​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๘๓

 

เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔


              ครุกรรม คือ กรรมหนัก
              ครุกรรมฝ่ายกุศล อย่างเช่นทรงฌานทรงสมาบัติได้ โดยเฉพระสมาบัติ ๘
              ถ้าครุกรรมฝ่ายอกุศล ก็ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต ยุสงฆ์ให้แตกกัน เป็นต้น
              ครุกรรมทั้งฝ่ายดีและไม่ดี จะส่งผลทันตาทั้งนั้นแหละ อรรถกถาจารย์เขาเปรียบเหมือนกับเพาะถั่วงอก คืนเดียวก็ได้กินแล้ว เราจะเห็นความน่ากลัวของกรรม
              พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า อย่าคิดว่าเป็นกรรมดีเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ และอย่าคิดว่าเป็นกรรมชั่วเพียงเล็กน้อยแล้วไปทำ ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ถ้าวาระมาถึงก็จะส่งผลให้ทันที
*************************

      ถาม :  หน้าบ้านมีต้นไม้ใหญ่สองต้น ถ้าจะตัด จะมีปัญหาไหมคะ ?
      ตอบ :  ต้นอะไรจ๊ะ ?
      ถาม :  พญาสัตบรรณ ?
      ตอบ :  ถ้าจะตัด ควรตั้งศาลเพียงตาให้เขาสักหลังหนึ่ งตั้งที่ไหนก็ได้ในเขตบ้านเรา ตัดกิ่งใหญ่ขนาดแขนยาวสักคืบหนึ่ง เอาไว้ในศาลโดยหันปลายกิ่งขึ้น จุดธูปบอกเขาว่า
              ขอให้รุกขเทวดาทั้งหมดที่อาศัยตั้นไม้สองต้นนี้ ไปอาศัยอยู่ในศาลแทน ท่านจะได้ไปอาศัยอยู่ในกิ่งที่เราตัดไว้
              และไม่ต้องไปกังวลว่าท่านจะอยู่ไม่ได้ เพราะว่าเทวดาท่านสามารถที่จะเนรมิตกายให้ใหญ่หรือเล็กได้ อรรถกถาจารย์ท่านว่า หัวเข็มหมุดหนึ่งอยู่ได้ตั้งแปดองค์
*************************

              “งานบวชหมูที่ผ่านมามีทั้งดีและไม่ดี ที่ดีก็คือระยะเวลาน้อย พระท่านยังประคบประคองศีลให้บริสุทธิ์ได้
              แต่ที่ไม่ดีก็คือ บวช ๆ สึก ๆ แบบยังไม่เอาจริง ในเมื่อยังไม่เอาจริงคิดอยู่เสมอว่าเราจะสึก ก็ทำให้กำลังใจไม่เด็ดขาด การสู้กับกิเลส ถ้ากำลังใจไม่เด็ดขาดก็ชนะได้ยาก”
*************************

              “คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว บางทีก็จำเป็นต้องทำในสิ่งที่ตนไม่ชอบ ถ้าหากทำสิ่งที่ตนไม่ชอบได้ ย่อมเป็นบุคคลที่ใช้เหตุผลเหนืออารมณ์
              แต่ถ้าตนไม่ชอบแล้วไม่ทำ เป็นการให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลเป็นการหนีให้พ้น ๆ ไปจากสิ่งนั้น แปลว่าวุฒิภาวะยังไม่พอที่จะเป็นผู้ใหญ่อย่างแท้จริง”
*************************

      ถาม :  ฝันเห็นวัว หมายความว่าอย่างไร ?
      ตอบ :  แปลว่าจะต้องทำอะไรที่ยากลำบากไปอีกระยะหนึ่ง
      ถาม :  จะต้องเสี่ยงทำธุรกิจ ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไรหรอก เหนื่อยหน่อยแต่จะสำเร็จ
*************************

      ถาม :  ทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับคนอื่น ตัวเราจะได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  ตัวเราได้ก่อน ถึงจะมีให้คนอื่นได้ เขาเปรียบว่าเราก่อไฟขึ้นมากองหนึ่ง แล้วอนุญาตให้คนอืนเขาต่อไฟไปใช้ ไฟเราไม่ได้ลดลง แต่ความสว่างเพิ่มขึ้น เพราะคนอื่นต่อเพิ่มไปด้วย ไม่หมดนะ ไม่ต้องกลัว ทำไปเถอะ
      ถาม :  ได้ตลอดหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ได้ตลอด ให้ตั้งใจว่าผลบุญที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ก็คือตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อุทิศให้แก่ใครก็ได้ ถ้าไม่มีเวลาทำก็อุทิศไป ถ้ามีเวลาทำก็ทำใหม่ไปเลย
*************************

      ถาม :  วันศุกร์ที่ผ่านมา มีผู้อาศัยรถมา เขาบอกว่าสัมผัสวิญญาณได้ ไม่ทราบว่าวิญญาณใคร ?
      ตอบ :  ความจริงต้องถามไอ้คนที่เสือกบอก...! ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก บางทีรถไปเจิมมามีเทวดาท่านรักษาอยู่ แต่เขาเห็นเป็นผีไปหมดนะสิ
              พวกเรานี่ดีอยู่อย่างหนึ่ง อะไรเอะอะขึ้นมา ตั้งแต่สัมภเวสีขึ้นไป จนกระทั่งถึงพระบนนิพพาน พวกเราเหมาเป็นผีไปหมด
              ไม่ต้องไปกังวลหรอก ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เขา เวลาเดินทางบอกให้เขาช่วยดูแลความปลอดภัยให้ด้วย สบายดีอีกต่างหาก
*************************

เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนสิงหาคม ๒๕๕๔


              “เด็กผู้หญิงจะโตเร็วกว่าเด็กผู้ชายเป็นปกติ คนโบราณก็เลยกำหนดการโกนจุก ที่เป็นการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กเข้าสู่วัยรุ่น ให้เด็กผู้หญิงโกนจุกตอนอายุ ๑๑ ปี เด็กผู้ชายโกนจุกตอนอายุ ๑๓ ปี
              แสดงว่าเด็กผู้หญิงโตเร็วกว่าเด็กผู้ชาย ในเรื่องพระอภัยมณี ก็ได้กล่าวยืนยันเอาไว้ว่า...
              อันกุมารศรีสุวรรณนั้นเป็นน้อง         เนื้อดั่งทองนพคุณจำรูญศรี
              เพิ่งโสกันต์ชันษาสิบสามปี         พระชนนีรักใคร่ดังนัยนา

