทำเป็นซื้อ พระราชทานเงินให้เป็นค่ามีด
              เรื่องมีดเขาถือมาแต่โบราณว่า อย่าไปเอาของใครฟรี ๆ ถ้าได้ฟรี ก็มีแต่ที่เขาเสียบมาให้เท่านั้น แปลว่าถึงตาย...!”
*************************

              “คนไหนที่ยังแบ่งแยกขาวดำชัดเจน เล่นการเมืองไม่ได้หรอก เพราะการเมืองไม่มีมิตรแท้และไม่มีศัตรูถาวร
              ถ้าจะเล่นการเมืองต้องเล่นอย่างในหลวง ในหลวงไม่ได้เล่นการเมือง แต่พระองค์ท่านทำเป็นตัวอย่าง ก็คือทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม ไม่ได้สนใจว่าคุณจะเป็นฝ่ายไหน เป็นสีไหน เป็นสัญชาติไหน ทุกคนก็คือบุคคลที่พระองค์ท่านต้องปกครองดูแลทั้งหมด
              ใครที่ยังแบ่งแยกขาวดำชัดเจน เข้าไปเล่นการเมืองไม่ได้หรอก.. เสียคนหมด ก็คือจะรับสภาพความสกปรกของการเมืองไม่ได้ เดี๋ยวก็ลาออก หรือถอดใจถอยไปเอง นักการเมืองน้ำดีเป็นจำนวนมากที่ไม่สามารถจะยืนหยัดในวงการได้ เพราะในนั้นมีวิชามารเยอะมาก
              ได้แต่หวังว่าบ้านเมืองของเราจะเริ่มดีขึ้นสักที เพราะว่าในหลวงเราทุกวันนี้ประคับประคองพระวรกาย ก็เพื่อจะให้สถานการณ์ดีขึ้น ไม่อย่างนั้น ถ้าพระองค์ปุบปับไปแล้ว จะยุ่งมาก
              คนอายุ ๘๐ กว่าแล้ว แต่หาเวลาพักผ่อนไม่ค่อยได้ กลอนเขาบอกว่า “จะพักเพียงสักวัน ยังหายากลำบากเกิน”
              เวลาจะพักสักวันยังไม่มีเลย ตอนนี้ก็ช่วยกันลุ้นพระองค์เสด็จพระราชดำเนินได้ ขนาดต้องไปรถเข็น พระองค์ท่านยังทรงงานไม่เลิกเลย”
*************************

              “นักวิ่งมาราธอนคนแรกของโลก วิ่งระยะทาง ๔๒ กิโลเมตร เพื่อไปส่งข่าวว่ากรีกชนะแล้ว พอส่งข่าวเสร็จเป็นลมล้มตาย กำลังใจเขามุ่งมั่นว่าต้องทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จ
              มีนักวิ่งโอลิมปิกชาวเคนยาคนหนึ่ง เท้าเขาบาดเจ็บ วิ่งเหลืออีกกี่รอบสนามไม่รู้ แต่ก็ยังวิ่งกระโผลกกะเผลกไปเรื่อย จนกระทั่งคนรอบข้างตะโกนบอกให้เลิกเถอะ เพราะไม่มีใครเหลืออีกแล้ว แต่เขาก็ยังวิ่งไปเรื่อย จนกระทั่งครบตามระยะ นักข่าวไปสัมภาษณ์ว่าทำไมวิ่งไม่เลิก ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครแข่งด้วยแล้ว
              เขาบอกว่า ประเทศส่งเขามาให้วิ่ง เพราะฉะนั้น...เขาต้องทำหน้าที่ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ กำลังใจเขามุ่งมั่นขนาดนั้น ถ้าเป็นเราโดนน็อกรอบก็ไม่วิ่งแล้ว กำลังใจยังไม่เด็ดขาดอย่างเขา
              ต้องเอาให้ได้อย่างหมาป่า หมาป่าติดกับดัก เห็นว่าดิ้นรนแล้วไม่หลุดแน่ ก็กัดขาตัวเองทิ้งเลย ถ้าทำอย่างนั้นได้เราตัดร่างกายได้แน่ แบบเดียวกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า
              ให้สละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ ให้สละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต
              ให้สละทั้งทรัพย์ อวัยวะ และชีวิต เพื่อรักษาธรรม

              ต้องเหี้ยมหาญและเด็ดขาด กำลังใจแบบนั้นถึงจะรบกับกิเลสได้ เพราะกิเลสไม่เคยปรานีเรา ถ้าเรามัวแต่ไปรามือหย่อนมืออยู่ สู้เขาไม่ได้หรอก ประเภทอ่อนให้เขาครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ครั้งเดียวหรอก ต้องอ่อนให้เขาไปตลอดชีวิตเลย...!”
*************************

              “เมื่อวันก่อน ทางหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ คุณชนินทร เหตระกูล ถามมาว่า ถ้าจะขออนุญาตนำเรื่องในเว็บวัดท่าขนุนไปลงในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ จะต้องขออนุญาตจากใคร ?
              อาตมาจึงแจ้งเขาไปว่าถ้าหากว่าเป็นเรื่องทั่วไปทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องที่ทางเว็บขออนุญาตที่อื่นนำมาลง สามารถนำไปลงได้เลยโดยไม่ต้องขออนุญาต
              การเผยแผ่ธรรมะจริง ๆ ต้องกว้างไกล ถ้าหากว่ามีคนช่วยกันมากเท่าไรก็ดีเท่านั้น แต่ว่าหลายต่อหลายที่ต้องสงวนลิขสิทธิ์ เพราะว่ามีบุคคลนำไปเป็นผลประโยชน์ทางการค้า
              อย่างหนังสือสมบัติพ่อให้ของวัดท่าซุง เขานำไปคัดลอกกันตรง ๆ เลย แล้วก็ไปเปลี่ยนหน้าปกใหม่ นำไปวางจำหน่ายตามท้องตลาด
              หรืออย่างหนังสือหลวงตามหาบัวก็เช่นกัน จนเขาต้องบอกว่าสงวนลิขสิทธิ์ ยกเว้นพิมพ์เพื่อเป็นธรรมทานท่านให้ ส่วนของวัดทาซุงนี่สงวนลิขสิทธิ์ด้วยประการทั้งปวง”
*************************

