“มีอยู่วันหนึ่งตอนฉันอาหาร อาตมาก็จิ้มอาหารใส่ปาก ท่านกอล์ฟก็จิ้มใส่ปาก หลวงตาปรีชาเห็นสองคนแย่งกันจิ้มอาหารก็เาอบ้าง พอใส่ปากหลวงตาปรีชาร้องว่า “หือ...มันบูดแล้วนี่อาจาย์ ?”
“ก็ผมไม่ได้บอกว่าดีนี่หว่า...!”
ถาม : ต้องฉันหรือครับ เพราะบูดแล้ว ?
ตอบ : ฉันให้รู้ว่ากินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกิน
พระรัฐบาลเถระท่านก็ฉันอาหารบูด นางทาสีจะเอาอาหารทิ้งแล้ว เดินมาที่ประตูรั้ว พระรัฐบาลเถระท่านก็บอกว่า
“ภคินี…ดูก่อนน้องหญิง ถ้าเธอจะทิ้ง ก็เทใส่บาตรของเราก็แล้วกัน”
แล้วท่านก็นั่งฉัน พ่อมาเห็นนี่แทบจะร้องไห้ ลูกมหาเศรษฐีมากินของบูด..!
หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะปลงพระเกศา อธิษฐานเพศเป็นนักบวช พอบิณฑบาตครั้งแรกออกไปนอกหมู่บ้านแล้ว ปูอาสนะนั่งลง เปิดบาตรเห็นอาหาร ท่านรู้สึกว่าเหมือนไส้จะพลิกกลับออกมาข้างนอก ก็คืออยากจะอาเจียนเดี๋ยวนั้น
เสร็จแล้วท่านก็พิจารณาว่า การที่เราตั้งใจออกบวชเพื่อปฏิบัติธรรมนั้น ความยากลำบากทั้งหลายมากกว่านี้หลายเท่านัก ถ้าอาหารอย่างนี้ยังฉันไม่ได้ แล้วจะไปประพฤติธรรมได้อย่างไร ?
อย่าลืมตอนนั้นท่านยังไม่ใช่พระพุทธเจ้านะ ท่านยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ยังไม่ได้ตรัสรู้
ท่านอยู่แบบสุขุมาลชาติ มีปราสาท ๓ ฤดู อาหารวิเศษแค่ไหนก็มีให้ แล้วต้องไปกินอาหารของชาวบ้าน อย่างนางปุณทาสีมีแป้งจี่ใส่ชายพกมา แป้งจี่ก็คือโรตีนี่แหละ พระพุทธเจ้าท่านรับมาก็นั่งเสวย
“คงจะมีการพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ประมาณต้นปี้หน้า
เพราะการจะสร้างพระเมรุมาศได้ต้องใช้ความละเอียดอ่อนมาก กินเวลามาก โดยเฉพาะคนออกแบบจะกลุ้มใจมาก ออกแบบหลายครั้งชักจะหมดมุก ไปไม่เป็น
คุณอาวุธ เงินชูกลิ่น ท่านบอกว่าพวกรูปยักษ์ รูปกินรี รูปเทวดาที่ประดับตามมุมเมรุ ตามหัวเสา ของเก่ายังพอซ่อมมาใช้งานได้ ก็แปลว่างานน้อยลงนิดหนึ่ง
อย่างสมัยพระศพของสมเด็จย่า กระดาษที่ใช้ประดับเมรุหลายอย่าง ก็สั่งซื้อมาจากต่างประเทศโดยเฉพาะ
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม้จันทน์ที่ทำโกศ หาได้ยาก เพราะบ้านเราไม้จันทน์เป็นไม้หวงห้าม ไม่ทราบเหมือนกันว่าบ้านเรามีการแบ่งไม้จันทน์หรือเปล่าว่ามีกี่ชนิด ?
ไม้หอมของไทยก็จะมี ไม้จันทน์ ไม้กฤษณา ไม้เทพทาโร
ถ้าต้นกฤษณาเชื้อราไม่ลง ก็จะไม่เกิดน้ำมันหอม ถ้าต้นได้รับบาดเจ็บ ก็จะสร้างน้ำมันไปรักษาตัวเอง
คนรุ่นใหม่ที่ปลูกต้นกฤษณาก็เลยใช้วิธีฟันต้นให้เป็นแผล หรือไม่ก็ตอกตะปู ถึงเวลาเชื้อราลงก็จะได้เนื้อไม้ที่มีกลิ่นหอม แต่ว่าดมตอนนั้นก็ไม่หอม ต้องเอาไปผ่านไฟ พอโดนความร้อนเข้าถึงจะคลายกลิ่นหอมออกมา
ส่วนไม้เทพทาโรนั้นกลิ่นหอมเหมือนกับตะไคร้ ใครเคยได้กลิ่นตะไคร้หอมบ้าง ? บางคนเขาเรียกตะไคร้ต้นเลย ไม้เทพทาโรจะมีทางปักษ์ใต้เยอะ
แต่ที่ไปประเทศพม่า เขามีไม้หอมมากกว่าเรา เฉพาะไม้จันทน์อย่างเดียว พม่าเขามีถึง ๓ ชนิด จะมี ไม้จันทน์ขาว ไม้จันทน์แดง และไม้จันทน์หอม
จันทน์ขาว เขาเรียก นัตตะพิว
จันทน์แดง เรียก นัตตะนี
จันทน์หอม เรียก ซันดากู
อาตมาไปที่เมืองสุกุ๊ เขาบอกว่าค้นพบร่องรอยของคันธกุฎีของพระพุทธเจ้า ที่มีอุบาสก ๒ พี่น้อง คือมหาปาลและจุลปาล สร้างถวายพระพุทธเจ้าด้วยไม้จันทน์
เรื่องคันธกุฎีเองอาตมาสงสัยมานานมากแล้ว ถ้าโยมเจอไม้จันทน์แท้จะรู้ว่ากลิ่นฉุนขนาดไหน ไม่ใช่หอมเฉย ๆ นะ แต่ฉุนเลย แล้วเอามาสร้างกุฎิจะไปนอนไหวหรือ ?
ปรากฎว่าพอไปพม่าที่เมืองสุกุ๊ เขากำลังสร้างคันธกุฎีถวายพระพุทธเจ้า คือเขาสร้างครอบหลังเก่าที่ค้นเจอ
เขามีประวัติศาสตร์ว่า ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่พม่า แล้วเศรษฐี ๒ พี่น้อง คือมหาปาลกับจุลปาลสร้างคันธกุฎีถวายพระพุทธเจ้า คราวนี้ด้วยความที่ว่าสร้างด้วยไม้ นาน ๆ ไปก็ผุพัง พอเขาค้นซากเจอ พม่าก็เลยเร่ิมสร้างใหม่ โดยใช้ไม้จันทน์หอมคือไม้ซันดากู
พออาตมาไปถึงเขาก็เอาไม้จันทน์หอมมาให้ดู ลองดมแล้วถึงรู้ว่า ไม้อย่างนี้แหละที่สร้างคันธกุฎีได้จริง ๆ เพราะว่าเป็นกลิ่นหอมเย็น ๆ หอมอ่อน ๆ หอมคล้าย ๆ ธูปหอมบางประเภท ไม่ได้หอมฉุนแบบจันทน์หอมที่เรารู้จัก
ถ้าน้ำมันจันทน์ที่เรารู้จัก บางทีหยดเดียวกลิ่นตลบไปทั้งห้องเลย แล้วก็ฉุนมาก ถ้าไม้จันทน์หอมของพม่านี้ กลิ่นหอมอ่อน ๆ แบบหอมชื่นใจ ถ้าอย่างนั้นเอามาทำเป็นกุฏิอยู่ได้
ส่วนไม้จันทน์แดงนั้น บางทีคนจีนเรียก ไม้จันทน์ม่วง เพราะไม้จันทน์ประเภทนี้มีคุณภาพประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือยิ่งใช้จะย่ิงสีเข้มขึ้นเรื่อย ๆ จากตอนแรก ๆ ที่เห็นสีแดงอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือยิ่งใช้จะยิ่งสีเข้มขึ้นเรื่อย ๆ จากตอนแรก ๆ ที่เห็นสีแดงถนัดเลยพอใช้ไปก็จะดำเข้มขึ้น ๆ จนเหมือนกับสีม่วงดำ คนจึนเขาจึงเรียกว่าไม้จันทน์ม่วง
แล้วก็ยังมีไม้อย่างทานาคา ไม้ทานาคานี้เป็นไม้หอมที่เขานำมาทำเครื่องสำอาง ทาหน้าทาตัวทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย เขาใช้กันทั้งประเทศ
ถึงเวลาอาตมาเดินไปนึกว่าร้านขายฟืน เพราะว่าเขาวางขายเป็นท่อน ๆ เรียงเป็นตับ แล้วก็มีจานสำหรับฝน ลักษณะคล้าย ๆ โม่หิน เอาไว้ฝนทาหน้า ดูท่าจะได้ผลดี เพราะที่ไปพม่ามา ๕ - ๖ ปี ไม่เคยเจอคนพม่าเป็นสิวเลย ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีคุณภาพป้องกันสิวได้หรือเปล่า ?
ยังมีไม้ตองดานกะโด ไม่แน่ใจว่าประเทศไทยเรามีหรือไม่ ? ถ้าตามชื่อมันเป็นไม้ภูเขาชนิดหนึ่งเป็นไม้หอมเหมือนกัน แล้วก็มีกาละแม็ด กาละแม็ดนี้น่าจะเป็นกฤษณาของบ้านเรา”
*************************
“อาตมาไปรู้จักคุณละเมี้ยตอ่อง เป็นเจ้าของร้านขายของที่ระลึกที่สร้างจากไม้จันทน์ คุณละเมี้ยตอ่องบอกว่า เขาจะพยายามสั่งไม้จันทน์จากอินเดีย เพราะว่าไม้จันทน์พม่าคุณภาพดีกว่าไทย
ถามคุณละเมี้ยตอ่องว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? เพราะเขามีประสบการณ์คลุกคลีกับไม้จันทน์มา ๓๐ - ๔๐ ปี
คุณละเมี้ยตอ่องบอกว่า ไม้จันทน์เกิดมาเพื่อเป็นพุทธบูชา ยิ่งใกล้พุทธภูมิมากเท่าไร กลิ่นหอมจะมากเท่านั้น เพราะฉะนั้น...ไม้จันทน์อินเดียจะหอมที่สุด
ถัดจากอินเดียมาก็เป็นพม่า จะหอมน้อยลงมา ถึงเมืองไทยก็หอมน้อยลงไปอีก ก็แปลว่ายิ่งไกลจากอินเดียก็ยิ่งหอมน้อยลง
สมัยโบราณตอนอาตมายังเด็กอยู่ เวลาเขาจะออกไปไม้จันทน์ พวกพรานหรือผู้ใหญ่ที่เขาเดินป่าเก่ง ๆ รู้จักต้นไม้เขาจุดธูปที่มีส่วนผสมของไม้จันทน์ ควันธูปลอยไปทางไหน ก็เดินไปทางนั้น ไม่ทราบว่าดึงดูดกันได้อย่างไร แต่ก็ได้ผล หาไม้จันทน์เจอทุกครั้ง
พอไปจนกระทั่งไม่แน่ใจแล้วว่าไปทิศไหนต่อ ก็จุดธูปใหม่ ควันธูปลอยไปทางไหนก็เดินต่อไป พาไปหาต้นไม้จันทน์ได้อย่างไรก็ไม่รู้ ฟังดูเหมือนไสยศาสตร์ แต่ว่าถ้าทางวิทยาศาสตร์นี้บอกว่าโมเลกุลของไม้ดึงดูดกัน”
*************************
เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนตุลาคม ๒๕๕๔
ถาม : ทำไมพระในสมัยพุทธกาลท่านชอบเข้านิโรธสมาบัติคะ ?