              โสกันต์ คือ พิธีโกนจุก”
*************************

              “ในเรื่องของการเล่นพระเครื่องพระบูชานั้น เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีต่าง ๆ น่ากลัวมาก เพราะว่าใช้คอมพิวเตอร์ลอกแบบได้ แบบที่ออกมาจะเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วเลย ก็ต้องไปพิจารณาความเก่าใหม่ของวัสดุ ซึ่งมีไม่กี่คนที่ชำนาญ
              แล้วไม่ต้องเสียเวลาไปจับพลังหรอก มีพลังแน่นอน เพราะแม้แต่ทางวิทยาศาตร์ก็ยืนยันว่า วัตถุทุกอย่างแกนกลางเป็นพลังงานอยู่แล้ว”
*************************

      ถาม :  ไปปฏิบัติกับวัดสายพระป่า หลักสูตร ๓ วัน ท่านว่าทำได้ดี จึงโทรมาตามให้ไปปฏิบัติหลักสูตร ๖ วัน แต่ชอบแบบวัดท่าซุงมากกว่า ?
      ตอบ :  การปฏิบัติทุกอย่างท้ายสุดลงที่เดียวกันหมด เพียงแต่ว่าเราชอบหรือไม่ชอบแนวปฏิบัตินั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่เคยห้ามเรื่องแนวการปฏิบัติ เคยปฏิบัติมาแล้วก็ให้ทำต่อจากของเดิม
      ถาม :  ภาวนาแล้วมักจะมีประสบการณ์รู้เห็นมาก ทั้งที่ไม่เคยฝึกทิพจักขุญาณมาก่อน ?
      ตอบ :  ของเก่ามีมา ไม่ต้องไปทำใหม่ให้เสียเวล าพอกำลังใจทรงตัวเดี๋ยวก็มาเอง
      ถาม :  สายพระป่า ท่านถือการรู้เห็นเป็นนิมิตที่ต้องละ ?
      ตอบ :  ท่านให้ละพวกนี้ออก อาตมาเองโตมากับสายพระป่า ก่อนหน้านี้คลุกคลีกับหลวงปู่หลวงพ่อสายหลวงปู่มั่นในสมัยที่ท่านยังอยู่กันเต็มบ้านเต็มเมือง แต่ไปติดขัดเรื่องการปฏิบัติ
              พอการรู้เห็นเกิดขึ้น ท่านบอกให้ละ ๆ ซึ่งไม่ถูกกับอารมณ์ตัวเอง พอมาเจอสายหลวพ่อวัดท่าซุง จึงเปลี่ยนมาทางด้านนี้ เพราะว่าตรงกับเรามากกว่า
*************************

      ถาม :  ระยะนี้พอภาวนาแล้ว มักจะฟุ้งซ่านมากกว่าแต่ก่อน ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไร ทันทีที่รู้ตัว ดึงความรู้สึกมาอยู่กับลมหายใจ แรก ๆ ก็ต้องบังคับกันหน่อย เพราะเราไปปล่อยทิ้งมานาน
      ถาม :  ควรจะทำอย่างไรให้กำลังใจทรงตัวแบบเดิมคะ ?
      ตอบ :  พยายามไปฟื้นใหม่ แรก ๆ ก็ลำบากหน่อย เหมือนกับกระจกที่โดนสิ่งสกปรกทับถมเยอะ ต้องอาศัยการขัดถู แต่พอสะอาดเมื่อไรก็จะใช้งานได้ใหม่
              เพราะฉะนั้น...แรก ๆ ที่เราไปฟื้นของเก่าก็อาจจะรำคาญ ว่าทำไมจิตจึงรวมยากเหลือเกิน แต่ถ้าเรารู้ตัวให้ดึงกลับมาอยู่กับลมหายใจ ถ้าทรงตัวสักครั้งเดียว เดี๋ยวของอื่นก็ตามมาเอง ใช้ความพยายามนิดหน่อย ไม่ต้องลำบากเหมือนคนอื่นเขา
      ถาม :  วันที่ ๑๒ สิงหาคมนี้ จะไปสมัครปฏิบัติที่วัดท่าขนุนก่น ?
      ตอบ :  ที่วัดท่าขนุนฝึกรูปแบบบังคับ เพราะว่าสำนักปฏิบัติธรรมเขาให้ฝึกแบบพองหนอยุบหนอ ซึ่งเหมาะสำหรับคนหัดใหม่ ถ้าคนที่มีพื้นฐานไปฝึกแล้วจะรู้สึกรำคาญมากกว่า ...!
*************************

      ถาม :  ถ้าเราเอารูปพระพุทธรูปมาขึ้นหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นการปรามาสไหมคะ ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไรหรอก ถือว่าเป็นพุทธานุสติ แต่อย่าเอาไอคอนหรือช็อตคัตไปแปะใส่ หรือทับลงบนองค์พระก็แล้วกัน
*************************

