​​​ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๘๔

 

              “ตอนแรกอาตมาก็คิดว่าคนที่มีกำลังมากขนาดนั้นจะมีจริงหรือ ? มาคลายความสงสัยสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาอยู่รับใช้ท่าน หลายครั้งที่ท่านป่วยอยู่ ไม่ค่อยจะมีแรงทรงกาย แต่เรี่ยวแรงก็ยังเกินมนุษย์
              ปกติท่านจะพักที่กุฏิหลังวิหาร ๑๐๐ เมตร เวลาประมาณ ๗ โมงครึ่ง ก็จะมาทำงานที่กุฏิริมน้ำ อาตมามีหน้าที่เฝ้าหน้าประตู วันหนึ่งท่านว่า “เออ...วันนี้รู้สึกมีแรง ขอออกกำลังหน่อย”
              ท่านขึ้นไปโยกเครื่องออกกำลังที่โยมถวายมา เครื่องออกกำลังที่เท้าถีบได้ มือโยกได้ สปริงแต่ละข้างใหญ่ประมาณท่อนแขนอาตมา หลวงพ่อโยกไม่กี่ทีสปริงขาดเลย สรุปว่าอาตมาต้องแบกเอาไปเก็บ ใช้งานไม่ได้...เพราะว่าสปริงขาดไปแล้ว
              หลวงพี่มหาดำ ปัจจุบันเป็นท่านเจ้าคุณโสภณธรรมเมธี วัดสุวรรณคีรี สมัยก่อนท่านไปหาหลวงพ่อบ่อย ท่านเคารพหลวงพ่อมาก พอไปถึงก็กราบที่อก หลวงพ่อท่านก็ตบหัว “เป็นยังไงไอ้ดำ...?” หลวงพี่ดำก็ลงไปกองที่เท้าหลวงพ่อ
              อาตมาเห็นก็คิดว่า หลวงพี่มหาท่านเคารพหลวงพ่อจริง ๆ กราบจากอกยันเท้าเลย ที่ไหนได้ พอหลวงพ่อไปแล้ว หลวงพี่ดำลุกขึ้นมาบอกว่า “เกือบสลบ...!”
              หลวงพ่อท่านตบหัวทักทาย แต่หลวงพี่ดำรู้สึกอย่างกับโดนค้อนตี ที่เห็นนั้นไม่ได้กราบเท้านะ หากแต่ร่วงลงไปกองอยู่ที่เท้า...!
              อาตมาก็สงสัยว่าทำไม หลวงพ่อท่านบอกว่าเป็นกำลังบุญ กำลังที่สั่งสมมาตั้งแต่เดิม คนที่ปรารถนาพุทธภูมิต้องเกิดเป็นหัวหน้าเขา ตอนเกิดเป็นคนก็เป็นหัวหน้าคน เกิดเป็นสัตว์ก็เป็นหัวหน้าสัตว์ ถ้าไม่แข็งแรงกว่าเขา ก็เป็นหัวหน้าเขาไม่ได้”
*************************

              มีโยมอัดรูปพระอาจารย์มาถวาย ท่านกล่าว่า
              “จำไว้เลยนะว่า ...ถ้าไม่อยากโดนด่า อย่าทำรูปมาถวาย ตูเห็นหน้าตัวเองจนเบื่อเต็มทีแล้ว นี่ยังดีว่าซ่อนไว้ข้างล่าง ถ้าเห็นก่อนนี้โดนด่าตั้งแต่ตอนเข้ามาแล้ว เสือกทะลึ่งไม่เข้าเรื่อง...!
              แจ้งให้ญาติโยมทราบอีกครั้ง เผื่อประเภทหลวงลืมหรือไม่เคยได้ยิน อย่าอัดรูปอาตมามาให้เป็นอันขาดถ้าอยากได้รป อาตมาทำเองและดีกว่าด้วย
              แทนที่จะแจกเอง เสือกทะลึ่งเอามาให้อาตมาแจก ตกลงไม่ได้มีประโยชน์อะไรสำหรับอาตมาเลย นอกจากเหนื่อยเพิ่มขึ้น
              ถ้าอาตมาอยากจะแจก จะทำเองไม่ต้องเมตตาทำมา นี่ดีว่าซุกเอาไว้ ถ้าเห็นตั้งแต่เมื่อวานนี้ ก็ด่าไปตั้งแต่เมื่อวานี้แล้ว ต้องบอกว่ายิ่งห้ามยิ่งเจอ”
              “เดือนนี้ทั้งเดือนที่ทองผาภูมิแทบจะไม่เห็นแดดเลย โดยเฉพาะช่วงเช้าเวลาบิณฑบาตเปียกฝนแทบทุกวัน
              เรื่องบิณฑบาตเป็นกิจวัตร เป็นสิ่งที่พระจำเป็นต้องทำ เพราะเป็นการรักษาอริยประเพณี ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญมาตลอดพระชนม์ชีพพระองค์ท่านบิณฑบาตแม้วาระสุดท้ายของชีวิต ก็คือบิณฑบาตที่บ้านของนายจุนทะ
              อีกอย่างหนึ่งก็คือ เคยพบด้วยตัวเอง ตอนนั้นอยู่ที่วัดท่าซุง อาตมาจะบิณฑบาตที่สายใต้เป็นประจำ ตอนแรกหลวงตาวัชรชัยท่านเป็นหัวหน้าสายอยู่ พออาตมาได้หลายพรรษาหน่อย หลวงตาท่านก็ไปเดินสายหลังวัด อาตมาก็เป็นหัวหน้าสายใต้แทน มีท่านอาจารย์สมปองเดินตาม และน้อง ๆ อีก ๑๐ กว่ารูป บางทีฝนตกหนักไม่มีใครบิณฑบาต มีอาตมากับท่านอาจารย์สมปองไปกันแค่สองคน
              เดินไปจนสุดทางประมาณ ๒ กิโลเมตรจากวัด มีคุณยายอายุ ๘๐ กว่าปี ยืนถือใบกล้วยบังหัวกับขันข้าวรอใส่บาตร ลองนึกดูว่าถ้าวันนั้นเราไม่ได้ไป คุณยายจะทำอย่างไร ? คุณยายแก่ ๆ ผมขาวทั้งหัว กลัวว่าฝนตกแล้วลูกพระจะอด อุตส่าห์ยืนถือใบกล้วยบังหัวรอใส่บาตร”
*************************