ตอบ : เพราะเข้าแล้วสบาย
ถาม : สมัยนั้นทุกข์มากเลยเหรือคะ ?
ตอบ : ด้วยความที่จิตท่านละเอียดมาก ท่านจึงเห็นความทุกข์อย่างชัดเจน ในเมื่อรู้เห็นชัดเจน ก็เท่ากับว่ารับทุกข์มากกว่าคนอื่น จึงรู้สึกทุกข์มากกว่าคนอื่น
ถาม : สมัยนั้นเหมือนกับสมัยนี้หรือไม่คะ ?
ตอบ : สภาพร่างกาย หิวกระหาย ร้อนหนาว เจ็บไข้ได้ป่วย สกปรกโสโครกเหมือนกันหมดนั่นแหละ จะยุคไหนสมัยไหนก็เหมือนกัน มีสภาวทุกข์ (ทุกข์ตามสภาพ) เหมือน ๆ กัน
มีปกิณกทุกข์ (ทุกข์เล็กน้อยทั่วไป) เหมือน ๆ กัน
มีนิพัทธทุกข์ (ทุกข์ประจำ) เหมือน ๆ กัน
*************************
“ครอบครัวถ้าคิดที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ บางครั้งก็ต้องมีความลับเล็ก ๆ ต่อกัน อย่างเราบอกเขาว่าไปวัด เขาก็บ่นว่าเรา ถ้าเราบอกว่าไปเที่ยวก็จบ ไปเที่ยวกับเพื่อน ๓ วันนะ นี่เป็นศิลปะในการดำรงชีวิตที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า
สิปปัญจะ เอตัมมะคะละมุตตะมัง การมีศิลปะ จัดเป็นอุดมมงคล
นอกจากศิลปะที่เป็นความรู้ในการหาเลี้ยงชีพแล้วยังมีศิลปะในการเอาตัวรอด ศิลปะในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น และท้ายสุดก็คือ ศิลปะในการต่อสู้เพื่อให้พ้นจากกิเลส พระพุทธเจ้าท่านหมายเอาหลักธรรม เราก็ดึงฟ้าต่ำลงมานิดหนึ่งเอาเรื่องทางโลกปน ๆ ไปหน่อย”
*************************
ถาม : ได้มาจากฝั่งลาว ใช่ข้าวสารกลายเป็นหินหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่…โดนเขาหลอกแล้ว นี่เป็นพระธาตุสีวลี
ถาม : นึกว่าเป็นหินงอกหินย้อย เกือบจะเอามะนาวทดสอบสารละลายแคลเซียมแล้วค่ะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่า พระธาตุเทพนิมิต แบบเดียวกับที่คนเราสร้างพระเครื่องไว้บูชา เทวดาก็สร้างพระธาตุไว้บูชาเหมือนกัน ก็ต้องนิมิตเอาจากสิ่งธรรมชาติรอบ ๆ ข้าง
ตอนนั้นพาทิดตู่ที่ยังเป็นเณร ไปถ้ำที่มีพระธาตุ เขาเห็นก็ติดใจเพราะสถานที่เย็นมาก พอกลับมาเขาก็พาโยมกลับไปใหม่ แล้วก็ไปโกยพระธาตุใส่ถุงมา
มีโยมคนหนึ่งชื่อตาธูป สมัยแรก ๆ ก็มาทำงานเป็นช่างไม้ช่างปูนอยู่ที่เกาะพระฤๅษี ตอนเดินกลับตาธูปรู้สึกเสียวสันหลัง เลยหันกลับไป จึงเห็นว่าระหว่างที่เดินออกมา มีรอยเท้าเหยียบตามมาด้วย มีแต่รอยนะ ...ไม่เห็นตัว
ตาธูปขวัญหนีดีฝ่อ ในที่สุดนึกขึ้นได้ว่า โบราณบอกว่าถ้าเจ้าของหวงก็ให้ซื้อเขา ตาธูปเลยล้วงเงินหมดตัว มีเท่าไรก็ขอซื้อ แต่ทิดตู่ไม่ได้ขอซื้อ เลยโดนยันตกเขาอยู่คนเดียว...เกือบตาย...!
*************************
ถาม : พระหลวงปู่ปานองค์นี้เป็นของที่ไหน ?
ตอบ : คุณไม่ต้องสงสัยหรอก พระของหลวงปู่ปานจะจริงจะปลอม จะแท้จะเทียม ท่านให้พรไว้ว่า
ถ้านึกถึงท่าน อานุภาพเท่ากันหมด นึกถึงท่านก็ใช้ได้แล้ว
คาถาปลุกคือ อิทธิฤทธิพุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด
*************************
“พระราหุลเป็นเอตะทัคคะทางใคร่ในการศึกษา ตอนเช้า ๆ ท่านไปล้างหน้า ก็จะกอบทรายที่ริมน้ำขึ้นมาอธิษฐานว่า
”วันนี้ขอให้ได้ข้อธรรมคำสอนจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเหล่าพระเถระทั้งหลายมากเท่าจำนวนเม็ดทรายในกอบนี้”
อธิษฐานอย่างนั้นทุกวัน ฉะนั้น...ความใฝ่ในการศึกษา เป็นปฏิปทาเฉพาะตัวของท่าน
พระราหุลเป็นพระที่ปรินิพพานไม่เหมือนใคร ท่านไปปรินิพพานบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทวดาจึงต้องทำศพให้”
*************************
ถาม : เป็นมะเร็งเต้านมค่ะ ?
ตอบ : ต้องไปนั่งกรรมฐานเยอะ ๆ เพราะมะเร็งที่เกี่ยวกับระบบอวัยวะสืบพันธุ์ทุกอย่างของผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ เกิดจากความเครียด แล้วทำให้ฮอร์โมนแปรปรวน ถ้าหากไม่เครียดก็จะหายไปเอง
ขอยืนยันว่าจริง พระามีโยมคนหนึ่งตั้งใจจะไปตายที่วัด ไปสวดมนต์ทำวัตร ปฏิบัติกรรมฐานอยู่ ๔ เดือน มะเร็งหายไปเฉยเลย
ไปหาหมอให้ตรวจ หมอถามว่าไปทำอะไรมา โยมเขาก็บอกตามความจริง
หมอบอกว่าใช่เลย แต่คนอื่นเขาสู้ไม่ได้อย่างนั้น คือคนอื่นติดทำมาหากิน และไม่สามารถจะบังคับตัวเองให้นั่งสมาธิได้ แต่นั่นเขาตัดใจว่าเขาจะไปตายแล้ว ขอไปตายที่วัด
ในเมื่อตัดใจ ไม่มีห่วงไม่มีกังวล ๔ เดือนผ่านไปมะเร็งก็หายไปเอง ทั้ง ๆ ที่หมอบอกว่าอยู่ได้อีกไม่เกินครึ่งปี
แล้วหมอก็อธิบายบอกว่า มะเร็งที่เกิดจากการที่ฮอร์โมนร่างกายแปรปรวนจากความเครียด...ถ้าไม่เครียดก็หาย
*************************
ถาม : บริวารหายาก ตอนนี้ก็แก่แล้วด้วยค่ะ ?
ตอบ : เรื่องบริวารให้บนเสด็จในกรมหลวงชุมพร บอกท่านว่าขอคนให้มาช่วยงาน เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์และขยันขันแข็ง ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์หาให้ แล้วเราจะถวายสังฆทานให้ท่าน
ถาม : ถวายที่ไหนคะ ?
ตอบ : ที่วัดไหนก็ได้ ถวายเป็นสังฆทานก็แล้วกัน ถ้ามีคนลักษณะนั้นมาแล้ว การค้าของเราจะไม่มีปัญหา เพราะเขาช่วยเราได้
*************************
ถาม : ทำอย่างไรจะค้าขายดีคะ ?
ตอบ : ขายถูก ๆ สิ ขายแพงใครเขาจะซื้อเล่า ? ลดราคาให้ต่ำกว่าคนอื่นหน่อยก็ขายดีไปเอง
ถาม : ขายถูก ๆ ก็เหนื่อยอีก ต้องใช้น้ำมันไปส่งไกล ?
ตอบ : บางปั๊มเติมแก๊สทุก ๑๐๐ บาท แถมน้ำขวดหนึ่ง อย่างอาตมาเติมทีหนึ่งก็ได้น้ำ ๕ - ๖ ขวด
ส่วนอีกปั๊มหนึ่งนอกจากแถมน้ำร้อยละขวดแล้ว ยังลดราคาอีกลิตรละ ๒๐ สตางค์ เกี่ยงกันตรง ๒๐ สตางค์นี่แหละ อาตมาไปเข้าปั๊มลดราคาดีกว่า เห็นไหมว่าเขาลดแค่ ๒๐ สตางค์ แล้วได้ลูกค้าเยอะขึ้นเยอะเลย
*************************
ถาม : เปิดร้านนวดแล้วร้านเงียบค่ะ จะทำอย่างไรดี ?
ตอบ : เอาคาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุงไปนั่งภาวนา ยิ่งเงียบยิ่งดี ฉันจะได้ภาวนาให้เยอะ ๆ เดี๋ยวลูกค้าก็ประดังเข้ามาเอง
*************************
“ครูบาวิฑูรย์แลดูแข็งแรงแล้ว ฟื้นตัวได้เร็ว คนหนุ่มได้เปรียบ ถ้าอาตมาโทรมขนาดนั้นคงร่วงไปแล้ว”
ถาม : ครูบาไม่ได้ฉันอาหาร ๗ วัน โทรมมากเลยหรือคะ ?
ตอบ : ครั้งนี้ท่านเข้ากรรมฐาน ๙ วัน พอออกมา กำลังจะทรงกายยังไม่ค่อยจะมีเลย ดูท่าก็รู้ บอกให้คนเอายาดมให้ก่อน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวท่านจะเป็นลม
เวลาอยู่ในสมาธิจะไม่เป็นอะไร แต่พออกจากสมาธิมา อาการเวทนาทุกอย่างจะรับรู้หมด
อย่างตอนที่อาตมาเข้ากรรมฐานอยู่สามวัน พอคลายกำลังใจออกมา ในท้องอย่างกับไฟไหม้เลย แสดงว่าร่างกายหิวมาก แต่ตอนที่อยู่ในสมาธิเราไม่รับรู้
เรื่องอย่างนี้ถ้าคนไม่ชำนาญจริง ๆ จะไม่สามารถประคองตัวจนงานเลิกได้ จะเสียภาพพจน์ เพราะกำลังใจเวลาคลายออกมา จะคลายหมดเลย
ถ้ารู้ว่าได้เวลาเลิกงานแล้ว ร่างกายจะไม่เอากับเราเลย สั่งอย่างไรก็ไม่เล่นด้วยแล้ว ก็หงายแผ่ขายหน้าชาวบ้านเขา อย่างอาตมานี่ไปนอนแผ่ลับหลังดีกว่า ต่อหน้าคนอื่นต้องทำเก่งไว้ก่อน
ถาม : อยู่ในธรรมปีติ ไม่ใช่กำลังสมาธิ ?