      ถาม :  การปฏิบัติยังไม่ก้าวหน้าเลยค่ะ ตอนนี้มีปัญหาเรื่องงาน ?
      ตอบ :  หมดจากงานแล้วเราก็กองทิ้งเอาไว้ตรงนั้น แล้วมาหาความสงบทางใจ
              เราต้องแบ่งเวลาให้เป็น การปฏิบัติธรรมจึงจะก้าวหน้า
              แบ่งเวลาให้ถูก ต้องตัดให้ขาด เข้าไปยุ่งกับงานเมื่อไรก็ทำตามหน้าที่ ออกพ้นจากที่ทำงานเมื่อไร ก็เป็นเวลาปฏิบัติธรรมของเรา ถ้าไปเก็บเอางานมาฟุ้งซ่านก็ไม่ดีต่อการปฏิบัติของเรา
              ไม่มีที่ไหนที่ไม่มีปัญหา ที่ที่เราอยู่มีปัญหา แต่เรารู้จักทุกอย่างดีแล้ว เราย่อมรู็ว่าควรจะแก้ไขอย่างไร ต่อให้เราเปลี่ยนที่ใหม่ก็เหมือนเดิม เพราะคนก็เป็นคนวันยังค่ำ
              เราแก้ไขคนอื่นไม่ได้ ต้องแก้ไขที่ตัวเราเอง ไปที่ใหม่ เราเจอคนใหม่ ก็ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
              ในชีวิตฆราวาส คนเขาไม่กลัวคนดี เขากลัวแต่คนที่ชั่วกว่า เพราะฉะนั้น ...ต้องแสบให้เขาเห็นบ้างเขาจะได้เข็ด...!
*************************

      ถาม :  โดนคนว่า เราก็เฉย แล้วเราก็โดนไม่หยุด ?
      ตอบ :  มีอยู่สองวิธี วิธีหนึ่งก็คือ ยอมเขาไปเรื่อย ๆ ซึ่งไม่ใช่วิสัยของอาตมา
              วิธีที่สอง ใส่เขากลับไปเต็ม ๆ นี่แหละนิสัยของอาตมา...! ให้รู้เสียบ้างว่าเราก็มีเขี้ยวมีเล็บเหมือนกัน ส่วนการปฏิบัติรอให้กลับบ้านแล้วค่อยใช้ ไปถึงที่ทำงานงับให้กระจายไปเลย...!
              ตามหลักยุทธศาสตร์ซุนวู เขาบอกว่า การรุกเป็นการตั้งรับที่ดีที่สุด
              เพราะฉะนั้น...ลุยไปข้างหน้า แนวรับจะกว้างขึ้นไปเรื่อย ๆ ท่ากับตั้งรับไปในตัว แต่ถ้าเราตั้งรับไปเรื่อย และเขาตีเข้ามาเรื่อย ๆ แนวแตกเมื่อไร เราก็ไม่มีที่จะไป นี่กำลังสอนให้ทำชั่วนะ ฟังให้ดี ๆ ...!
              เราจะต้องมีกรอบของตัวเอง พออยู่ที่ทำงานเราก็สู้เต็มที่เลย พอกลับมาบ้านค่อยมาปฏิบัติธรรมของเรา ในแต่ละวันพยายามให้กำลังใจที่เกาะในด้านดีมีมากกว่าเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเราจะขาดทุน
*************************

      ถาม :  ภาวนาแล้วตัวโยก​ ?
      ตอบ :  เร่ิมก้าวเข้าสู่ตัวปีติแล้ว นับไปแล้วก็เข้าอนุบาล ๑ เพียงแต่ว่าเราต้องไม่กลัว เราจะสังเกตว่าตอนนั้นใจเราจะนิ่งเราก็แค่ดูไปเฉย ๆ ปล่อยอาการขึ้นให้เต็มที่ จะตึงตังโครมครามหกคะเมนตีลังกาอย่างไร ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ ถ้าอาการขึ้นเต็มที่แล้วจะเลิก
              แต่ถ้าเรากลัวหรืออายคนอื่นเขา เราไปฝืนให้หยุดก็หยุดได้ แต่ถ้ากำลังใจถึงตรงนั้นเมื่อไรก็จะเป็นอีก
              ดังนั้น...เรามีหน้าที่ตามดู และปล่อยอาการให้เต็มที่ไปเลย อาตมาเองตามดูอยู่เกือบสามเดือน พอข้ามตรงนั้นไปแล้ว จิตจะทรงตัวเป็นปฐมฌาน
      ถาม :  ควรจะทำอย่างไรต่อไปคะ ?
      ตอบ :  แสดงว่าที่พูดมานี่ไม่ได้ฟังใช่ไหม ? ทำไปแบบเดิม พอถึงตรงนั้นแล้ว เรามีหน้าที่ดูอย่างเดียว จะเป็นอย่างไรก็ปล่อยให้เป็นไป
*************************

      ถาม :  เป็นอะไรไม่ทราบค่ะ ชอบปรามาสพระรัตนตรัย เมื่อก่อนไม่เป็น แต่ตอนนี้เป็น ?
      ตอบ :  เรื่องปกติ...คนจะก้าวเข้าใกล้ความดี มารเขาก็กันสุดชีวิต เพราะถ้าเรายังปรามาสพระรัตนคัยอยู่ เราก็ก้าวเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ ถ้าคนไม่ได้เดินใกล้ประตู เขาไม่กันให้เสียเวลา เพราะฉะนั้น...เขารู้ว่าเราใกล้ความ เขาถึงกันเรา
              ให้เราตั้งหน้าตั้งตาขอขมาพระไปเรื่อย ๆ ถ้าเราไม่หวั่นไหว รู้ทันเราขอขมาพระไปเรื่อย ๆ ไม่สนใจ เขารู้ว่ากันเราไม่อยู่ เขาก็ปล่อย เขาแค่กวนน้ำให้ขุ่น ถ้าเรามัวแต่ไปขุ่นและกังวลอยู่ เราก็ไม่ก้าวหน้าเสียที
              ถ้าสติสัมปชัญญะเราสมบูรณ์ เราไม่คิดไม่ทำอย่างนั้นอยู่แล้วถ้าเราไม่หวั่นไหว ขอขมาไปเรื่อย เขาทนคนหน้าด้านไม่ไหวก็จะถอนไปเอง หลังจากนั้นก็ไม่มาอีก เพราะเขารู้ว่าทำให้เราหวั่นไหวไม่ได้
*************************