              “ในวัดท่าซุงตอนนั้นมีพระอยู่ ๒ รูป ก็คืออาตมากับท่านอาจารย์สมปอง ฟ้าถล่มดินทลายอย่างไรก็ไม่เลิกบิณฑบาต
              พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านวางกฎระเบียบไว้ว่า ต้องบิณฑบาตกลับมาครบแล้ว ถึงฉันพร้อมกันได้
              เพราะฉะนั้น...อาตมากับอาจารย์สมปอง ไม่รู้โดนเขาแช่งชักหักกระดูกไปเท่าไรแล้ว เพราะว่าเวลาฝนตก เขาไม่ไปบิณฑบาตกัน แต่พวกเรา ๒ คน ไม่ว่าจะฝนตกแดดออกอย่างไรก็ไป
              อาตมาเองใช้ผ้าแค่ ๓ ผืน มารู้ทีหลังว่าท่านอาจาย์สมปองก็ใช้ ๓ ผืนเหมือนกัน พอเปียกแล้วไม่มีเปลี่ยน กลับมาถึงก็รีบบิดให้หมาด ๆ แล้ว ห่มเข้าวงฉัน ฉันเสร็จ ก็ค่อยหาทางว่าจะทำอย่างไรให้จีวรแห้ง ถ้าไม่มีแดดจริง ๆ ก็อาจจะต้องเปิดพัดลมเป่าจีวร กว่าจีวรจะแห้งพอที่จะไปทำงานอย่างอื่นได้ก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง
              จากที่พวกเราเอานิสัยไม่ยอมละทิ้งระเบียบ ไม่ยอมผ่อนผันให้กับตัวเองมาใช้ในการปฏิบัติ เวลาทำอะไรจึงได้มากกว่าคนอื่น ขณะที่คนอื่นถึงเวลาก็ผ่อนผันให้กับตัวเอง แต่พวกเราไม่ยอมผ่นอ
              ทุกสิ่งทุกอย่างที่หลวงพ่อสอน ะจถือว่าเป็นคำสั่งที่ต้องทำให้ได้ ไม่ใช่ฟังเป็นคำสอนผ่านหูไปเฉ ยๆ ก็เลยทำให้กลายเป็นสมบัติติดตัวมา
              แม้กระทั่งจนทุกวันนี้ฝนตกแดดออกอย่างไรก็บิณฑบาต บางทีญาติโยมที่รู้จักเขาก็บอกว่า หลวงพ่อ...เป็นใหญ่เป็นโตขนาดนี้ พระเณรเต็มไปหมด ถ้าเป็นที่อื่นเขาให้พระเณรบิณฑบาตเลี้ยงแล้ว แต่อาตมาไม่ใช่อย่างนั้น ถ้ายังไปไหวก็ต้องไป”
*************************

              “ถ้าเป็นวันที่ต้องไปบิณฑบาต ตั้งแต่บวชมา ๒๗ ปี อาตมาขาดแค่ ๔ ครั้งเพราะป่วยจนลุกไม่ขึ้น ถ้าพอลุกขึ้นได้ก็ไป บางทีไข้จับหนักมาก แทบจะไม่รู้ตัวเลยว่าเดินไปถึงปลายทางได้อย่างไร แทบจะไม่รู้ตัวว่าเดินกลับมาที่วัดได้อย่างไร เดิน ๆ ไปก็สะดุดก้อนหิน กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่เลือดไหลเป็นกอง เพราะว่าเล็บหลุดไปทั้งอัน...!
              เวลาไข้จับหนัก จะไม่รู้ว่าความเจ็บปวดเป็นอย่างไร เพราะว่าเบลอไปหมด ตั้งสติไว้อย่าเงดียวว่ากลับให้ได้ก็แล้วกัน ทำให้เห็นชัดว่า จริง ๆ แล้วร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ในเมื่อร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ก็อย่าให้เขาบังคับเรา เราต้องบังคับเขาแทน ถ้ายังไหวเอ็งไปซะดี ๆ...!
              ถามว่าทำอย่างนี้เป็นอัตตกิลมถานุโยคหรือไม่ ? ทรมานตนเองเกินไปหรือไม่ ? โหดร้ายขาดเมตตากับตัวเองหรือไม่ ?
              ไม่ใช่หรอก...ถ้ายังไปได้ต้องไป ระเบียบวินัยเป็นแค่ของหยาบ ๆ ถ้าเราทำไม่ได้ การเข้าถึงธรรมที่เป็นส่วนละเอียด เราจะเข้าถึงไม่ได้เลย
              เพราะฉะนั้น...ใครที่เป็นคนต่อต้านระเบียบ ไม่ยอมรับระเบียบวินัย ไม่ยอมรับกฎหมายบ้านเมืองหรือกฎกติกาของสถานที่ใด ๆ ให้รู้ว่าโอกาสที่เราจะเข้าถึงธรรมมีน้อยมาก
              เพราะว่าของหยาบสภาพจิตของเรายังต่อต้านไม่ยอมรับธรรมะที่เป็นส่วนละเอียดกว่านั้นหลายเท่า เราจะไม่มีโอกาสเข้าถึงเลย”
*************************

      ถาม :  ทำบุญด้วยการให้เงินคนอื่นไปทำบุญ เราจะได้รับอานิสงส์ไหมคะ ?
      ตอบ :  ได้…เราเองทำบุญรายการไหน เราก็ได้อานิสงส์อย่างนั้น แต่คนที่รับจากเราไปก็จะได้เวยยาวัจมัย คือ บุญในการช่วยให้งานบุญคนอื่นสำเร็จ
              แปลว่าคนรับจากเราไปทำให้ ต่อไปเขาก็จะอยู่ในลักษณะที่มีภาระหรือมีการงานอะไร ก็จะมีคนคอยช่วยเหลือ ส่วนเราเองก็สบายในส่วนที่ว่า ไม่ต้องไปเหนื่อยเอง บางคนเหนื่อยมากแล้วกำลังใจตก ทำให้บุญลดลง
*************************

              “เดือนกันยายนนี้มีวันสำคัญทางราชการอยู่ ใครรู้บ้างว่าวันอะไร ?
              คำตอบคือ วันเยาวชนแห่งชาติ ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชสมภพ วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๓๙๖ กับในหลวงรัชการที่ ๘ ทรงพระราชสมภพ วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๖๘
              พระองค์ท่านเสด็จขึ้นครองราชย์ก่อนพระชนมายุ ๒๐ ปีทั้งคู่ ก็เลยถือว่าเป็นวันเยาวชนแห่งชาติ ตรงกับวันที่ ๒๐ กันยายน ของทุกปี”
*************************