ตอบ : ถ้าอยู่ด้วยธรรมปีติ ไม่ใช่กำลังสมาธิอย่างเดียว
ธรรมปีติจะอาศัยสภาพของสมาบัติปรับร่างกายไปด้วย จะดึงธาตุดินน้ำลมไฟรอบข้างไปใช้งานเอง เป็นการกินเป็นปกติ แต่กินทางผิวหนังไม่ได้กินทางปากเทานั้น อธิบายไปก็บ้า เพราะว่าคนฟังทำไม่ได้
*************************
“จำไว้ว่า...ในเมื่อร่างกายไม่ใช่ของเรา เราก็ต้องบังคับมันได้ อย่าให้มันบังคับเรา ถึงร่างกายบอกว่าไม่ไหว เราก็จะไป เดี๋ยวมันก็ต้องไปตามเราเอง”
*************************
“น้านิล (คุณนิลประไพ บุญ-หลง) เป็นน้องสาวคนเล็กของหลวงปู่มหาอำพัน สมัยที่อาตมาไปปรนนิบัติดูแลรับใช้หลวงปู่ได้เจอน้านิล
แหวนจักรพรรดิทองคำของวัดท่าซุงที่อาตมาพกติดตัวอยู่ น้านิลเป็นคนถวาย เพราะตอนนั้นราคาแหวนจักรพรรดิสำหรับฆราวาสราคา ๖,๖๐๐ บาท
ส่วนพระ...หลวงพ่อท่านคิดเฉพาะต้นทุนแค่ ๒,๒๐๐ บาท แต่ห้ามใช้สิทธิ์แทนกัน เพระาท่านถือว่าให้สิทธิแก่พระเป็นพิเศษแล้ว
แหวนจักรพรรดิเป็นวัตถุมงคลชิ้นเดียวที่หลวงพ่อท่านบอกว่า พระควรจะมีติดตัวไว้ ถามเหตุผลแล้วหลวงพ่อบอกว่า
แหวนจักรพรรดิจะให้ผลในการสงเคราะห์บริวารมาก ถ้าหากว่าต่อไปพวกเราออกไปรับผิดชอบงานพระศาสนาในที่ใดก็ตาม ต่อให้มีบริวารมากขนาดไหน ก็จะมีปัญญาเลี้ยวเขา
สมัยนั้นราคา ๒,๒๐๐ บาท สำหรับอาตมาถือว่าแพงมาก ไม่มีปัญญาจะบูชา คุณน้านิลประไพก็เลยตัดสินใจควักกระเป๋าจ่ายแทน นี่เขาเพิ่งส่งข่าวมาว่าคุณน้าท่านเสียแล้ว
น้องสาวของหลวงปู่มหาอำพันมีคุณน้าดวงตา คุณน้าส่าหรี คุณน้านิลประไพ
คุณน้าดวงตาถึงเวลาก็จะซื้ออาหารมาถวาย สมัยนั้นธนบัตรที่ใหญ่ที่สุดในบ้านเราคือ ธนบัตรใบละ ๕๐๐ บาท ถ้าคุณน้าดวงตาซื้ออาหารแล้ว ใช้ธนบัตร ๕๐๐ บาทไม่หมด ก็จะเซ็งมาก น้าต้องใช้ให้หมด ก็เลยไปเที่ยวเสาะหาอาหารแพง ๆ ประเภทกุ้งล็อบสเตอร์มาถวาย
น้าดวงตาสรุปว่า “พระเล็กเลี้ยงยาก ซื้ออะไรมาก็ไม่ค่อยจะฉัน”
หันมาอีกทีเห็นอาตมาฉันผักบุ้งไฟแดงอยู่ น้ายิ่งโกรธใหญ่เลย ซื้อของแพงมาไม่กิน กินแต่ของถูก ๆ ข้างทาง
ตระกูลหลวงปู่ท่านเป็นตระกูลผู้ดีเก่า จะรู้จักแหล่งอาหารที่เป็นพวกของแพง ประเภทไข่เจียวจานละ ๖๐๐ บาท มีใครเคยกินกุ้งมังกรบ้างไหม ?
เคี้ยวยางรถยนต์ยังดีกว่าตั้งเยอะ...! เหนียวอย่างบอกใคร กว่าจะหั่นออกมาได้ แทบต้องใช้อีโต้จาม...! อะไรที่กินยากอาตมาไม่เอาด้วยอยู่แล้ว ต้องมานั่งเลาะเปลือก ต้องมาหั่น เสียเวลาเป็นบ้าเป็นหลัง”
*************************
ถาม : ถวายข้างพระพุทธที่บ้านแล้ว เราสามารถจะลามากินเอง หรือใส่บาตรพระได้หรือไม่คะ ?
ตอบ : ได้ ถ้าหากไม่มีพระมาบิณฑบาต เราก็สามารถเอาไปกินไปใช้เองได้ เพราะพระที่บ้านก็เหมือนเราบูชาท่านเฉย ๆ
แต่ถ้าเป็นของที่ถวายพระที่วัดแล้ว จะเป็นของสงฆ์ ถ้าเราเอามากินมาใช้ ก็จะติดหนั้สงฆ์ ต้องชำระหนี้สงฆ์
ถาม : ไหว้พระที่บ้าน จำเป็นต้องจุดธูปหรือไม่คะ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น ถ้าจุดธูปจะได้อานิสงส์บูชาด้วยของหอม แต่ถ้าเผลอเมอ่ไรอาจจะได้อานิสงส์เผาบ้านตัวเองด้วย...!
ทางที่ดีใช้ธูปไฟฟ้าดีกว่า อย่างเก่งก็ช็อตดับไปเอง แต่ถ้าไม่มีก็ใช้สิบนิ้ววันทา ตั้งหน้าปฏิบัติแทน
*************************
“ตอนนี้กำลังซุ่มทำวัตถุมงคลอยู่อย่างหนึ่ง เพื่อเฉลิมพระเกียรติในหลวง ๘๔ พรรษา ซึ่งจะมีแค่ ๘๔ ชิ้นเท่านั้น
กำลังจ้างช่างฝีมือระดับโลกทำอยู่ ช่างคนนี้ในวงการโลหะถือว่าติด ๑ ใน ๑๐ ของโลก เป็นคนไทย ค่าตัวแพงหน่อย ชื่อ บุญเรือน หงส์มณี
ว่าจะใส่บรรดาโลหะที่สะสมไว้ทั้งหมดลงไป โดยเฉพาะพญาเหล็กที่บางคนเรียกว่าเหล็กไหล
ตอนแรกเอาพญาเหล็กก้อนใหญ่ไปให้เขาดู ถามว่าหลอมไหวหรือไม่ ? ช่างพลิกซายพลิกขวาดูแล้วบอกว่าสบาย ด้วยความรู้เกี่ยวกับโลหะศาสตร์ของเขามั่นใจว่าหลอมได้แน่
คนไทยที่ฝีมือดี ๆ มีเยอะมากเลย แต่เราจะมีโอกาสได้เจอหรือเปล่า ?
อย่างช่างที่แกะพระจำหน่ายทั่วไปที่เป็นโอท็อป ต้องทำชิ้นงานเยอะ ดังนั้น ความประณีตจะน้อย แต่ช่างที่อาตมาให้แกะพระยืน เขารับงานทีละชิ้น เขาจะทุ่มเทให้กับชิ้นงานได้มากกว่า ความละเอียดประณีตของงานก็จะมากกว่า
ส่วนตอนนี้ให้ญาติโยมเก็บเงินไว้ พอหลังงานกฐินจะเริ่มเปิดให้จองวัตถุมงคล ร่วมเป็นกรมการสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก
เป็นพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านรุ่นแรกชุดพิเศษ จะมีเนื้อชินตะกั่วเพิ่มขึ้นมาอีกเนื้อหนึ่ง มี ๓๐๐ องค์เท่านั้น ราคาน่าจะอยู่ราว ๆ ๗,๕๐๐ - ๘,๐๐๐ บาท
เร่งเก็บสตางค์ไว้ จะได้ช่วยกันสร้างพระองค์ใหญ่ที่สุดของทองผาภูมิ เป็นครั้งแรกที่ได้รับคำสั่งให้สร้างพระกลางแจ้ง ใจคอไม่ค่อยดี รู้สึกเหมือนกับเอาท่านไปตากแดดตากฝนอย่างไรก็ไม่รู้
แต่เหตุผลของท่านก็คือ คนที่เขาเห็นองค์พระเด่นแบบนั้นก็จะเกิดศรัทธา เขาก็จะมาอีก”
*************************
“ผู้หญิงสมัยก่อนกว่าเขาจะได้แสดงตัวให้หนุ่ม ๆ เห็น ก็ต้องรอมีงานบุญ งานแต่งไม่เหมือนสมัยนี้อวดตัวได้ทุกงานแม้กระทั่งงานศพยังนุ่งสั้นไปได้ ถ้ารู้ว่าผ้ายังไม่พอก็อย่าเพิ่งไปงานเขา ก็ไม่มีใครว่าหรอก...!
เราต้องรู้กาลเทศะ ถ้าคนอื่นเขาไม่เกรงใจ เขาจะด่าเอา ถ้าแถวทองผาภูมินี่ไม่ได้หรอก โผล่ขึ้นศาลาเมื่อไรโดนเจ้าอาวาสงับ...! พวกนี้จะรู้ตัวนะ โผล่ขึ้นมาอาตมาก็ด่าออกเสียงตามสายเลย เพราะเจ้าอาวาสนั่งอยู่กับเครื่องเสียง”
ถาม : ถ้าเห็นคนแต่งตัวไม่เหมาะสม แล้วเราไปบอกเขา จะเหมาะหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าเขายังไม่เกรงใจ เราก็อย่าเพิ่งไปทำ เพราะจะมีโทษมากกว่า ถ้าหากว่าเขาเกรงใจเราแล้ว คราวนี้ด่าไปเถอะ เขาไม่ว่าอะไรหรอก...!
*************************
ถาม : เด็กที่สมาธิสั้น แล้วให้นั่งสมาธิแบบที่ผู้ใหญ่นั่งกัน จะช่วยให้ดีขึ้นได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้…แต่อย่านาน นับลมหายใจ ๓ - ๕ คู่ แล้วเลิกเลย
ถาม : ตอนนี้จับพี่น้องนั่งคู่กัน ประมาณ ๑๕ นาที ดูเหมือนคนพี่จะไม่ค่อยนิ่งตั้งแต่เริ่มเลย อย่างนี้ให้จับแยกกันหรือคะ ?
ตอบ : ให้อยู่ข้าง ๆ กันนี่แหละเขาจะได้มีกำลังใจ ลืมตาขึ้นมาน้องยังอยู่ก็กัดฟันนั่งต่อ
ต่อไปก็บอกว่าถ้าน้องยังไม่เลิก หนูอย่าเพิ่งเลิกนะ ถ้าเลิกก่อนสู้น้องไม่ได้ เดี๋ยวเขาก็เกิดมานะฮึดขึ้นมาเอง
สมัยก่อนอาตมาเจอทีเด็ดของเด็กเข้า หมดสภาพความเป็นครูเลย อาตมาเป็นครูสอนมโนมยิทธิ สอนแทบเป็นแทบตายกว่าจะได้สักคนหนึ่ง
ปรากฎว่าเดือนถัดไปแม่เขาพาเด็ก ๒ คนมา เราสอนคนพี่ไป เขาพาคนน้องมากราบ เขาบอกว่าขอบคุณมากที่ช่วยให้ลูกเขาได้มโนมยิทธิทั้งคู่ อาตมาก็อ้าว..ไปสอนตัวเล็กเมื่อไร ?