      ถาม :  เวลาทำสมาธิแล้วจิตหลุดออกไป ต้องพิจารณาตัดร่างกายอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  ถ้าออกไปนี่ไม่ต้องตัดแล้วพ่อคุณ เขาต้องตัดก่อนออกไป
      ถาม :  แต่ออกไปแล้ว ร่วงกลับที่เดิมทุกทีเลยครับ ?
      ตอบ :  ถ้าร่วงกลับที่เดิมทุกที แสดงว่าคุณพิจารณาร่างกายไม่ละเอียด จิตยังห่วงร่างกายอยู่
              คุณต้องแยกแยะให้เห็นชัดเจนเลยว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างไร เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ สักแต่ให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราว
              ถ้าจิตเห็นชัด ไม่ห่วงร่างกายแล้วจึงจะออกไป แต่ถ้าคุณพิจารณาไม่ชัด จิตก็จะกลับทันที เพราะว่ายังห่วง หนักกว่านั้นอีกก็คือไม่ไปเลย
              ดังนั้น...พิจารณาตั้งแต่ก่อนไปนะ ไม่ใช่ไปแล้วค่อยพิจารณา ไปแล้วไม่มีเวลาพิจารณาหรอก
              พยายามไปดูให้เห็นให้ชัด ว่าร่างกายไม่เที่ยงอย่างไร ? เป็นทุกข์อย่างไร ? ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างไร ? จนสภาพจิตยอมรับแล้ว เราค่อยภาวนาไปตามแบบของเรา
              ถ้าหากว่าจิตยิ่งยอมรับมากเท่าไร ก็จะยิ่งไปง่ายเท่านั้น ไปเร่ิมต้นใหม่...ความจริงทำถูกแล้ว แต่ยังถูกไม่หมด พิจารณาน้อยไปหน่อย
*************************

      ถาม :  ลูกสาวไม่ค่อยมีความรับผิดชอบ ไม่ใส่ใจอะไรเลย ซึ่งอายุขนาดนี้ควรจะมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ เราจะช่วยเขาอย่างไรคะ ?
      ตอบ :  ไม้เรียวสิ...! มอบหมายงานใหเ้ขาทำ อย่างเช่นว่าอาจจะเก็บเสื้อผ้า พับเสื้อผ้า จัดที่นอน ถ้าเขาไม่ทำก็ฟาดเลย ถ้าหากว่างานที่เขารับมอบหมายทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจะไปทำอะไรก็ตามใจเขา
              ส่วนใหญ่แล้วพ่อแม่มักจะทนไม่ได้ที่จะตีลูก โบราณเขาบอกอะไรไว้ไม่ผิดหรอก “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี”
              รักวัวถ้าไม่ผูกไว้ เดี๋ยวก็ทำความเสียหายไปกินข้าวนาชาวบ้านเขาบ้าง โดนขโมยไปบ้าง รักลูกให้ตี ถ้าไม่ตีนี่เอาดีได้ยาก
              พระพุทธเจ้าตรัสว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ไม่เกรงอาชญานั้นไม่มี คำว่าอาชญาก็คือการลงโทษ แต่คราวนี้เรื่องของเด็ก ๆ ต้องลงโทษให้เป็นเหตุเป็นผล ชี้แจงก่อน ถ้าไม่ทำตามแล้วค่อยตีเขา
*************************

              มีเด็ก ๆ กลายคนด้วยกัน ประเภทเริ่มวัยรุ่นแล้ว เรียน ป. ๖ บ้าง ม. ๑ ม. ๒ บ้างไปอยู่ที่วัด อาตมาจะให้ทำวัตรเช้าเย็นด้วยกัน แล้วก็ซักผ้าของตัวเอง ล้างจานของตัวเอง ก็ทำได้ทุกคน โดยเฉพาะเขาเห็นเครื่องซักผ้าเป็นของสนุก บางทีชิ้นสองช้ินก็โยนลงไปซักแล้ว สนุกสนานกันใหญ่
              พอกลับบ้านไป พ่อแม่ก็ดีใจที่เด็กเก่งขึ้น ทำอะไรได้เยอะแยะ แต่พออยู่ไปสักอาทิตย์หนึ่ง ทุกอย่างแม่ทำให้เหมือนเดิม ก็แม่ไปแย่งเขาทำเอง คราวนี้พอมีคนทำให้เขาก็ไม่ทำสิ ไปเปิดโอกาสให้เขา เขาก็เลือกเอาที่สบาย พ่อแม่อยากทำใช่ไหม ? เอาไปเลย...เขาก็ไปเล่นของเขา
      ถาม :  ใหม่ ๆ เขาจะสนุก เหมือนกับได้เล่น แต่พอนาน ๆ ไปก็เบื่อ ?
      ตอบ :  อยู่ที่นั่นเป็นเดือนไม่เห็นเขาเบื่อสักที เล่นได้ทุกวัน โดยเฉพาะเครื่องซักผ้าที่วัดนี่ใช้ง่ายมาก เพราะว่าอาตมาจะซื้อระบบที่ง่ายที่สุด สำหรับคนที่โง่ที่สุดอย่างอาตมาใช้...! เด็กเขาจึงใช้เป็นกันทกุคน พวกประเภทต้องมาตั้งหลาย ๆ ระบบนี่อาตมาไม่เอาหรอก
              อาตมาเป็นคนมักง่ายอะไรที่ง่ายได้จะไม่ทำให้ยาก แม้กระทั่งการใช้คอมพิวเตอร์ก็เหมือนกันใช้ไปใช้มาก็มักจะหาทางใช้ให้ง่ายที่สุด โปรแกรมอันไหนที่ยุ่งยากก็โยนทิ้งไปเลย
              หลายต่อหลายคนที่เขาเคยสอนอาตมาให้ใ้เครื่อง พอกลับมาอาตมากลับต้องไปสอนเขา เขาก็งง ๆ ว่า ทำอย่างนี้ได้ด้วยหรือ ? อาตมาก็บอกว่าทำได้ เพราะว่าอาตมาเป็นคนมักง่าย ชอบอะไรที่ง่าย ๆ
*************************