              “หลักการใช้สาลิกาลิ้นทอง เขาบอกว่าให้พูดเพราะ ๆ พูดหวานขานเพราะ ไปไหนคนก็รัก พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นปิยวาจา
              ในเรื่องคำพูด พระพุทธเจ้าแบ่งเป็น
              ปุปผภาณี แปลว่า วาจาที่หอมเหมือนดอกไม้ มีแต่คนอยากฟัง
              มธุภาณี ปลว่า คำพูดหวานเหมือนน้ำผึ้ง คนฟังจะติดใจ
              คูถภาณี ก็คือวาจาเหม็นเหมือนขี้ ประเภทปากไม่ดี คนไม่อยากเข้าใกล้
              เพราะฉะนั้น...ในส่วนปิยวาจานี่ต้องเว้นคูถภาณี ปุปผภาณีหรือมธุภาณีถึงจะใช้ได้
              คำว่า “ภาณี” แปลว่า พูด สุภาณี คือ พูดดี พูดเพราะ
              เราได้ยินว่า “ภาณยักษ์ ภาณพระ” ภาณตัวนี้แหละคือภาณี คือพระพูดหรือยักษ์พูด ก็คือคาถา นะโม เม สัพพะพุทธานัง อุปปันนานัง มเหสินังฯ ข้าพเจ้าขอน้อมต่อบรรดาสมเด็จพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นใหญ่ที่ได้อุบัติขึ้นแล้วในโลก
              ตัณหังกโร มหาวีโร เมธังกโร มหายโส พระพุทธตัณหังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีความกล้าอันยิ่งใหญ่ คือกล้าที่จะต่อสู้ฝ่าฟันกับกิเลส
              เมธังกโร มหายโสฯ พระพุทธเจ้ามีนามว่า เมธังกร ผู้มียศอันยิ่งใหญ่ คือคนเขายกย่องให้เหนือผู้อื่น เพราะว่าทรงเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
              คาถานี้ผูกขึ้นโดยท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านประชุมกันที่อาฏานาฏิยนคร ซึ่งเป็นเมืองหลวงของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ว่ายักษ์และผีที่ไม่เคารพนับถือพระพุทธเจ้า ตลอดจนพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานั้นมีจำนวนมาก ถ้าหากไม่ออกคำสั่งห้ามไว้ ถึงเวลาอาจจะมีการทำร้ายพระที่เป็นพุทธสาวกได้
              ท่านก็เลยประชุมรวมกันแต่งฉันท์สรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า บอกว่า ถ้าหากว่าผู้ใดสวดสาธยายคาถาบทนี้แล้ว ห้ามผีและยักษ์ทั้งหลายไปทำร้าย ถ้าหากว่าผีหรือยักษ์ตนใดไปทำร้ายผู้ที่สวดสาธยาย ถือว่าเป็นขบถต่อท้าวจตุมหาราช
              เมื่อประกาศให้ยักษ์ทั้งหลายทราบล่วงหน้าแล้ว ท่านก็นำไปถวายพระพุทธเจ้า ตอนที่ท่านกล่าวถวายพระพุทธเจ้า เขาจึงเรียกว่า ภาณยักษ์ คือยักษ์พูด
              เมื่อพระพุทธเจ้ารับมาแล้ว ก็มาแจ้งต่อพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย โดยตรัสให้ฟังอีกรอบ จึงเรียกว่า ภาณพระ คือพระพุทธเจ้าพูด
              ใครจะเอาไปท่องก็ได้ ที่เขาขึ้นว่า วิปัสสิสสะ นะมัตถุ จักขุมันตัสสะ สิรีมะโต สิขิสสะปิ นะมัตถุ สัพพะภูตานุกัมปิโนฯ จนกระทั่งท้ายสุด สัพพะโรคะวินิมุตโต สัพพะสันตาปะวัชชิโตฯ ท่องไว้ทุกวัน อยู่ที่ไหนก็ปลอดภัยจากพวกผีพวกยักษ์ที่จะทำร้ายเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิจะหลีกไป เทวดาที่เป็นสัมมาทิฐิจะช่วยรักษา
              แต่อย่าไปท่องอย่างท่านอาจารย์สำราญ วัดเขาวงพระจันทร์นะ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นหลวงปู่ปานไปช่วยสร้างวัดเขาวงพระจันทร์ ท่านอาจารย์สำราญท่องภาณยักษ์ทุกวัน ปกติคนเขาจะท่องด้วยความเคารพนอบน้อมในพระรัตนตรัย แต่ท่านอาจารย์สำราญตั้งใจท่องเพื่อไล่ผีไล่เทวดา
              หลวงปู่ปานพอทราบเข้าก็ไปเตือนว่า “ท่านสำราญ...ทำอย่างนี้เดี๋ยวจะเดือดร้อน ไปไล่ผีไล่เทวดาเขาได้อย่างไร” ท่านสำราญไม่ฟังท่องทุกวัน
              อยู่ ๆ วันหนึ่งหลวงปู่ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ร้องโอดโอยอยู่บนกุฏิ พอวิ่งขึ้นไปดูเห็นคนนุ่งแดงตัวใหญ่หัวค้ำเพดาน ถือหวายท่อนเท่าแขนตีท่านอาจารย์สำราญ หวดซายป่ายขวาอุตลุด
              หลวงปู่ปานก็บอกว่า “พ่อขุนด่านพอเถอะ เดี๋ยวตายเปล่า ๆ”
              คนนุ่งแดงใส่แดงหันมาบอกว่า ถ้าไม่ใช่ท่านขอไว้จะล่อให้ตายจริง ๆ แล้วคนนุ่งแดงก็ก้าวขึ้นขื่อหายวับไป นั่นเจ้าพ่อขุนด่าน ถ้าใครออกไปทางด้านลพบุรี ชัยภูมิ จะผ่านจุดหนึ่งที่มีศาลเจ้าพ่อขุนด่าน
              ท่านอาจารย์สำราญไปท่องไล่อยู่ทุกวัน พวกผีเล็กผีน้อยหนีหมด แต่เจ้าพ่อท่านเป็นระดับมหาอำมาตย์แล้ว ท่านไม่หนี แต่ทนไม่ไหวจึงตีเลย
              เพราะฉะนั้น...ถ้าใครท่องให้ท่องด้วยความเคารพในพระรัตนตรัย ไม่ใช่ไปท่องไล่เขา ถ้าท่องไล่ผีให้ระวัง ถึงเวลาผีจะไล่เอาบ้าง”
*************************

      ถาม :  การยอมรับกฎของกรรมทำให้ลดสักกายทิฐิได้อย่างไรครับ ? ผมรู้ว่าลดได้ แต่ไม่รู้ว่าลดได้อย่างไรครับ ?
      ตอบ :  คุณต้องคิดว่าเราทำเราจึงรับ ในเมื่อเราทำเราจึงรับ กำลังใจที่คิดจะต่อต้านก็ไม่มี ก็แปลว่าเราไม่ได้แบกทิฐิ นั่นก็เท่ากับลดไปในตัวอยู่แล้ว
*************************