เขาบอกว่าพอพี่เขาได้มโนมยิทธิแล้ว กลับบ้านไปก็นั่งกรรมฐาน น้องมาถามว่าพี่ทำอะไร พี่ก็บอกว่านั่งกรรมฐานไปดูนรกสวรรค์ น้องก็ถามว่าทำอย่างไร พี่บอกว่า “ให้หลับตาแล้วไปด้วยกัน”
บอกแค่นั้นน้องทำได้แล้ว อาตมาสอนแทบตาย เด็กบอกประโยคเดียวได้เลย แสดงว่าเด็กเก่งกว่าเราเยอะ เขามีภาษาที่สื่อแล้วเด็กด้วยกันเข้าใจ น้องเขาก็เชื่อว่าหลับตาไปได้...ก็ไปเลย
ใครเคยดูคลิปวีดิโอบ้าง ที่พ่อเขาเอาขนมเสียบไว้ตรงวงกบประตู แล้วให้ลูกปีนขึ้นไปเอา คนเป็นพี่สาวเห็นพ่อบอกใ้หขึ้นแสดงว่าขึ้นได้ ก็ปีนขึ้นไปเอาได้ ถึงเวลาน้องเห็นพี่ขึ้นได้เราต้องขึ้นได้แน่ ก็ปีนขึ้นไปเอาได้เหมือนกัน
อาตมาดูก็คิดว่า โอ้โห...ผู้ใหญ่ยังร่วงเลย นี่เด็กขึ้นไปเอาได้ กรอบประตูลื่น ๆ นะ สงสัยเป็นไอ้แมงมุมกลับชาติมาเกิด
เพราะฉะนั้น...ความมั่นใจในผู้นำ เป็นหนึ่งในเวสารัชชกรณธรรม คือธรรมที่ทำให้คนกล้า ท่านบอกว่าต้องประกอบไปด้วย ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
ศรัทธา คือ ความเชื่อมั่น
ท่านบอกว่า ประกอบไปด้วยเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย
เชื่อมั่นในส่ิงศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองยึดถือกันมาตามตระกูล
เชื่อมั่นในผู้นำ ว่าสามารถนำตนไปสู่เป้าหมายได้
ท้ายสุดเชื่อมั่นในตนเองว่าทำได้สำเร็จ
ถ้ามีความเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งนี้ ทำให้กล้าได้ นั่นเขาเชื่อมั่นในผู้นำ พ่อบอกให้ทำ แสดงว่าทำได้
ท่านชาติชาย สมัยที่เป็นหัวหน้าป่าไม้อยู่ไปจับไม้เถื่อน พวกตัดไม้ก็ยิงสู้ ลูกน้องท่านชาติชายโดนยิง หน้าท้องเปิด ไส้ทะลักมากองกับพื้น
ท่านชาติชายก็เข้าไปช่วย คลานไปถึงก็จับไส้ยัด ๆ กลับเข้าไป เอาผ้าขาว้าพันไว้ ลูกน้องก็ถามว่า “เจ้านาย...ผมจะตายไหม ?”
ท่านชาติชายบอกว่า “เฮ่ย...แค่นี้เอง กูเห็นมาเยอะแล้ว ไม่เป็นไรสักคน หมอเย็บเสร็จก็หาย เอ็งนั่งอยู่นี่แหละ ใจเย็น ๆ เสร็จแล้วเดี๋ยวจะพาไปหาหมอ”
ลูกน้องก็เลยนั่งสูบบุหรี่รอ รอจนเจ้านายจัดการคดีเสร็จก็าไปหาหมอ แล้วเขาก็รอดจริง ๆ นะ เพราะเชื่อเจ้านายว่าไม่เป็นไร แต่หมอนี่ด่ากระจายเลย
ประการแรก...คุณยัดไส้เขากลับไเข้าไป โดยท่ไม่ได้ทำให้ปลอดเชื้อก่อน หมอต้องล้วงออกมาล้างใหม่หมด
ประการที่สอง...ไส้ถูกลมมากไปเลยพอง ทบกลับไปเข้าไปยาก หมอต้องไปนั่งเรียงใหม่ เพราะถ้าเรียงผิด ไส้บิดแล้วอาจจะทำให้ไส้ตัน อาจจะถึงตายได้
ประการสุดท้าย...ทิ้งคนไข้ไว้นานเกินไป เสียเลือดไปเยอะ
นั่นเขาเชื่อมั่นในผู้นำ ผู้นำบอกว่าไม่เป็นไร กูเห็นมาเยอะแล้ว หมอเย็บเสร็จก็หาย ลูกน้องคงลืมคิดไปว่าหัวหน้าเพิ่งจะอายุไม่เท่าไรเอง จะไปยิงกับใครมาสักกี่หน...!
ท่านชาติชายสอนลูกน้องยิงปืน เพื่อที่จะเอาไว้สู้กับพวกทำไม้เถื่อนตัวเองก็อุตส่าห์ไปซ้อมที่สนามยิงปืน ร.ด. อยู่บ่อย ๆ พอจะแม่นบ้าง
เวลายิงเป้าทั่ว ๆ ไปจะยิงให้อยู่ในวงกลมก็ไม่ยาก คราวนี้เขาจะสอนวิธียิงต่อสู้ ให้ลูกน้องผูกเป้าไว้ แล้วตัวเองหันหลังให้เป้า...ชักปืน...หันขวับ...ยิงเปรี้ยง...เป้าหล่น...ปรากฎว่ายิงตัดเชือกพอดี..!
ถามว่าคุณทำอย่างไรต่อ ?
ท่านชาติชายบอกว่า “ผมแสดงให้ดูแค่นั้น แล้วผมก็ไม่ยิงให้ดูอีกเลย เพราะไม่มีทางยิงถูกแบบนั้นอีกแล้ว...!”
เขาตั้งใจจะยิงให้ถูกเป้า ดันไปตัดเชือกเข้าพอดี สมัยก่อนอาตมาเองซ้อมอยู่เป็นปี กว่าจะยิงดับเทียนได้ ยิงตัดเส้นลวดได้ยังต้องใช้ปืนยาวเลย แต่นี่ปืนสั้นยิงตัดเชือกได้ถือว่าสุดยอด ถ้ายิงซ้ำอีกทีก็ไม่ถูกหรอก เพราะฉะนั้น...เขาก็บอกว่าแค่นั้นแหละ แล้วก็ให้ลูกน้องซ้อมยิงกันเอง
ตอนแรกเห็นรุ่นพี่ที่เก่ง ๆ เขาเอาปืนลูกกรดยาวยิงดับเทียนได้ อาตมาก็ว่าไม่น่าจะยาก พอลองยิงเองถึงได้รู้ว่ายาก เพราะไปเล็งที่ไฟ ต้องเล็งตรงกลางต่กว่าไฟนิดหนึ่ง ซึ่งก็คือไส้เทียน
ไปเล็งที่ไฟจะยิงดับยาก บางทียิงไส้เทียนขาดไปแล้วเสียด้วยซ้ำ ไฟก็ยังติดต่อได้เพราะยังเหลืออีกครึ่งหนึ่ง กว่าจะรู้เคล็ดนี้ก็นาน
*************************
ถาม : สามารถใช้มโนมยิทธิได้เรื่อย ๆ หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าหากมีความคล่องตัวจะใช้เมื่อไรก็ได้ ยกเว้นคุณสุภิตา คุณสุภิตานี่ช่างถาม ถามจนพระท่านรำคาญ จำกัดว่าให้ถามได้ไม่เกินวันละ ๑ ข้อ
แต่คุณสุภิตาก็ยังคงมีข้อสงสัยต่อไปว่า “แล้วถ้าอยากถามเกิน ๑ ข้อละคะ ?”
คิดดูแล้วกัน...ถ้าเป็นอย่างนั้นก็โดนจำกัด แต่ของเรานี่ไม่จำกัดหรอก ใช้ไปเถอะ...
ถ้ามีความคล่องตัวใช้ได้ทั้งวัน ใช้ได้ทุกวินาทีย่ิงดี เพราะว่าจิตที่ทรงมโนมยิทธิอยู่ อย่างน้อย ๆ เรามีฌานสมาบัติเป็นเครื่องควบคุม นิวรณ์ ๕ ก็ดี รัก โลภ โกรธ หลง ก็ดี จะแทรกตอนนั้นไม่ได้
ถาม : เวลารู้เห็นอะไร ทำอย่างไรให้ไม่เตลิด ?
ตอบ : ตัวเราที่ใช้คำว่าเตลิดนี่ คนฟังไม่เข้าใจจะไปกันใหญ่ เอาเป็นว่าสิ่งที่เรารู้อาจจะไม่ถูกต้อง เกิดการผิดพลาดขึ้น เนื่องจากกำลังสมาธิเราไม่พอ
ถ้าหากว่ารู้ตัวว่ากำลังสมาธิของเราถอย เราก็หันกลับมาเข้าสมาธิใหม่ จนอารมณ์ทรงตัว แล้วพิจารณาตัดร่างกายอีกรอบหนึ่ง จากนั้นค่อยไปใหม่ ไม่อย่างนั้นแล้วจะผิด ไม่ได้เตลิดเฉย ๆ หรอก ถ้าผิดแล้วเข้าป่าเข้าดงไปเลย...!
*************************
“ขอประกาศให้ญาติโยมทราบ งานเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งต่อไปคือ วันที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ อีกไม่กี่เดือน แสดงว่าสถานการณ์ปีหน้าค่อนข้างจะหนัก เพราะเสาร์ ๕ มาตั้งแต่ต้นปีเลย
แม้ว่าสถานการณ์ของประเทศชาติจะหนัก แต่ก็มีวิธีผ่อนปรนโดยการมีฤกษ์ยามที่เหมาะสม ที่เราจะทำการบวงสรวง รวมกำลังใจอธิษฐานเพื่อประเทศชาติกัน
ลองดูสิว่า ๒๘ มกราคม ปีหน้าตรงกับวันเสาร์หรือเปล่า ? ใครจะไปมั่นใจได้เล่า ? เกิดไม่ใช่วันเสาร์ขึ้นมาก็หน้ามืดสิ...! ประกาศไปแล้วจัดงานไม่ได้
มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านประกาศจัดงานเป่ายันต์เกราะเพชร ก่อนวันงาน ๓ วัน พระพุทะเจ้าเสด็จมา ขออภัยนะ...อาตมาใช้คำพูดตามที่หลวงพ่อท่านบอก
พระท่านตรัสว่า “แกแหกตาดูหรือเปล่าว่าเป็นวันอะไร ?”
หลวงพ่อท่านบอกว่า “วันเสาร์ ๕ ครับ”
พระท่านบอกว่า “วันเสาร์ แรม ๕ ค่ำ ใช้ได้เมื่อไรเล่า ?”
หลวงพ่อท่านรีบไปเปิดปฏิทินดู เป็นวันเสาร์ แรม ๕ ค่ำจริง ๆ ไม่ใช่ขึ้น ๕ ค่ำ
หลวงพ่อท่านก็เลยกราบทูลว่า “แล้วอย่างนี้จะทำอย่างไรครับ เพราะว่าประกาศบอกโยมไปแล้ว ?”
พระท่านบอกว่า “ไม่เป็นไร ...จะข้างขึ้นหรือข้างแรม ถ้าฉันทำให้ก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่คราวหน้าต้องรอบคอบกว่านี้”
ถ้าหากว่าตามสายครูบาอาจารย์ขงเรา ต้องใช้วันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เคล็ดลับอยู่ตรงคำว่า “ขึ้น” จะทำของให้ขึ้นก็ต้องข้างขึ้น ข้างแรมเขาไม่นับ
ช่วงที่ผ่านมามีวันเสาร์ข้างแรม เขาตื่นเต้นกันใหย๋ จัดงานกันอุตลุดเขาว่าปีเสือ เดือนสิงห์ กระทิงวันอะไรให้ยุ่งไปหมด
ถ้าหากว่าตามสายของสมเด็จพระสังฆราช วัดสุทัศน์ฯ ท่านจะใช้ฤกษ์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ตรงกับวันอาทิตย์ ท่านสร้างพระแค่ ๖ องค์ ตรงกับวันจันทร์สร้าง ๑๕ องค์
แปลว่าเต็มที่พระรุ่นนั้นจะมีไม่เกิน ๒๑ องค์ จนลูกศิษย์ทนไม่ไหว ถึงได้ขอให้ท่านสร้างให้ต่างหาก ถึงได้มีการเททองกันทีหนึ่ง ๓๐๐ - ๔๐๐ องค์
แต่บางครั้งโลหะที่เตรียมไว้ไม่พอ ก็จะมีเทเช้าวรรณะเป็นสีเหลือง เทบ่ายวรรณะเป็นสีแดง ให้ยุ่งไปหมด ก็คือโลหะไม่พอ ต้องหาของมาเพิ่ม กลายเป็นจุดตายที่บรรดาเซียนพระเขาชี้จริงชี้ปลอมกัน”
************************* “มีอยู่วันหนึ่งตอนฉันอาหาร อาตมาก็จิ้มอาหารใส่ปาก ท่านกอล์ฟก็จิ้มใส่ปาก หลวงตาปรีชาเห็นสองคนแย่งกันจิ้มอาหารก็เาอบ้าง พอใส่ปากหลวงตาปรีชาร้องว่า “หือ...มันบูดแล้วนี่อาจาย์ ?”