      ถาม :  คำว่า “โมทนา” กับ “อนุโมทนา” ต่างกันไหมคะ ?
      ตอบ :  เหมือนกัน เพียงแต่ว่าคำว่า “โมทนา” กร่อนมาจากคำว่า “อนุโมทนา”
              โมทนา คือ พลอยยินดี อนุ แปลว่า ตาม อนุในภาษาบาลีเป็นคำอุปสรรค (คำนำหน้า) ความหมายก็คือ น้อย, ภายหลัง, ตาม
              ดังนั้น...คำว่า โมทนา ก็คือพลอยยินดีตามไปในบุญที่เขาทำด้วยคำที่ถูกต้อง็คือคำว่าอนุโมทนา แต่โมทนาเป็นคำที่พูดสั้น ๆ เพื่อให้ฟังง่ายเท่านั้น
              อุปสรรคของบาลี แปลว่า คำนำหน้า
              แต่อุปสรรคของพวกเราก็คือ สิ่งที่ขวางหน้า
*************************

              พระอาจารย์กล่าวกับโยมผู้หญิงที่นุ่งสั้นว่า
              “ตั้งใจจะไปที่ไหนต่อหรือเปล่า ?
              ถ้าตั้งใจมาเฉพาะที่นี่ คราวหน้าแต่งตัวให้น่าหวาดเสียวน้อยกว่านี้หน่อย ผู้หญิงเราจะน่าสนใจต้องเหลืออะไรให้คนเขาค้นคว้าได้บ้าง ถ้าไม่เหลืออะไรไว้เลย คนเขาไม่สนใจหรอก
              ช่วงเดือนที่แล้วไปงานฉลองประโยค ๙ ของสามเณรชวินทร์ วัดปรังกาสี ไปงานนั้นแล้วทำให้รู้ว่า คนปัจจุบันนี้มากต่อมากด้วยกันที่ไม่รู้กาลเทศะ เพราะว่างานนั้นโยมที่เป็นประธานเปิดงานนุ่งกางเกงขาสั้นมา
              แล้วญาติโยมผู้หญิงนุ่งกางเกงขาสั้นมา ๗ - ๘ คน เดินกระมิดกระเมี้ยนเข้ามา นั่นทั้ง ๆ ที่เขารู้อยู่ว่าเขาจะไปวัด แล้วก็ไปงานของพระด้วย ถ้าจำเป็นต้องพรางตัวออกมาไม่ให้ทางบ้านเขาสงสัย ก็หาชุดมาเปลี่ยนแล้วกัน ห้องน้ำที่นี่มีจ้ะ”
*************************

              “วันเกิดของแม่ เราพาแม่ไปทำบุญถือว่าดี แต่ถ้าวันเกิดของเรา พาแม่ไปทำบุญด้วยจะดียิ่งกว่า เพราะว่าวันเกิดของเรา ก็คือวันที่แม่เจ็บปวดแทบจะตาย”
*************************

              “จริง ๆ แพลงกิ้ง (planking) เป็นการเลียนแบบสัตว์ สัตว์หลายชนิดเวลาอันตรายจวนตัว ก็จะแกล้งตายแข็งทื่อ พอศัตรูมาดม ๆ เขี่ย ๆ หน่อย เห็นว่าตายแล้วก็ปล่อยไป โดยเฉพาะพวกงูนี่ชอบมากเลยประเภทที่ทำเป็นตาย
              ที่วัดท่าขนุนมีอยู่ช่วงหนึ่ง ประมาณสัก ๔ โมงเย็น ‘แหลมทอง ๐๕๒’ เป็นนามเรียกขานของลูกข่ายมูลนิธิพิทักษ์กาญจน์ที่อาตมาเป็นหัวหน้าอยู่ เขาวิทยุมาว่า “อาจารย์..ใครเอางูมาทิ้งไว้ทางออกป่าช้าตัวเบ้อเร่อเลย ผมเกือบจะทับมันแน่ะ”
              อาตมาก็ถามว่า อยู่ตรงไหน ?
              เขาบอกว่า อยู่เกือบถึงปากทางออก อาตมาก็ตอบไปว่าจะไปดูให้
              พอเดินไปจนเกือบทะลุถนนใหญ่ปรากฎว่าไม่มี ก็เลยวิทยุไปบอกว่า “โชคดีที่เอ็งไม่ลงไปดู เอ็งขี่มอเตอร์ไซค์มา งูมันหนีไม่ทันก็ทำเป็นตายนอนแข็งทื่อ แล้วไอ้ตัวใหญ่ ๆ ขนาดนั้นแถวนี้มีแต่จงอาง...!ฎ
              เพราะฉะนั้น...คนที่ทำแพลงกิ้งขอให้รู้ว่า ย้อนหลังไปสมัยไดโนเสาร์นั่นเลย เพราะเลียนแบบสัตว์ สัตว์บางชนิดเรายิ่งเขี่ย ๆ ก็ยิ่งนอนแผ่ทำเป็นว่าตายไม่รู้ไม่ชี้”
*************************