      ถาม :  เวลาที่ภาวนาแล้วหลุดอกไป อย่างขึ้นไปกราบพระ พอไปแล้วจะไม่ค่อยเจอใครเลย เป็นเพราะไม่มีใคร หรือเพราะเราหยาบคะ ?
      ตอบ :  ความคล่องตัว ความชำนาญในสมาธิไม่มี วงสมาธิก็เลยแคบ การรู้เห็นจึงถูกจำกัดไปด้วย จำไว้ว่าพระพุทะเจ้าไม่เคยอยู่พระองค์เดียว อย่างน้อย ๆ พรหมเทวดาก็ต้องอยู่ด้วยเยอะแยะ เราเองไม่รู้ว่าลุยเข้าไปจนเขากระจายทั้งวงหรือเปล่า ?
      ถาม :  ไปกราบพระทีไรก็เห็นแต่พระท่านองค์เดียว ?
      ตอบ :  ประมาณนั้นแหละ เพราะสมาธิยังไม่ดีพอ จึงเห็นได้เฉพาะหน้าที่มุ่งไปเท่านั้น
      ถาม :  เวลาหลุดออกมาแล้ว ตั้งใจจะไปกราบพระ แต่บางทีก็มีแรงดึงลงไปข้างล่าง คราวนี้ไม่เห็นอะไรเลย ไม่รู้ว่าคืออะไร ? หรือมีใครหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ไม่ต้องสงสัยหรอก ให้เราคิดไว้ก่อนว่า ถ้าเราขึ้นข้างบนไม่ได้นี่ต้องลงข้างล่างแน่ ๆ...!
      ถาม :  มีใครมาดึงหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  กำลังใจของเราตอนนั้นมั่นคงจริงหรือเปล่า ? ถ้าไม่มั่นคงจริง โอกาสที่จะไหลลงต่ำก็มีสูง
              ต้องบอกว่าไปเองตามสภาพจิตของเราตอนนั้น ซึ่งอาจจะแบก รัก โลภ โกรธ หลง มาเต็มที่ทั้งวัน พอมาปฏิบัติสิ่งที่แบกเอาไว้ก็ถ่วงเราลง ต้องรีบชำระใจให้ผ่องใสโดยด่วนเลย
      ถาม :  กลัวจะลงไปชินข้างล่าง เจออย่างนี้ทีไรก็ตะกายขึ้นไปทุกทีค่ะ ?
      ตอบ :  ดีแล้ว กลัวไว้ได้แหละดี
*************************

      ถาม :  เวลาอาราธนาสพระหางหมากจนหลับ ทำไมเวลาหลับจึงฝันเห็นพระ ?
      ตอบ :  ใครเกาะด้านดีก็ฝันในด้านดี ใครเกาะด้านไม่ดีก็ฝันไม่ดี เท่านั้นเอง
      ถาม :  เห็นจริงหรือไม่ ? วันหลังผมจะได้ไม่ต้องยึดติดอะไร ?
      ตอบ :  แล้วคุณจะไปยึดอะไร ?
      ถาม :  หรือผมฝันเห็นจริง ๆ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเอาแต่ฝัน ชาตินี้เอาดีไม่ได้หรอก ต้องทำตอนลืมตา ความฝันสามารถบอกได้ถึงสภาพจิตของเราในระดับหนึ่ง ถ้าหากว่าสภาพจิตไม่ดีก็ฝันเห็นสิ่งที่ไม่ดี ถ้าหากว่าสภาพจิตดีก็ฝันเห็นสิ่งที่ดี
              แต่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ตาม อย่าลืมว่านั่นแค่เขาบอกว่าเราเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่คิดจะทำความดีต่อก็ไม่ได้อะไรหรอก
*************************

      ถาม :  ที่เขาเวียนไปไหว้พระทำบุญที่โน่นที่นี่ มีผลอย่างไรต่อการปฏิบัติ ?
      ตอบ :  ได้อนุสติเต็ม ๆ และได้ทานบารมีด้วย สำหรับคนที่กำลังใจยังน้อยอยู่ก็ต้องทำอย่างนั้น ถึงกำลังใจสูงแล้วก็ไม่ควรประมาท ต้องกอบโกยบุญทุกอย่างให้เต็มที่ไว้ก่อน
*************************

      ถาม :  การชอบอ่านหนังสือธรรมะ เป็นธัมมานุสติกรรมฐานหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  กล่าวถึงเรืองไหน ก็เป็นอนุสติในเรื่องนั้น
      ถาม :  ถ้าเราอ่านหนังสือเจริญพระพุทธมนต์ แล้วคิดว่าคือการเจริญกรรมฐานนี่ใช่หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  เหมือนกัน ทำอย่างไรก็ได้ให้ใจเกาะความดี จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน
      ถาม :  เสร็จแล้วเราก็แผ่เมตตา อานิสงส์ก็พอ ๆ กับการนั่งกรรมฐาน ?
      ตอบ :  ถ้าคุณสามารถทำได้โดยไม่ต้องนั่ง จะดีกว่าด้วย
*************************

      ถาม :  มีปัญหากับที่บ้าน ผมออกมาจากบ้านโดยไม่ได้บอกพ่อ แต่เขียนจดหมายทิ้งไว้ อยากกราบถามว่า ผมจะได้มีโอกาสกลับไปดูแลพ่ออีกไหมครับ ?
      ตอบ :  จะกลับก็กลับ จะออกก็ออก การตัดสินใจอยู่ที่ตัวเรา ไม่ต้องไปถามคนอื่น ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนตัดลูกขาด มีแต่ลูกนั่นแหละจะตัดพ่อตัดแม่ ถึงเวลาอยากกลับก็กลับ
*************************

      ถาม :  เวลาทำสมาธิ เขาบอกว่าให้ปล่อยจิตตาม ผมก็ปล่อย แต่ทำสมาธิไม่ได้ ต้องบังคับตัวเองตลอดเวลา ให้จิตนิ่ง ๆ ?
      ตอบ :  ให้อยู่กับลมหายใจเฉพาะหน้าก็พอ ไม่ต้องไปสนใจหรอกว่าบังคับหรือไม่บังคับ
*************************

      ถาม :  จะขายบ้านค่ะ ตอนนี้ตกงานไม่ได้ทำอะไร กลัวผ่อนบ้านไม่ไหว ขายเท่าไรก็ขายไม่ได้ ?
      ตอบ :  ไปจุดธูปบอกเจ้าที่ที่บ้าน บอกว่าเราจะขายที่ ขอให้ท่านช่วยให้ขายได้ไวที่สุด แล้วเราจะทำบุญสังฆทานไปให้
      ถาม :  บอกเจ้าที่บ้านที่จะขาย หรือบ้านที่อยู่ปัจจุบันคะ ?
      ตอบ :  ขายหลังไหนก็บอกเจ้าที่หลังนั้นแหละ
      ถาม :  จุดธูปหน้าบ้านใช่หรือเปล่าคะ หรือในบ้านคะ ?
      ตอบ :  ไปจุดบนหลังคาบ้าน...!
      ถาม :  เพราะในบ้านยังไม่มีอะไรเลย ยังไม่ได้เข้าไปอยู่ ?
      ตอบ :  จุดกลางแจ้ง หลังจากนั้นก็รีบติดประกาศขายเสียไว ๆ
*************************