      ถาม :  บุญเก่าน้อยค่ะ จึงปฏิบัติไม่ถึงไหนเสียที หลายปีแล้ว ?
      ตอบ :  ไม่ได้น้อย เพียงแต่เราเลี้ยวไม่ถูกทาง ถ้าบุญน้อยเราไม่ได้เกิดมาเป็นคนหรอก โดยเฉพาะคนบุญน้อยจะไม่รู้จักพระนิพพาน
              ปล่อยวาง เห็นธรรมดาให้ได้ การเกิดมาในโลกนี้ต้องเจอสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นปกติอยู่แล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าเกิดมาแบบนี้เราจะไม่เอาอีกแล้ว
              สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้น เพราะกรรมเก่าเราเคยทำไว้ ในเมื่อเราเคยทำไว้ เราก็ต้องยอมรับผลที่เราทำนั้นให้ได้ แต่เราจะไม่รับในชาติต่อ ๆ ไปแล้ว
              เราทำไว้เราก็ต้องรับใครทำใครได้เป็นเรื่องปกติ แสดงให้เห็นว่าชาติก่อน ๆ เราเกเรมาไม่น้อยเลย...!
*************************

              “พระพุทธเจ้าตรัสถึงการปฏิบัติว่า อย่างช้า ๗ ปี อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างเร็ว ๗ วัน เพราะฉะนั้น...เกิน ๗ ปี แล้วยังเอาดีไม่ได้ ควรจะรู้ไว้ว่าเราปฏิบัติมาไม่ถูกทาง”
*************************

      ถาม :  เมื่อวันก่อนขับรถไปชนหมาตาย ?
      ตอบ :  คราวหน้าเก็บมากินด้วย จะได้ใช้ประโยชน์ให้เต็มที่...!
      ถาม :  ครับ…?
      ตอบ :  คุณจะไปตื่นเต้นอะไร เราไม่ได้มีเจตนาไปไล่ชนให้ตายนี่ บางอย่างวาระกรรมที่เนื่องกันมา ทำให้เขาต้องมาตายเพราะเรา ไม่ใช่ความผิดของเรา เพราะเจตนาที่จะฆ่าเขาไม่มี
              มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะที่อาตมากำลังเดินทาง มีหมาวิ่งข้ามถนนมาอีกศอกเดียวเขาก็จะพ้นถนนไปแล้ว แต่พอรถวิ่งมาหมาดันเลี้ยวกลับ พอเลี้ยวกลับคนขับก็หักหลบไปทางซ้าย หมาก็เลี้ยวกลับมาหารถอีกที พอคนขับหักขวา หมาก็ย้อนกลับมาอีกรอบ โดนชนเข้าเต็ม ๆ เจอแบบนั้นใครจะหลบได้มากกว่านั้นไหม ? ถึงวาระของเขาจริง ๆ วิ่งวนจนได้ตายสมใจนึก...!
*************************

      ถาม :  ผมผิดหวังกับชีวิตมากเลยครับ มีธรรมะอะไรช่วยไม่ให้เครียด ?
      ตอบ :  ถ้ารู้จักคำว่า “ธรรมดา” ก็จบเลย ฟังดูแล้วง่าย แต่ทำใจได้ยาก ถ้าเห็นว่าธรรมดาของการเกิดมาย่อมเป็นแบบนี้ก็ไม่มีปัญหา ถ้าหากเรารู้สึกว่า “ไม่ธรรมดา” เมื่อไรก็เครียด
              ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาอย่างนี้มีสำหรับเราเพียงชาติเดียว ชีวิตนี้ของเรากำลังจะผ่านพ้นไปแล้ว
              ชีวิตเรามีแค่เสี้ยวลมหายใจ หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าก็จะตายแล้ว ในเมื่อมีเวลาแค่ชั่วลมหายใจเดียว เราก็จะพ้นไปแล้ว ทำไมตอนนี้เราจะอยู่ด้วยดีไม่ได้
*************************

              “การเดินทางไปทอดกฐินที่ปักษ์ใต้ครั้งนี้ ถ้าว่ากันตามหลักการของทหาร ถือว่าอันตรายสุด ๆ สาเหตุเพราะ
              อันดับแรก คณะใหญ่ทำให้ไม่คล่องตัว
              อันดับที่สอง วันเวลาแน่นอน อันดับที่สาม เส้นทางแน่นอน
              เพราะฉะนั้น...จะไปโฆษณาอย่างไรก็เชิญ ไม่มีอะไรอันตรายไปกว่านี้แล้ว...!”
*************************

              “การดำเนินชีวิตของบุคคล กาลเทศะเป็นสิ่งสำคัญมาก
              กาละ คือเวลาเหมาะสม
              เทศะ คือ สถานที่อันเหมาะสม
              ถ้ารู้กาลเทศะ เราก็จะไม่ทำให้เสียหาย
              พระอานนท์เป็นเอตทัคคะด้านอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ท่านรู้ว่าเวลาไหนควรจะพาบุคคลเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เวลาไหนจึงไม่ควร ท่านจึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในเรื่องของการรู้กาลเทศะ
              อีกประการหนึ่ง..พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ในสัปปุริสธรรม ๗ ประการ คือ กาลัญญุตา รู้ว่ากาลใดควร กาลใดไม่ควร
              ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักไม่รู้กาลเทศะ ยกตัวอย่างคุณเต้ย ไปหล่อหลวงพ่อเหลือ ที่วัดธรรมยาน คุณเต้ยใสเสื้อแขนกุดกับกางเกงขาสั้นไป ทุเรศสุด ๆ ...! เขาเรียกว่าไม่รู้กาลเทศะ
              เราจะไปเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน แต่งตัวอย่างนั้นยังถือว่าไม่สมควรอย่างย่ิง แล้วพระพุทธเจ้ายิ่งกว่าพระเจ้าแผ่นดินอีก แต่งตัวทุเรศอย่างนั้นยังอุตส่าห์ไปได้ ...!
              พอใครถาม ก็ดันไปอวดว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพี่สมปอง ลูกศิษย์หลวงพี่เล็ก ฟังแล้วตูจะเป็นลม...! ส่วนเวลาที่ไม่จำเป็น ดันแต่งตัวซะหล่อ เวลาที่ดีที่สุดกลับแต่งตัวทุเรศที่สุด
              เพราะฉะนั้น...เรื่องกาลเทศะเป็นเรื่องสำคัญมาก อย่างที่บอกว่าปัจจุบันคนเราเอาความสบายส่วนตัว จนลืมความเหมาะสมไปแล้ว
              แม้กระทั่งไปเคารพพระบรมศพ ยังเห็นเขาใส่กระโปรงกางเกงสั้นจู๋ ถึงแม้จะเป็นสีดำก็ตามเถอะ ลักษณะอย่างนั้นเรียกว่าไม่ให้เกียรติผู้ตาย
              เราจะเห็นว่าระยะหลัง ๆ งานศพจะใส่สั้นกัน มากต่อมากด้วยกันที่แต่งตัวลักษณะไปเดินอวดกัน ไม่ได้ไปเคารพศพ
              การปฏิบัติธรรมย่ิงทำไปใจต้องยิ่งละเอียด ต้องรู้ว่าอะไรเหมาะอะไรควร ไม่ใช่ยิ่งทำก็ยิ่งเละ...!”
*************************