              พระอาจารย์กล่าวถึงหนังสือธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น ของพล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน ว่า
              “เล่มหลัง ๆ คุณหมอท่านเปิดมากขึ้นเรื่อย ๆ ประเภทเปิดมากขึ้นเรื่อย ๆ นี่มักจะเป็นการทิ้งทวน ก็คือไม่เอาแล้ว...ไปดีกว่า สังเกตดูพระปฏิบัติ ช่วงท้าย ๆ ประมาณ ๒ - ๓ ปี มักจะเปิดเต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจใครแล้ว กูจะตายแล้ว ใครจะด่าส่งท้ายก็ช่างมัน
              ถ้าไปศึกษาในพระไตรปิฎกจะเห็นว่า ช่วงท้าย ๆ พระพุทธเจ้าเทศน์เฉพาะส่วนของธรรมล้วน ๆ แทบทั้งนั้น โดยเฉพาะในมหาปรินิพพานสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรสุดท้าย เป็นพระสูตรใหญ่ที่อมพระสูตรเล็กเอาไว้มาก แต่ละหัวข้อที่พระองค์เทศน์ออกมา ถ้าคนไม่มีพื้นฐานจะมึนไปเลย
              เริ่มตั้งแต่อปริหานิยธรรม ๗ ประการ หมวดที่ ๑,​ ๒, ๓, ๔, ๕, ๖ เพราะฉะนั้น...อปริหานิยธรรม เราอย่าคิดว่ามีหนึ่งเดียวนะ มีทั้งวัชชีอปริหานิยธรรม อปริหานิยธรรมของชาววัชชี ภิกษุอปริหานิยธรรม อปริหานิยธรรมของภิกษุทั้งหลาย และหมวดสุดท้าย อย่างสาราณียธรรม สาราณียธรรมมีแค่ ๖ ข้อ ก็เลยไม่ครบ ๗ เกี่ยวกับการปฏิบัติที่พระพึงปฏิบัติต่อกัน เพื่อยังความระลึกถึงของเพื่อนสพรหมจารีให้เกิดขึ้น อย่างเช่นว่า
              ปฏิบัติต่อกันด้วยความเมตตา
              เอ่ยวาจาที่มีแต่ความเมตตาต่อกัน
              ปฏิบัติต่อภิกษุอื่นด้วยความมีเมตตาต่อกัน
              แม้กระทั่งคิดต่อภิกษุอื่นด้วยความมีเมตตาต่อกัน
              แบ่งปันลาภผลที่ได้มาต่อเพื่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้เป็นต้น
              สาราณียธรรม คือธรรมอันยังเครื่องระลึกถึงให้เกิดขึ้น ฟัง ๆ ดูก็คล้าย ๆ กับสังคหวัตถุเหมือนกัน แต่ว่าสังคหวัตถุนั้นจะเป็น ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตา โดยเฉพาะสมานัตตาตัวสุดท้ายนั้น คนมักจะแปลผิด แปลว่าทำตนให้เสมอต้นเสมอปลาย
              ความจริงสมานัตตานั้น แปลว่าเสมอด้วยตนเอง ก็คือเราชอบอย่างไรให้ทำอย่างนั้นกับคนอื่น เราไม่ชอบอย่างไรอย่าทำอย่างนั้นกับคนอื่น คือ เอาใจเขามาใส่ใจเรา
              บาลีบางคำถ้าหากว่าเราไม่เข้าใจจริงก็จะแปลไปเรื่อย แล้วก็จะพาผิดเข้ารกเข้าพงไปเรื่อย
              บาลีเขามีแปลโดยพยัญชนะ คือว่าตามตัวอักษร
              แปลโดยอรรถ คือว่าโดยความหมาย
              เพราะฉะนั้น...โดยพยัญชนะแปลว่าอย่างหนึ่ง โดยอรรถอาจจะแปลไปอีกอย่างหนึ่งก็ได้”
*************************

              “พระที่ไปบวชช่วงวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ส่วนใหญ่ตั้งใจที่จะบวชน้อย การบวชน้อยก็มีทั้งส่วนที่ดีและก็ไม่ดี
              ส่วนที่ดีก็คือ พระที่บวชน้อย โอกาสที่จะพลาด ทำให้ศีลต้องขาดตกบกพร่องเศร้าหมองก็น้อยไปด้วย เพราะว่าระยะเวลาไม่นาน
              แต่ส่วนที่ไม่ดีก็คือ ทำตัวเหมือนกับคนไม่เอาจริง ในเมื่อรู้ตัวว่าไม่กี่วันก็จะสึก น้อยคนที่จะทุ่มเทให้เต็มที่ ในเมื่อเป็นดังนั้นโอกาสที่จะได้ดีจึงยาก
              อาตมาเองตั้งใจบวชแค่ ๗ วัน ขนาดตั้งใจบวชแค่ ๗ วัน ข้าวของทุกอย่างอาตมาทิ้งหมดเลย แม้กระทั่งเงินทองก็ยกให้น้อยไปเป็นทุนการศึกษาหมด กะว่าสึกออกไปจะเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ต้องบ้าให้ได้ขนาดนั้น ถ้าความบ้าไม่พอก็จะเอาดีได้ยากนิดหนึ่ง”
*************************

      ถาม :  เวลาของเทวดานางฟ้าช้ากว่าเราหรือคะ ?
      ตอบ :  จะบอกว่าช้าก็ไม่ได้ช้าหรอก แต่ถ้าเปรียบกันแล้ววงจรชีวิตท่านยาวกว่าเรามาก ในเมื่อยาวกว่าเรามาก เวลาที่ท่านทำอะไรในระยะเวลาที่สั้น ๆ นั้น มนุษย์ตาย ๆ เกิด ๆ ไปตั้งเยอะแล้ว
              อย่างนางปติปูชิกามาเกิด ๕๐ กว่าปี มีสามี มีลูก จนกระทั่งป่วยตายกลับขึ้นไปข้างบน เวลาบนนั้นเพิ่งจะผ่านไปแค่ครึ่งวันเอง
*************************