      ถาม :  ลูกสาวไปอยู่หอแล้วเหมือนมีวิญญาณมารบกวนค่ะ ?
      ตอบ :  บอกเขาให้หัดภาวนาแล้วแผ่เมตตาไว้บ้าง ถ้าหากว่าใครภาวนาแล้วแผ่เมตตา พวกนี้จะไม่รบกวนหรอก ก่อนนอนให้สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิแล้วก็แผ่เมตตาให้เขาก่อนค่อยนอน
*************************

      ถาม :  ผมปฏิบัติโดยท่องคาถาเงินล้านไปด้วย เดินจงกรมไปด้วย แล้วก็กำหนดภาพพระพุทธเจ้าไปด้วย ระหว่างนี้คิดกำหนดมรณานุสติไปด้วย จะช่วยในเรื่องตัดสังโยชน์ ๓ หรือไม่ครับ ?
      ตอบ :  ทำทีละหย่าง เต็มที่อย่าให้เกิน ๒ อย่าง ตั้งระะยเวลาว่าจะทำนานเท่าไร ที่ทิ้งไม่ได้เลยก็คือลมหายใจเข้าออก จะใช้คาถาเงินล้านเป็นคำภาวนาใดก็ได้ เพิ่มได้อีกอย่างเดียวคือภาพพระ
              พอทำจนกระทั่งทรงตัวดี อารมณ์ไปต่อไม่ได้แล้วค่อยคลายกำลังใจลงมา แล้วก็มาคิดพิจารณา อย่างเช่นว่าเราต้องตายแน่ ๆ เพราะถ้าหากว่าทำหลายอย่างทีเดียว กำลังของเราไม่พอ เราจะฟุ้งซ่านเสียเปล่า ๆ
      ถาม :  เกี่ยวกับการคิดเรื่องของความตาย ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเราระลึกถึงความตายเฉย ๆ เป็นสมถภาวนา
              แต่ถ้าหากว่าเราเห็นจริง ว่าความตายเป็นธรรมดาที่ทุกคนต้องพบเห็น ธรรมชาติของร่างกายเป็นอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาเพื่อจะพบกับความตายอย่างนี้ไม่มีสำหรับเราอีก ตายแล้วเราขอไปพระนิพพาน ถ้าอย่างนี้ก็เป็นการวิปัสสนา จากปกติของสมถะ เราก็แค่เห็นจริงว่าความตายเป็นความตายของทุกคน เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ไม่มีใครที่จะหลุดพ้นความตายไปได้
*************************

      ถาม :  ในวจีกรรม ๔ การพูดเพ้อเจ้อ หมายรวมถึงคำพูดตลก ๆ พูดเล่นมุกหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้ว การพูดอะไรที่ไม่ชัดเจน ไม่เข้าหาธรรม ก็ถือว่าเพ้อเจ้อ กำลังใจแต่ละคนแต่ละระดับก็ไม่เท่ากัน ถ้ากำลังใจที่ละเอียดก็จะเห็นว่าฝ่ายที่หยาบกว่าพูดจาเพ้อเจ้อ เพราะฉะนั้น...ตัวนี้เป็นตัวที่เว้นได้ยากสักนิดหนึ่ง
      ถาม :  ความละเอียดในการรักษากรรมบถ ๑๐ ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันสิคะ ?
      ตอบ :  ใช่…เพราะอยู่ที่ความหยาบละเอียด ถ้าเต็มที่ก็ต้องเป็นพระสกทาคามี เพราะถ้าเป็นพระอนาคามี ท่านจะไม่ยุ่งอะไรกับใครแล้ว
              อนาคา แปลว่า ผู้ที่ไม่มีบ้านเรือน ผู้ที่ไม่มีครอบครัว
              อนาคาริกะ คือ ไร้ซึ่งบ้านเรือน
              อนาคามี ผู้ที่ไม่ย้อนกลับไปหาเรือน ไม่กลับมาเกิดใหม่แล้ว รอไปนิพพานอยู่ข้างบนอย่างเดียว
*************************

      ถาม :  ถ้าเรานั่งมองพระแล้วมีรัศมีล้อมองค์พระ สักพักหนึ่งเปลี่ยนทรง จะมีความหมายอะไรไหมคะ ?
      ตอบ :  ไม่มีอะไรหรอก ให้ถือเป็นพุทธานุสติเท่านั้น อย่าตีความ เดี๋ยวจะเข้ารกเข้าพงไปกันใหญ่
*************************

      ถาม :  รู้สึกตัวเองแย่ลงค่ะ ?
      ตอบ :  แย่ลงก็ต้องเร่งให้ดีขึ้น ตอนนี้หันไปข้างหลังก็ไม่เห็นต้นทาง มองไปข้างหน้าก็ไม่เห็นจุดหมาย มีอยู่ทางเดียวคือต้องเดินขึ้นหน้าเท่านั้น
*************************

      ถาม :  เพื่อนของโยมคนหนึ่ง เวลาเขาดี ๆ ก็บอกว่าจะไปพระนิพพาน แต่บางทีก็ออกมาด่า ๆ แล้วไปกราบพระใหม่ ?
      ตอบ :  คนปฏิบัติใหม่ ๆ ได้อย่างนั้นก็ดีมากแล้ว เพราะว่าอย่างน้อย ๆ ก็ยังดีที่ชนะความโกรธ ชนะกิเลสได้บ้าง อย่าให้แพ้ตลอด พอไปนาน ๆ สะสมมากขึ้นก็จะชนะมากกว่าแพ้ แล้วก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ
*************************