“ก็ผมไม่ได้บอกว่าดีนี่หว่า...!”
ถาม : ต้องฉันหรือครับ เพราะบูดแล้ว ?
ตอบ : ฉันให้รู้ว่ากินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกิน
พระรัฐบาลเถระท่านก็ฉันอาหารบูด นางทาสีจะเอาอาหารทิ้งแล้ว เดินมาที่ประตูรั้ว พระรัฐบาลเถระท่านก็บอกว่า
“ภคินี…ดูก่อนน้องหญิง ถ้าเธอจะทิ้ง ก็เทใส่บาตรของเราก็แล้วกัน”
แล้วท่านก็นั่งฉัน พ่อมาเห็นนี่แทบจะร้องไห้ ลูกมหาเศรษฐีมากินของบูด..!
หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะปลงพระเกศา อธิษฐานเพศเป็นนักบวช พอบิณฑบาตครั้งแรกออกไปนอกหมู่บ้านแล้ว ปูอาสนะนั่งลง เปิดบาตรเห็นอาหาร ท่านรู้สึกว่าเหมือนไส้จะพลิกกลับออกมาข้างนอก ก็คืออยากจะอาเจียนเดี๋ยวนั้น
เสร็จแล้วท่านก็พิจารณาว่า การที่เราตั้งใจออกบวชเพื่อปฏิบัติธรรมนั้น ความยากลำบากทั้งหลายมากกว่านี้หลายเท่านัก ถ้าอาหารอย่างนี้ยังฉันไม่ได้ แล้วจะไปประพฤติธรรมได้อย่างไร ?
อย่าลืมตอนนั้นท่านยังไม่ใช่พระพุทธเจ้านะ ท่านยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ยังไม่ได้ตรัสรู้
ท่านอยู่แบบสุขุมาลชาติ มีปราสาท ๓ ฤดู อาหารวิเศษแค่ไหนก็มีให้ แล้วต้องไปกินอาหารของชาวบ้าน อย่างนางปุณทาสีมีแป้งจี่ใส่ชายพกมา แป้งจี่ก็คือโรตีนี่แหละ พระพุทธเจ้าท่านรับมาก็นั่งเสวย
“คงจะมีการพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ประมาณต้นปี้หน้า
เพราะการจะสร้างพระเมรุมาศได้ต้องใช้ความละเอียดอ่อนมาก กินเวลามาก โดยเฉพาะคนออกแบบจะกลุ้มใจมาก ออกแบบหลายครั้งชักจะหมดมุก ไปไม่เป็น
คุณอาวุธ เงินชูกลิ่น ท่านบอกว่าพวกรูปยักษ์ รูปกินรี รูปเทวดาที่ประดับตามมุมเมรุ ตามหัวเสา ของเก่ายังพอซ่อมมาใช้งานได้ ก็แปลว่างานน้อยลงนิดหนึ่ง
อย่างสมัยพระศพของสมเด็จย่า กระดาษที่ใช้ประดับเมรุหลายอย่าง ก็สั่งซื้อมาจากต่างประเทศโดยเฉพาะ
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม้จันทน์ที่ทำโกศ หาได้ยาก เพราะบ้านเราไม้จันทน์เป็นไม้หวงห้าม ไม่ทราบเหมือนกันว่าบ้านเรามีการแบ่งไม้จันทน์หรือเปล่าว่ามีกี่ชนิด ?
ไม้หอมของไทยก็จะมี ไม้จันทน์ ไม้กฤษณา ไม้เทพทาโร
ถ้าต้นกฤษณาเชื้อราไม่ลง ก็จะไม่เกิดน้ำมันหอม ถ้าต้นได้รับบาดเจ็บ ก็จะสร้างน้ำมันไปรักษาตัวเอง
คนรุ่นใหม่ที่ปลูกต้นกฤษณาก็เลยใช้วิธีฟันต้นให้เป็นแผล หรือไม่ก็ตอกตะปู ถึงเวลาเชื้อราลงก็จะได้เนื้อไม้ที่มีกลิ่นหอม แต่ว่าดมตอนนั้นก็ไม่หอม ต้องเอาไปผ่านไฟ พอโดนความร้อนเข้าถึงจะคลายกลิ่นหอมออกมา
ส่วนไม้เทพทาโรนั้นกลิ่นหอมเหมือนกับตะไคร้ ใครเคยได้กลิ่นตะไคร้หอมบ้าง ? บางคนเขาเรียกตะไคร้ต้นเลย ไม้เทพทาโรจะมีทางปักษ์ใต้เยอะ
แต่ที่ไปประเทศพม่า เขามีไม้หอมมากกว่าเรา เฉพาะไม้จันทน์อย่างเดียว พม่าเขามีถึง ๓ ชนิด จะมี ไม้จันทน์ขาว ไม้จันทน์แดง และไม้จันทน์หอม
จันทน์ขาว เขาเรียก นัตตะพิว
จันทน์แดง เรียก นัตตะนี
จันทน์หอม เรียก ซันดากู
อาตมาไปที่เมืองสุกุ๊ เขาบอกว่าค้นพบร่องรอยของคันธกุฎีของพระพุทธเจ้า ที่มีอุบาสก ๒ พี่น้อง คือมหาปาลและจุลปาล สร้างถวายพระพุทธเจ้าด้วยไม้จันทน์
เรื่องคันธกุฎีเองอาตมาสงสัยมานานมากแล้ว ถ้าโยมเจอไม้จันทน์แท้จะรู้ว่ากลิ่นฉุนขนาดไหน ไม่ใช่หอมเฉย ๆ นะ แต่ฉุนเลย แล้วเอามาสร้างกุฎิจะไปนอนไหวหรือ ?
ปรากฎว่าพอไปพม่าที่เมืองสุกุ๊ เขากำลังสร้างคันธกุฎีถวายพระพุทธเจ้า คือเขาสร้างครอบหลังเก่าที่ค้นเจอ
เขามีประวัติศาสตร์ว่า ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่พม่า แล้วเศรษฐี ๒ พี่น้อง คือมหาปาลกับจุลปาลสร้างคันธกุฎีถวายพระพุทธเจ้า คราวนี้ด้วยความที่ว่าสร้างด้วยไม้ นาน ๆ ไปก็ผุพัง พอเขาค้นซากเจอ พม่าก็เลยเร่ิมสร้างใหม่ โดยใช้ไม้จันทน์หอมคือไม้ซันดากู
พออาตมาไปถึงเขาก็เอาไม้จันทน์หอมมาให้ดู ลองดมแล้วถึงรู้ว่า ไม้อย่างนี้แหละที่สร้างคันธกุฎีได้จริง ๆ เพราะว่าเป็นกลิ่นหอมเย็น ๆ หอมอ่อน ๆ หอมคล้าย ๆ ธูปหอมบางประเภท ไม่ได้หอมฉุนแบบจันทน์หอมที่เรารู้จัก
ถ้าน้ำมันจันทน์ที่เรารู้จัก บางทีหยดเดียวกลิ่นตลบไปทั้งห้องเลย แล้วก็ฉุนมาก ถ้าไม้จันทน์หอมของพม่านี้ กลิ่นหอมอ่อน ๆ แบบหอมชื่นใจ ถ้าอย่างนั้นเอามาทำเป็นกุฏิอยู่ได้
ส่วนไม้จันทน์แดงนั้น บางทีคนจีนเรียก ไม้จันทน์ม่วง เพราะไม้จันทน์ประเภทนี้มีคุณภาพประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือยิ่งใช้จะย่ิงสีเข้มขึ้นเรื่อย ๆ จากตอนแรก ๆ ที่เห็นสีแดงอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือยิ่งใช้จะยิ่งสีเข้มขึ้นเรื่อย ๆ จากตอนแรก ๆ ที่เห็นสีแดงถนัดเลยพอใช้ไปก็จะดำเข้มขึ้น ๆ จนเหมือนกับสีม่วงดำ คนจึนเขาจึงเรียกว่าไม้จันทน์ม่วง
แล้วก็ยังมีไม้อย่างทานาคา ไม้ทานาคานี้เป็นไม้หอมที่เขานำมาทำเครื่องสำอาง ทาหน้าทาตัวทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย เขาใช้กันทั้งประเทศ
ถึงเวลาอาตมาเดินไปนึกว่าร้านขายฟืน เพราะว่าเขาวางขายเป็นท่อน ๆ เรียงเป็นตับ แล้วก็มีจานสำหรับฝน ลักษณะคล้าย ๆ โม่หิน เอาไว้ฝนทาหน้า ดูท่าจะได้ผลดี เพราะที่ไปพม่ามา ๕ - ๖ ปี ไม่เคยเจอคนพม่าเป็นสิวเลย ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีคุณภาพป้องกันสิวได้หรือเปล่า ?
ยังมีไม้ตองดานกะโด ไม่แน่ใจว่าประเทศไทยเรามีหรือไม่ ? ถ้าตามชื่อมันเป็นไม้ภูเขาชนิดหนึ่งเป็นไม้หอมเหมือนกัน แล้วก็มีกาละแม็ด กาละแม็ดนี้น่าจะเป็นกฤษณาของบ้านเรา”
*************************
“อาตมาไปรู้จักคุณละเมี้ยตอ่อง เป็นเจ้าของร้านขายของที่ระลึกที่สร้างจากไม้จันทน์ คุณละเมี้ยตอ่องบอกว่า เขาจะพยายามสั่งไม้จันทน์จากอินเดีย เพราะว่าไม้จันทน์พม่าคุณภาพดีกว่าไทย
ถามคุณละเมี้ยตอ่องว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? เพราะเขามีประสบการณ์คลุกคลีกับไม้จันทน์มา ๓๐ - ๔๐ ปี
คุณละเมี้ยตอ่องบอกว่า ไม้จันทน์เกิดมาเพื่อเป็นพุทธบูชา ยิ่งใกล้พุทธภูมิมากเท่าไร กลิ่นหอมจะมากเท่านั้น เพราะฉะนั้น...ไม้จันทน์อินเดียจะหอมที่สุด
ถัดจากอินเดียมาก็เป็นพม่า จะหอมน้อยลงมา ถึงเมืองไทยก็หอมน้อยลงไปอีก ก็แปลว่ายิ่งไกลจากอินเดียก็ยิ่งหอมน้อยลง
สมัยโบราณตอนอาตมายังเด็กอยู่ เวลาเขาจะออกไปไม้จันทน์ พวกพรานหรือผู้ใหญ่ที่เขาเดินป่าเก่ง ๆ รู้จักต้นไม้เขาจุดธูปที่มีส่วนผสมของไม้จันทน์ ควันธูปลอยไปทางไหน ก็เดินไปทางนั้น ไม่ทราบว่าดึงดูดกันได้อย่างไร แต่ก็ได้ผล หาไม้จันทน์เจอทุกครั้ง
พอไปจนกระทั่งไม่แน่ใจแล้วว่าไปทิศไหนต่อ ก็จุดธูปใหม่ ควันธูปลอยไปทางไหนก็เดินต่อไป พาไปหาต้นไม้จันทน์ได้อย่างไรก็ไม่รู้ ฟังดูเหมือนไสยศาสตร์ แต่ว่าถ้าทางวิทยาศาสตร์นี้บอกว่าโมเลกุลของไม้ดึงดูดกัน”
*************************
เก็บตกบ้านวิริยบารมี เดือนตุลาคม ๒๕๕๔
ถาม : ทำไมพระในสมัยพุทธกาลท่านชอบเข้านิโรธสมาบัติคะ ?