      ถาม :  ไปงานศพผู้ใหญ่กว่า เราควรแต่งสีอะไรครับ ?
      ตอบ :  โดยธรรมเนียมไทยแล้ว ถ้าผู้ตายอาวุโสกว่า เราควรใส่ชุดขาว ถ้าผู้ตายเด็กกว่าจึงใส่ชุดดำ
              แต่ปัจจุบันนี้เขาอาวุโสกว่าสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ อีก ใส่ชุดดำกันทั้งบ้านเมือง ธรรมเนียมการแต่งสีดำ เรารับมาจากตะวันตกเมื่อไม่นานนี้เอง ไม่ใช่ธรรมเนียมไทยแต่เดิม
              วันก่อนไปดูพระที่นั่งวิมานเมฆ ตั้งใจจะไปดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง ปรากฎว่าเขาปูลาดพระบาททุกที่ อาตมาต้องเดินตะแคงข้างไป ส่วนคนที่ไม่รู้ก็เดินขึ้นไปเหยียบ คิดว่าเขาปูพรมแดงรับ สายใจไปเลย ถ้าเป็นสมัยโบราณ โดนตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร...! เขาถือว่าตีเสมอพระเจ้าแผ่นดิน
              เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้ว่าเคยได้ยินคำว่า “ตัดหน้าฉาน” หรือไม่ ?
              ก็คือการที่พรเจ้าแผ่นดิน หรือพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จ แล้วไปวิ่งตัดหน้าทางเสด็จพระราชดำเนินของพระองค์ท่าน
              สมัยก่อนกฎมณเฑียรบาลเขาให้เฆี่ยนตรงนั้นเลย โบราณเขาเฆี่ยนเพื่อให้รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ลาดพระบาทเราไม่มีสิทธิ์ข้าม ไม่มีสิทธิ์เดิน
              ถ้าหากว่าจำเป็นต้องข้าม จะต้องทำอย่างไร ?
              ให้เดินหารอยต่อให้เจอ...เลิกรอยต่อขึ้นมา พอข้ามไปแล้วค่อยปูกลับไปตามเดิม...!
*************************

      ถาม :  ภาวนาคาถาโสตัตตะภิญญามา ๑ เดือน เพิ่งเห็นผลตอนที่ตัวลอยขึ้น ควบคุมตัวเองไม่ได้ หน้าคว่ำลง และอาการลอยหายไปตอนไหนก็ไม่รู้ พอจะทำใหม่ ก็จำอารมณ์นั้นไม่ได้ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่จำอารมณ์นั้นไม่ได้อย่างเดียว เราไปอยากได้ด้วย ตัวอยากได้จะทำให้เราไม่ได้ ให้เราภาวนาโดยไม่ต้องสนใจว่าผลของอภิญญาจะเกิดหรือไม่เกิด
              ถ้าหากว่าเกิดผล ร่างกายลอยขึ้นมา ให้บังคับลอยช้า ๆ ก่อนพยายามตั้งสติเอาไว้ เคลื่อนไหวจนคล่องได้อย่างที่เราต้องการ แล้วค่อยลอยไปที่อื่น
      ถาม :  วันที่ได้ เป็นวันที่ตัดสินใจว่าจะไม่เอาผลแล้ว ?
      ตอบ :  ตั้งเดือนหนึ่งกว่าจะได้ ถ้ารู้อาตมาภาวนาเวลานั้นแล้วได้เวลานั้นเลย คงจะหมดอารมณ์...! ถ้าเดือนหนึ่งนี่แสดงว่ากำลังใจเราอยากได้มาก
              อยากได้มากก็ฟุ้งซ่านมาก จิตจึงไม่รวมตัวจริง ๆ เสียที
              ที่ว่ามายังไม่ถือว่าได้นะ คำว่าได้ต้องใช้ผลได้ด้วย ของเราเป็นลักษณะของการเพิ่งเข้าถึง และยังควบคุมไม่ได้ แต่ก็ยังดี...เริ่มต้นก็เขียน ก.ไก่ ได้ก่อน ค่อยเขียนสระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ เดี๋ยวก็ได้เป็นคำขึ้นมาเอง
              ต่อไปจะได้ไม่เปลืองค่าน้ำมัน จะไปไหนแวบเดียวก็ถึงแล้ว หลอกชาวบ้านว่าขับรถมา
*************************