              “เมื่อครู่ถ้าใครสังเกตตอนอาตมากราบพระ จะเห็นชัด ๆ ว่าเบญจางคประดิษฐ์นั้นคือ เวลากราบมือและศอกต่อเข่า
              ปัจจุบันนี้เห็นหลายคนกราบแล้วมือและศอกอยู่ข้างเข่า อีกประการก็คือกราบไม่ลง ไม่ถึงพื้น จะบอกว่าติดพุงก็ไม่ใช่ เพราะว่าลูกสาวอาตมาน้ำหนัก ๙๓ กิโลกรัม ยังกราบพระได้นิ่มมาก แสดงว่าพุงไม่เกี่ยว
              ปัจจุบันเวลาตั้งโต๊ะหมู่ มักจะมีโต๊ะสำหรับกราบ ถ้าเป็นโต๊ะหมู่ของพระ เขาให้เอาโต๊ะสำหรับกราบออก ฆราวาสน่าจะยังนิยมโต๊ะกราบอยู่ การตั้งโต๊ะกราบทำให้กราบไม่ครบองค์ ๕ ที่แน่ ๆ ก็คือศอกกับหน้าผากไม่ลงพื้น
              เพราะฉะนั้น...ให้เข้าใจไว้เลยนะว่า ถ้าหากตั้งโต๊ะหมู่ก็ให้เอาโต๊ะกราบออก ถ้ามีคนถามก็ชี้แจงเขาด้วยว่า การกราบพระนั้น เรากราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ประกอบด้วยองค์ ๕ เข่า ๒ ศอก ๒ หน้าผาก ๑ ถ้ามีโต๊ะนี่ เราจะกราบได้ไม่ครบองค์ ๕”
*************************

              “ศิลปะของไทยเรามีความประณีตทุกอย่าง แม้กระทั่งพวกโขนละคร โขนละครของเรานี่มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกันไม่ได้มาจากอินเดีย แม้ว่าเนื้อหาในการเล่นจะมาจากรามายณะหรือรามเกียรติ์ของอินเดียก็ตาม
              แต่ว่าโขนละครของเราเป็นภูมิปัญญาของตระกูลขอม พอมาถึงไทยแล้ว เราดัดแปลงจนกระทั่งดูดี ทางด้านเขมรต้องมาเลียนแบบของไทย กลับไปอีกทีหนึ่ง เป็นการส่งผ่านวัฒนธรรมย้อนไปย้อนมา
              ถ้าใครเคยไปเขมร ไปเยี่ยมพระราชวังเขมรินทร์ จะเห็นชัด ๆ เลยว่า เขาถอดแบบพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทไป แต่ว่าฝีมือยังไม่ได้เท่าของเรา
              สมัยเด็กที่เราเรียนกาพย์ห่อโคลงฯ เขาบอกว่า
              จักรีพระที่นั่ง             สามยอดตั้งตรูตาชม
              สำราญสถานสม         สถิตถิ่นปิ่นนรา
              ดุสิตปราสาทตั้ง          พระมนังคะศิลา
              พิมานรัถยา               อุดมอาสน์ราชฐาน”
*************************

              “สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำคทาใหม่ ๆ อาตมายังเป็นฆราวาสอยู่ พอสอนมโนมยิทธิเสร็จ ออกมาจากห้อง มาถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ เห็นท่านใช้คทาแตะคนนั้นแตะคนนี้ อาตมาก็กราบเรียนหลวงพ่อว่า “ขอผมบ้างครับ”
              ท่านฟาดเปรี้ยง...! เสียงสนั่นเลย เสียงสนั่นอย่างกับท่านแกล้งตีลงบนโต๊ะ
              ท่านบอกว่า “เอ็งขอทั้งทีถ้าให้เบา ๆ เดี๋ยวจะหาว่าพ่อขี้เหนียว”
              คนอื่นนึกว่าท่านฟาดโต๊ะ จริง ๆ แล้วท่านฟาดหัวอาตมานั่นแหละ แต่ความรู้สึกตอนนั้นไม่รู้สึกเจ็บเลย รู้สึกพองวูบไปทั้งตัว อยู่ในท่าคุกเข่าก้มห้ว ตัวลอยขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ครั้งนั้นท่านให้เยอะจริง ๆ”
*************************

      ถาม :  พระอัลเลาะห์ ?
      ตอบ :  พระอัลเลาะห์จริง ๆ คือ พระโยนกธรรมรักขิต เป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนา แต่ตอนหลังคนนับถือไปนับถือมาจนเพี้ยน เพราะว่ารอจนกระทั่งประมาณ ๑,๒๐๐ ปีแล้ว ถึงมาเริ่มฟื้นฟูกันใหม่
              แถว ๆ เขตนั้นเขาเรียกว่า โยนก มีในส่วนจองอัฟกานิสถาน จะมีแถวที่เขาเรียก แบกเทรีย ที่เป็นอาณาจักรโบราณ แล้วก็มีทาริม ปัจจุบันสถานที่พวกนี้อยู่ในประเทศที่ลงด้วยคำว่า “สถาน” เยอะแยะไปหมด เช่น อัฟกานิสถาน อุซเบกิสถาน คีร์กิสถาน ฯลฯ
              อัลเลาะห์จริง ๆ มาจากคำว่า “อัลลาฮะ” ก็คือ “อรหันต์”
              เขาออกเสียงได้แค่นั้น เพราะฉะนั้น ถ้าหากเราไหว้พระอัลเลาะห์ถูกตัวจริง ๆ ก็จะเป็นพระอรหันต์ คือพระโยนกธรรมรักขิตตะ
      ถาม :  ทำไมไม่มีรูปแทนองค์พระอัลเลาะห์ ?
      ตอบ :  พระโยนกธรรมรักขิต ท่านตั้งใจว่า ถ้าหากยังมีสิ่งให้ยึด คนจะหลุดพ้นยาก เหมือนกับบอกว่าเราจะไปเชียงใหม่ แต่ยืนกอดเสาอยู่ แล้วจะไปได้ไหมเล่า ? จริงๆ แล้วเป็นเจตนาที่ดีมาก ๆ เลย
*************************

              มีหลายอย่างที่ศาสนาพุทธเข้าไปทางด้านเขา แต่เขาพยายามที่จะทำลายเสียไม่ให้เหลือ เพื่อที่จะเอาศาสนาของตัวเองอย่างเดียว
              อย่างงานศิวาราตรี ที่เขามีการลอยบาป มีการบูชาพระศิวะกัน จำไม่ได้ว่าที่เมืองไหน เขาจะเอาดอกดาวเรืองไปสุม ๆ จนเต็มพระพักตร์พระศิวะเลย เพราะเขาไม่ต้องการให้เห็นว่า คนโบราณเขาแกะสลักพระพุทธรูปเล็ก ๆ ไว้ที่พระนลาตของพระศิวะ
              ท่านที่รู้จริงท่านเอาพระเหนือเทพ แต่ท่านที่นับถือเทพว่ายิ่งใหญ่ที่สุดท่านยอมไม่ได้ แต่คราวนี้จะไปเปลี่ยนแปลงจะไปลบไปอะไร ก็กลัวจะเป็นการลบหลู่เทพเจ้าของตัวเองที่นับถือ ก็เลยใช้วิธีนี้ ถึงเวลามีงานก็เอาดอกไม้ไปสุมไว้เสีย
              ทางด้านนั้นไม่แน่ใจ แต่ว่าบรรดานักปราชญ์สมัยก่อน อย่างสมัยของเพลโต โสเครติส ท่านเดินทางจากทางด้านกรีกมาศึกษาหาความรู้ทางด้านนี้ ก็เลยสงสัยว่าคำสอนของท่านบางอย่างของเขาเมหือนกับศาสนาพุทธของเรา จะบอกว่าวิสัยนักปราชญ์มักคิดอะไรคล้าย ๆ กันก็ใช่ แต่ก็ระแวงว่าท่านเดินทางมาศึกษาแล้วก็น่าจะได้อะไรไปบ้าง
*************************