ตอบ : เพราะเข้าแล้วสบาย
ถาม : สมัยนั้นทุกข์มากเลยเหรือคะ ?
ตอบ : ด้วยความที่จิตท่านละเอียดมาก ท่านจึงเห็นความทุกข์อย่างชัดเจน ในเมื่อรู้เห็นชัดเจน ก็เท่ากับว่ารับทุกข์มากกว่าคนอื่น จึงรู้สึกทุกข์มากกว่าคนอื่น
ถาม : สมัยนั้นเหมือนกับสมัยนี้หรือไม่คะ ?
ตอบ : สภาพร่างกาย หิวกระหาย ร้อนหนาว เจ็บไข้ได้ป่วย สกปรกโสโครกเหมือนกันหมดนั่นแหละ จะยุคไหนสมัยไหนก็เหมือนกัน มีสภาวทุกข์ (ทุกข์ตามสภาพ) เหมือน ๆ กัน
มีปกิณกทุกข์ (ทุกข์เล็กน้อยทั่วไป) เหมือน ๆ กัน
มีนิพัทธทุกข์ (ทุกข์ประจำ) เหมือน ๆ กัน
*************************
“ครอบครัวถ้าคิดที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ บางครั้งก็ต้องมีความลับเล็ก ๆ ต่อกัน อย่างเราบอกเขาว่าไปวัด เขาก็บ่นว่าเรา ถ้าเราบอกว่าไปเที่ยวก็จบ ไปเที่ยวกับเพื่อน ๓ วันนะ นี่เป็นศิลปะในการดำรงชีวิตที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า
สิปปัญจะ เอตัมมะคะละมุตตะมัง การมีศิลปะ จัดเป็นอุดมมงคล
นอกจากศิลปะที่เป็นความรู้ในการหาเลี้ยงชีพแล้วยังมีศิลปะในการเอาตัวรอด ศิลปะในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น และท้ายสุดก็คือ ศิลปะในการต่อสู้เพื่อให้พ้นจากกิเลส พระพุทธเจ้าท่านหมายเอาหลักธรรม เราก็ดึงฟ้าต่ำลงมานิดหนึ่งเอาเรื่องทางโลกปน ๆ ไปหน่อย”
*************************
ถาม : ได้มาจากฝั่งลาว ใช่ข้าวสารกลายเป็นหินหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่…โดนเขาหลอกแล้ว นี่เป็นพระธาตุสีวลี
ถาม : นึกว่าเป็นหินงอกหินย้อย เกือบจะเอามะนาวทดสอบสารละลายแคลเซียมแล้วค่ะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่า พระธาตุเทพนิมิต แบบเดียวกับที่คนเราสร้างพระเครื่องไว้บูชา เทวดาก็สร้างพระธาตุไว้บูชาเหมือนกัน ก็ต้องนิมิตเอาจากสิ่งธรรมชาติรอบ ๆ ข้าง
ตอนนั้นพาทิดตู่ที่ยังเป็นเณร ไปถ้ำที่มีพระธาตุ เขาเห็นก็ติดใจเพราะสถานที่เย็นมาก พอกลับมาเขาก็พาโยมกลับไปใหม่ แล้วก็ไปโกยพระธาตุใส่ถุงมา
มีโยมคนหนึ่งชื่อตาธูป สมัยแรก ๆ ก็มาทำงานเป็นช่างไม้ช่างปูนอยู่ที่เกาะพระฤๅษี ตอนเดินกลับตาธูปรู้สึกเสียวสันหลัง เลยหันกลับไป จึงเห็นว่าระหว่างที่เดินออกมา มีรอยเท้าเหยียบตามมาด้วย มีแต่รอยนะ ...ไม่เห็นตัว
ตาธูปขวัญหนีดีฝ่อ ในที่สุดนึกขึ้นได้ว่า โบราณบอกว่าถ้าเจ้าของหวงก็ให้ซื้อเขา ตาธูปเลยล้วงเงินหมดตัว มีเท่าไรก็ขอซื้อ แต่ทิดตู่ไม่ได้ขอซื้อ เลยโดนยันตกเขาอยู่คนเดียว...เกือบตาย...!
*************************
ถาม : พระหลวงปู่ปานองค์นี้เป็นของที่ไหน ?
ตอบ : คุณไม่ต้องสงสัยหรอก พระของหลวงปู่ปานจะจริงจะปลอม จะแท้จะเทียม ท่านให้พรไว้ว่า
ถ้านึกถึงท่าน อานุภาพเท่ากันหมด นึกถึงท่านก็ใช้ได้แล้ว
คาถาปลุกคือ อิทธิฤทธิพุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด
*************************
“พระราหุลเป็นเอตะทัคคะทางใคร่ในการศึกษา ตอนเช้า ๆ ท่านไปล้างหน้า ก็จะกอบทรายที่ริมน้ำขึ้นมาอธิษฐานว่า
”วันนี้ขอให้ได้ข้อธรรมคำสอนจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเหล่าพระเถระทั้งหลายมากเท่าจำนวนเม็ดทรายในกอบนี้”
อธิษฐานอย่างนั้นทุกวัน ฉะนั้น...ความใฝ่ในการศึกษา เป็นปฏิปทาเฉพาะตัวของท่าน
พระราหุลเป็นพระที่ปรินิพพานไม่เหมือนใคร ท่านไปปรินิพพานบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทวดาจึงต้องทำศพให้”
*************************
ถาม : เป็นมะเร็งเต้านมค่ะ ?
ตอบ : ต้องไปนั่งกรรมฐานเยอะ ๆ เพราะมะเร็งที่เกี่ยวกับระบบอวัยวะสืบพันธุ์ทุกอย่างของผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ เกิดจากความเครียด แล้วทำให้ฮอร์โมนแปรปรวน ถ้าหากไม่เครียดก็จะหายไปเอง
ขอยืนยันว่าจริง พระามีโยมคนหนึ่งตั้งใจจะไปตายที่วัด ไปสวดมนต์ทำวัตร ปฏิบัติกรรมฐานอยู่ ๔ เดือน มะเร็งหายไปเฉยเลย
ไปหาหมอให้ตรวจ หมอถามว่าไปทำอะไรมา โยมเขาก็บอกตามความจริง
หมอบอกว่าใช่เลย แต่คนอื่นเขาสู้ไม่ได้อย่างนั้น คือคนอื่นติดทำมาหากิน และไม่สามารถจะบังคับตัวเองให้นั่งสมาธิได้ แต่นั่นเขาตัดใจว่าเขาจะไปตายแล้ว ขอไปตายที่วัด
ในเมื่อตัดใจ ไม่มีห่วงไม่มีกังวล ๔ เดือนผ่านไปมะเร็งก็หายไปเอง ทั้ง ๆ ที่หมอบอกว่าอยู่ได้อีกไม่เกินครึ่งปี
แล้วหมอก็อธิบายบอกว่า มะเร็งที่เกิดจากการที่ฮอร์โมนร่างกายแปรปรวนจากความเครียด...ถ้าไม่เครียดก็หาย
*************************
ถาม : บริวารหายาก ตอนนี้ก็แก่แล้วด้วยค่ะ ?
ตอบ : เรื่องบริวารให้บนเสด็จในกรมหลวงชุมพร บอกท่านว่าขอคนให้มาช่วยงาน เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์และขยันขันแข็ง ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์หาให้ แล้วเราจะถวายสังฆทานให้ท่าน
ถาม : ถวายที่ไหนคะ ?
ตอบ : ที่วัดไหนก็ได้ ถวายเป็นสังฆทานก็แล้วกัน ถ้ามีคนลักษณะนั้นมาแล้ว การค้าของเราจะไม่มีปัญหา เพราะเขาช่วยเราได้
*************************
ถาม : ทำอย่างไรจะค้าขายดีคะ ?
ตอบ : ขายถูก ๆ สิ ขายแพงใครเขาจะซื้อเล่า ? ลดราคาให้ต่ำกว่าคนอื่นหน่อยก็ขายดีไปเอง
ถาม : ขายถูก ๆ ก็เหนื่อยอีก ต้องใช้น้ำมันไปส่งไกล ?
ตอบ : บางปั๊มเติมแก๊สทุก ๑๐๐ บาท แถมน้ำขวดหนึ่ง อย่างอาตมาเติมทีหนึ่งก็ได้น้ำ ๕ - ๖ ขวด
ส่วนอีกปั๊มหนึ่งนอกจากแถมน้ำร้อยละขวดแล้ว ยังลดราคาอีกลิตรละ ๒๐ สตางค์ เกี่ยงกันตรง ๒๐ สตางค์นี่แหละ อาตมาไปเข้าปั๊มลดราคาดีกว่า เห็นไหมว่าเขาลดแค่ ๒๐ สตางค์ แล้วได้ลูกค้าเยอะขึ้นเยอะเลย
*************************
ถาม : เปิดร้านนวดแล้วร้านเงียบค่ะ จะทำอย่างไรดี ?
ตอบ : เอาคาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุงไปนั่งภาวนา ยิ่งเงียบยิ่งดี ฉันจะได้ภาวนาให้เยอะ ๆ เดี๋ยวลูกค้าก็ประดังเข้ามาเอง
*************************
“ครูบาวิฑูรย์แลดูแข็งแรงแล้ว ฟื้นตัวได้เร็ว คนหนุ่มได้เปรียบ ถ้าอาตมาโทรมขนาดนั้นคงร่วงไปแล้ว”
ถาม : ครูบาไม่ได้ฉันอาหาร ๗ วัน โทรมมากเลยหรือคะ ?
ตอบ : ครั้งนี้ท่านเข้ากรรมฐาน ๙ วัน พอออกมา กำลังจะทรงกายยังไม่ค่อยจะมีเลย ดูท่าก็รู้ บอกให้คนเอายาดมให้ก่อน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวท่านจะเป็นลม
เวลาอยู่ในสมาธิจะไม่เป็นอะไร แต่พออกจากสมาธิมา อาการเวทนาทุกอย่างจะรับรู้หมด
อย่างตอนที่อาตมาเข้ากรรมฐานอยู่สามวัน พอคลายกำลังใจออกมา ในท้องอย่างกับไฟไหม้เลย แสดงว่าร่างกายหิวมาก แต่ตอนที่อยู่ในสมาธิเราไม่รับรู้
เรื่องอย่างนี้ถ้าคนไม่ชำนาญจริง ๆ จะไม่สามารถประคองตัวจนงานเลิกได้ จะเสียภาพพจน์ เพราะกำลังใจเวลาคลายออกมา จะคลายหมดเลย
ถ้ารู้ว่าได้เวลาเลิกงานแล้ว ร่างกายจะไม่เอากับเราเลย สั่งอย่างไรก็ไม่เล่นด้วยแล้ว ก็หงายแผ่ขายหน้าชาวบ้านเขา อย่างอาตมานี่ไปนอนแผ่ลับหลังดีกว่า ต่อหน้าคนอื่นต้องทำเก่งไว้ก่อน
ถาม : อยู่ในธรรมปีติ ไม่ใช่กำลังสมาธิ ?