      ถาม :  ท่านรู้จักใบไม้นี้ไหมคะ ?
      ตอบ :  รู้จักจ้ะ
      ถาม :  เขาว่าใบไม้นี้กันพวกสัตว์ร้ายเวลาเข้าป่า กันได้จริง ๆ หรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  เขาเรียกว่า ใบไม้สีทอง มีอยู่ตามป่าแถวปักษ์ใต้ เป็นเถาวัลย์ชนิดหนึ่ง อาตมาเอามาปลูกที่ทองผาภูมิ ใบกลายเป็นสีเขียวหมด...! คาดว่าดินคงจะไม่เหมือนกัน
              แต่ถ้าหากว่าปลูกแล้วขึ้นเป็นสีทองได้จะสวยมาก ส่วนสรรพคุณอื่นไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นไม้ประดับที่สวยงามทีเดียว
      ถาม :  ที่บ้านมีทั้งใบทอง ใบเงิน และใบทองแดง ว่าจะเอามาถวายท่าน ?
      ตอบ :  ไม่ต้องเอามาหรอก เพราะว่าอาตมาปลูกแล้วกลายเป็นใบมรกตหมด...! ไม่เป็นเงิน ไม่เป็นทอง ไม่เป็นนากเลย
*************************

      ถาม :  หัวใจพุทธคุณ ๙ เกี่ยวกับอะไรคะ ?
      ตอบ :  เขาเรียกว่า นวหรคุณ ได้แก่
              อะสังวิสุโลปุสะพุภะ เป็นคำที่เขาย่อมา
              อะ คือ อะระหัง
              สัง คือ สัมมาสัมพุทโธ เขาตัดมาแต่บาลีแค่ สํ จึงอ่านว่า สัง
              วิ คือ วิชชาจะระณะสัมปันโน
              สุ คือ สุคะโต
              โล คือ โลกะวิทู
              ปุ ปุริสะทัมมะสารถิ
              สะ สัตถา เทวะมะนุสสานัง
              พุ คือ พุทโธ
              ภะ คือ ภะคะวาติ
              เขาเรียก นวหรคุณ คุณ ๙ อย่างของพระพุทธเจ้า
      ถาม :  ในบทสวดมนต์ของพระไตรปิฎก รู้สึกจะมีบทสวดมนต์แบบย่อ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วในพระไตรปิฎกเขาไม่ได้ย่อ ที่เขาย่อนั่นเพื่อให้คนรุ่นหลังจำง่าย ไป ๆ มา ๆ กลับเอาไปท่องเป็นคาถาขลัง อย่างเช่นว่า
              ทีมะสังอังขุ พระสุตันตปิฎกประกอบด้วย ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตรนิกาย และขุททกนิกาย เขาก็เอาคำย่อไปเป็นคาถา
              หรือไม่ก็ สังวิธาปุกะยะปะ หัวใจพระอภิธรรม ประกอบไปด้วย สังคิณี วิภังค์ ธาตุกถา ปุคคปัญญัติ กถาวัตถุ ยมก มหาปัฏฐาน เขาย่อเอาไว้เพื่อช่วยจำ แต่คนรุ่นหลังก็เอาไปทำเป็นคาถา แล้วก็ขลังเสียด้วย...!
*************************

      ถาม :  คาถาพระปริตรเกี่ยวกับอะไร ?
      ตอบ :  คำว่า “ปริตร” แปลว่า ป้องกัน
              คาถาพระปริตร ก็คือคาถาป้องกันอันตรายต่าง ๆ เพื่อช่วยให้เกิดความสุขความเจริญ ส่วนใหญ่ก็จะสวดอยู่ใน ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนาน
              พวกตำนานต่าง ๆ เช่น ตำนานพระยาฉัททันต์ เขาเรียก ฉัททันตปริตร
              ตำนานนกคุ้มกันไฟ เขาก็เรียก วัฏฏกปริตร
              ตำนานนกยูงทอง เขาเรียก โมรปริตร เป็นต้น
*************************

      ถาม :  คาถาถชุมนุมเทวดาใน ๗ ตำนาน และ ๑๒ ตำนาน ใช้ต่างกันอย่างไรคะ ?
      ตอบ :  ถ้า ๑๒ ตำนาน เขาจะขึ้น สะรัชชัง สะเสนัง สะพันธุง นะรินทัง ปะริตตานุภาโว สะทารักขะตู ติ
              แต่ถ้าเป็น ๗ ตำนาน เขาขึ้น ผะริตตะวา นะเมตตัง สะเมตตา ภะทันตาฯ
              เวลาขึ้นจะต่างกัน พอขึ้นไปพระท่านก็รู้แล้วว่าต้องสวดแบบไหน คราวนี้ไม่ใช่อาชีพของโยม ไม่ต้องรู้ก็ได้ เป็นอาชีพของพระท่าน
*************************