      ถาม :  เวลาเรามีปัญหา จะทำให้จิตปลอดโปร่งสบาย ๆ อย่างไรดีคะ ?
      ตอบ :  ก็อย่ารับปัญหาเข้ามาทับตัวเองสิ ส่วนใหญ่ที่จิตไม่ปลอดโปร่ง เพราะเรารับปัญหาเข้ามาทับตัวเองเสียเยอะ แบบเดียวกับที่บอกว่าสงสารเขา สงสารไปสงสารมา แบกปัญหาแทนเขา ก็ตายสิครับ
              พระพุทธเจ้าเป็นสุดยอดของศาสดาจริง ๆ พระองค์ท่านสอนให้เรามี เมตตา กรุณา มุทิตาแล้ว ยังสอนหลักธรรมป้องกันไม่ให้เราบ้า นั่นก็คือต้องมีอุเบกขา
              ไม่อย่างนั้นสงสารเขา เมตตาเขาจนเกินประมาณ ช่วยเขาได้แล้วก็มาเครียด มาเศร้า มาเสียใจเอง จะบ้าเสียเปล่า ๆ
              เพราะฉะนั้น...หลักธรรมท่านให้ไว้ ๔ ข้อ ต้องใช้ให้ครบ ถ้าใช้ไม่ครบแล้วเราจะแย่
              ทำตัวเป็นก๊วยเจ็งไปได้ ครั้งแรกก๊วยเจ็งฝึกกำลังภายในอยู่ท่าเดียว พอไปเจอโอว หยางอู่จี้ ลูกศิษย์เฒ่าพิษปัจฉิมซึ่งมีฝีมือเหนือกว่า โอวหยาง อู่จี้ไปดูมาเห็นก๊วยเจ๋งเป็นอยู่ท่าเดียว จึงจัดการเสียน่วมเลย
              เพราะฉะนั้น...ต้องฝึกใช้ให้ครบ ๔ อย่าง ถ้าไม่ครบ ๔ นี่กิเลสอัดเราน่วมแน่
      ถาม :  บางทีก็ยังทำไม่ได้ ?
      ตอบ :  ทำไม่ได้ก็พยายามต่อไป จริง ๆ แล้วทั้งหมดสำคัญตรงสมาธิ
              วันนี้บอกกับโยมที่ไปปฏิบัติที่วัดท่าซุงมาว่า ไปมาหลายวัน อารมณ์ใจทรงตัว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ระมัดระวังรักษาอารมณ์เอาไว้ อย่าให้รั่ว พูดแค่ที่จำเป็น
              ไม่อย่างนั้นกำลังที่เราสั่งสมเอาไว้จะรั่วออกทางวาจาหมด แล้วก็ไม่พอใช้ในการตัดกิเลส ไม่พอใช้ในการดึงตัวเองขึ้นมาให้สูงจากสภาพปกติตรงนั้น
              ในเมื่อจิตใจเราไม่ได้สูงกว่าเขา ถึงเวลาไปรับภาระมากก็ทับเราแบน ถ้าหากว่าสภาพจิตใจสูงกว่า คือความเข้มแข็งมีมากกว่า เท่ากับว่าเรายึดคอพ้นขึ้นมาแล้ว อย่างน้อย ๆ หนักแค่ไหนก็ยังหายใจได้ ถ้าตอนนี้ดีที่สุดก็คือไม่รับเลย กองเอาไว้ตรงนั้นแหละ
              ระวังให้มาก พวกเราส่วนใหญ่เสียตรงปาก พอถึงเวลาก็โม้กระจาย กำลังที่สั่งสมไว้ก้ไปกับปากหมด เพราะกำลังนี้จะรั่วออกทางตา ทางหู ทางจมู ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ รั่วทุกรูเลย
              พระพุทธเจ้าถึงสอนว่า ถ้าหากว่าจะจับเหี้ยในจอมปลวก เราต้องอุดรูไว้ ๕ รู เหลือแค่รูเดียว นั่งเฝ้าไว้เดี๋ยวเหี้ยก็ออกมาให้เราจับเอง
              ดังนั้น...ให้ปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย ระวังใจอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นเด็กภาวนาจับเหี้ยกินไม่ได้หรอก ถ้าเปิดเอาไว้หลายรู เหี้ยก็หนีออกได้ทุกรู
*************************

              “ทางศาสนาฮินดูที่ปฏิบัติตามหลักโยคะ จะมีช่วงหนึ่งที่เขาเรียกว่า วานปรัสถ์ คือช่วงที่ออกป่าเพื่อแสวงหาธรรม
              ศาสนาฮินดูนี้เหมือนเป็นข้อบังคับไปในตัวว่า เมื่อบรรลุธรรมแล้วให้กลับมาสอนคนอื่น เขาจะมีวัยต้น เรียกว่า พรหมจารีย์
              วัยถัดมาคือ คฤหัสถ์ วัยครองเรือน
              วัยถัดมาคือ วานปรัสถ์ ผู้ออกป่า
              วัยถัดมาคือ สันยาสี กลับมาเป็นอาจารย์สอนคนอื่น หลักการเขาดีมาก
              การแสวงหาโมกษะ คือ ความหลุดพ้นตามความเข้าใจของเขา โดยการไปอยู่กับปรมาตมัน (ตัวตนผู้เป็นใหญ่) ส่วนใหญ่เขาหมายถึงพรหมไม่ใช่การหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน”
*************************

      ถาม :  การบรรลุธรรมของบางท่านที่ปฏิบัติแล้วเข้าถึงอรหัตผลเลย กับบางท่านที่ต้องผ่านเป็นขั้นเป็นตอนไป อย่างนี้เป็นเพราะอะไรครับ ?
      ตอบ :  เป็นจริตนิสัยที่สร้างมาเป็นการเฉพาะของแต่ละคน
*************************