ตอบ : ถ้าอยู่ด้วยธรรมปีติ ไม่ใช่กำลังสมาธิอย่างเดียว
ธรรมปีติจะอาศัยสภาพของสมาบัติปรับร่างกายไปด้วย จะดึงธาตุดินน้ำลมไฟรอบข้างไปใช้งานเอง เป็นการกินเป็นปกติ แต่กินทางผิวหนังไม่ได้กินทางปากเทานั้น อธิบายไปก็บ้า เพราะว่าคนฟังทำไม่ได้
*************************
“จำไว้ว่า...ในเมื่อร่างกายไม่ใช่ของเรา เราก็ต้องบังคับมันได้ อย่าให้มันบังคับเรา ถึงร่างกายบอกว่าไม่ไหว เราก็จะไป เดี๋ยวมันก็ต้องไปตามเราเอง”
*************************
“น้านิล (คุณนิลประไพ บุญ-หลง) เป็นน้องสาวคนเล็กของหลวงปู่มหาอำพัน สมัยที่อาตมาไปปรนนิบัติดูแลรับใช้หลวงปู่ได้เจอน้านิล
แหวนจักรพรรดิทองคำของวัดท่าซุงที่อาตมาพกติดตัวอยู่ น้านิลเป็นคนถวาย เพราะตอนนั้นราคาแหวนจักรพรรดิสำหรับฆราวาสราคา ๖,๖๐๐ บาท
ส่วนพระ...หลวงพ่อท่านคิดเฉพาะต้นทุนแค่ ๒,๒๐๐ บาท แต่ห้ามใช้สิทธิ์แทนกัน เพระาท่านถือว่าให้สิทธิแก่พระเป็นพิเศษแล้ว
แหวนจักรพรรดิเป็นวัตถุมงคลชิ้นเดียวที่หลวงพ่อท่านบอกว่า พระควรจะมีติดตัวไว้ ถามเหตุผลแล้วหลวงพ่อบอกว่า
แหวนจักรพรรดิจะให้ผลในการสงเคราะห์บริวารมาก ถ้าหากว่าต่อไปพวกเราออกไปรับผิดชอบงานพระศาสนาในที่ใดก็ตาม ต่อให้มีบริวารมากขนาดไหน ก็จะมีปัญญาเลี้ยวเขา
สมัยนั้นราคา ๒,๒๐๐ บาท สำหรับอาตมาถือว่าแพงมาก ไม่มีปัญญาจะบูชา คุณน้านิลประไพก็เลยตัดสินใจควักกระเป๋าจ่ายแทน นี่เขาเพิ่งส่งข่าวมาว่าคุณน้าท่านเสียแล้ว
น้องสาวของหลวงปู่มหาอำพันมีคุณน้าดวงตา คุณน้าส่าหรี คุณน้านิลประไพ
คุณน้าดวงตาถึงเวลาก็จะซื้ออาหารมาถวาย สมัยนั้นธนบัตรที่ใหญ่ที่สุดในบ้านเราคือ ธนบัตรใบละ ๕๐๐ บาท ถ้าคุณน้าดวงตาซื้ออาหารแล้ว ใช้ธนบัตร ๕๐๐ บาทไม่หมด ก็จะเซ็งมาก น้าต้องใช้ให้หมด ก็เลยไปเที่ยวเสาะหาอาหารแพง ๆ ประเภทกุ้งล็อบสเตอร์มาถวาย
น้าดวงตาสรุปว่า “พระเล็กเลี้ยงยาก ซื้ออะไรมาก็ไม่ค่อยจะฉัน”
หันมาอีกทีเห็นอาตมาฉันผักบุ้งไฟแดงอยู่ น้ายิ่งโกรธใหญ่เลย ซื้อของแพงมาไม่กิน กินแต่ของถูก ๆ ข้างทาง
ตระกูลหลวงปู่ท่านเป็นตระกูลผู้ดีเก่า จะรู้จักแหล่งอาหารที่เป็นพวกของแพง ประเภทไข่เจียวจานละ ๖๐๐ บาท มีใครเคยกินกุ้งมังกรบ้างไหม ?
เคี้ยวยางรถยนต์ยังดีกว่าตั้งเยอะ...! เหนียวอย่างบอกใคร กว่าจะหั่นออกมาได้ แทบต้องใช้อีโต้จาม...! อะไรที่กินยากอาตมาไม่เอาด้วยอยู่แล้ว ต้องมานั่งเลาะเปลือก ต้องมาหั่น เสียเวลาเป็นบ้าเป็นหลัง”
*************************
ถาม : ถวายข้างพระพุทธที่บ้านแล้ว เราสามารถจะลามากินเอง หรือใส่บาตรพระได้หรือไม่คะ ?
ตอบ : ได้ ถ้าหากไม่มีพระมาบิณฑบาต เราก็สามารถเอาไปกินไปใช้เองได้ เพราะพระที่บ้านก็เหมือนเราบูชาท่านเฉย ๆ
แต่ถ้าเป็นของที่ถวายพระที่วัดแล้ว จะเป็นของสงฆ์ ถ้าเราเอามากินมาใช้ ก็จะติดหนั้สงฆ์ ต้องชำระหนี้สงฆ์
ถาม : ไหว้พระที่บ้าน จำเป็นต้องจุดธูปหรือไม่คะ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น ถ้าจุดธูปจะได้อานิสงส์บูชาด้วยของหอม แต่ถ้าเผลอเมอ่ไรอาจจะได้อานิสงส์เผาบ้านตัวเองด้วย...!
ทางที่ดีใช้ธูปไฟฟ้าดีกว่า อย่างเก่งก็ช็อตดับไปเอง แต่ถ้าไม่มีก็ใช้สิบนิ้ววันทา ตั้งหน้าปฏิบัติแทน
*************************
“ตอนนี้กำลังซุ่มทำวัตถุมงคลอยู่อย่างหนึ่ง เพื่อเฉลิมพระเกียรติในหลวง ๘๔ พรรษา ซึ่งจะมีแค่ ๘๔ ชิ้นเท่านั้น
กำลังจ้างช่างฝีมือระดับโลกทำอยู่ ช่างคนนี้ในวงการโลหะถือว่าติด ๑ ใน ๑๐ ของโลก เป็นคนไทย ค่าตัวแพงหน่อย ชื่อ บุญเรือน หงส์มณี
ว่าจะใส่บรรดาโลหะที่สะสมไว้ทั้งหมดลงไป โดยเฉพาะพญาเหล็กที่บางคนเรียกว่าเหล็กไหล
ตอนแรกเอาพญาเหล็กก้อนใหญ่ไปให้เขาดู ถามว่าหลอมไหวหรือไม่ ? ช่างพลิกซายพลิกขวาดูแล้วบอกว่าสบาย ด้วยความรู้เกี่ยวกับโลหะศาสตร์ของเขามั่นใจว่าหลอมได้แน่
คนไทยที่ฝีมือดี ๆ มีเยอะมากเลย แต่เราจะมีโอกาสได้เจอหรือเปล่า ?
อย่างช่างที่แกะพระจำหน่ายทั่วไปที่เป็นโอท็อป ต้องทำชิ้นงานเยอะ ดังนั้น ความประณีตจะน้อย แต่ช่างที่อาตมาให้แกะพระยืน เขารับงานทีละชิ้น เขาจะทุ่มเทให้กับชิ้นงานได้มากกว่า ความละเอียดประณีตของงานก็จะมากกว่า
ส่วนตอนนี้ให้ญาติโยมเก็บเงินไว้ พอหลังงานกฐินจะเริ่มเปิดให้จองวัตถุมงคล ร่วมเป็นกรมการสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก
เป็นพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านรุ่นแรกชุดพิเศษ จะมีเนื้อชินตะกั่วเพิ่มขึ้นมาอีกเนื้อหนึ่ง มี ๓๐๐ องค์เท่านั้น ราคาน่าจะอยู่ราว ๆ ๗,๕๐๐ - ๘,๐๐๐ บาท
เร่งเก็บสตางค์ไว้ จะได้ช่วยกันสร้างพระองค์ใหญ่ที่สุดของทองผาภูมิ เป็นครั้งแรกที่ได้รับคำสั่งให้สร้างพระกลางแจ้ง ใจคอไม่ค่อยดี รู้สึกเหมือนกับเอาท่านไปตากแดดตากฝนอย่างไรก็ไม่รู้
แต่เหตุผลของท่านก็คือ คนที่เขาเห็นองค์พระเด่นแบบนั้นก็จะเกิดศรัทธา เขาก็จะมาอีก”
*************************
“ผู้หญิงสมัยก่อนกว่าเขาจะได้แสดงตัวให้หนุ่ม ๆ เห็น ก็ต้องรอมีงานบุญ งานแต่งไม่เหมือนสมัยนี้อวดตัวได้ทุกงานแม้กระทั่งงานศพยังนุ่งสั้นไปได้ ถ้ารู้ว่าผ้ายังไม่พอก็อย่าเพิ่งไปงานเขา ก็ไม่มีใครว่าหรอก...!
เราต้องรู้กาลเทศะ ถ้าคนอื่นเขาไม่เกรงใจ เขาจะด่าเอา ถ้าแถวทองผาภูมินี่ไม่ได้หรอก โผล่ขึ้นศาลาเมื่อไรโดนเจ้าอาวาสงับ...! พวกนี้จะรู้ตัวนะ โผล่ขึ้นมาอาตมาก็ด่าออกเสียงตามสายเลย เพราะเจ้าอาวาสนั่งอยู่กับเครื่องเสียง”
ถาม : ถ้าเห็นคนแต่งตัวไม่เหมาะสม แล้วเราไปบอกเขา จะเหมาะหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าเขายังไม่เกรงใจ เราก็อย่าเพิ่งไปทำ เพราะจะมีโทษมากกว่า ถ้าหากว่าเขาเกรงใจเราแล้ว คราวนี้ด่าไปเถอะ เขาไม่ว่าอะไรหรอก...!
*************************
ถาม : เด็กที่สมาธิสั้น แล้วให้นั่งสมาธิแบบที่ผู้ใหญ่นั่งกัน จะช่วยให้ดีขึ้นได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้…แต่อย่านาน นับลมหายใจ ๓ - ๕ คู่ แล้วเลิกเลย
ถาม : ตอนนี้จับพี่น้องนั่งคู่กัน ประมาณ ๑๕ นาที ดูเหมือนคนพี่จะไม่ค่อยนิ่งตั้งแต่เริ่มเลย อย่างนี้ให้จับแยกกันหรือคะ ?
ตอบ : ให้อยู่ข้าง ๆ กันนี่แหละเขาจะได้มีกำลังใจ ลืมตาขึ้นมาน้องยังอยู่ก็กัดฟันนั่งต่อ
ต่อไปก็บอกว่าถ้าน้องยังไม่เลิก หนูอย่าเพิ่งเลิกนะ ถ้าเลิกก่อนสู้น้องไม่ได้ เดี๋ยวเขาก็เกิดมานะฮึดขึ้นมาเอง
สมัยก่อนอาตมาเจอทีเด็ดของเด็กเข้า หมดสภาพความเป็นครูเลย อาตมาเป็นครูสอนมโนมยิทธิ สอนแทบเป็นแทบตายกว่าจะได้สักคนหนึ่ง
ปรากฎว่าเดือนถัดไปแม่เขาพาเด็ก ๒ คนมา เราสอนคนพี่ไป เขาพาคนน้องมากราบ เขาบอกว่าขอบคุณมากที่ช่วยให้ลูกเขาได้มโนมยิทธิทั้งคู่ อาตมาก็อ้าว..ไปสอนตัวเล็กเมื่อไร ?