      ถาม :  อังคุลิมาลปริตร เกี่ยวกับอะไร ?
      ตอบอังคุลิมาลปริตร ส่วนใหญ่เขาเอาเป็นคาถาทำน้ำมนต์ให้คลอดลูกง่าย
              ตำนานพระองคุลีมาล เขาบอกว่ าท่านออกบิณฑบาตแล้วหญิงท้องวิ่งหนี ท่านก็เลยประกาศว่า
              ยะโตหัง ภะคินิ อะริยายะ ชาติยาฯ ดูก่อนน้องหญิง ตั้งแต่เราเกิดแล้วในอริยชาตินี้
              สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตา ไม่เคยมีเจตนาที่จะปลงชีวิตสัตว์เลย
              แต่คราวนี้สถิติการฆ่าคนของท่านแต่เดิมนั้นน่ากลัวมาก ฆ่าเสียเป็นพันคน ท่านประกาศไว้ลงท้ายว่า
              โสตถิ เต โหตุ โสตถิ คัพภัสสะฯ ก็คือ ด้วยสัจจะวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแต่ครรภ์นี้เถิด ผู้หญิงนั้นก็คลอดพอดี ปลอดภัยทั้งแม่และลูก
              ตั้งแต่นั้นมาหลวงพ่อองคุลีมาลมีหน้าที่ผลิตน้ำมนต์อย่างเดียว จนกระทั่งท่านนิพพานไปแล้ว คนยังเอาเตียงที่ท่านนั่งกรรมฐานไปทำน้ำมนต์เลย แล้วก็ได้ผลเสียด้วย ถึงเวลาก็เอาน้ำไปราดเตียง แล้วเอาภาชนะรองเอาไปให้คนที่จะคลอดลูกดื่มเป็นน้ำมนต์
*************************

              “ชาวต่างชาติเขาสรุปว่า เหตุการณ์การประท้วงต่าง ๆ สารพัดสีที่ผ่านมาของประเทศไทย เป็นเรื่องการเมืองล้วน ๆ
              ถ้าหากเป็นเรื่องของความแตกแยกของประชาชนในประเทศจริง ๆ ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ในหลวงท่านต้องออกมาแล้ว แต่ที่ในหลวงท่านไม่ออกมา เพราะว่าเป็นเรื่องการเมือง นี่ชาวต่างประเทศเขามองเรานะ...”
*************************

      ถาม :  ศีลข้อวิกาลโภชะนา ถ้าเป็นโรคกระเพาะต้องทำอย่างไร ?
      ตอบ :  ของที่กินแทนข้าวได้มีเป็นร้อยเป็นพัน จำเป็นต้องกินข้าวอย่างเดียวหรือถึงอยู่ได้ ? จะกินนมก็ได้ น้ำผึ้งก็ได้ น้ำอ้อยก็ได้ น้ำตาลก็ได้ กินไปสัก ๕ - ๑๐ ถ้วย อิ่มกว่าข้าวอีก
      ถาม :  กินอย่างนี้ไม่ผิดหรือคะ ?
      ตอบ :  ก็พระยังฉันได้เลย โยมกินจะผิดตรงไหน ?
      ถาม :  หมอบอกว่า ให้เลิกศีลแปดได้แล้ว เพราะเป็นโรคกระเพาะ ?
      ตอบ :  ก็บอกหมอไปสิว่า “อาจารย์สอนให้ตัวตายดีกว่าศีลขาด เพราะฉะนั้นหมอบอกได้ ฉันรับฟังแต่ไม่รับปฏิบัติ”
      ถาม :  หมอบอกว่าวันธรรมดากินข้าว แต่พอวันพระไม่กิน จะทำให้ปวดท้องค่ะ ?
      ตอบ :  เหตุผลเดียวกันของที่กินแทนได้มีตั้งเยอะ ของบางอย่าง เช่น น้ำผึ้งนั้นดีต่อสุขภาพร่างกาย
              คนที่เป็นเบาหวานแล้วอยากของหวาน ถ้ากินน้ำตาลเข้าไปจะเดือดร้อน ให้กินน้ำผึ้งแทน น้ำผึ้งสักหนึ่งช้อนโต๊ะ ละลายน้ำร้อนแก้วหนึ่ง กินลงไปแทน ร่างกายสามารถดึงไปใช้ได้เลย เพราะว่าโมเลกุลของน้ำผึ้งร่างกายไม่ต้องเสียเวลามาย่อยสลาย
      ถาม :  อานิสงส์ถือศีลห้ากับศีลแปดต่างกันมากไหมคะ ?
      ตอบ :  อานิสงส์ของศีลห้าเต็มที่ก็พระสกิทาคามี แต่ถ้าถือศีลแปดได้ จะเป็นพื้นฐานของพระอนาคามีเลย ต่างกันมากไหม ? ก็เหมือนปริญญาตรีต่างกับปริญญาโท
      ถาม :  ตั้งใจว่าวันพระจะถือศีลแปดตลอดไปค่ะ ?
      ตอบ :  ทำไปเถอะ ถึงเวลาก็ตุนพวกน้ำปานะเอาไว้ด้วย
*************************