              เรื่องของอภิญญาสมาบัติ คนที่สนใจปฏิบัติสายนี้มักจะมีของเก่าอยู่แล้ว ดังนั้น...พระพุทธเจ้าจึงได้ประทานคาถานี้มาให้ ไม่ว่าจะเป็นโสตัตตะภิญญาก็ดี หรือสัมปะจิตฉามิก็ดี ให้ภาวนาสำหรับฟื้นของเก่า แม้จะไม่ได้ผลเต็มที่เหมือนการฝึกกสิณ ๑๐ แต่ก็มีความคล่องตัวคล้ายกัน
      ถาม :  ภาวนาคาถาโสตัตตะภิญญาแล้วตัวลอยขึ้น ตอนนั้นทั้งทิพจักขุหรือทิพโสตก็มาพร้อมกันด้วย ?
      ตอบ :  ตอนนั้นถ้าต้องการรู้อะไรก็รู้หมด อยู่ในห้องก็จะเห็นไปรอบบ้าน ตอนแรก ๆ ที่ทำอยู่อาตมาก็คิดว่าเราเพี้ยนหรือเปล่า เพราะว่าผลของอภิญญานั้น คนที่ไม่เคยชินก็จะตื่นเต้น แต่พอนาน ๆ เข้าก็ขี้เกียจที่จะรู้
              ช่วงที่ผ่านมาพายุเข้า ฝนตกทุกวัน โดยเฉพาะฝนตกตอนพระบิณฑบาต พระเณรเขาก็สงสัยว่าทำไมพระอาจารย์ไม่ห้ามฝน อาตมาก็บอกว่าไม่จำเป็น
              พอดีวันที่ ๒๘ ไปทำวัตรพระผู้ใหญ่ในเมือง ฝนตก งานยังไม่เสร็จ ต้องไปต่ออีกหลายแห่ง อาตมาก็ไม่อยากจะเปียก จึงภาวนาคาถาแคล้วคลาดของหลวงพ่อ
              ตอนว่าคาถาเขาให้กลั้นหายใจ กว่าจะเดินถึงรถก็แทบขาดใจ พอขึ้นรถเสร็จ ถามน้องเล็กว่า “เปียกไหม ?”
              เขาหันมาดูแล้วร้องว่า “ขี้โกงนี่นา...!” ไม่ได้โกง..แต่ตอนนี้ไม่อยากเปียกโว้ย...!
*************************

      ถาม :  ตีเด็กนักเรียนทุกวัน ใครโดเรียนตี ๕ ที ครั้งต่อไปตีคูณสอง ถ้าอยู่ต่อก็สร้างเวรสร้างกรรมกับเด็ก ๆ หนีไปบวชดีกว่า ?
      ตอบ :  เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เราไม่ได้ดีด้วยโทสะ เขาเรียกว่าสร้างกุศลกับเด็กเราได้อานิสงส์ตัวเมตตา
              การลงโทษเพราะหวังประโยชน์แก่คนอื่น จัดเป็นเมตตาบารมี
*************************

              “มีโยมเขาปวารณาว่า กระดาษสำหรับทำวุฒิบัตรแจก ให้ขอจากเขาได้ทุกเวลา เขามีอยู่แค่โกดังเดียวเท่านั้น...!
              พอบอกให้เก็บเอาไว้ขาย เขาก็บอกว่ารวยแล้ว ขายกระดาษจนหมดโกดังก็ไม่ได้ทำให้ฐานะดีขึ้นกว่านี้ หมดโกดังไปก็ไม่ได้ทำให้ฐานะต่ำลงกว่านี้ ต้องโมทนากับกำลังใจของเขาจริง ๆ
              อย่างกำลังใจของท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี แม้ฐานะตัวเองจะตกต่ำลง เหลือแค่ข้าวต้มกับน้ำผักดอง ท่านก็ยังเลี้ยงพระ ๕๐๐ รูปอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ท่านรู้สึกว่า ทานของท่านไม่ได้ละเอียดประณีตเหมือนแต่ก่อน
              พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า เรื่องของทานไม่มีหยาบ ไม่มีประณีต มีอย่างเดียวคือ กำลังใจที่สละออก
              ถ้าเจตนาบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ อานิสงส์ย่อมเต็มร้อยส่วน

              ดีที่สุดเท่าที่เรามีอยู่ จัดเป็นสามีทาน เสมอกับที่เรามีอยู่ จัดเป็นสหายทาน
              ถ้าหากว่าต่ำกว่าที่มีอยู่ ก็ให้ทำไปเถอะ ถึงแม้เป็นทาสทานก็ตามอานิสงส์ก็ได้เป็นเศรษฐีเหมือนกัน”
*************************