เขาบอกว่าพอพี่เขาได้มโนมยิทธิแล้ว กลับบ้านไปก็นั่งกรรมฐาน น้องมาถามว่าพี่ทำอะไร พี่ก็บอกว่านั่งกรรมฐานไปดูนรกสวรรค์ น้องก็ถามว่าทำอย่างไร พี่บอกว่า “ให้หลับตาแล้วไปด้วยกัน”
บอกแค่นั้นน้องทำได้แล้ว อาตมาสอนแทบตาย เด็กบอกประโยคเดียวได้เลย แสดงว่าเด็กเก่งกว่าเราเยอะ เขามีภาษาที่สื่อแล้วเด็กด้วยกันเข้าใจ น้องเขาก็เชื่อว่าหลับตาไปได้...ก็ไปเลย
ใครเคยดูคลิปวีดิโอบ้าง ที่พ่อเขาเอาขนมเสียบไว้ตรงวงกบประตู แล้วให้ลูกปีนขึ้นไปเอา คนเป็นพี่สาวเห็นพ่อบอกใ้หขึ้นแสดงว่าขึ้นได้ ก็ปีนขึ้นไปเอาได้ ถึงเวลาน้องเห็นพี่ขึ้นได้เราต้องขึ้นได้แน่ ก็ปีนขึ้นไปเอาได้เหมือนกัน
อาตมาดูก็คิดว่า โอ้โห...ผู้ใหญ่ยังร่วงเลย นี่เด็กขึ้นไปเอาได้ กรอบประตูลื่น ๆ นะ สงสัยเป็นไอ้แมงมุมกลับชาติมาเกิด
เพราะฉะนั้น...ความมั่นใจในผู้นำ เป็นหนึ่งในเวสารัชชกรณธรรม คือธรรมที่ทำให้คนกล้า ท่านบอกว่าต้องประกอบไปด้วย ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
ศรัทธา คือ ความเชื่อมั่น
ท่านบอกว่า ประกอบไปด้วยเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย
เชื่อมั่นในส่ิงศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองยึดถือกันมาตามตระกูล
เชื่อมั่นในผู้นำ ว่าสามารถนำตนไปสู่เป้าหมายได้
ท้ายสุดเชื่อมั่นในตนเองว่าทำได้สำเร็จ
ถ้ามีความเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งนี้ ทำให้กล้าได้ นั่นเขาเชื่อมั่นในผู้นำ พ่อบอกให้ทำ แสดงว่าทำได้
ท่านชาติชาย สมัยที่เป็นหัวหน้าป่าไม้อยู่ไปจับไม้เถื่อน พวกตัดไม้ก็ยิงสู้ ลูกน้องท่านชาติชายโดนยิง หน้าท้องเปิด ไส้ทะลักมากองกับพื้น
ท่านชาติชายก็เข้าไปช่วย คลานไปถึงก็จับไส้ยัด ๆ กลับเข้าไป เอาผ้าขาว้าพันไว้ ลูกน้องก็ถามว่า “เจ้านาย...ผมจะตายไหม ?”
ท่านชาติชายบอกว่า “เฮ่ย...แค่นี้เอง กูเห็นมาเยอะแล้ว ไม่เป็นไรสักคน หมอเย็บเสร็จก็หาย เอ็งนั่งอยู่นี่แหละ ใจเย็น ๆ เสร็จแล้วเดี๋ยวจะพาไปหาหมอ”
ลูกน้องก็เลยนั่งสูบบุหรี่รอ รอจนเจ้านายจัดการคดีเสร็จก็าไปหาหมอ แล้วเขาก็รอดจริง ๆ นะ เพราะเชื่อเจ้านายว่าไม่เป็นไร แต่หมอนี่ด่ากระจายเลย
ประการแรก...คุณยัดไส้เขากลับไเข้าไป โดยท่ไม่ได้ทำให้ปลอดเชื้อก่อน หมอต้องล้วงออกมาล้างใหม่หมด
ประการที่สอง...ไส้ถูกลมมากไปเลยพอง ทบกลับไปเข้าไปยาก หมอต้องไปนั่งเรียงใหม่ เพราะถ้าเรียงผิด ไส้บิดแล้วอาจจะทำให้ไส้ตัน อาจจะถึงตายได้
ประการสุดท้าย...ทิ้งคนไข้ไว้นานเกินไป เสียเลือดไปเยอะ
นั่นเขาเชื่อมั่นในผู้นำ ผู้นำบอกว่าไม่เป็นไร กูเห็นมาเยอะแล้ว หมอเย็บเสร็จก็หาย ลูกน้องคงลืมคิดไปว่าหัวหน้าเพิ่งจะอายุไม่เท่าไรเอง จะไปยิงกับใครมาสักกี่หน...!
ท่านชาติชายสอนลูกน้องยิงปืน เพื่อที่จะเอาไว้สู้กับพวกทำไม้เถื่อนตัวเองก็อุตส่าห์ไปซ้อมที่สนามยิงปืน ร.ด. อยู่บ่อย ๆ พอจะแม่นบ้าง
เวลายิงเป้าทั่ว ๆ ไปจะยิงให้อยู่ในวงกลมก็ไม่ยาก คราวนี้เขาจะสอนวิธียิงต่อสู้ ให้ลูกน้องผูกเป้าไว้ แล้วตัวเองหันหลังให้เป้า...ชักปืน...หันขวับ...ยิงเปรี้ยง...เป้าหล่น...ปรากฎว่ายิงตัดเชือกพอดี..!
ถามว่าคุณทำอย่างไรต่อ ?
ท่านชาติชายบอกว่า “ผมแสดงให้ดูแค่นั้น แล้วผมก็ไม่ยิงให้ดูอีกเลย เพราะไม่มีทางยิงถูกแบบนั้นอีกแล้ว...!”
เขาตั้งใจจะยิงให้ถูกเป้า ดันไปตัดเชือกเข้าพอดี สมัยก่อนอาตมาเองซ้อมอยู่เป็นปี กว่าจะยิงดับเทียนได้ ยิงตัดเส้นลวดได้ยังต้องใช้ปืนยาวเลย แต่นี่ปืนสั้นยิงตัดเชือกได้ถือว่าสุดยอด ถ้ายิงซ้ำอีกทีก็ไม่ถูกหรอก เพราะฉะนั้น...เขาก็บอกว่าแค่นั้นแหละ แล้วก็ให้ลูกน้องซ้อมยิงกันเอง
ตอนแรกเห็นรุ่นพี่ที่เก่ง ๆ เขาเอาปืนลูกกรดยาวยิงดับเทียนได้ อาตมาก็ว่าไม่น่าจะยาก พอลองยิงเองถึงได้รู้ว่ายาก เพราะไปเล็งที่ไฟ ต้องเล็งตรงกลางต่กว่าไฟนิดหนึ่ง ซึ่งก็คือไส้เทียน
ไปเล็งที่ไฟจะยิงดับยาก บางทียิงไส้เทียนขาดไปแล้วเสียด้วยซ้ำ ไฟก็ยังติดต่อได้เพราะยังเหลืออีกครึ่งหนึ่ง กว่าจะรู้เคล็ดนี้ก็นาน
*************************
ถาม : สามารถใช้มโนมยิทธิได้เรื่อย ๆ หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าหากมีความคล่องตัวจะใช้เมื่อไรก็ได้ ยกเว้นคุณสุภิตา คุณสุภิตานี่ช่างถาม ถามจนพระท่านรำคาญ จำกัดว่าให้ถามได้ไม่เกินวันละ ๑ ข้อ
แต่คุณสุภิตาก็ยังคงมีข้อสงสัยต่อไปว่า “แล้วถ้าอยากถามเกิน ๑ ข้อละคะ ?”
คิดดูแล้วกัน...ถ้าเป็นอย่างนั้นก็โดนจำกัด แต่ของเรานี่ไม่จำกัดหรอก ใช้ไปเถอะ...
ถ้ามีความคล่องตัวใช้ได้ทั้งวัน ใช้ได้ทุกวินาทีย่ิงดี เพราะว่าจิตที่ทรงมโนมยิทธิอยู่ อย่างน้อย ๆ เรามีฌานสมาบัติเป็นเครื่องควบคุม นิวรณ์ ๕ ก็ดี รัก โลภ โกรธ หลง ก็ดี จะแทรกตอนนั้นไม่ได้
ถาม : เวลารู้เห็นอะไร ทำอย่างไรให้ไม่เตลิด ?
ตอบ : ตัวเราที่ใช้คำว่าเตลิดนี่ คนฟังไม่เข้าใจจะไปกันใหญ่ เอาเป็นว่าสิ่งที่เรารู้อาจจะไม่ถูกต้อง เกิดการผิดพลาดขึ้น เนื่องจากกำลังสมาธิเราไม่พอ
ถ้าหากว่ารู้ตัวว่ากำลังสมาธิของเราถอย เราก็หันกลับมาเข้าสมาธิใหม่ จนอารมณ์ทรงตัว แล้วพิจารณาตัดร่างกายอีกรอบหนึ่ง จากนั้นค่อยไปใหม่ ไม่อย่างนั้นแล้วจะผิด ไม่ได้เตลิดเฉย ๆ หรอก ถ้าผิดแล้วเข้าป่าเข้าดงไปเลย...!
*************************
“ขอประกาศให้ญาติโยมทราบ งานเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งต่อไปคือ วันที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ อีกไม่กี่เดือน แสดงว่าสถานการณ์ปีหน้าค่อนข้างจะหนัก เพราะเสาร์ ๕ มาตั้งแต่ต้นปีเลย
แม้ว่าสถานการณ์ของประเทศชาติจะหนัก แต่ก็มีวิธีผ่อนปรนโดยการมีฤกษ์ยามที่เหมาะสม ที่เราจะทำการบวงสรวง รวมกำลังใจอธิษฐานเพื่อประเทศชาติกัน
ลองดูสิว่า ๒๘ มกราคม ปีหน้าตรงกับวันเสาร์หรือเปล่า ? ใครจะไปมั่นใจได้เล่า ? เกิดไม่ใช่วันเสาร์ขึ้นมาก็หน้ามืดสิ...! ประกาศไปแล้วจัดงานไม่ได้
มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านประกาศจัดงานเป่ายันต์เกราะเพชร ก่อนวันงาน ๓ วัน พระพุทะเจ้าเสด็จมา ขออภัยนะ...อาตมาใช้คำพูดตามที่หลวงพ่อท่านบอก
พระท่านตรัสว่า “แกแหกตาดูหรือเปล่าว่าเป็นวันอะไร ?”
หลวงพ่อท่านบอกว่า “วันเสาร์ ๕ ครับ”
พระท่านบอกว่า “วันเสาร์ แรม ๕ ค่ำ ใช้ได้เมื่อไรเล่า ?”
หลวงพ่อท่านรีบไปเปิดปฏิทินดู เป็นวันเสาร์ แรม ๕ ค่ำจริง ๆ ไม่ใช่ขึ้น ๕ ค่ำ
หลวงพ่อท่านก็เลยกราบทูลว่า “แล้วอย่างนี้จะทำอย่างไรครับ เพราะว่าประกาศบอกโยมไปแล้ว ?”
พระท่านบอกว่า “ไม่เป็นไร ...จะข้างขึ้นหรือข้างแรม ถ้าฉันทำให้ก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่คราวหน้าต้องรอบคอบกว่านี้”
ถ้าหากว่าตามสายครูบาอาจารย์ขงเรา ต้องใช้วันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เคล็ดลับอยู่ตรงคำว่า “ขึ้น” จะทำของให้ขึ้นก็ต้องข้างขึ้น ข้างแรมเขาไม่นับ
ช่วงที่ผ่านมามีวันเสาร์ข้างแรม เขาตื่นเต้นกันใหย๋ จัดงานกันอุตลุดเขาว่าปีเสือ เดือนสิงห์ กระทิงวันอะไรให้ยุ่งไปหมด
ถ้าหากว่าตามสายของสมเด็จพระสังฆราช วัดสุทัศน์ฯ ท่านจะใช้ฤกษ์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ตรงกับวันอาทิตย์ ท่านสร้างพระแค่ ๖ องค์ ตรงกับวันจันทร์สร้าง ๑๕ องค์
แปลว่าเต็มที่พระรุ่นนั้นจะมีไม่เกิน ๒๑ องค์ จนลูกศิษย์ทนไม่ไหว ถึงได้ขอให้ท่านสร้างให้ต่างหาก ถึงได้มีการเททองกันทีหนึ่ง ๓๐๐ - ๔๐๐ องค์
แต่บางครั้งโลหะที่เตรียมไว้ไม่พอ ก็จะมีเทเช้าวรรณะเป็นสีเหลือง เทบ่ายวรรณะเป็นสีแดง ให้ยุ่งไปหมด ก็คือโลหะไม่พอ ต้องหาของมาเพิ่ม กลายเป็นจุดตายที่บรรดาเซียนพระเขาชี้จริงชี้ปลอมกัน”
*************************
|