      ถาม :  การรบกวนของไฟฟ้าสถิต ทำให้การใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายของไม่สำเร็จ จริงไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้ากำลังของบุคคลนั้นต่ำอยู่ การรบกวนจากภายนอกจะมีผล ถ้ากำลังเขาสูงแล้ว การรบกวนภายนอกก็ไม่มีผล
      ถาม :  กำลังสูง ?
      ตอบ :  สมมติว่าเรายกของชิ้นหนึ่งที่เกินกำลังแล้ว แม้แต่เด็กเพิ่งหัดเดินเดินมาชนเรา เราก็อาจจะล้ม โดนของทับแบนได้
              แต่ถ้าหากว่าของชิ้นนั้นไม่ได้หนักเกินกำลังของเรา ต่อให้คนตั้งใจพุ่งเข้ามาชน เราก็ยกไหว
      ถาม :  พวกฝรั่ง ญี่ปุ่น ที่เขาทดลองใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้า ในการรบกวนหรือป้องกันไม่ให้เกิดคาถาอาคม ?
      ตอบ :  เป็นไปได้ …อย่าลืมนะว่าไฟฟ้ายังทำให้ผีบางส่วนหลอกเราไม่ได้
      ถาม :  กำลังที่จะโดนกวนอย่างนี้ได้ แสดงว่าต่ำ ?
      ตอบ :  ต่ำ…ถ้าระดับสูงไม่อาจทำอย่างนี้ได้
      ถาม :  พวกคุณไสย ?
      ตอบ :  ไม่แน่...เพราะเราไม่รู้ว่าตอนที่เขาทำ สมาธิของเขาสูงเท่าไร ถ้าสมาธิเขาสูงเกินระดับ เราก็ไม่สามารถที่จะป้องกันได้
              แต่ถ้าเอาอย่างจ่าปัญญา ไม่ต้องสมาธิสูงหรอก ไปถึงจ่าก็ควักปืน ๑๑ ม.ม. ขึ้นลำแล้วก็วางโครมลงตรงหน้าหมอผี...! ประกาศว่า “๒ นาที ถ้ามึงทำกูล้มไม่ได้...กูยิง...!”
              กำลังใจของจ่าข่มเขาตั้งแต่แรกแล้ว หมอผีที่ไหนจะมีอารมณ์มานั่งทำของใส่ นั่นเรียกว่าจู่โจมถึงจิตใจ คนกลัวปืนนี่สมาธิไม่รวมตัวหรอก
*************************

              “ของอื่นล้วนแล้วแต่เป็นธรรมอันเนิ่นช้า เอาของที่พาเราหลุดพ้นดีกว่า แต่ว่าที่อาตมาเรียนอยู่ปัจจุบันนี้ เนื่องจากเห็นประโยชน์อยู่ตรงที่ว่า คนเราเชื่อมั่นในกระดาษแผ่นเดียว
              ถ้าหากว่าอาตมาไปบรรยายที่ไหน เขาแนะนำตัวว่า “พระครูธรรมธรเล็ก วัดท่าขนุน” มีวุฒินักธรรมเอกห้อยท้ายอยู่ เขาก็รู้สึกว่าอย่างนั้น ๆ แหละ
              แต่ถ้ามีปริญญากียรตินิยมอันดับ ๑ ห้อยท้ายอยู่ เขาจะหูผึ่งเลย
              ต่างกันตรงนี้แหละ จากเรื่องที่พูดแล้วไม่น่าใส่ใจ เขาก็ตั้งใจฟังขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ว่าคนที่ได้เกียรตินิยมอันดับ ๑ จะพูดเรื่องอะไร แทนที่เขาจะนั่งหลับ หรือกินขนมแข่งกัน ก็ตั้งใจฟังบ้าง
              ที่เรียนอยู่ทุกวันนี้รู้สึกว่าไม่ได้อะไรขึ้นมา นอกจากเอาทฤษฎีที่ลอกฝรั่งมาเกือบทั้งนั้น แต่สำคัญอยู่ตรงที่ว่า พอถึงเวลาแล้วเขาให้ความเชื่อถือ แต่อย่าให้มากจนเฟ้อเหมือนประเทศจีนก็แล้วกัน
              ประเทศจีนมีวุฒิบัตร เกียรติบัตร ประกาศนียบัตร เกลื่อนกลาดไปหมด เคยเห็นคนจีนเขาสมัครงานไหมเล่า ? วางเกียรติบัตรแปะอยู่ตรงหน้า มากเท่ากับความกว้างของพรม ๔ ผืนที่พวกเรานั่งอยู่นี่ แล้วก็ประกาศหางาน ใครเดินผ่านจะจ้างก็ดูว่าเขาได้เกียรติบัตรอะไรมาบ้าง”
*************************

              พระอาจารย์กล่าวกับทิดที่เพิ่งสึกว่า
              “เอากำลังที่เพาะสร้างมาระหว่างที่บวชไปลุยกับเขาต่อ จะได้เห็นคุณค่าของความสงบว่าเป็นอย่างไร ?
              แต่ว่าสภาพจิตของเรามักจะกลับกลอก พอไปอยู่ที่สงบ ก็คิดไปถึงชีวิตข้างนอก พอออกไปอยู่ข้างนอกจริง ๆ ก็คิดถึงความสงบที่วัด”
*************************

      ถาม :  พระที่เจริญอสุภกรรมฐาน เวลาท่านมองเห็นคนเป็นกระดูก คือเห็นเป็นกระดูกจริง ๆ เดินไปเดินมาหรือคะ ?
      ตอบ :  ขึ้นอยู่กับว่าท่านฝึกมาแบบไหน ถ้าฝึกมาแบบอุทุมาตกอสุภ ก็เห็นบวมอืด
      ถาม :  พิจารณาแล้วแค่รู้สึกว่าเป็นกระดูก แต่ไม่เห็นว่าเป็นกระดูกค่ะ ?
      ตอบ :  แค่รู้สึกก็ใช้ได้แล้ว...ในพระไตรปิฎกมีพระรูปหนึ่ง ผู้หญิงหัวเราะให้ท่านเห็นฟันก็เลยพิจารณาเป็น อัฏฐิกัง ปฏิกุลัง แล้วก็บรรลุเป็นอรหันต์ แสดงว่าท่านมีปัญญาสูงมาก ท่านเห็นฟันก็มองทะลุไปถึงกระดูกทั้งตัวเลย
              เห็นความไม่มีแก่นสาร เห็นความตั้งอยู่ไม่ได้ทั้งของเขา และของเรา อย่างเรานี่ต่อให้มีคนยิ้มใส่หน้าทั้งวัน วันละ ๒๔ ชั่วโมง ก็ไม่เห็นความไร้แก่นสารสักที
*************************