              “พระพุทธเจ้าตรัสว่า เหมือนนกที่บินไปจากคอน ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเหลือไว้
              ธรรมชาติของนกบินแล้วบินเลย ไม่เหลียวมาดูแม้กระท่งที่เกาะของตัวเอง เปรียบเหมือนกับผู้ปฏิบัติธรรม ไม่มีอะไรให้ห่วงกังวล ไปแล้วไปเลย”
              “พระที่วัดท่าขนุนท่านเอาเรื่องที่สนทนากันที่นี่ไปโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก และมีคนเข้ามาด่า ในลักษณะที่ว่าพูดโอ้อวดเกินจริง เรื่องของการปฏิบัติธรรมต้องไม่เอาอะไรเลย
              อย่างวันนี้มีโยมมาถามว่า ไปปฏิบัติกับสายพระป่าหลักสูตรสามวัน วันนี้ท่านโทรมาให้ไปปฏิบัติอีกหกวัน ควรจะไปหรือเปล่า ? เพราะชอบสายหลวงพ่อฤาษีมากกว่า
              อาตมาบอกไปว่า จริง ๆ แล้วการปฏิบัติไม่มีสายของใครหรอก ทั้งหมดมาจากพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ท่านหยิบเอาตรงไหนมาสอน คนชอบใจแล้วปฏิบัติตามนั้นเป็นจำนวนมาก เขาก็ถือว่าเป็นสายนั้นสายนี้
              เขาบอกว่า ไม่ชอบสายพระป่าตรงที่อะไรก็ให้ละหมด แต่ตัวเขาเองปฏิบัติแล้วมักจะรู้เห็นเสมอ
              อาตมาบอกเขาว่า ถึงเวลาก็ปฏิบัติตามรูปแบบของเรา ส่วนรูปแบบเขาจะเป็นอย่างไรก็ไม่ต้องไปค้านเขา
              ส่วนใหญ่เขาเข้าใจว่าธรรมะจะต้องบริสุทธิ์โดยส่วนเดียว อาตมาเคยยืนยันว่า ศาสนาพุทธไม่มีธรรมะบริสุทธิ์ เพราะว่าถูกปะปนมาตั้งแต่แรกแล้ว
              ส่วนหนึ่งมาจากคำสอนของศาสนาอื่น ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิจารณาว่าถูกต้อง ปฏิบัติตามแล้วจะเกิดผล
              ส่วนที่สอง เป็นธรรมะที่ตัดแปลงของศาสนาอื่นให้เป็นหลักธรรมที่ถูกต้อง เพื่อที่จะได้ปฏิบัติตามแล้วเห็นผล
              ส่วนสุดท้ายเป็นสิ่งที่พระองค์ท่านตรัสรู้ ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดของธรรมะ
              แต่ธรรมชาติของนักปฏิบัติ แผนภูมิจะเป็นลักษณะสามเหลี่ยมด้านเท่าเหมือนรูปพีระมิด ส่วนที่เป็นธรรมะบริสุทธิ์คือส่วนยอด ระดับปานกลางก็มากขึ้นหน่อย ส่วนระดับล่างสุดที่เป็นฐาน ก็จะมีจำนวนมากต่อมากด้วยกัน
              ลักษณะที่เหมือนกับบัวสามเหล่า ส่วนหนึ่งกระทบแสงแดดก็บานเลย อีกส่วนหนึ่งอยู่กลางน้ำ รอเวลาที่จะขึ้นมาบานต่อไป ส่วนที่เหลือจมอยู่ได้โคลน จะตกเป็นอาหารของเต่าและปลาเมื่อไรก็ไม่รู้
              แต่พอพระองค์ตรัสถึงบุคคลสี่เหล่า เราก็เอาไปเปรียบเป็นบัวสี่เหล่า ความจริงท่านมีบัวพ้นน้ำ บัวกลางน้ำ และบัวใต้น้ำ
              เขาลืมธรรมชาติของคนไป ว่าในแต่ละระดับความต้องการไม่เหมือนกัน จะไปบังคับคนให้กินอาหารรสเดียวไม่ได้ เราจะไปบอกว่าหลักสูตรการศึกษาปริญญาเอกสูงสุด ดีที่สุด ให้เรียนปริญญาเอกไปเลย เด็กยังไม่ได้เริ่มเขียน ก.ไก่เลย แล้วจะไปเรียนอย่างไร ?
              จึงเป็นเรื่องที่น่าหนักใจว่า ส่วนใหญ่แล้วมักจะหยิบไปเฉพาะมุมใดมุมหนึ่ง หรือส่วนใดส่วนหนึ่งในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา แล้วก็ไปยึดมั่นว่าตรงนั้นดีที่สุด
              สมัยก่อนพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง จึงได้บอกพวกอาตมาว่า
              “พวกแกควรจะศึกษากรรมฐาน ๔๐ ให้ครบ พอไปเจอคนอื่นปฏิบัติในลักษณะอื่น ๆ จะได้รู้ว่าอยู่ตรงส่วนไหนของกรรมฐาน ๔๐ แล้วจะได้ไม่ต้องแสดงความโง่ด้วยการไปค้านเขา...!”
*************************

              “วังหน้าของเราหมดตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ แล้ว การแต่งตั้งวังหน้าและวังหลัง อยู่ในลักษณะของการระมัดระวังป้องกันวังหลวงนั่นเอง จะต้องแต่งตั้งบุคคลที่ไว้วางใจได้ให้ไปทำหน้าที่นั้น ๆ
              แต่มักจะมีปัญหาก็คือ พออยู่ไปแล้ว ลูกน้องยกยอปอปั้นไปเรื่อย ก็มักจะคิดว่าท่านควรจะได้เป็นวังหลวงมากกว่า
              ท่านที่มีสติสัมปชัญญะ รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรก็เฉย ๆ แต่บังเอิญว่า อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลัก คนมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว เมื่อเป็นดังนั้น...ก็มีหลายท่านที่ก่อการกบฎขึ้นมา
              อีกส่วนหนึ่งก็คือ ท่านไม่ได้คิดจะก่อการกบฎ แต่ผู้ไม่หวังดีไปเพ็ดทูลอยู่เนือง ๆ คำว่า “เพ็ดทูล” สมัยนี้หนังสือลงเป็น “เท็จทูล” กันหมดทุเรศจริง ๆ ไม่รู้รากศัพท์แล้วยังเสือกทะลึ่งเขียน...!
              ในเมื่อเพ็ดทูลเข้าหูผู้ใหญ่ ครั้งแรกก็ไม่เป็นไร ครั้งที่สองก็ไม่เป็นไร พอนานไปก็เริ่มระแวง
              เราต้องดูตัวอย่างสมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก เมื่อมีคำสั่งจากสมเด็จพระเจ้าตากสินให้เข้าเฝ้าทั้งอาวุธ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกถอดอาวุธวางไว้หน้าห้อง
              พอมีรับสั่งว่าให้เอาอาวุธเข้ามาได้ ท่านกระทุ้งออกนอกห้องพ้นสายตาไปเลย แสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้คิดร้ายอย่างแน่นอน”
*************************