      ถาม :  อยากจะร้องไห้ วนอยู่สิบรอบกว่าจะมาถึงที่นี่ มือถือก็เสีย โทรถามทางไม่ได้ ?
      ตอบ :  ไม่เป็นไร ถือว่าทดสอบกำลังใจ แต่ไม่ผ่าน...! แล้วมาถึงนี่ได้อย่างไร ?
      ถาม :  จอดแล้วก็ถามทาง จอดแล้วก็ถามทาง ?
      ตอบ :  ถ้าทำอย่างนั้นตั้งแต่รอบแรกก็มาถึงแล้ว นิสัยไม่ถามทางเป็นนิสัยผู้ชาย เพราะผู้ชายมีศักดิ์ศรีค้ำคออยู่ แต่ไม่ใช่อาตมา
              อาตมาถือภาษิตโบราณว่า หนทางอยู่ที่ปาก ไปไหนไม่รู้จักทางก็ถามดะ ถามเองด้วย เพราะเวลาพระถามเขาจะตั้งใจตอบ
              ไม่เป็นไร...จะได้รู้ว่า ที่ปฏิบัติมายังไม่พอใช้งาน พอกระทบยังกำเริบได้ง่าย
      ถาม :  อุตส่าห์ดีใจว่าเมื่อคืนมีเทวดามาคุม นึกว่าท่านจะมาคุมเราให้มาบ้านวิริยบารมีได้สบาย แต่ที่ไหนได้...?
      ตอบ :  ที่แท้มาหลอกให้เราหลงทาง ตอนนี้เชื่อหรือยังว่า เจออะไรเชื่อไม่ได้สักอย่าง
              คิดดูแล้วกันว่า เขาบอกให้ไปขุดสมบัติตรงนั้น มีภูมิประเทศอย่างนั้น มีเครื่องหมายอย่างนั้น ตรงหมดทุกอย่าง แต่พอไปถึง ขุดแล้วไม่เจออะไร
              เขามาใหม่ก็บอกว่า ตอนนั้นทำพิธีไม่ถูก ไปเวลาไม่ถูก อาตมาก็ไปใหม่ พอครั้งที่ ๓ ไม่ไปแล้ว เขาโผล่หน้ามา อาตมาบอกว่า “ถ้าจะให้ ก็เอาไปจำหน่ายเอง จากนั้นโอนเงินเข้าบัญชีมาถึงจะรับ...!”
              ตั้งแต่นั้นมาไม่มีเทวดาที่ไหนมาทดสอบอย่างนี้อีกเลย เพราะว่าท่านต้องเอาของไปจำหน่ายเอง โอนเข้าบัญชีเองอีกต่างหาก โดนไป ๒ ครั้งก็พอแล้ว
              ทุกอย่างใช่หมด ยกเว้นของที่เขาจะให้นั้นไม่ใช่ จะบอกว่ารู้ไม่ตรงก็ไม่ใช่ แค่จะหลอกให้เสียเวลา ต้องบอกว่ากำลังใจของเรายังเชื่อไม่ได้ จนกว่าจะผ่านข้อทดสอบที่แท้จริง พอทดสอบเข้าไปจริง ๆ ก็เพิ่งจะรู้ว่าไม่ผ่าน
*************************

      ถาม :  ญาติธรรมคนหนึ่งอยู่สระบุรี เป็นโรคอะไรก็ไม่รู้คันไปทั้งตัว เดี๋ยวก็คันตรงนั้น คันตรงนี้ ?
      ตอบ :  ให้เขาเอาน้ำมันชาตรีมาอธิษฐานกิน น้ำมันชาตรีกินได้เพราะเป็นน้ำมันงา กินช้อนเดียวก็พอแล้ว ถ้าไม่เกรงใจจะกินหมดขวดก็ได้...!
*************************

              “พออายุมากขึ้น ร่างกายจะเริ่มสะสมไขมัน เมื่ออายุมากขึ้น การทำมาหากินไม่คล่องตัวเหมือนกับหนุ่มสาว ก็ต้องสะสมไว้ เผื่ออด
              ในเมื่อพวกเราไม่อยากสะสมก็ต้องใช้ให้หมด แต่สิ่งที่เราใช้ไม่มากเท่ากับที่กิน ก็เลยเหลือ มีอยู่ ๒ อย่าง คือกินให้น้อยลง หรือใช้ให้มากขึ้น
              ไม่ต้องไปเข้าสำนักออกกำลังหรอก กวาดบ้านถูบ้านทำไปเถอะ กินเช้า ลดกลางวัน งดเย็น เพราะว่าส่วนใหญ่ที่เน้นกินคือมื้อเย็น กินแล้วไม่ได้ใช้งาน ร่างกายเก็บสะสมไว้ทุกวันก็เลยอ้วน”
      ถาม :  ฝันเห็นช้าง ?
      ตอบ :  ถ้าฝันว่าขี่ช้าง แปลว่างานใหญ่จะสำเร็จ
      ถาม :  หนีช้าง ?
      ตอบ :  ถ้าฝันว่าหนีช้าง ก็พิจารณาว่าติดหนี้หรือติดการบนที่ไหนหรือเปล่า ?
*************************

      ถาม :  นั่งสมาธิแล้วไปหยุดอยู่ที่ตัวโยกโคลง ไปต่อไม่ได้ครับ ?
      ตอบ :  ปล่อยให้เต็มที่ แล้วอาการโยกโคลงจะเลิกไปเอง ถ้าหากเราไปกลัวไปอาย ก็จะเป็นไม่เลิก ถ้ารู้จักสังเกตจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วใจตอนนั้นนิ่ง เรามีหน้าที่รับรู้อย่างเดียว ปล่อยให้ดิ้นตึงตังโครมครามให้เต็มที่ไปเลย แล้วกำลังใจจะผ่านไปทรงฌานได้ อาตมาติดอยู่ตรงนี้ ๓ เดือนกว่า ดิ้นทุกวัน ดิ้นจนคนอื่นเขาตกใจกลัวว่าบ้านจะพัง อย่ากลัวและอย่าอายคน ปล่อยเต็มที่ไปเลย คิดว่าถ้าจะเป็นอย่างไรก็เป็นไป
*************************

      ถาม :  ถ้าเราทำเรื่องเบิกเงินนอกเวลาไว้วันนี้ แต่วันนี้ไม่ได้ทำงาน วันหลังมาทำชดใช้ จะผิดหรือไม่คะ ?
      ตอบ :  ถ้าเอาไปโดยไม่ชดใช้จะผิด ถ้าเรามาทำชดใช้ก็ไม่เป็นไร แต่อย่าตายก่อน...! ถ้าตายก่อนก็ผิดเต็ม ๆ เพราะว่ายังไม่ได้ทำงานให้เขา
      ถาม :  ถ้าก่อนหน้านี้เราทำไปแล้ว แต่ไม่ได้ตั้งใจจะเบิก ถ้าเราไปเบิกย้อน ?
      ตอบ :  ถ้าไม่ได้ตั้งใจเบิกไว้ก่อน ไปเบิกทีหลังถือว่าไม่ถูกต้อง ต้องตั้งใจเบิกแล้วมาเบิกรวมกันทีหลัง
*************************