              “สมัยที่อาตมายังอยู่วัดท่าซุง ท่านย่าจะลง (เข้าทรง) เจ้าตึ๊กทุกที เจ้าตึ๊กเขาก็กลัว เพราะว่าท่านย่าลงและออกไปแล้ว เจ้าตี๊กก็จะหมดเรี่ยวหมดแรงสลบไปครึ่งค่อนวัน เจ้าตึ๊กก็หนีไปซ่อน สักพักหนึ่งก็โดนหิ้วปีกออกมา ร้องโอย ๆ หลวงพ่อท่านก็หัวเราะ “ย่า...ทำตัวสาวหน่อยก็ได้ ทำตัวแก่ขนาดนั้น ไอ้ตึ๊กมันอ้วน ใครเขาจะแบกไหวเล่า ?”
              ท่านย่าบอกว่า “ก็ข้าตายตอนแก่แล้วนี่หว่า ก็ต้องมาแบบคนแก่”
              หลวงพ่อท่านก็ว่า “หลานมันกลัว แล้วย่าก็อุตส่าห์ไปลงมันอีก ทำไมไม่เลือกคนอื่นบ้างเล่า ?”
              ท่านย่าบอกว่า “ต้องเอาไอ้ตี๊ก เพราะว่ามันอ้วน”
              หลวงพ่อถามว่า ทำไม ?
              ท่านย่าบอกว่า “คนอ้วนกำลังมันดี ถ้าเป็นคนอื่นรับไม่ไหว เดี๋ยวจะแย่”
              แต่มีอยู่เที่ยวหนึ่ง ตอนนั้นงานบวงสรวงพระเจ้าพรหมมหาราช เจ้าตี๊กนั่งอยู่ดี ๆ ก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาวางท่าขึงขัง เสียงกลายเป็นผู้ชายดังก้องมากเลย หลวงพ่อก็บอกว่า “ช่วยประกาศตัวให้ลูกหลานรู้หน่อยซิ ว่าใครมา” เสียงผู้ชายดังกระหึ่มอย่างกับไมค์ฯ ว่า “กู...สหัมบดีพรหม”
              ท่านมาเองเลย รอบนั้นเจ้าตึ๊กเสียงหายไป ๒ เดือนกว่า เพราะว่าเส้นเสียงผู้หญิงกลายเป็นเส้นเสียงผู้ชายคงจะอักเสบมาก แต่ท่านต้องการจะให้รู้ว่ามาจริง ๆ ก็เลยเปลี่ยนเสียงเปลี่ยนเสียงจากเสียงผู้หญิงเล็ก ๆ กลายเป็นเสียงผู้ชายห้าวกระหึ่มเลย”
      ถาม :  เขารู้ตัวไหมคะ ?
      ตอบ :  ไม่รู้เรื่องเลย เขารู้อย่างเดียวไม่เอาอีกแล้ว กลัวจริงๆ ลองคิดดูอยู่ ๆ เสียงหายไป ๒ เดือนกว่า เป็นเราเอาไหมเล่า ? เจ็บคออย่างนั้นน่ะ
      ถาม :  ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ไม่รู้ น่าจะอยู่ อายุก็ยังไม่มากนี่ รุ่น ๆ เดียวกับอาตมา
*************************

              “ท่านปู่ท้าวสหัมบดีพรหม ท่านเป็นอรหัตมรรค คือพร้อมที่จะไปนิพพาน ชาติสุดท้ายท่านบวชเป็นพระ ชื่อ หลวงปู่สิงห์ พอเวลาท่านมา เสียงก็เปลี่ยน ผิวก็เปลี่ยน
              ถ้าจะเอาคนที่กำลังพอฟัดพอเหวี่ยงกัน ต้องพี่แดง (พลตรีศรีพันธุ์ วิชชุพันธุ์) ตอนนั้นน่าจะเป็นงานฉลองวันเกิดหลวงพ่อวัดท่าซุง ปี ๒๕๒๖ พี่แดงก็นั่งฮึด ๆ ๆ อยู่ หลวงพ่อจึงบอกว่า “แดงเอ๊ย...ท่านจะลงก็ให้ท่านลงหน่อยสิวะ”
              พี่แดงบอกว่า “ไม่เอา...ลงมาแล้วผมไม่รู้เรื่อง ผมไม่ยอม ถ้าจะให้ลงต้องให้ผมรู้เรื่องด้วย”
              ปรากฎว่าพี่แดงกำลังสูงจริง ๆ แกสู้ได้ พออ่านสัญญาบัตรตราตั้ง คนอื่นเขาแสดงความยินดีกันพี่แดงลุกพรวดพราดเดินหัวเราะไปจับมือหลวงพ่อเขย่า “ดีใจด้วยดีใจด้วย ได้เป็นเจ้าคุณแล้ว”
              พูดเสร็จนั่งลงไปตามเดิม โห...แรงแกเยอะขนาดนั้น ขนาดท่านลงได้แล้ว พี่แดงยังสะบัดหลุดได้
              น่าจะเป็นคุณชัยณรงค์กระมัง ถามหลวงพ่อว่า “ใครครับ ?”
              หลวงพ่อบอกว่า “พกพรหม ถ้าไม่ได้กำลังขนาดไอ้แดงนี่เอาท่านไม่อยู่หรอก”
              ขนาดท้าวพกพรหมมาลง อยู่ได้ไม่ถึงครึ่งนาที พี่แดงเหวี่ยงหลุดอีกตามเคย
      ถาม :  ท่านทำให้รู้เรื่องด้วยไม่ได้หรือคะ ?
      ตอบ :  ท่านลงมาจะต้องเบียดเจ้าตัวออก เพื่อที่จะใช้ร่างนั้นทำอะไรตามที่ตัวเองต้องการ ถ้าเจ้าตัวอยู่แล้วต่อต้าน ท่านจะทำในสิ่งที่ต้องการไม่ได้ แต่พี่แดงแกไม่ยอม แกจะเอาลักษณะแบบมาแล้วต้องรู้
*************************