              “ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ก็คือวังหน้า
              ถ้ากรมพระราชวังบวรสถานภิมุข คือ วังหลัง เทียบเท่าตำแหน่งพระมหาอุปราชนั่นเอง
              วังหน้าในรัชกาลที่ ๑ คือท่านบุญมา (น้องชายในรัชกาลที่ ๑) เป็นกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
              วังหน้าในรัชกาลที่ ๒ คือ กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์
              วังหน้าในรัชกาลที่ ๓ คือ กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์
              พอมาถึงรัชกาลที่ ๔ ทรงตั้งให้วังหน้าคือ สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี เป็นพระเจ้าแผ่นดินเสมอด้วยพระองค์เอง ก็คือเป็น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
              ในหลวงรัชกาลที่ ๔ ทรงเก่งเรื่องโหราศาสตร์มาก ทรงผูกดวงแล้วเห็นว่า ดวงของสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬฑามณีมีสิทธิ์เป็นถึงพระเจ้าแผ่นดิน จึงแก้เคล็ดด้วยการตั้งให้เป็นพระเจ้าแผ่นดินคู่กัน
              แต่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวก็สำนึกในพระองค์เอง เพราะว่าถ้าผิดท่าผิดทางขึ้นมา ก็อาจจะหัวขาดโดยไม่รู้ตัว จึงเสด็จออกเยี่ยมราษฎรไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสนิทสนมกับบรรดาข้าราชการและประชาชนในมณฑลลาวเฉียง หรือภาคอีสานในปัจจุบัน พระองค์ท่านเป็นต้นกำเนิดเพลงลาวดวงเดือน เพราะว่าอยู่กับลาวมาเยอะ
              วังหน้าในรัชกาลที่ ๕ คือพระโอรสของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
              คราวนี้สมเด็จกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญท่านเป็นนักเรียนนอก แนวความคิดค่อนข้างจะเปิดกว้าง และคบหาสมาคมกับชาวต่างชาติมาก จึงมีข่าวลือว่าพระองค์ท่านจะใช้เรือปืนและอาวุธของชาวต่างชาติก่อการกบฎ ทำให้พระองค์ต้องเสด็จลี้ภัยไปอยู่ในสถานกงสุลอังกฤษเสียหลายเดือน
              พอกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทิวงคต รัชกาลที่ ๕ จึงยกเลิกตำแหน่งวังหน้า แต่งตั้งสยามมกุฎราชกุมารแทน จึงถือว่ากรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เป็นวังหน้าองค์สุดท้าย
              ความจริงสมเด็จพระปิ่นเกล้า ตั้งพระนามกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญว่า “พระองค์เจ้ายอร์ช วอชิงตัน”
              รัชกาลที่สี่ทรงรำคาญชื่อฝรั่ง จึงเปลี่ยนเป็น “พระองค์เจ้ายอดยิ่ง ประยุรยศ” ไม่มีอะไรที่ในหลวงรัชกาลที่สี่แก้ไม่ได้ ทรงแก้ได้ทุกอย่าง
              แม้กระทั่งภายหลังที่เขาบอกว่า วังหน้าต้องคำสาปของสมเด็จพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๑ ถ้าไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของท่านแล้ว ใครมายึดวังหน้าไปใช้ ก็ขอให้ถึงแก่ความวิบัติฉิบหาย จึงไม่มีใครกล้าไปแตะต้องวังของท่าน
              รัชกาลที่สี่พิจารณาแล้ว จึงส่งลูกไปแต่งงานกับเชื้อสายของวังหน้าในรัชกาลที่ ๑ กลายเป็นญาติ จึงยึดวังไปใช้ได้ จึงกล่าวกันว่า ไม่มีอะไรที่รัชกาลที่สี่ทรงแก้ไม่ได้
              รัชกาลที่สี่ตรวจดูเมืองแล้วพบว่าการผูกดวงเมืองในวันเวลาอย่างนี้ จะอยู่ได้แค่ ๑๕๐ ปีเท่านั้น
              พระองค์ท่านจึงผูกดวงเมืองใหม่ เพื่อที่จะได้อยู่ยั้งยืนยงต่อไป จึงมีการฝังเสาหลักเมืองซ้ำอีกหนึ่งต้น ฉะนั้น..เราจะเห็นว่าเสาหลักเมืองมีสองต้น ไม่ได้มีต้นเดียว ไม่มีอะไรที่รัชกาลที่สี่แก้ไม่ได้จริง ๆ
              ไม่อย่างนั้นเราคงจะได้ฉลองกรุงแค่ ๑๕๐ ปี แสดงว่าพระองค์ท่านรู้จริง ถ้าไม่ได้แก้ดวงเมืองไว้ก่อนตั้งแต่สมัยพระองค์ท่าน ราชวงศ์จักรีคงจะหมดอยู่แค่นั้น
              ต้องถือว่าพระองค์ท่านเป็นหนึ่งในสุดยอดโหราจารย์ของเมืองไทย ใครเรียนโหราศาสตร์ นอกจากบูชาพระยาพิเภก หรือบูชาท่านท้าวมหาพรหมแล้ว ให้บูชารัชกาลที่สี่ด้วย
              หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล กล่าวกับเสด็จพ่อ คือ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่า
              “เสด็จพ่อคงจะต้องจนไปตลอดชีวิต เพราะทูลกระหม่อมปู่ไม่ได้อวยพรให้เสด็จพ่อรวย”
              รัชกาลที่สี่ทรงผูกดวงให้ลูกหลานทุกคน แล้วอวยพรให้ตามพื้นฐานดวง รัชกาลที่สี่ไม่ได้อวยพรให้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพร่ำรวย เพียงแต่อวยพรให้ประสบความสำเร็จตามหน้าที่การงานของตนเท่านั้น
              วังหน้าให้ราชาศัพท์ที่ต่างจากวังหลวงหลายอย่าง
              อย่างวังหลวงใช้คำว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” วังหน้าจะเป็น “สมเด็จพระบวรราชเจ้า”
              วังหลวงใช้ว่า “พระบรมราชโองการ” วังหน้าจะใช้คำว่า “พระราชบัณฑูร”
              ถ้าวังหน้าอภิเษกขึ้นดำรงตำแหน่ง จะใช้ “อุปราชาภิเษก” วังหลวงใช้คำว่า “บรมราชาภิเษก”
              ฉะนั้น...ตำแหน่งอุปราช หรืออุปราชา แปลว่า ใกล้จะเป็นพระราชา แต่หลายคนใจร้อน ไม่อยากจะใกล้เป็นพระราชา แต่อยากจะเป็นพระราชาเลย
      ถาม :  อย่างนั้นอุปนิสัย ?
      ตอบ :  อุปนิสัย แปลว่า เกือบจะเป็นสันดานถาวร ถ้าหากถาวรเลยก็เป็นนิสัย
      ถาม :  อุปกิเลส ?
      ตอบ :  อุปกิเลส แปลว่า เกือบจะเป็นกิเลส ถ้าหากพลาดเมื่อไรก็เป็นกิเลส อย่างเช่น โอภาส ถึงเวลาภาวนาแล้วแสงสว่างเกิดขึ้น ถ้าเราไม่ไปยึดถือแสงสว่างนั้น ก็เป็นแค่อุปกิเลส แต่ถ้ายึดเมื่อไร ก็เป็นกิเลสเมื่อนั้น
*************************